(รูปเยอะ!!) Fantastic Finland: เมื่อ 'มุตา' ได้ทุน 100% ไปแลกเปลี่ยนในประเทศที่การศึกษาดีที่สุดในโลก


 
             สวัสดีค่ะชาว Dek-D ถ้าพูดถึงกิตติศัพท์ความดีงามของ “ฟินแลนด์” ทั้งเรื่องคุณภาพการเรียน ความสุขของประชากร สถานที่ท่องเที่ยวแนวธรรมชาติ รวมถึงบรรยากาศที่สุขสบายไร้ความรีบเร่ง ก็ไม่แปลกเลยที่ดินแดนนี้เป็นจุดหมายในฝันของทั้งนักเรียนและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก  ล่าสุดเรามีโอกาสได้พูดคุยกับคนไทยที่ขอทุนแลกเปลี่ยน 100% แล้วไปเรียนที่มหาวิทยาลัยในฟินแลนด์  ทั้งรูปเยอะแถมไฮไลต์น่าสนใจเยอะมาก!

 
Spoil:
 
  • ในคลาสถามได้แย้งได้ ถ้านักเรียนไม่เข้าใจ ครูจะมองว่านั่นเป็นความผิดผู้สอน
  • ไม่ค่อยเรียนทฤษฎี แต่จบมาทำได้เยอะมาก
  • โรงอาหารถูกและดี(มาก) เน้นสารอาหารครบถ้วน
  • ประชากรดูมีความสุข ไม่กังวล เพราะพวกเขาเชื่อมั่นในรัฐบาล


Photo Credit: Mutaaaa
 

แนะนำตัว
 

            “สวัสดีค่ะ ชื่อ ‘มุตา’ กรกนก แสงวิเชียร ตอนนี้อยู่ไทยนะคะ กำลังเรียนปี 4   คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ (SIT) สาขาวิชาวิทยาการคอมพิวเตอร์ ภาคภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ธนบุรี (บางมด)  เราเองเข้ามาสายโค้ดหลังจากที่หัดเขียนเว็บมาตั้งแต่ 10-11 ขวบ   แล้วก็มาเข้าเรียนวิทยาการคอมพ์ค่ะ ความฝันของเราคึืออยากเป็น  Software Engineer, Mobile Application Developer"

            "พอช่วงเรียนมหา’ลัยได้ขอทุน  Erasmus ไปแลกเปลี่ยนในหลักสูตร Information and Communication Technology ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ Jyväskylä University of Applied Science (JAMK)  ของฟินแลนด์ด้วยค่ะ” Note: JAMK = อ่านว่า 'แยมก์'  นะคะ


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa
 

กว่าจะได้ทุน Erasmus

เตรียมตัวตั้งแต่ก่อนเข้าปี 1
 

            “เราโชคดีที่คุณพ่อเห็นความสำคัญของการศึกษาและพยายามให้เราเรียนภาษามาตั้งแต่ประถม แล้วเราก็อยากไปต่างประเทศตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ทรัพยากรไม่ได้พร้อมมาก หลังจากที่สอบเข้าบางมด(ด้วยทุนอีกเหมือนกัน) เราก็รู้มาว่ามหา’ลัยมีโครงการที่ให้ทุน 100% ไปต่างประเทศด้วยนะ ก็เลยเตรียมตัวตั้งแต่ก่อนเริ่มเรียนปี 1 สะสมมาเรื่อยๆ พอปี 2 ก็มาเห็นว่ามีทุน Erasmus ที่ให้ 100% เหมือนกัน ทั้งไม่เสียอะไรและไม่มีข้อผูกมัด ระยะเวลาที่ไปคือ 6 เดือน เงินที่ได้คือ 4,000 ยูโร ค่าเงินตอนนั้น 34-35 บาท”
 
