สวัสดีค่ะชาว Dek-D เข้าสู่ปีใหม่ 2021 แบบนี้ คงมีหลายคนเลยที่วางแพลนหรือตั้งเป้าหมายสำหรับปีนี้เอาไว้เรียบร้อย พี่เยลลี่ว่าน่าจะมีคนที่ตั้งใจจะเรียนภาษาใหม่เพิ่มเติม หรือพัฒนาสกิลภาษาเดิมให้ดียิ่งขึ้น แต่เรียนแล้วก็ต้องติดตามผลกันบ้างค่ะว่าเราพัฒนาไปถึงไหนแล้ว ซึ่งวิธีที่วัดได้ง่ายก็คือการสอบวัดระดับทางภาษานั่นเอง ทำให้เรารู้เลยว่าจุดอ่อนจุดแข็งเราคือทักษะไหน โดยเฉพาะคนที่จะไปเรียนต่อหรือยื่นสมัครงานที่ใช้ความสามารถทางภาษาเนี่ยยิ่งพลาดไม่ได้เลย
วันนี้พี่เลยมาอัปเดตรายละเอียดการสอบพร้อมค่าสมัครวัดระดับทางภาษาสักหน่อย แต่ไม่ได้มีแค่ภาษาอังกฤษนะคะ ยังมีภาษาที่ 3 อย่างจีน เกาหลี ญี่ปุ่น เยอรมัน และฝรั่งเศสด้วย จะได้วางแผนการสมัครสอบได้ทันเวลากัน ^^
สำหรับภาษาอังกฤษนั้นมีข้อสอบวัดระดับค่อนข้างหลากหลายเลยทีเดียวค่ะ แต่จะยกข้อสอบที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกและสามารถหาสอบในประเทศไทยได้สะดวกมาเป็นหลักนะคะ
TOEFL
TOEFL (Test of English as a Foreign Language) เป็นข้อสอบที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ไม่ว่าจะไปเรียนต่อหรือทำงานที่ต่างประเทศ ก็สามารถยื่นใช้ได้เสมอค่ะ ที่จริง TOEFL มีการสอบอยู่ 4 รูปแบบ แต่ที่นิยมมากที่สุดคือ TOEFL iBT (ย่อมาจาก internet-Based Testing) ซึ่งเป็นการสอบที่วัดทักษะครอบคลุม 4 ส่วน ได้แก่ การอ่าน การฟัง การพูด และการเขียน ใช้เวลาในการสอบ 3 ชั่วโมง
สำหรับคะแนนสอบ จะแบ่งเป็นทักษะละ 30 คะแนน รวมทั้งหมด 120 คะแนน ใครที่อยากเรียนต่อต่างประเทศ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะกำหนดเกณฑ์ไว้ที่ 70-90 คะแนน แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยดังที่มีการแข่งขันสูงก็อาจจะต้องได้คะแนน 100+ เลยทีเดียวค่ะ
ศูนย์สอบ: กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, หาดใหญ่, สระบุรี และศรีราชา (เช็กศูนย์สอบและวันที่เปิดสอบ: คลิก) โดยปกติแล้วศูนย์สอบในกรุงเทพฯ จะเปิดสอบทุกอาทิตย์ แต่เนื่องจากสถานการณ์ Covid-19 จึงมีการจำกัดรอบน้อยลงค่ะ
ค่าสอบ: 195 ดอลลาร์ (ประมาณ 6,000 บาท)
สำหรับ TOEFL พี่นิทานเคยรีวิวการสมัครสอบในเว็บไซต์ไว้อย่างละเอียดด้วยนะคะ สามารถตามไปอ่านเป็นไกด์ไลน์กันได้เลย
ดูวิธีการสมัครสอบ TOEFLสมัครสอบ TOEFLIELTS
นอกจาก TOEFL แล้ว การสอบวัดระดับทางภาษาอังกฤษอีกอันที่ได้รับการยอมรับก็คือ IELTS (International English Language Testing System) นี่แหละค่ะ ซึ่ง IELTS เองก็มีแบ่งประเภทการสอบตามการใช้งานด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับคนที่ต้องการไปเรียนต่อปริญญาตรี-เอก หรือว่าใช้ยื่นเพื่อทำงานในต่างประเทศ จะต้องสอบ IELTS Academic (เป็นการสอบประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุด) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 40 นาที และวัดทักษะ 4 ส่วนเหมือนกัน คือ การอ่าน การฟัง การพูด และการเขียน
