จาก 'ติ่งซีรีส์' สู้จนได้เรียนที่เกาหลี แสดงซีรีส์ Start-Up และเป็นครูสอนภาษาไทยให้คนดังเพียบ!

อันยอง~~ ชาว Dek-D ถ้าพูดถึงวงการบันเทิงเกาหลี ไม่ว่าจะเป็น K-POP ซีรีส์ ภาพยนตร์ หรือรายการวาไรตี้ เราก็มักจะสัมผัสได้ถึงความเป็นมืออาชีพในทุกองค์ประกอบ แฝงการตลาดได้น่าสนใจ แถมยังนำเสนอวัฒนธรรมและแง่มุมต่างๆ ในเกาหลีให้ภายนอกได้รับรู้ และยิ่งดึงดูดชาวต่างชาติอยากเข้ามาเรียนและใช้ชีวิตที่เกาหลีมากขึ้นด้วย

ล่าสุดเราก็มีโอกาสคุยกับ ‘ซอล’ หญิงสาวที่ชีวิตเต็มไปสตอรี่จุดพีค! เพราะเธอคือเด็กมหา'ลัยคนนึงที่ติดซีรีส์หนักมากกกก ดูซับไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็เริ่มซึมซับสำเนียงภาษาไปแล้ว พอค้นพบทักษะในตัวก็ทำให้เธอตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเพื่อให้ตัวเองได้ไปเรียนเกาหลีทั้งที่ "ปัจจัยหลายอย่างยังไม่พร้อม" จนตอนนี้เธออยู่เกาหลีมา 8 ปีแล้ว เจอมาหมดทั้งเหตุการณ์สอบตก, ลาออก, ทำสารพัดงานเพื่อส่งตัวเองเรียน, รับงานสอนภาษาไทยให้คนดัง, เรียนการแสดงกับคนในวงการ จนถึงได้เป็น extra ซีรีส์เรื่องดังอย่าง Start-Up // ห้ามพลาดเด็ดขาด เลื่อนลงมาอ่านกันค่ะ

ติดซีรีส์หนักมาก
จนเผลอเทการเรียนไปพักใหญ่

ตอนอยู่ไทย ซอลจบ ม.ปลายแล้วไปเรียนต่อบริหารธุรกิจ (BBA)  อาจเพราะมันยากแล้วเราก็ไม่ชอบสิ่งที่เรียนด้วยแหละ ก็เลยเอาแต่ดูซีรีส์ทั้งวันจนเกรดพังทุกวิชา  จนวันนึงมานั่งคุยกับพ่อว่า 'ทำยังไงดี มันไม่ใช่ทางเราจริงๆ' เขาก็ถามกลับมาว่า 'แล้วเราอยากทำอะไรล่ะ?' 

'ดูซีรีส์อย่างเดียวไม่ได้หรอพ่อ?' 

ซอลตอบแบบไม่ต้องคิดเลย พ่อก็ยื่นข้อเสนอเลยว่าเค้าให้เงินเราได้วันละ 100 บาท จะทำยังไงกับเงินจำนวนนี้ก็ได้ ซอลไม่รู้นะว่าตอนนั้นพ่อประชดรึเปล่า แต่คือตัดสินใจลาออกจริง เพื่อมานั่งนอนดูซีรีส์ไป 6 เดือนเต็มๆ

"แต่ทีนี้เรารู้สึกว่าซับบางเรื่องมันออกไม่ทันใจ"

เลยนั่งคิดว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าเรารู้ภาษาเกาหลีแล้วแปลได้? ซอลตัดสินใจเอาเงินค่าขนมที่เหลือใช้ไปลงเรียนภาษาเกาหลีวันเสาร์-อาทิตย์ แล้วก็ค้นพบว่าตัวเองเข้าใจบทเรียนเร็วและต่อประโยคได้ไวกว่าเพื่อน เราไม่รู้ตัวเลยว่าทักษะมันติดตัวเรามาตั้งแต่ตอนไหน เราได้ทั้งประโยค สำเนียง แกรมมาร์ เวลาพูดคืออินเนอร์มาเต็มเหมือนในซีรีส์