            “ขั้นตอนคร่าวๆ คือยื่น Resume + เกรด + คะแนนสอบภาษาอังกฤษ (ต้องผ่าน Intermediate B) พอผ่านก็สัมภาษณ์กับอาจารย์ที่ฟินแลนด์ คัดเลือกจาก 10 เหลือ 4 คนค่ะ ถึงเวลาก็เตรียมความมั่นใจไปแหละ แสดงให้เห็นว่าเราพร้อมจะไปอยู่ต่างแดนยังไงบ้าง หาข้อมูลเกี่ยวกับฟินแลนด์ไว้ *ดังนั้นแนะนำว่าให้รู้ตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะต้องทำเกรด และควรสอบ TOEFL หรือ IELTS เก็บไว้เพื่อไม่ให้โอกาสหลุดลอยไป”


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa

 

First day in Finland,

First day in Europe
 

            หมายเหตุ: *ข้อมูลบางส่วนจากบล็อกของมุตา (Part I  / Part II)   แนะนำให้อ่านต่อนะคะ เล่าสนุกและช่วยไกด์ชีวิตช่วงแรกได้ดีมากกก
 
            “นี่คือประสบการณ์มายุโรปครั้งแรกเลยค่ะ ถ้าถามว่าตื่นเต้นแค่ไหน ก็คือไฟลต์บิน 9 โมง แต่เรามารอที่สนามบินตั้งแต่ตี 4 บินด้วยสายการบิน Finair จากสุวรรณภูมิมาลงที Helsinki เมืองหลวงของฟินแลนด์ เดินทางทั้งหมด 9 ชั่วโมง ถึงที่หมายบ่าย 3 เจอ 21 องศาเซลเซียส ไม่เคยคิดว่าจะร้อนขนาดนี้  *ปกติช่วงสิงหาคมจะอยู่ประมาณ 13-26 องศานะคะ ไม่ค่อยหนาวมาก”
 

Photo Credit: https://medium.com/mutaaa


เตรียมเดินทางไปเมืองที่เรียน
Photo Credit: 
https://medium.com/mutaaa
 
            “เจอแดดเปรี้ยงที่ Helsinki แต่พอมาเมือง Jyväskylä เจอ 19 องศาและฝนตก!! ตอนนั้นทั้งเปียกทั้งหนาว วันแรกไม่ชิน แต่ต่อมาก็คือใส่เสื้อกล้ามไปข้างนอกได้แล้ว แล้วบ่นร้อนตอน 24 องศาแทน 555  ในภาพรวมคือฟินแลนด์เป็นประเทศที่ป่า เนินเขา และทะเลสาบเยอะมากๆ"


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa
(โอ๊ยยยยฟินมาก!!)
 
            "ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตก็คล้ายๆ ห้างบ้านเรา บางสาขาจะใหญ่หน่อยแล้วมี food court ด้านใน ซึ่งไม่มีภาษาอังกฤษเลยนะคะ 5555 (หัวเราะทั้งน้ำตา) ฉลากสินค้าก็แทบไม่มีด้วย สัปดาห์แรกบอกตรงๆ เลยว่าปวดหัว หาของยากไปหมด ต้องขอบคุณ google translte ที่มีฟีเจอร์แปลจาก camera อ่านไม่ออกก็ยกกล้องมาส่องเลย ช่วยได้เยอะมากจริงๆ ค่ะ”
 
            “ธนาคารที่เราเลือกเปิดบัญชี เป็นของค่ายสีส้มของฟินแลนด์ชื่อว่า OP Bank และโหลดแอปฯ ชื่อ Pivo app ไว้เพื่อเช็กยอดโดนจำแนกประเภทว่าเราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง ทุกร้านรับบัตรหมด โอนเงินให้คนที่เรามีเบอร์โทรศัพท้ได้คล้ายๆ พร้อมเพย์บ้านเราค่ะ”
 

รูปภาพจากบทความของ MATTI KERÄNEN บน www.tivi.fi


ป้ายในห้างเป็นภาษาฟินนิช
Photo Credit: Mutaaaa


มีีที่ฝากสัตว์เลี้ยงก่อนเข้าห้างด้วย
Photo Credit: 
Mutaaaa
 
            “เมือง Jyväskylä ไม่ใหญ่มาก ส่วนใหญ่เดินทางด้วยจักรยาน ขนาดคุณแม่ลูกแฝดยังปั่นจักรยานแล้วยใช้ตัวต่อกับรถเข็นเด็กมาเพิ่มอีก ว้าวมาก 5555 เด็กเล็กก็ออกมาเองคนเดียว เพื่อนเล่าให้ฟังว่าคนที่นี่เขาปล่อยเด็กไปเรียนเองตั้งแต่ 7 ขวบ ตอนแรกเราก็คิดจะปั่นจักรยานบ้าง แต่เห็นเนินเขาและความชันระหว่างทางก็ขอยอมแพ้ ตัดสินใจซื้อตั๋วบัสรายเที่ยวแทน”