วิธีวัดคะแนนสอบของ IELTS จะแตกต่างจากการสอบอื่นๆ โดยจะคิดคะแนนแต่ละทักษะในรูปแบบ band 0-9 และนำมาเฉลี่ยกัน (Overall Band Score) ถ้าใช้ยื่นเรียนต่อมหาวิทยาลัยต่างประเทศ ระดับป.ตรีก็จะอยู่ที่ 5.5 - 6.5 ส่วนหลักสูตรบัณฑิตศึกษาก็จะใช้คะแนนสูงขึ้น อยู่ที่ 6.0 - 7.0 แล้วแต่มหาวิทยาลัย ทั้งนี้ทั้งนั้นม.ท็อปๆ ก็อาจจะตั้งเกณฑ์ไว้สูงกว่านี้ด้วยค่ะ
ศูนย์สอบ: กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, พิษณุโลก, ขอนแก่น, หาดใหญ่ และภูเก็ต (เช็กศูนย์สอบและวันที่เปิดสอบ: คลิก)
ค่าสอบ: 6,900 บาท
เนื้อหาการสอบ IELTS พร้อมแหล่งฝึก คอร์สติว IELTS ออนไลน์ฟรีสมัครสอบ IELTSTOEIC
สำหรับคนที่ต้องการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษในราคาที่ี่ย่อมเยาลงมาหน่อยเพื่อใช้ยื่นสมัครงาน การสอบ TOEIC (Test of English for International Communication) ถือว่าตอบโจทย์มากที่สุดค่ะ นอกจากสมัครงานแล้ว บางบริษัทก็มีนโยบายปรับเงินเดือนให้กับผู้ที่มีผลคะแนนมายื่นด้วยเช่นกัน แถมบางประเทศยังใช้ยื่นประกอบเพื่อขอทุนได้ด้วย (เช่น ทุนรัฐบาลเกาหลี หรือทุนรัฐบาลไต้หวัน)
ในส่วนของประเทศไทย TOEIC จะเปิดสอบรูปแบบ TOEIC Listening and Reading Test เท่านั้นค่ะ ซึ่งจะวัดทักษะการฟังและการอ่าน ส่วนละ 495 คะแนน คะแนนเต็ม 990 บริษัทที่เน้นการสื่อสารภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ก็จะกำหนดคะแนนไว้ที่ 550 ขึ้นไป ยิ่งถ้างานไหนใช้ทักษะภาษามากก็ยิ่งกำหนดไว้สูงขึ้น
ศูนย์สอบ: กรุงเทพฯ และ เชียงใหม่ (ปกติจะเปิดสอบทุกวัน จันทร์-ศุกร์ แต่ช่วง Covid-19 แนะนำให้เช็กกับทางศูนย์สอบก่อนค่ะ)
ค่าสอบ: 1,650* / 1,800
*ราคานี้ถึง 30 ม.ค. 64รวมแหล่งติว TOEIC ฟรีสมัครสอบ TOEICDuolingo
คนที่มีงบจำกัด Duolingo ถืออีกตัวเลือกนึงที่น่าสนใจเลยค่ะ เป็นการสอบวัดระดับภาษาอังกฤษแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อนักเรียนนักศึกษาและสถาบันนานาชาติโดยเฉพาะ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นข้อสอบที่สะดวกมากๆ เพราะว่าสามารถสอบออนไลน์ได้เลย แถมใช้เวลาสอบเพียงแค่ 1 ชั่วโมง และรอผลเพียง 2 วันหลังจากสอบเสร็จเท่านั้น ส่วนเกณฑ์คะแนนก็จะอยู่ที่ 10-160 คะแนนค่ะ เรียกได้ว่าเป็นการสอบเหมาะกับคนที่รีบใช้คะแนนหรือไม่สะดวกเดินทางสุดๆ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นข้อสอบวัดระดับที่เพิ่งเริ่มใช้ไม่นาน สถาบันการศึกษาที่รับคะแนนจึงมีอยู่ประมาณ 2,000 แห่งทั่วโลก ดังนั้นแนะนำว่าควรเช็กให้ละเอียดก่อนว่ามหาวิทยาลัยที่เราต้องการเข้าเรียนรับคะแนน Duolingo ด้วยมั้ยนะคะ