เราเริ่มคิดแล้วว่าถ้าจะคุยกับเจ้าของภาษาแค่  2 ครั้งต่อวีคแบบนี้คงไม่พอ เราเลยแพลนไปหาแหล่งที่มีโอกาสเจอคนเกาหลี ทั้งตรอกข้าวสาร, โคเรียนทาวน์, โบสถ์เกาหลี ซึ่งโบสถ์นี่แหละทำให้เราเจอกับมิชชันนารีที่กำลังเรียนภาษาไทย และมาจาก ม.แพ็กซอก (Baekseok University) ซึ่งเป็น ม.คริสเตียนแห่งหนึ่งในเกาหลีใต้ เราเลยไปคุยกับเค้าแล้วแลกเปลี่ยนภาษากัน  พอเก่งขึ้นซอลก็ไปรับสอนพิเศษน้องที่เป็นติ่งเกาหลีแค่วันละ 150 บาท ชีวิตประจำวันซอลเป็นแบบนี้มาปีกว่าๆ 

เจอจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต!

มีวันนึงที่คณะนักศึกษาจาก ม.แพ็กซ็อกมาโชว์ขับร้อง Opera ที่ไทย มิชชันนารีเลยชวนไปลงสนามจริง ออกค่าย 3 วัน 2 คืน ช่วยเป็นไกด์กับล่ามให้พี่ๆ ที่เป็นวัยรุ่นเกาหลีประมาณ 40 คน ปรากฏว่าเป็นประสบการณ์ที่ประทับใจที่สุดในชีวิตเลยยย พี่ๆ เค้าติดเราเพราะเราพูดภาษาเกาหลีได้(นิดหน่อย) ช่วยเค้าต่อราคาของได้ ชอบเรียก ‘ซอลๆ มาทางนี้หน่อย’ ดึงไปเล่นด้วยตลอด ตอนนั้นใจฟูมากมากกก

หลังค่ายเราบอกมิชชันนารีว่า หนูมีความฝันแล้วว่าอยากเรียนที่ ม.แพ็กซ็อก เค้าก็แนะนำว่าที่นี่มีทุนให้เยอะมากๆ บางทุนเราติดเรื่องเกรดแหละ แต่ก็จะมีทุน TOPIK ขอแค่กึบ 3 แล้วไปลงคอร์สภาษาที่นั่นต่ออีก 1 เทอมก็ได้ เราตั้งใจมาก เตรียมสอบเป็นปีจนสอบได้ผ่านเกณฑ์ โดยทุนนี้จะให้ค่าเรียน + ค่าหอ ส่วนมิชชันนารีก็ช่วยสนับสนุนส่วนตัวเป็นค่าเครื่องบินกับค่าใช้จ่าย 1 เทอม แล้วให้เราไปช่วยงานมหา’ลัยเพื่อหาเงินใช้เทอมต่อไป

ได้เข้าเรียนที่ ม.แพ็กซอก
แต่เลือกเอกผิด ชีวิตก็เลยเปลี่ยน

ซอลตื่นเต้นมากเพราะเป็นชีวิตที่ฝันมานาน เริ่มมาเทอมแรกจะได้เรียนคอร์สภาษากับเด็กอินเตอร์ด้วยกันก่อน ซึ่งก็เป็นแค่ระดับพื้นฐานที่เราโอเคอยู่แล้ว แต่ดันพลาดคิดว่าตัวเองเก่ง เลยเลือกเรียน  ‘เอกภาษาเกาหลี’ เพราะในอนาคตอยากกลับไทยไปเป็นอาจารย์สอนภาษาเกาหลี ปรากฏว่าเจอวิชาบังคับทั้งกลอน, ฮันจา (漢字 / ตัวอักษรจีนในภาษาเกาหลี), เรื่องสั้นสมัยใหม่ ฯลฯ  มีวิชาที่พอหายใจหายคอได้คือพวกวิชาเสรี แถมข้อสอบเกาหลีก็เป็นข้อเขียนล้วน เน้นแสดงความคิดเห็น

