'ลักเซมเบิร์ก' ประเทศเล็กๆ ในยุโรปที่ทุกคนสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะ ‘ฟรี!!’


 
             สวัสดีค่ะชาว Dek-D ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเดินทางด้วยรถยนต์นั้นสุดแสนสะดวก แต่ขณะเดียวก็ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศและปัญหารถติด (ถ้ามีระบบจัดการที่ไม่ดี) ซึ่งปัญหาที่ว่านี้นอกจากจะส่งผลต่อสุขภาพของเราแล้วยังทำให้เสียเวลาที่จะได้ทำสิ่งที่อยากทำไปไม่น้อยเลย ดังนั้นการหันมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะจึงเป็นวิธีที่ดูเวิร์กมากทีเดียว และคงจะดีไม่น้อยหากเราสามารถเดินทางไปยังทั่วทุกมุมเมืองได้ในราคาที่ไม่แพงหรือไม่ต้องเสียค่าโดยสารใดๆ 
 
             และวันนี้พี่เลยอยากพาน้องๆ ไปทำความรู้จักกับประเทศในยุโรปที่เค้าสนับสนุนให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งสาธารณะกันได้แบบฟรีๆ ทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ รถราง รถประจำทาง ฯลฯ เค้าก็ไม่คิดค่าบริการเลยค่ะ (ยกเว้นที่นั่งแบบชั้นหนึ่ง) ซึ่งประเทศที่พี่กำลังพูดถึงก็คือ ‘ลักเซมเบิร์ก’ นั่นเองค่ะ น้องๆ สงสัยมั้ยว่าเค้าทำยังไงถึงสามารถผลักดันให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งมวลชนโดยไม่เสียค่าโดยสารได้? เราตามไปดูพร้อมกันเลยค่ะ ^^
 
ประเทศเล็กๆ กับปัญหาใหญ่ๆ อย่างเรื่องรถติด
 
             ลักเซมเบิร์กเป็นประเทศเล็กๆ ที่มีประชากรเพียง 614,000 คนเท่านั้น แต่น้องๆ ทราบไหมว่าปัญหาการจราจรติดขัดกลับไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ของคนที่นี่เลย เพราะแต่ละวันจะมีผู้คนจากประเทศใกล้เคียงอย่างฝรั่งเศส เบลเยียม และเยอรมนี เดินทางข้ามพรมแดนมาทำงานที่ลักเซมเบิร์กมากกว่า 200,000 คน ซึ่งแรงจูงใจที่ทำให้คนอยากเดินทางเข้ามาทำงานที่นี่ก็เป็นเพราะได้ค่าแรงสูง อีกทั้งยังเป็นประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีมากๆ ด้วย แต่นั่นก็ทำให้เกิดปัญหาพ่วงตามมาคือ การจราจรที่ติดขัดอย่างหนักค่ะ
 
             ใครที่สงสัยว่าปัญหาการจราจรของประเทศนี้หนักหน่วงขนาดไหน? เค้าก็มีรายงานที่บอกว่า ชาวเมืองลักเซมเบิร์กใช้เวลามากถึง 33 ชั่วโมงอยู่บนท้องถนน  นอกจากนี้รายงานจากปี 2016 ยังระบุว่าที่ลักเซมเบิร์กมีคนเป็นเจ้าของรถยนต์สูงสุดในยุโรป ในอัตรา 662 คันต่อประชากร 1000 คน และกระทรวงการพัฒนาและโครงสร้างพื้นฐานอย่างยั่งยืน (Ministry of Sustainable Development and Infrastructure) ก็เผยด้วยว่า ผู้คนที่นี่เลือกใช้การโดยสารโดยรถยนต์ส่วนบุคคลเป็นวิธีหลักในการเดินทาง  เหตุผลก็เป็นเพราะประชากรมีรายได้สูง แถมราคาค่าน้ำมันก็ไม่แพง ถึงขนาดที่คนจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้านข้ามพรมแดนมาเติมน้ำมันที่ลักเซมเบิร์กเชียวค่ะ
 
ของฟรีว่าใช่ว่าไม่มีค่าใช้จ่าย 
 
              เมื่อช่วงต้นปี 2563 รัฐบาลลักเซมเบิร์กได้เปิดให้ประชาชนใช้รถสาธารณะได้ฟรีทุกรูปแบบทั้งรถไฟ รถราง รถประจำทาง (ยกเว้นที่นั่งแบบชั้นหนึ่ง) ทั้งนี้ มูลค่าการให้บริการระบบขนส่งมวลชนของทั้งประเทศคิดเป็นเงินประมาณ 508 ล้านยูโร หรือ 1.8 หมื่นล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากค่าตั๋วเดินทางที่ 41 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.5 พันล้านบาท  หากมองจากภาพรวมรัฐบาลก็เห็นว่า รายได้ค่าตั๋วโดยสารที่หายไปนับว่าไม่มากเมื่อเทียบกับผลดีข้ออื่นที่ตามมา แถมพนักงานเองก็ไม่ต้องเสียเวลาตรวจตั๋วโดยสารด้วย
 
             อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ค่าโดยสารขนส่งสาธารณะของลักเซมเบิร์กถือว่าไม่ได้มีราคาแพงแต่อย่างใด อัตราค่าตั๋วโดยสารเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 ยูโร (74 บาท) และตั๋วโดยสารแบบหนึ่งวันอยู่ที่ 4 ยูโร (148 บาท) นอกจากนี้เด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปี รวมถึงนักศึกษาที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ซึ่งอยู่ในระบบประกันรายได้ขั้นต่ำสามารถใช้บริการขนส่งสาธารณะฟรีด้วยนะคะ
 
ทำไมถึงยกเลิกค่าโดยสารรถสาธารณะ?
 