ค่าสอบ: 49 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,500 บาท)
รู้จักการสอบ Duolingo แบบละเอียดสมัครสอบ DuolingoTOPIK
ส่วนคนที่เรียนภาษาเกาหลีมาแล้วอยากทดสอบดูว่าทักษะภาษาตัวเองไปถึงไหนแล้ว หรืออยากจะยื่นขอทุน ยื่นสมัครเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในเกาหลี ก็ต้องสอบ TOPIK (Test of Proficiency in Korean) เลยค่ะ โดยการสอบจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ TOPIK I (เนื้อหาแบบพื้นฐาน) และ TOPIK II (เนื้อหาระดับสูง)
ในการสอบ TOPIK I จะวัดทักษะด้านการฟังและการอ่าน ใช้เวลาในการสอบประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที ส่วน TOPIK II จะมีทักษะการเขียนเพิ่มขึ้นมาด้วย จึงใช้เวลาสอบมากขึ้น ประมาณ 3 ชั่วโมง
พี่วุฒิเคยรีวิวการสอบ TOPIK I ไว้แบบละเอียดยิบด้วยค่ะ ใครที่สนใจอยากไปสอบ หรืออยากเก็บข้อมูลก่อนสามารถตามไปอ่านได้เลย
รีวิวข้อสอบ TOPIK Iศูนย์สอบ: กรุงเทพฯ, สงขลา, เชียงใหม่, มหาสารคาม, พิษณุโลก, นครปฐม และนครพนม (จัดสอบปีละประมาณ 3 ครั้ง รอบเดือนสิงหาคม, ตุลาคม, พฤศจิกายน)
ค่าสมัคร:
- TOPIK I (ระดับ 1-2): 900 บาท
- TOPIK II (ระดับ 3-6): 1,000 บาท
JLPT
ย้ายมาทางฝั่งญี่ปุ่นกันบ้างค่ะ การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นที่คนคุ้นเคยกันมากที่สุดก็ต้อง JLPT (Japanese Language Proficiency Test) เลย ใช้ยื่นได้ครอบจักรวาลมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการสมัครเรียนต่อ สมัครทุนรัฐบาล หรือสมัครเข้าทำงาน ซึ่งการสอบนี้จะแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ N5 - N1 โดย N1 คือระดับสูงสุดค่ะ
การสอบ JLPT นั้นจะวัดความรู้ด้านคำศัพท์ ไวยากรณ์ ความรู้รอบตัวเกี่ยวกับญี่ปุ่น และทักษะการฟังด้วย ใช้เวลาสอบ 2-3 ชั่วโมงแล้วแต่ระดับความยาก ใครอยากรู้ข้อมูลการสอบเพิ่มเติมก็ตามไปอ่านที่พี่ชมพูเขียนแนะนำไว้ได้เลย
รู้จักการสอบ JLPTศูนย์สอบ: กรุงเทพฯ, เชียงใหม่, ขอนแก่น และสงขลา (เปิดสอบปีละ 2 ครั้ง ช่วงเดือนกรกฎาคม และธันวาคม)
ค่าสมัคร:
- N4-N5: 600 บาท
- N1-N3: 800 บาท
JFT-Basic
คนที่เรียนญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะรู้จักการสอบ JLPT เป็นหลัก แต่ว่าเร็วๆ นี้มีการสอบวัดระดับแบบใหม่ด้วย นั่นคือ JFT-Basic (Japan Foundation Test for Basic Japanese ) ข้อสอบนี้ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการไปทำงานและใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นมากๆ ค่ะ แถมยังยื่นขอวีซ่าแรงงานทักษะเฉพาะทาง 1 ได้ด้วย ปังมากก