สรุปซอลก็ได้เป็นนักเรียนเรียนดีค่ะ มี D, D+ เต็มใบเกรดไปหมด และไม่ผิดคาด ซอล 'หลุดทุน' ตั้งแต่เทอมแรก ขนาดมหา'ลัยช่วยอะลุ่มอล่วยให้ทุนอีกเทอมนึง เราก็ยังปีนขึ้นมาไม่ได้ ตอนนั้นร้องไห้หนัก ทำไงดี? เรากลัวกลับไทยแล้วโดนคนรอบตัวดูถูก เพราะเคยโดนสบประมาทมาก่อน เพื่อนเกาหลีที่นี่เค้าก็แนะนำให้ลองหางานทำช่วงปิดเทอม 3 เดือนเพื่อให้ได้ทุนมาโปะค่าเทอม

ทำงานอะไรบ้าง?

  • เป็นเด็กเสิร์ฟและเด็กเก็บโต๊ะที่ร้านอาหารบนภูเขา แต่เราถูกเชิญออกเพราะคนเกาหลีชอบคนทำงานไว คนอื่นก็ทำงานไว แล้วเราทำไม่ทันเค้า
     
  • ขุดมันที่ต่างจังหวัด เป็นงานยอดแย่ที่เรารับไม่ได้มาก เพราะนายจ้างที่เป็นคนเกาหลีชอบกดขี่ พ่นแต่คำหยาบไปเรื่อยๆๆๆๆ ชาวต่างชาติคนอื่น(รวมถึงคนไทย)บางคนก็ฟังไม่รู้เรื่องก็เลยทำๆ ไป แต่ซอลดันฟังออก จนมาจุดที่ทนไม่ไหว วางพลั่วลงแล้วสวนกลับไปว่า ‘ไม่ทำแล้ว ลุงพูดดีๆ ก็ได้ เราก็เป็นคนนะ’ ปรากฏว่าเค้าไม่ฟังจ้า แล้วบอกว่าถ้าออกตอนนี้ เงินที่ทำมาทั้งวันก็ไม่ได้นะ (70,000 วอน ทำเช้ายันเย็น) แต่เราไม่สนใจแล้ว หันหลังเดินออกมาเลย
     
  • ทำงานเก็บเตียงที่โรงแรมเล็กๆ แถวมหา’ลัย เป็นงานที่ดีและทำให้เรารอดมาได้ แต่ลาออกมาเพราะทำทุกเทอมไม่ไหว เหนื่อยเกินไป
     
  • พนักงานที่ร้านเครื่องสำอางแบรนด์ดังในย่านฮงแด งานนี้เปิดโลกมาก แล้วทำให้เราแฮปปี้กับชีวิตที่โซลจนคิดอยากทำงานต่อเรื่อยๆ เพื่อส่งตัวเองเรียน ยอมนั่งไปกลับจากชอนอันมาโซล (1 ชม.) แต่ร่างกายไม่ไหวอีกก็เลยหยุด
     
  • เป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารไทยในกรุงโซล ซอลเจองานนี้จากกรุ๊ปคนไทยในเกาหลี พอดีเขากำลังหาพนักงานเสิร์ฟที่พูดเกาหลีได้พอดี  ซอลก็รีบสมัครแล้วได้เข้ามาทำ 3 เดือน เวลางานคือเข้าร้าน 9 โมง ปิดร้าน 4 ทุ่ม เก็บร้านเสร็จเกือบ 5 ทุ่ม  มีที่พักให้ กินอาหารในร้าน ได้เพื่อนคนเกาหลี มีเชฟคนไทยคุยด้วย เราตั้งใจทำงานเต็มที่จนบอสรัก

    พอเปิดเทอมเราก็ยังทำอยู่ ลงเรียนวันจันทร์, พุธ, ศุกร์ จนเต็ม max แล้ววันที่เหลือก็ปล่อยว่างเพื่อไปทำงาน แต่ก็ปัญหาเดิมคือเดินทางเหนื่อย เลยบอกบอสว่าอยากเรียนที่โซล เค้าก็สนับสนุนเต็มที่ (คนเกาหลีเค้าให้ใจมากๆ นะ)