             สำหรับจุดประสงค์หลักที่ทำให้รัฐบาลลักเซมเบิร์กออกนโยบายให้ประชาชนใช้ระบบขนส่งมวลชนฟรีนั้นเป็นเพราะเค้าต้องการพุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูง เพื่อนำเงินจากการเก็บภาษีส่วนนี้มาเกลี่ยให้กับส่วนรวม อีกทั้งยังเป็นการลดปริมาณรถยนต์บนท้องถนน และสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนกันมากขึ้น โดยตั้งเป้าไว้ที่ 20% ภายในเวลา 5 ปี  ไม่เพียงเท่านี้นะคะ เพราะรัฐยังอยากกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ ซึ่งเค้ามีการลงทุนด้านเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
 
             ต้องบอกว่าการออกนโยบายที่สนับสนุนให้ประชาชนใช้รถสาธารณะฟรีนั้นเรียกความสนใจจากนานาชาติได้เป็นอย่างดี แต่ศาสตราจารย์ Markus Hesse ผู้เชี่ยวชาญด้านการผังเมืองจากมหาวิทยาลัยลักเซมเบิร์ก ออกมาให้ความเห็นว่า การประกาศใช้นโยบายดังกล่าวอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดนัก เพราะประชาชนที่นี่มีรายรับสูง บวกกับน้ำมันราคาไม่แพง ผู้คนจึงอาจใช้รถยนต์ต่อไป นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนว่า รัฐบาลควรมุ่งแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนที่อยู่อาศัยมากกว่า เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งประเด็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ชาวลักเซมเบิร์กหลายพันคนต้องอพยพไปอาศัยอยู่ตามแถบชายแดน และขณะเดียวกันก็ต้องเข้ามาทำงานในเมือง
 
เมืองไหนในโลกให้บริการรถสาธารณะฟรีบ้าง?
 

Photo Credit: Eric Devillet
Cr.https://www.bbc.com 

 
             กรุงทาลลินน์ เมืองหลวงของเอสโตเนียเป็นเมืองที่เปิดใช้ระบบขนส่งมวลชนฟรีตั้งแต่ปี 2013 ค่ะ แต่เป็นการให้สิทธิ์เฉพาะผู้ที่มีถิ่นพำนักในประเทศ แต่ต่อมาก็ได้มีการดำเนินแผนนโยบายขยายสิทธิ์ดังกล่าวให้ครอบคลุมผู้โดยสารทุกคนมากขึ้น
 
            สำหรับเมืองอีกแห่งหนึ่งคือดันเคิร์ก เมืองทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ที่มีประชากรราว 200,000 คน ก็ได้ยกเลิกการจัดเก็บค่าโดยสารเมื่อปี 2018 แล้วเช่นกันค่ะ ถ้าพูดถึงผลตอบรับก็นับว่าประสบความสำเร็จเกินคาดเลย เพราะชาวเมืองต่างหลั่งไหลมาใช้บริการรถสาธารณะกันเยอะขึ้นมาก
 
Good to Know!
 
             อย่างที่พี่เกริ่นว่ารัฐบาลลักเซมเบิร์กเค้ามีเป้าหมายการนำเงินจากการจ่ายภาษีมาจัดสรรให้ประชาชนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้มากขึ้น  ซึ่งต้องบอกว่าลักเซมเบิร์กถือเป็นประเทศหนึ่งที่เก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax ) สูงสุดในยุโรปที่ 48.78% ขึ้นอยู่กับรายได้ นอกจากนี้เค้ายังติดอันดับท็อปๆ ความเป็นที่สุดอีกมากมาย ดังข้อมูลด้านล้างนี้ค่ะ
 
  • เป็นประเทศที่มีค่า GDP ต่อหัวสูงสุดที่สุดในโลกที่ 3.7 ล้านบาท 
  • มีศูนย์ธุรกิจบริหารกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป และใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา
  • เป็นประเทศที่อาชีพครูมีรายได้ดีที่สุดในโลก
  • เป็นประเทศที่มีความโปร่งใสมากที่สุดเป็นอันดับ 8 ของโลก 
  • เป็นประเทศที่มีดัชนีความลับทางการเงิน (Financial Secrecy Index) สูงติดเป็นอันดับ 6 ของโลก  
     
             เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับบทความที่นำมาฝากกันในวันนี้ ต้องบอกว่าระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนเข้าถึงได้ ไม่ว่าจะเป็นแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ หรือมีอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสมนั้นมีความสำคัญมากทีเดียว เพราะไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางแล้ว ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มโอกาสใหม่ๆ ให้กับคนอีกหลายคนด้วย หากน้องๆ สนใจอยากรู้ว่าเมืองไหนในโลกที่มีระบบรถไฟฟ้าทั้งถูกและดีก็สามารถอ่านเพิ่มเติมที่ https://www.dek-d.com/studyabroad/55836/  เลยค่ะ  ^^
 
Sources:
พี่ไก่กุ๊ก

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น