อันยองครับน้องๆ ชาว Dek-D ช่วงนี้น้องๆ #Dek64 หลายคนน่าจะกำลังฟิตหนักเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันอยู่ใช่มั้ยครับ ถึงแม้อาจจะเหนื่อยและเครียดไปบ้าง น้องๆ อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนหรือหากิจกรรมทำเพื่อผ่อนคลายกันด้วยนะครับ
และพอพูดถึงเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยทีไร อีกประเทศที่มีความกดดันเรื่องนี้สูงมากๆ อีกที่ก็ต้องยกให้กับเกาหลีใต้เลย และช่วงนี้ก็เด็กๆ ที่เกาหลีก็เริ่มนับถอยหลังเพื่อสอบแอดมิชชั่นครั้งใหญ่กันแล้วด้วย วันนี้ พี่วุฒิ เลยมีเรื่องราวของนักเรียนเกาหลีคนนึงที่ทำคะแนนได้สูงสุดของประเทศในปีที่ผ่านมา ซึ่งสตอรี่ของเค้านั้นทำให้หลายคนประทับใจมากเลยล่ะครับ คือคนเกาหลีก็ให้ความสนใจน้องกันเยอะมากๆ ขนาดที่ออกข่าวให้สัมภาษณ์กับทุกช่องเลยล่ะ
Photo Credit: Yonhap News
น้องๆ หลายคนอาจจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการสอบ “ซูนึง (수능)” ของเด็กเกาหลีกันมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย หรือที่มีชื่อทางการว่า College Scholastic Ability Test (CSAT) โดยทุกๆ ปีจะจัดสอบในวันพฤหัสบดีของสัปดาห์ที่ 2 เดือนพฤศจิกายน และในการสอบซูนึงนั้นจะสอบวิชาบังคับทั้ง 4 วิชา ได้แก่ ภาษาเกาหลี, คณิตศาสตร์, ภาษาอังกฤษ, ประวัติศาสตร์เกาหลี และเลือกสอบวิชาเลือกอีก 2-3 วิชา
ในการสอบซูนึงแต่ละปีมีผู้เข้าสอบมากกว่า 4 แสนคนทั่วประเทศ จึงเรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติที่คนทั้งเกาหลีใต้นั้นให้ความสำคัญสุดๆ เลยก็ว่าได้ ส่วนนักเรียนที่เข้าสอบหลายคนก็ต่างเลือกแข่งขันที่จะสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดีๆ เพราะค่านิยมที่ปลูกฝังกันมารุ่นต่อรุ่นว่า ถ้าใครสอบติดสถาบันระดับท็อปของประเทศได้ก็เหมือนก้าวเข้าเส้นชัยความสำเร็จไปครึ่งนึง เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยนั้นเหมือนเป็นใบเบิกทางให้เจอกับโอกาสและหน้าที่การงานที่ดีในอนาคตไม่น้อย
สำหรับจำนวนผู้เข้าสอบซูนึงในปี 2019 ที่ผ่านมามีทั้งหมด 394,024 คน จากสนามสอบทั้งหมด 1,185 แห่งทั่วประเทศ น้องๆ รู้มั้ยครับว่า มีแค่เพียง 15 คนเท่านั้นที่สามารถทำคะแนนได้สูงที่สุดจากทั้งผู้สมัครสอบทั้งประเทศ (คือโหดมากกก) และหนึ่งในนั้นคือ ‘ซงยองจุน’ เด็กนักเรียนจากโรงเรียน Gimhae Foreign Language High School (김해외국어고등학교) ซึ่งเค้าได้ทำให้ชาวเกาหลีทั้งประเทศรู้สึกทึ่งกับประวัติของเค้าเป็นพิเศษ เพราะว่าซงยองจุนได้เผยว่า แต่ก่อนนั้นเค้าเคยเป็นเด็กที่มีผลการเรียนต่ำที่สุดของโรงเรียน และไม่เคยเรียนพิเศษมาก่อน!