ย้ายมาเรียน Myongji U.
จบปีเดียวกับ ‘พัคโบกอม’

“เราเริ่มจากเข้าตามเว็บของแต่ละมหาวิทยาลัยในโซล มองหาคำว่า 장학 (ทุนการศึกษา) ก่อนเลย อย่างที่ Myongi University ก็มีให้ทุนเยอะมากๆ ถ้าเป็นนักศึกษาต่างชาติจะได้ส่วนลด 50% ในเทอมแรก จาก 3.6 ล้านวอน เหลือ 1.8 ล้านวอน และอีกเหตุผลที่ทำให้นึกถึง ม.มยองจี ก็คือรู้ว่า ‘พัคโบกอม’ (Park Bo-gum) เรียนที่นี่ แถมจบปีเดียวกันด้วยนะ ถึงเค้าจะเรียนที่แคมปัส Yongin ก็ขอนับเป็นโมเมนต์สักหน่อยยย~"

Photo Credit: Myongji University
Photo Credit: Myongji University
http://enter.mju.ac.kr/images/brochure/eng_main.pdf

ส่วนเรื่องคณะซอลก็มีบทเรียนแล้ว ขอไม่พลาดอีก 5555 เลือกคณะที่สนใจแล้วก็เรียนไหวด้วย  ก็เลยมาเรียน จิตวิทยาแนะแนววัยรุ่น พอมาเรียนจริง...สนุกมาก! เป็นคณะที่เปิดกว้างทางความคิด ไม่มีถูกผิด แต่ก็มีหลักเกณฑ์ในการให้คะแนน อย่างเช่นมีวิชานึงให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันเล่น role play ในห้องกระจก (เช่น พ่อแม่ทะเลาะกันทุกวัน) แล้วให้เพื่อนกลุ่มอื่นข้างนอกนั่งเขียนประเมิน วิเคราะห์ว่าลูกจะมีปัญหาอะไรบ้าง?  สาเหตุคืออะไร? แล้วจะให้คำปรึกษาวิธีไหน? // วิธีสอนของหลายวิชาทั้งน่าสนใจและละเอียดอ่อนมากๆ

วิธีปรับตัวเรื่องภาษา

ซอลชอบพูดภาษาเกาหลีตั้งแต่อยู่ไทย แต่มาเรียนจริงจะเจอปัญหาเรื่องการเขียนเชิง Academic และการฟังที่ไม่ได้ 100% ขนาดนั้น ถ้าเจอศัพท์ยากจะหาในดิกชันนารี 3 รอบเป็นภาษาเกาหลี > ภาษาอังกฤษ > ภาษาไทย เพราะบางทีคำแปลภาษาไทยก็ไม่ได้ลงความหมายลึกเท่าภาษาต้นทาง ส่วนเวลาจะทำรายงาน ซอลก็อาจใช้ข้อมูลภาษาไทยและอังกฤษเทียบเคียงกันบ้าง เพราะทั้งไทยและเกาหลีก็ปรับหลักสูตรมาจากยุโรปเหมือนกัน

สังคมมหาวิทยาลัย

รู้สึกได้เลยว่าการแข่งขันสูง เด็กเกาหลีพยายามทำคะแนนให้สูงเพราะมีผลกับอนาคตของเค้า และต้องรักษาเกรดเพื่อไม่ให้หลุดทุนด้วย พูดง่ายๆ คือเราเป็นเพื่อนเค้าได้ ทุกคนคุยง่ายหมด แต่เวลามีงานกลุ่มเค้าจะไม่ค่อยอยากรับเด็กต่างชาติ เพราะเรามีข้อจำกัดเรื่องภาษาที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน ตอนนั้นซอลก็เลยไปจับกลุ่มกับเด็กต่างชาติด้วยกันเอง