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa
 
            “แอปฯ ที่ใช้ดูรสบัสในเมืองนี้คือ Linkki เขาจะให้ใส่ตำแหน่งและจุดหมายปลายทาง เราทดลองใช้สัปดาห์แรกพบว่าบัสเขามาตรงเวลามาก บวกลบไปเกิน 5-10 นาทีค่ะ ซื้อตั๋วได้ผ่านแอปฯ ตัดผ่านบัตร”
 
            การซื้อตั๋วรายเดือนจะมีแบ่งประเภทคนออกเป็น 4 ประเภทด้วย ได้แก่
  • เด็ก(อายุต่ำกว่า 17 ปี)
  • เยาวชน(อายุ17–24 ปี)
  • นักเรียน(อายุมากกว่า 25 ปี แต่เป็นนักเรียน)
  • ผู้สูงอายุ(อายุมากกว่า 65 ปี)

            "สำหรับมุตาเข้าเงื่อนไขเยาวชนนั่นก็คืออายุอยู่ในช่วง 17–24 ปี ถ้าซื้อบัตรระยะเวลา 90 วัน ใน Zone A ก็คือ Jyväskylä (Zone B-C จะครอบคลุมไปเมืองข้างๆ) ราคาจะอยู่ที่วันละ 1.2 ยูโร หรือประมาณ 40 บาทเท่านั้น โดยปกติต่อเที่ยวราคาสำหรับนักเรียน (ที่มีบัตรนักเรียน) จะอยู่ที่ 2.7 ยูโร   หรือประมาณ 90 บาทต่อเที่ยว ซื้อบัสรายเดือนหรือที่เขาเรียกว่า seasonal ticket คุ้มกว่าเห็น ๆ ถ้าไม่ซื้อ ตีแค่ไปมหาวิทยาลัยกลับที่พักก็ 2 เที่ยว 2.7*2 = 5.4 ยูโร (178 บาท) เลย"


(ซ้าย บัตร Linkki // ขวา บัตรเครดิต)
Photo Credit: https://medium.com/mutaaa
 
         "  รถบัสที่นี้จะเปิดให้เข้าแค่ทางคนขับเท่านั้น และชำระเงินหรือติ๊กบัตรตรงนั้นเลย จะมีเครื่องตั้งไว้ จ่ายผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิทก็ได้ ไม่มีคนมาหยิบบัตรเราไปแตะแน่นอน กระเป๋ารถเมล์ไม่มี สำหรับออกจากรถจะออกที่ประตูกลางเป็นหลัก บางทีถ้าไม่มีคนขึ้นเขาก็ให้ลงด้านหน้า เพราะจะได้ไม่ชนกัน"


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa


ส่วนนี่ีคือหอพักเราเอง
Photo Credit: https://medium.com/mutaaa

            "หรือถ้าอยากนั่งรถไฟเข้าเมืองหลวง (Helsinki) จะอยู่ที่ 13.30 ยูโร หรือราวๆ เกือบ 500 บาท"


Photo Credit: Mutaaa

 

อาจารย์ทั้งใส่ใจและเปิดใจ

เรียนรู้ไปด้วยกันในคลาส
 

            “มาถึงเรื่องเรียนบ้างนะคะ ความรู้สึกแรกคือ โอ้โห เรียนสบายมากกก   ถ้ามีโปรเจกต์ใหญ่ๆ ก็จะไม่มีสอบ แต่ถ้าวิชาไหนมีสอบ ก็จะไม่มีโปรเจกต์อีก  (ถ้า ม.ที่ไทยจะมีทั้ง 2 แบบและหนักทั้งคู่) ส่วนวิชาที่มีสอบจะเป็นวิชาทฤษฎี อย่างเช่นภาษา หรือที่เห็นเพื่อนได้สอบก็จะเป็นทาง Marketing ทีมีคำนวณค่ะ   แล้วเราไม่พอใจคะแนน หรือวันสอบเกิดไปไม่ได้ ไม่ว่าง ก็มีโอกาส retake ได้อีก 2 รอบ"
 