อย่างที่บอกว่าซงยองจุนนั้นมีผลการเรียนต่ำที่สุดในโรงเรียน และเกรดของเค้าถ้าว่ากันตามความจริงแล้ว อาจไม่สามารถสอบเข้าที่โรงเรียนมัธยมปลายภาษาต่างประเทศกิมแฮได้ด้วยซ้ำ และการที่เค้าได้เข้ามาเรียนที่นี่ก็เพราะว่าได้รับโควตานักเรียนด้อยโอกาสนั่นเอง เนื่องจากครอบครัวของเค้าค่อนข้างยากจน ซึ่งหลังจากที่พ่อของเค้าเสียชีวิตตอนยองจุนเรียนอยู่เกรด 7 จึงทำให้ครอบครัวประสบปัญหากับสภาวะทางการเงินอย่างหนัก และเค้าเองก็ไม่ได้รับสนับสนุนทางการศึกษาเหมือนกับนักเรียนทั่วไป แม้แต่จะซื้อหนังสือเรียนหรือหนังสือเพื่อเตรียมตัวสอบก็ยังไม่มีเงินมากพอ
Note: โรงเรียนที่ซงยองจุนเรียนนั้นเป็นโรงเรียนประเภท Foreign Language School ซึ่งจะเป็นโรงเรียนรัฐบาลมัธยมปลายที่เน้นไปทาง "สายภาษา" โดยเฉพาะ ให้ความรู้สึกเหมือนได้เรียนคณะอักษรศาสตร์กันตั้งแต่มัธยมปลายเลยทีเดียว และปัจจุบันโรงเรียนมัธยมปลายภาษานั้นมี 30 แห่งทั่วประเทศครับ
Photo Credit: YTN
อย่างที่บอกไปว่าเค้านั้นไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษาเท่ากับคนอื่นๆ เพราะครอบครัวไม่มีเงินมากพอที่จะสนับสนุน ซึ่งหลังจากที่พ่อเค้าเสียชีวิต แม่ก็ได้กลายมาเป็นเสาหลัก โดยงานที่แม่ของเค้าทำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวก็คือ 'พนักงานพาร์ตไทม์ในร้านอาหาร' ซึ่งก็ไม่ใช่งานที่มั่นคงและสร้างรายได้มากพอนัก และด้วยความที่โรงเรียนที่เค้าเรียนอยู่นั้นมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง จึงทำให้เค้าเคยมีความคิดที่จะลาออกอยู่บ่อยครั้งและเลือกที่จะย้ายไปเรียนโรงเรียนสายเทคนิคหรืองานช่างแทน เพื่อที่ว่าจะได้เรียนจบและรีบหางานทำเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว (เด็กโรงเรียนเทคนิคที่เกาหลีส่วนใหญ่จะไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยหลังเรียนจบม.ปลาย)
และด้วยความที่เค้าเป็นเด็กตั้งใจเรียนจึงทำให้ครูประจำชั้น (ผู้หญิงในรูปขวาสุด) พยายามหาทางช่วยเหลือและได้ช่วยเขียน recommendation letter หรือจดหมายรับรองเพื่อให้ซงยองจุนใช้ในการสมัครขอทุนการศึกษา และด้วยความตั้งใจจึงทำให้เค้าได้รับทุนค่าเล่าเรียนมูลค่า 10 ล้านวอน (ประมาณ 270,000 บาท) จาก Samsung Dream Scholarship และ Chohyunjung Foudation และนั่นก็ช่วยทำให้ซงยองจุนตัดความกังวลในเรื่องสภาพทางการเงิน และทำให้มีกำลังใจในการเรียนมากขึ้น จนในที่สุดซงยองจุนก็สามารถทำคะแนนสอบทะยานขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ ของโรงเรียน