แต่ความประทับใจคืออาจารย์ชอบช่วยเหลือเด็กต่างชาติ เช่น หลังเลิกคลาสจะเรียกกลุ่มนี้ไปห้องพักครูเพื่อถามว่าเข้าใจจริงๆ ใช่มั้ย ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกเค้าได้เลย

ได้ฝึกงานที่ศูนย์ปรึกษาทางจิตวิทยา

ส่วนใหญ่ปัญหาของวัยรุ่นเกาหลีคือความกดดันเรื่องเรียน แต่เกาหลีก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ทำให้มีศูนย์ปรึกษาทางจิตวิทยาเยอะและหลากหลายรูปแบบ ซึ่งคนที่รันกิจกรรมในศูนย์ก็คือคนที่เรียนจบสายจิตวิทยาแบบที่ซอลเรียนนี่แหละ แล้วถ้าเป็นต่างชาติก็จะมีงานรองรับในศูนย์นานาชาติซึ่งดูแลเคสที่มีเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พ่อเป็นเวียดนาม แม่เป็นไทย เพราะที่นี่มักจะมีเหตุการณ์เด็กลูกครึ่งถูก bully

ซอลเองก็ได้ฝึกงานในศูนย์ที่ 'ยออิโด' (Yeouido) นานเกือบ 6 เดือน หน้าที่คือการรับฟังและประเมินความรู้สึก มีจัดกิจกรรมเพื่อช่วยบรรเทาความเครียด และทำให้เค้ารู้สึกไม่โดดเดี่ยวและไม่แปลกแยกในสังคม

เว็บมหาวิทยาลัย Myongji University https://www.mju.ac.kr/ 
ทุนการศึกษา https://www.mju.ac.kr/us/3561/subview.do 

โบรชัวร์รวมข้อมูลทั้งหมด http://enter.mju.ac.kr/images/brochure/eng_main.pdf 

เรียนจบเริ่มงานล่ามใน รพ.ศัลยกรรม

ซอลออกจากงานร้านอาหารช่วงเทอมสุดท้ายเพื่อออกมาจัดการเวลาในชีวิตให้ดีขึ้น และเตรียมหางานใหม่ให้ได้ใช้สิ่งที่เรียนด้วย  ปกติที่เกาหลีจะมีเว็บหางานคล้ายๆ พวก job... เหมือนไทย เราก็ดูว่างานไหนจำเป็นต้องมีเราบ้าง ถ้าเป็นด้านจิตวิทยาโดยตรงก็จะมีแค่ศูนย์นานาชาติที่ต้องใช้คนต่างชาติ แต่พอยื่นไป 2 ที่แล้วไม่มีการตอบกลับ เราก็รอไม่ได้ ต้องขยายขอบเขตไปหางานที่ต้องการคนไทย สุดท้ายได้เข้ามาเป็นล่ามแปลเว็บที่ รพ.ศัลยกรรมแห่งหนึ่งในย่านคังนัม (Gangnam) เพราะคนไทยนิยมมาทำศัลยกรรมที่นี่

เวลางานของซอลคือวันจันทร์-ศุกร์ 10.00-19.00 น. หยุด 2 วัน ความยากคือเจอภาษาแพทย์ กับบรรยากาศทำงานที่ซีเรียสมาก ถ้าพลาดทีก็ทะเลาะกันได้เลย ไม่ได้ช่วยเหลือกันขนาดนั้น แล้วพอถามอะไรที่ไม่รู้ ก็เจอหัวหน้างานบอกว่า 'ที่นี่คือที่ทำงาน ไม่ใช่ที่เรียน' เราโดนตำหนิตลอด เจอคำพูดทั้งแรงและตรง ทำงานช้า ทำงานไม่โอเค (แต่ไม่ bully นะ) แล้วอีกปัญหานึงคือเวลาเป็นตัวกลางระหว่าง รพ.กับเอเยนซี่ เวลาเกิดข้อผิดพลาดเค้าจะโยนความผิดให้เรา สุดท้ายทำมา 2 ก็ตัดสินใจลาออก 