             “สิ่งที่อาจารย์พูดตั้งแต่วันแรกคือ ไม่เข้าใจให้รีบถาม เพราะเขาถือว่านั่นเป็นความผิดของผู้สอน หรือถ้าเขาสอนผิดหรือนักเรียนมีข้อมูลที่ใหม่กว่า ให้มาแชร์กันได้เลย เพราะเขาต้องเรียนอยู่เสมอเหมือนกัน แล้วก็เป็นแบบนั้นตลอดจริงๆ ทั้งใส่ใจและเปิดกว้าง อย่างสมมติวิชาปฏิบัติในห้องคอมพ์ เวลานักเรียนสงสัยแล้วยกมือถาม ไม่ว่าจะมีกี่คน เขาจะเดินมาดูถึงโต๊ะทุกคนจนกว่าจะทำได้ แล้วเราไม่เคยเห็นเขาเหวี่ยงเลย”
 


 

เจาะวิชาเรียนเจ๋งๆ

สอนให้เก่งและเป็นผู้ใหญ่ขึ้น
 

วิชาทั่วไป (เรียนทุกคณะ)

            “ถ้าวิชาพวกนี้จะเรียนรวมกับเพื่อนหลายชาติ เน้น discuss กันมากว่า เช่นวิชา International Skill (ความแตกต่างทางวัฒนธรรม) เราจะมีฟัง Speaker จากเยอรมันและญี่ปุ่นที่เขาเชิญมาแชร์เรื่องวัฒนธรรม และยังพาไปศึกษาวัฒนธรรมนอกห้องเรียนด้วย อย่างร้านชาจีน,  เทศกาลของเมือง (City of Light), ดูการทำงานของบริษัทในฟินแลนด์    ฯลฯ ซึ่งในวิชานี้เราจะไม่ใช่แค่ฟังเขาเล่า แต่จะได้แชร์ของประเทศเราด้วย”
 
            “มีวิชานึงที่ช่วยเปลี่ยนเรามากๆ คือ Basic Leadership (ภาวะผู้นำเบื้องต้น) เราจะได้เรียนกับเพื่อนที่คละทั้งคณะและชั้นปี จับกลุ่ม discuss ด้วยกันทุกสัปดาห์ เช่น ผู้นำในมุมมองของกลุ่มเราเป็นแบบไหน? โดยที่อาจารย์ไม่มีตีกรอบว่าคำตอบไหนถูกผิด” 
 
            “จากเมื่อก่อนเราเป็นคนที่ไม่กล้าพูดและแสดงอารมณ์ที่แท้จริง แม้กระทั่งตอนโดนเพื่อนเอาเปรียบหรือกินแรง แต่สิ่งที่เราเห็นจากคลาสนี้คือเพื่อนชาติอื่นเขาไม่มัวมาเกรงใจกันค่ะ ถ้าไม่โอเคก็พูดกันตรงๆ และเสนอวิธีแก้ไข หรือถ้าไม่ช่วยงานกลุ่มก็ไม่ใส่ชื่อ ไม่ให้มาพรีเซนต์รวม และเราสามารถ feedback เพื่อนในกลุ่มได้ด้วย”

 
วิชาเฉพาะ
 
            "วิชา Android Application Development สอนพื้นฐานและให้มา 20 exercises ซึ่งก็คือเขียน 20 แอปพลิเคชัน มีทุกแนว เช่น Delivery (GPS, Map, Latitude, Longtitude), Storage ฯลฯ ฟังแบบนี้อาจจะดูเยอะ แต่สามารถต่อยอดทำงานจริงได้เลยค่ะ "
 