ข้อดีของการสอบนี้คือเป็นระบบ CBT (Computer Based Testing) หรือสอบทางคอมพิวเตอร์ได้เลย ที่สำคัญคือรู้ผลคะแนนทันทีหลังสอบเสร็จค่ะ ใช้เวลาทำข้อสอบเพียง 60 นาทีเท่านั้น แต่วัดผลทั้งด้านตัวหนังสือและคำศัพท์, บทสนทนาและสำนวน, การฟัง และการอ่าน โดยผลคะแนนจะมีตั้งแต่ระดับ A1-C1 (สูงสุด)
ใครที่สนใจการสอบนี้สามารถตามไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลยค่ะ
รู้จักการสอบ JFT-Basicศูนย์สอบ: กรุงเทพฯ เปิดสอบ 6 รอบต่อปี
ค่าสมัคร: 1,000 บาท
สมัครสอบ JFT-BasicHSK
มาต่อกันที่หนึ่งในภาษาที่มีคนใช้มากที่สุดในโลกอย่างภาษาจีน ที่จริงแล้วภาษาจีนมีการสอบวัดระดับอื่นๆ ด้วย อย่างเช่น HSKK หรือ YCT แต่ที่นิยมใช้มากที่สุดก็คือ HSK (Chinese Proficiency Test) ถือเป็นการสอบที่ค่อนข้างครอบคลุม โดยจะวัดระดับตั้งแต่ HSK1-6 (ระดับ 6 คือสูงสุด จะสลับกับภาษาอื่นๆ) ในระดับต้นจะเน้นที่การสอบการฟังและการอ่าน แต่ตั้งแต่ระดับกลางขึ้นไปจะมีการสอบเขียนเพิ่มขึ้นมาด้วย ใช้เวลาสอบตั้งแต่ 40 นาที - 2 ชั่วโมง 20 นาที ขึ้นอยู่กับระดับความยาก ยิ่งยากก็ยิ่งใช้เวลาเยอะขึ้นนั่นเองค่ะ
ส่วนคะแนนเต็ม ระดับ HSK1-2 จะมีคะแนนเต็ม 200 คะแนน ต้องสอบให้ผ่านที่ 120 ระดับ HSK3-6 คะแนนเต็ม 300 คะแนน ต้องสอบให้ผ่านที่ 180 ค่ะ ใครกำลังเรียนภาษาจีนหรือเตรียมตัวสอบอยู่สามารถไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม รวมถึงเก็บทริคสำคัญในการสอบได้ที่ลิงก์ด้านล่างเลยค่า
รู้จักการสอบ HSKศูนย์สอบ: ศูนย์สอบ HSK มีค่อนข้างเยอะในหลายจังหวัด สามารถสมัครสอบกับมหาวิทยาลัยที่มีสถาบันขงจื่อเปิดอยู่่ได้
ค่าสมัคร:
- HSK 1: 500 บาท
- HSK 2: 700 บาท
- HSK 3: 900 บาท
- HSK 4: 1,200 บาท
- HSK 5: 1,600 บาท
- HSK 6: 2,000 บาท
Goethe-Zertifikat
จัดเต็มกับภาษาตะวันออกแล้ว ทีนี้เราข้ามมาฝั่งภาษายุโรปกันบ้างดีกว่า สำหรับคนที่อยากสอบวัดระดับภาษาเยอรมันเพื่อไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมนีหรือสมัครเข้าทำงาน สามารถสอบ Goethe-Zertifikat ได้ค่ะ โดยจะแบ่งเป็น 6 ระดับตามที่สหภาพยุโรปได้ตกลงกำหนดร่วมกัน (GER) คือระดับ A1 - A2 - B1 - B2 - C1 - C2 (ระดับสูงสุด) ซึ่งการสอบวัดระดับนี้ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกครอบคลุมทุกทักษะทั้งการพูด การเขียน การฟัง และการอ่าน ในทุกระดับ
แต่ว่าสำหรับใครที่อยากเข้าสอบควรจะเช็กรายละเอียดให้ดีๆ นะคะ เพราะว่า Goethe-Zertifikat จะมีเงื่อนไขในด้านอายุของผู้เข้าสอบด้วย โดยระดับ A1 - B2 จะมีแบ่งการสอบระหว่างเยาวชนและผู้ใหญ่ ส่วนระดับ C1 - C2 จะมีเฉพาะผู้ใหญ่เท่านั้น ที่สำคัญคือค่าใช้จ่ายในการสอบสูงพอสมควร ดังนั้นต้องรอบคอบเอาไว้ก่อน!