งานสอนภาษาไทยให้ชาวต่างชาติ
ใน รร.ภาษานานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในคังนัม

มีคนเกาหลีที่รู้จักกันบอกว่าอยากเรียนภาษาไทย ซอลเลยเอาเวลาช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์มารับงานสอนภาษา ดังนั้นเวลาโดน รพ.ด่ามาก็จะคิดในใจว่า 'รอให้นักเรียนเยอะก่อนเถอะ!' 5555 จนวันนึงโชคเข้าข้างซอลอีกแล้ว เราเข้าเว็บหางานทุกวันจนมาเจอว่า รร.สอนภาษาที่ใหญ่ที่สุดในคังนัม กำลังเปิดรับสมัครครูสอนภาษาไทย (ปกติเค้าจะหาครูที่มีวีซ่าแล้วน้อยมากๆ) พอสมัครแล้วได้งาน ซอลก็ลาออกจาก รพ.หลังอดทนทำมาได้ 2 ปี ส่วนงานใหม่แฮปปี้มาก ทำมา 2 ปีแล้ว และเป็นงานปัจจุบันของซอลตอนนี้

ก่อนหน้านี้ซอลมาด้วยวีซ่านักเรียน วีซ่าทำงาน ส่วนตอนนี้อยู่ด้วยวีซ่าครู ต้องต่อวีซ่าทุกปี เซ็นสัญญากับโรงเรียน ถ้าลาออกน่าจะมีเวลาให้หางานใหม่ 3 เดือน แต่ไม่ได้กังวลเพราะมีงานรองรับตลอด พยายามเสิร์ชเก็บไว้ ข้อดีคือถ้าเกิดต่อวีซ่าทำงานครบ 6 ปีจะขอวีซ่าอยู่ถาวรได้ (เหมือน green card ในอเมริกา) แต่เค้าตรวจละเอียดยิบเหมือนกัน

ช่วงแรกซอลก็อาศัยจำเทคนิคการสอนของคนอื่นมา แต่โชคดีตรงเราเคยเรียนกับติวเตอร์มาเยอะ + จบจิตวิทยามาด้วย ก็เลยค่อยๆ หาสไตล์ที่เป็นตัวเอง (สอนเหมือนเล่นละครเวที 5555) ปรากฏว่าอัตราการต่อคอร์สของนักเรียนเราสูง 90% อ้างอิงจากสถิติที่ รร.บันทึกไว้ เค้าบอกว่าเราสอนสนุก ดีใจมากๆ

เทคนิคการสอนให้นักเรียนติด

ซอลแบ่งการสอนเป็นไวยากรณ์กับการสื่อสาร มีระดับต้น / กลาง / สูง  / *Free Talking การเรียนจะเป็นคลาสเล็กไม่เกิน 3 คน ช่วงคลาสต้นๆ ซอลจะยังมีพูดภาษาเกาหลีสลับไทย พอช่วงกลางจะใส่ไทยล้วน วิธีสอนเราคือไม่เริ่มด้วยการสนทนา ไม่ให้ท่องจำประโยคตั้งแต่แรก แต่เน้นให้อ่านได้ก่อน สอนตั้งแต่ ก.-ฮ. โดยเทียบเคียงภาษาเรากับภาษาเค้า, การผัน, การควบกล้ำ, วรรณยุกต์, และเสียงสั้นยาว ซึ่งถ้าคุณผ่านตรงนี้ แปลว่าคุณเรียนต่อได้ยาวๆ แน่นอน เวลาไปเจอภาษาไทยที่ไหนก็จะอ่านได้ด้วยตัวเอง ออกสำเนียงได้เป็นธรรมชาติ ผันได้ทั้ง 5 วรรณยุกต์

ส่วน Free Talking จะเป็นคอร์สสำหรับคนที่เรียนมา 1 ปี ซอลใช้วิธีเหมือนครูฝรั่งบ้านเรา คือเปิดประเด็นแล้วคนมา discuss กัน พยายามเทียบบริบทไทยกับเกาหลี เช่น ดอยอินทนนท์กับภูเขาบ้านเขา คุยเรื่องดาราเกาหลีเป็นภาษาไทย ฯลฯ” นักเรียนก็จะแซวว่า ครูอยู่ในจินตนาการอีกแล้ว~~~ 55555