            "Mobile Application Development  กับ Mobile Project เป็นวิชาต่อเนื่องกัน เรียนวิชาละครึ่งเทอม สอนตั้งแต่พื้นฐานแล้วโยนมา 10 exercises วิชานี้จะมาเรียนหรือไม่มาก็ได้ แต่ต้องส่งงาน วิชานี้สอนทฤษฎีน้อย แต่พอเรียนจบคอร์สเรากลับทำได้เยอะ มีโปรเจกต์ทีให้เราเขียนอะไรก็ได้โดยใช้ภาษาที่เราถนัด เช่น บางคนทำเกม, แอปฯ ข่าวสาร, ฟุตบอล ฯลฯ ส่วนเราทำเกมใน Android ต่อยอดจากวิชา Android App."
 
            “ถ้าวิชา Android เขาสอนใช้ Kotlin ส่วน Mobile App. สอนใช้ React Native (ทันสมัยมาก Facebook ก็ใช้) เราเคยเรียนแต่ Java มาก็จริง แต่ก็หยิบ logic มาปรับใช้ได้ เวลาเรียนก็ไม่ได้รู้สึกมันหนักหรือกดดันเลย ชิลล์ๆ มากกว่า เขามีสอน syntax ของโครงสร้างว่าเป็นยังไงบ้าง”


Photo Credit: Mutaaa


Photo Credit: Mutaaa


Photo Credit:  https://www.jamk.fi/en/
 
            “พอเรียนจบเราก็มีโอกาสทำโปรเจกต์จบร่วมกับกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ดูแลโรคมือเท้าปากในเด็กอนุบาลค่ะ ทำเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้มอนิเตอร์ได้โดยใช้กล้องจากสมาร์ทโฟน (ตอนนี้กำลังพัฒนาเรื่องความแม่นยำ) ช่วยให้ตรวจได้เร็วและรับมือกับการระบาดได้ทัน ถ้ามีคนรายงานว่าเด็กติดเชื้อ ก็จะปิดโรงเรียนเพื่อทำความสะอาด หรือถ้าเป็นเกิน 2 คนก็ต้องปิดโรงเรียนเลย”

 

ไมเคยชอบภาษาฟินแลนด์
จนมีเธอเป็นเหตุผล ><

 

            “อยู่ที่นั่นเราได้เรียนภาษาฟินแลนด์ (ภาษาฟินนิช / Finish) เหมือนกันนะ แต่เป็นระดับเบื้องต้น ให้ฟีลเหมือนเรียนภาษาอังกฤษตอนอนุบาลเลยค่ะ เราจะเริ่มกันตั้งแต่พยัญชนะ, ตัวเลข, คำศัพท์พื้นฐาน, ฝึกเขียนประวัติส่วนตัวเป็นภาษาฟินนิช, บทสนทนาในชีวิตประจำวันในระดับง่ายมาก แล้วแกรมมาร์ค่อยตามมาทีหลัง วิธีสอบจะเน้นจับคู่สอบพูดซะเยอะ”
 
            “ภาษานี้คือติดท็อปเรื่องความยาก คนที่เรียนก็บ่นๆ กันนะเพราะพยัญชนะภาษาฟินนิชอ่านออกเสียงไม่เหมือนภาษาอังกฤษเลย เช่น ตัว J เขาก็ออกเหมือนตัว /Y/ มีคำต่อหลัง (suffix) แล้วยังเป็นภาษาที่มีกฎข้อยกเว้นเยอะเป็น 10 กว่ากรณี คำก็ใช้เลยไม่ได้ แต่ต้องไปแปลงให้เข้ากับ Pronoun ก่อน ส่วนตัวแรกๆ เราไม่ชอบเลย เรียนเพราะจำเป็นเพื่อความอยู่รอด อย่างที่บอกคือร้านค้าไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษให้เห็นเลยค่ะ" สุดท้ายแล้วมุตาก็ชอบภาษานี้ เพราะได้มาเจอกำลังใจดีๆ ที่นี่แหละ~ ภาษาก็เลยพัฒนาเร็วมาก   //ขออนุญาตแซวค่าาา


Photo Credit: Mutaaaa


Photo Credit: Mutaaaa

 

เคยทำงานร้านอาหารเอเชียด้วย!
 