ขณะที่นักเรียนทั่วไปใช้เวลาหลังเลิกเรียนในการติวสอบซูนึงกันหามรุ่งหามค่ำเพื่อให้ตัวเองสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยในฝันได้ หลายคนทุ่มเทกันอย่างหนักเพราะคิดว่าการสอบครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิต แต่กับซงยองจุนนั้น เค้าไม่เคยได้เรียนพิเศษเพิ่มเติมเลยด้วยซ้ำ ทุกผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นเรียกว่ามาจากความมุมานะของตัวเองล้วนๆ
"ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้ไปเรียนพิเศษหรือไปติวสอบเหมือนกับคนอื่น เพราะว่าค่าใช้จ่ายนั้นสูงมาก ดังนั้นผมจึงเรียนรู้และศึกษาด้วยตัวเองมาตลอด และก็พยายามคิดที่จะผลักดันตัวเองให้ทำเกรดดีกว่าเพื่อนๆ ที่ไปเรียนพิเศษอยู่เสมอ"
เมื่อต้นทุนมีไม่เท่าคนอื่น และไม่มีเงินมากพอที่จะไปติวเหมือนเพื่อน เค้าเลยบอกกับตัวเองเสมอว่า ‘No pain, No gain’ หรือ ‘ถ้าไม่ยอมลำบากก็ย่อมไม่มีวันได้มา’ ซึ่งแต่ละวันในการใช้ชีวิตแบบเด็กโรงเรียนประจำ (กินนอนในแคมปัส) เค้าจะตื่นนอนก่อนคนอื่นเป็นเวลา 1 ชั่วโมงและเข้านอนหลังเพื่อนอีก 1 ชั่วโมงเสมอ เพื่อฟิตอ่านหนังสือและฝึกทำข้อสอบให้ตามทันเพื่อนๆ ที่ได้ไปเรียนพิเศษ แม้ว่าจะเหนื่อยแต่ต้องอดทนเพื่อความฝันของตัวเอง
และในที่สุดความมุมานะของเค้าที่ผ่านมาก็ไม่เสียเปล่า และทำให้เค้าเป็น 1 ใน 15 นักเรียนที่มีคะแนนสอบซูนึงดีที่สุดในประเทศเกาหลีใต้ในปีที่ผ่านมา และถ้าถามถึงความฝันของซงยองจุนนั้น เค้าได้บอกว่า อยากเรียนเพื่อเป็น ‘อัยการ’ เพื่อที่จะเป็นส่วนหนึ่งช่วยเปลี่ยนแปลงและทำให้โลกนั้นเต็มไปด้วยความยุติธรรมมากขึ้น แต่อีกใจก็อยากเป็น ‘แพทย์’ เพราะว่าเค้าต้องการทำงานและหาเงินให้ได้เยอะๆ เพื่อที่จะช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว และแม่ของเค้าจะได้ใช้ชีวิตอยู่สุขสบาย
"ผมจะใช้ชีวิตให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปจนถึงวันสุดท้าย
นี่คือเรื่องจริงและผมก็มั่นใจด้วย"
นี่คือเรื่องจริงและผมก็มั่นใจด้วย"
ต้องบอกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของเกาหลีนั้นเป็นอะไรที่คนทั้งประเทศให้ความสนใจจริงๆ แต่นั่นก็ตามมาด้วยความคาดหวังและความกดดันมากมาย และที่คนเกาหลีให้ความสนใจกับเรื่องราวของซงยองจุนมากเป็นพิเศษ อีกหนึ่งเหตุผลก็อาจเป็นเพราะว่าโดยปกติแล้วเด็กที่สอบได้ก็จะมาจากโรงเรียนดังๆ และส่วนใหญ่ก็ผ่านการเรียนพิเศษกันอย่างหนักหน่วง แต่กับเค้านั้นมาจากครอบครัวที่ยากจนและไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษามากเท่าคนอื่นๆ และความสำเร็จที่ได้มานั้นก็มาจาก ‘ความพยายาม’ ล้วนๆ จึงเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนประทับใจ และคนเกาหลีก็มักจะยกย่องและชื่นชมคนที่พยายามหนักๆ เป็นพิเศษด้วย
Source:
0 ความคิดเห็น