เรื่องที่นักเรียนปวดหัวที่สุดกับการเรียน 'ภาษาไทย'

พวกกฎเกณฑ์บางอย่างที่ดิ้นได้ เช่น ทำไมคำว่า ‘กบ’ ถึงไม่อ่านว่า ‘กะ-บะ’ ล่ะ? ทำไมคำว่า ‘หวาน’ หรือ ‘หมา’ ถึงไม่ออกเสียง ห.หีบ? และอื่นๆ อีกเยอะมาก เราใช้วิธีเขียนสูตรให้จำ พอเค้าชินแล้วผ่านมาได้ หลังจากนี้ภาษาไทยจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเค้า

เหตุผลที่คนเกาหลีมาเรียนภาษาไทย

นักเรียนของซอลเป็นคนเกาหลีหมด มีตั้งแต่เด็กจนถึงคนมีอายุ (เมื่อกี้นี้เพิ่งจะสอนคุณตาอายุ 67 ไปเอง) ทุกคนที่มาเรียนบอกว่า ‘เคยมาเที่ยวไทยแล้วชอบคนไทยมาก เพราะคุยง่ายๆ สบายๆ’ บางคนบอกว่าอยากใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไทย บางคนก็ไปๆ มาๆ ระหว่างไทยกับเกาหลีตลอด

คนไทยชอบซีีรีส์เกาหลี ส่วนคนเกาหลีนั้น...

เค้าชอบซีรีส์ไทยมากกกก คลาสวันเสาร์มีหมดเลยทั้ง เต-ตะวัน, นิว-ฐิติภูมิ, ไอซ์-พาริส, ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ฯลฯ บางคนก็มาเรียนเพื่อทำซับบทสัมภาษณ์ดาราไทยโดยเฉพาะ และเท่าที่สังเกต คนที่นักเรียนซอลหวีดเยอะสุดคือคุณเต // ส่วนตอนวันเกิดคุณนิว ซอบเห็นแฟนคลับที่เกาหลีจัดปาร์ตี้วันเกิดของคุณนิวแบบจริงจังมากที่ฮงแดด้วยนะ

การได้มาทำงานนี้ เราภูมิใจมากตรงที่ได้ช่วยให้คนรู้จักภาษา วัฒนธรรม วิธีคิดของคนไทย แล้วเราก็เหมือนได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับพวกเค้าด้วย

สอนภาษาไทยให้คนในวงการบันเทิง
จนได้มาเป็น extra ซีรีส์เรื่องดัง

ซอลทำงานในโรงเรียนสอนภาษาแล้วมีคนมาเรียนเยอะ ในจำนวนนั้นก็จะมีนักร้องและไอดอลมาเรียนด้วย เช่น  สมาชิกวง 3YE, Stella Jang ที่ร้องเพลงประกอบซีรีส์ I’m Not a Robot, Jeong Dayun (정다윤)  ฯลฯ บางคนมาเรียนเพื่อเตรียมตัวไปออกรายการวาไรตี้ แล้วเค้าอยากสื่อสารกับแฟนๆ คนไทย

แล้วจะมีนักแสดงอีกคนนึงที่มาเรียนแล้วพาซอลเปิดโลกวงการนี้ พอได้คุยได้ฟังเค้าเล่าเรื่องการแสดงแล้วก็รู้สึก  โห น่าสนุกจัง อยากเจอประสบการณ์แบบนั้นบ้าง เลยขอให้เค้าช่วยสอนการแสดงให้หน่อย  แล้วเราจะช่วยสอนภาษาให้เค้า 

แล้วโอกาสก็มาถึง!! มีวันนึงเค้าชวนให้ซอลลองสมัครเป็น extra เรื่อง Start-Up ของช่อง tVn ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครแสดงเรื่องนี้บ้าง รู้แค่ต้องเล่นเป็นแฟนคลับชาวต่างชาติในซีนร้านกาแฟ เล่นกล้องได้บ้าง (ซีนนี้จะอยู่ตอน 2 ช่วงวินาทีที่ 16.40-19.54)