            “ตอนนั้นได้ชั่วโมงละ 8.5 ยูโร หรือราวๆ 300 บาทไทย   เจ้าของร้านเป็นชาวเวียดนาม ขายอาหารหลายชาติ เช่น ปอเปี๊ยะ, ซูชิ ฯลฯ  ความกดดันคือภาษานี่แหละ เราพอรู้ศัพท์เบื้องต้นอยู่แล้วแต่บางทีก็ฟังผิดค่ะ บางทีผิดไปไกลมาก นึกตอนนี้ยังขำตัวเอง 5555”
 
            “ถ้าเกิดใครมาแลกเปลี่ยนแล้วอยากลองหาประสบการณ์หรืิอฝึกสกิลภาษาที่สั่งสมมาก็ได้นะ    (แต่จริงๆ เงินจากทุนนี้เพียงพอต่อการใช้จ่ายอยู่แล้ว) วิธีหางานคือสมัคร > ทำ tax service จ่ายภาษี เราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนทำได้ไม่เกินสัปดาห์ละ  25 ชั่วโมงตามกฎหมาย   พอมาคำนวณต่อปีก็แทบไม่เสียภาษีเลยค่ะ”

 

อาหารถูกและดี

เน้นสารอาหารครบ
 

            พูดถึงเรื่องอาหารแล้ว เราอาจเคยได้ยินมาว่าที่ฟินแลนด์ให่้ความสำคัญกับอาหารของวัยเรียนมากๆ   (อ่านเพิ่มเติม: มื้อเที่ยงฟรีที่โรงเรียนในฟินแลนด์" เคล็ดลับฉบับประเทศที่ระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก!)    สิ่งที่มุตาเจอก็เหมือนกัน เธอเล่าให้ฟังว่า “ปกติเราจะเข้ามหา'ลัย  3 วัน เราก็จะไปกินอาหารที่มหา'ลัยนี่แหละ  โรงอาหารกว้าง สะอาด ดูดี เราจ่าย 2.7 ยูโร แล้วมีจานใหญ่ๆ ให้ตักใบนึง ซึ่งอาหารของเขาคือเฮลท์ตี้แต่อร่อยนะ ผักคือเยอะมากกก แล้วมีเนื้อหรือมีตบอล บางวันอาจเป็นไก่เป็นน่อง ปลาอบ ฯลฯ มีน้ำผลไม้ให้ด้วยค่ะ โรงอาหารจะเปิดจำกัดเวลา ประมาณ 5 pm เข้าก็จะเก็บแล้ว” 
 
            “แต่ถ้าอยู่นอกโรงเรียน ส่วนมากทำเองเพราะวัตถุดิบราคาใกล้เคียงบ้านเราเลยค่ะ แต่ถ้าร้านอาหารจะแพงเพราะเป็น restaurant หมด มีบ้างที่เป็น truck 8 ยูโร ถ้าถูกกว่านั้นก็ McDonald 1 ยูโร และที่ตกใจมากๆ คือบุฟเฟ่ต์ราคาเท่าที่ไทย มีหลายอย่างทั้งอาหารไทยหรือ Lunch Buffet ก็มี” 


Photo Credit: Mutaaaa
 
            “ถ้าเกิดใครจะมาเที่ยวหรือใช้ชีวิตที่ฟินแลนด์ เราขอแนะนำ 2 เมนูที่อยากให้ลอง คือ Salmiakki เค้ามีในทุกอาหารเลย พอลองกับช็อกโกแลตมันดีมาก กับอีกอย่างคือ Leipäjuusto  เหมือนขนมปังชีส เด้งๆ แต่ไมเคยเห็นที่ไหนเลย น่าจะมีแค่แถบนี้นะคะ”


Salmiakki
Photo Credit: Unsplash

 

Leipäjuusto
Photo Credit: https://www.tasteatlas.com/leipajuusto


 

บางทีเพืื่อน
ก็ทำให้หน้าแห้งได้...