เช็กรายละเอียดการสอบศูนย์สอบ: สถาบันเกอเธ่ กรุงเทพฯ
ค่าสมัคร:
- A1: 4,000
- A2: 4,800
- B1: 7,900
- B2: 9,500
- C1: 12,100
- C2: 14,500
DELF / DALF
มาถึงการสอบวัดระดับอันสุดท้ายแล้ว นั่นคือ DELF และ DALF หรือการสอบวัดระดับภาษาฝรั่งเศส ซึ่งการแบ่งระดับจะใช้มาตรฐานของ CEFR เหมือนกับภาษาเยอรมันเลย คือแบ่งเป็นระดับ A1 - A2 - B1 - B2 - C1 - C2 นั่นเองค่ะ สามารถใช้ยื่นสมัครเรียนต่อหรือทำงานก็ได้เช่นกัน ใช้เวลาสอบประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที - 2 ชั่วโมง 20 นาที ตามระดับความยาก ซึ่งการสอบนั้นก็ครอบคลุม 4 ทักษะ ทั้งการอ่าน การพูด การฟัง และการเขียน ครบจบทุกด้านเลยทีเดียว
ส่วนการสอบจะแบ่งประเภทหลักๆ ออกเป็น 4 ประเภท คือ
- DELF Prim: เหมาะกับนักเรียนระดับประถม
- DELF Junior: เหมาะกับนักเรียนระดับมัธยม
- DELF-DALF Tout public: สำหรับบุคคลทั่วไป
- DELF Pro: สำหรับผู้ที่สอบเพื่อทำงานโดยเฉพาะ
ศูนย์สอบ: สมาคมฝรั่งเศส กรุงเทพฯ
ค่าสมัคร:
- A1: 2,200 บาท
- A2: 2,200 บาท
- B1: 2,800 บาท
- B2: 3,000 บาท
- C1: 4,600 บาท
- C2: 4,600 บาท
บอกเลยว่าการสอบวัดระดับภาษามีหลากหลายประเภทมากค่ะ ซึ่่งการสอบแต่ละอย่างราคาไม่ใช่น้อยๆ เลย ดังนั้นใครที่ตั้งใจนำไปใช้ยื่นเรียนต่อหรือทำงานก็ควรศึกษารายละเอียดว่าเนื้อหาในการสอบมีอะไรบ้าง รวมถึงวางแผนว่าจะสอบตอนไหน โดยเฉพาะภาษาที่ 3 ที่มักจะจัดสอบปีละไม่กี่ครั้ง จะได้ไม่เกิดปัญหาคะแนนออกไม่ทันหรือคะแนนไม่พอต้องสอบใหม่นั่นเองค่ะ ใครที่กำลังเตรียมตัวสอบอยู่ก็สู้ๆ นะคะ ฮึบ!
Photo Credit:https://unsplash.com/photos/s9CC2SKySJMhttps://unsplash.com/photos/qDgTQOYk6B8https://unsplash.com/photos/G-_L3Eqkqmchttps://unsplash.com/s/photos/study-chinesehttps://unsplash.com/photos/jAebodq7oxk
0 ความคิดเห็น