 

            “ถ้าสนิทเขาก็ไม่เงียบนะ แต่ตอนสัปดาห์แรกๆ เราค่อนข้างเฟรนด์ลี่ 5555 คือลงจากหอพัก แล้ว Say Hi ทุกคนเลยค่ะ เพื่อนต่างชาติก็ Hi กลับนะ แต่เพื่อนฟินแลนด์คือ นิ่งๆ มองซ้าย มองขวา ทำหน้าเหมือนสงสัยว่า เธอพูดกับใครอะ…
 

 
             “หรือครั้งนึงมีติวเตอร์มารับ เราก็พูดไปซะเยอะ อากาศเย็นดีเนอะ ยังงั้นยังงี้ เขาตอบมาว่า...
 
             “อืม…”
 

 
            จริงๆ ถ้าสนิทขึ้นมาก็พูดเยอะนั่นแหละ  แต่กว่าจะสนิทก็ไม่ใช่ง่ายๆ 5555 เขาไม่ใช่แค่เป็นกับชาวต่างชาติ แต่กับคนฟินแลนด์เองก็เป็น (ย้ำ!! แล้วแต่คนนะคะ) เพราะเขาจะค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร จากต่างเราที่ต้องมี Small Talk ค่ะ แต่มาที่นี่ไม่ต้องกลัวเหงา เวลาจะช่วยเราเอง เพราะชีวิตการเรียนมีปาร์ตี้บ่อยมากกก ตั้งแต่ศุกร์แรกที่ไปถึงก็มี welcome party เด็กแลกเปลี่ยน ตามด้วย party BBQ หลังจากนั้นก็มีแทบทุกวันศุกร์เลยค่ะ มีทริปไปต่างเมืองทั้งของมหา’ลัยเอง (บางที co กัน นักศึกษาก็จะมีส่วนลดพิเศษ) หรือไม่ก็นักเรียนนัดกันเองในบอร์ดมหา’ลัย ใครอยากไปก็ลงชื่อไว้”
 
            “ถ้าพูดถึงเรื่องสวัสดิการ นักเรียนที่นี่ได้ส่วนลดทั้งรถไฟ ซื้อของในห้างฯ หรืออย่างพิพิธภัณฑ์ก็ลดเยอะมากๆ มีกำหนดวันให้เข้าฟรีอีก แค่ในเมืองก็มี 3-4 แห่งแล้ว”
 
            “เราชอบสถาปัตยกรรมเมืองเขามากๆ ค่ะ เราเคยไปเที่ยว ตูรกุ (Turku) เมืองหลวงเก่าฟินแลนด์ ตึกเขาสวยมากๆ เรื่องการขนส่ง คมนาคม ระบบก็ดีและถูกด้วย ถ้าเดินทางในเมือง ซื้อตั๋วรายเดือนไว้ 90 วัน ตกแค่วันละ 40 บาทไทยเอง ไม่ใช่ถูกแค่รถเมล์ด้วย สมมตินั่งจาก Jyväskylä มาถึง  Turku ระยะทางประมาณ 300 กม. ยังแค่ 300 บาท”


Turku
Photo Credit: Mutaaaa


Turku
Photo Credit: Mutaaaa


Turku
Photo Credit: Mutaaaa


Turku
Photo Credit: Mutaaaa


Turku
Photo Credit: Mutaaaa
 

9 ข้อ เล่าความฟินแลนด์

(เมือง, ระบบ, ผู้คน, วัฒนธรรม)
 

            1. ซัมเมอร์มีพระอาทิตย์ถึง 3 ทุ่ม 4 ทุ่มเลยค่ะ ส่วนหน้าหนาวมีแค่ช่วงเที่ยง 3 ชั่วโมง ที่เหลือมืดหมด สิ่งที่ต้องระวังคือพื้นลื่น + ช่วงกลางคืนนานในช่วงหน้าหนาว ลื่นมากจริงๆ ใส่รองเท้าธรรมดาไม่ได้เลย (นี่อาจเป็นเรื่องเดียวที่ไม่ปลื้มที่ฟินแลนด์)


Photo Credit: Mutaaaa


Photo Credit: Mutaaaa


Photo Credit: Mutaaaa
 
            2. กิจกรรมที่เหมือนเป็นวัฒนธรรมของเขาเลย ว้าวมาก คือการวิ่งลงน้ำตอนหน้าหนาวติดลบ แล้ววิ่งขึ้นมา > เข้าซาวนา 5555 เขาบอกว่ามันเป็นการ refresh ระบบในร่างกายค่ะ

            3. แล้วซาวนาเนี่ยเป็นสิ่งที่มีทุกบ้าน ไม่เว้นแม้แต่ในอพาร์ตเมนต์ก็มีซาวนารวม ต่อให้เล็กขนาดไหนก็ต้องมี


มีห้องซาวนาทุกที่

            4.  วิถีชีวิตคนฟินแลนด์ คือเน้นอยู่กับธรรมชาติ ถ้าใครชอบปีนเขา ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ คิดว่าที่นี่ตอบโจทย์มากค่ะ
 
            5. ที่นี่เราสามารถเดินเข้าป่าเก็บผลไม้กินได้เลย เข้าได้ทุกที่ที่ไม่ได้อยู่ในรั้วบ้านคนอื่น เพราะรัฐบาลมองว่ามันเป็นสมบัติของประชาชน นอกจากนี้ชายหาดบ้านเขาก็ไม่มีคนมาจับจองด้วย


Photo Credit: https://medium.com/mutaaa
 
            6. หนึ่งในเรื่องที่คนไทยอาจไม่ชิน คือทุกบ้านจะมีการแยกขยะ
 
            7. คนที่นี่กลัวกฎหมายมากกก เขาจริงจังกับเรื่องนี้มากๆ ค่ะ เช่น มีกฎห้ามเมาแล้วขับ ถ้าเขาดื่มมาแก้วเดียวยังไงก็ไม่ขับรถเด็ดขาด ทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุน้อยมาก
 
            8. เขามองว่าทุกอาชีพสำคัญหมด เงินเดือนแต่ละอาชีพจะไม่ค่อยต่างกันมาก เราเห็นชัดเจนเลยว่าประชาชนเขามีความสุข เขาไม่กังวลว่าจะตกงาน อายุมากแล้วต้องมาวางแผนเกษียณ ฯลน เพราะเขาเชื่อมั่นในรัฐบาลมาก ถึงตกงานรัฐก็ช่วย
 
            9. เรื่องที่ควรระวังคือคนฟินแลนด์เขาเคารพความเป็นส่วนตัวมากๆ ถ้าสังเกตจะเห็นว่ารูปที่ส่งให้ลงในบทสัมภาษณ์นี้จะไม่มีรูปไหนติดเพื่อนเลย ^^




"เดินเรื่อยๆ
ก็ถึงเส้นชัยได้เหมืือนกัน"


            “ ถ้าเกิดใครอยากไปควรรีบเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ มันเหมือนลงสนามแข่งวิ่งแหละ ถ้าเกิดเราไม่มีทุนซัพพอร์ตเหมือนคนอื่น = เราเดิน แต่ถ้าเราค่อยๆ เดินมาก่อนเพื่อน แม้ไม่ได้วิ่งเร็วเหมือนคนที่มีทุนพร้อม ก็สามารถถึงเป้าหมายได้  ลองค้นหาตัวเองตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าเราชอบอะไร อยากเดินไปทางไหน"

            "อยากแนะนำด้วยว่าพยายามหาเพื่อนประเทศที่เราสนใจ และประสบการณ์ที่จะได้เข้าถึงวัฒนธรรมของที่นั่นจริงๆ ค่ะ อย่างของฟินแลนด์จะมีโครงการให้ไปใช้ชีวิตกับครอบครัวของฟินแลนด์ด้วย (จริงๆ เราสมัครด้วยแต่ไม่ได้) ถ้าสนใจก็เก็บไว้เป็นอีกทางเลือกนึงก็ได้นะคะ ^^”


Photo Credit: Mutaaaa
 


อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับสาขา/มหาวิทยาลัย

 

Youtube: https://www.youtube.com/user/jamkvideo
Facebook:  https://www.facebook.com/jamk.fi
Website:  https://www.jamk.fi/ 
Study Guide:  https://studyguide.jamk.fi/en/
 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น