ปกติเกาหลีเค้าจะให้ความสำคัญกับนักแสดง extra มาก โดยจะมีหลายแบบ เช่น ซอลเป็น extra ในร้านกาแฟที่ไม่ต้องแสดงอะไรเลย แต่จะมี extra บางส่วนที่ต้องแคสต์ อย่างคนที่ต้องเข้าฉาก 1-2 นาทีแล้วต้องมองกล้องแล้วแสดงอะไรสักอย่างแต่ไม่มีบทพูด  หรือบางคนต้องร้องเพลงด้วย ต้องฟังคำสั่งและรู้ว่าจะต้องมีเสียงตรงไหนบ้าง

ความพีคคือเราไม่คิดมาก่อนว่า ‘แพซูจี’ (Bae Suzy) จะยืนอยู่ตรงหน้าเราแบบไม่ไกลเลยยยย ในเรื่องที่ออกอากาศจริงมีฉากนั้น 5 นาที แต่ถ่ายทำไป 8 ชม. สรุปเราได้เห็นซูจีไป 8 ชม. อะ ตอนถ่ายทำเค้าเก็บทุกรายละเอียดจริงๆ ถ่ายทีละมุม โดยที่ energy ทั้งเสียง หน้าตา ต้องเท่ากันหมด ถ่ายทั้งแบบมีเสียงและไม่มีเสียง ซึ่งซูจีก็ต้องเล่น แล้วเค้าสามารถเล่นได้สม่ำเสมอไม่มีดร็อปตลอด 8 ชม. เรานับถือสปิริตนักแสดงมาก  แล้วยังมีเรื่องประทับใจเล็กๆ ในกองถ่าย เพราะมีนักแสดงคนนึงเดินมาจับมือ extra ทุกคน

ส่วนบรรยากาศโดยรวมในกองถ่ายคือทุกคนจะยุ่งวุ่นวายอยู่กับหน้าที่ตัวเอง นักแสดง extra เองพอถึงเวลาก็ออกไปทานข้าวข้างนอกแล้วกลับมาตามเวลานัด

Photo Credit: tVn
Photo Credit: tVn 

นั่นต้องไม่ใช่ที่สุดท้าย!
ลงเรียนการแสดงแบบจริงจัง

ข้อดีคือซอลเป็นครูที่มีรายได้ประจำ และสามารถเมเนจเวลาได้ ถ้าไม่มีคลาสก็ไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียน วันจันทร์มีสอนแค่ 2-4 ทุ่ม ก็เลยแบ่งเวลาวันหยุดไปลงเรียน Acting & Film School ที่ รร.สอนการแสดงแห่งหนึ่งในโซล  ปกติทาง รร.จะส่งโพรไฟล์ครูที่น่าจะเหมาะกับเราที่สุดมาให้ แต่ถ้าเป็นต่างชาติแบบซอล เค้าจะแนะนำให้แยกไปลงเรียนกับครูที่มีวิธีการสอนเหมาะกับชาวต่างชาติ

ครูคนแรกคือ 'พัคอึนซอก' 
หรือ Logan Lee ในซีรีส์ The Penthouse

ครู ‘พัคอึนซอก’ สอนซอลตั้งแต่การฝึกภาษา การจำบทภาษาต่างประเทศ การฝึกสำเนียง โยงเสียง เชื่อมคำเหมือนภาษาอังกฤษ มีแทรกเทคนิคให้ตลอด แล้วสอนด้วยว่านักแสดงที่ดีคืออะไร?  ตลอดเวลาที่เรียน เค้าสอนสนุก ยิ้มแย้ม แบบเป็นพลังบวกมากจนทำให้เราไม่ล้มเลิกที่จะเรียนด้านนี้

เริ่มมาวันแรกของการเรียน ซอลจะได้เข้าไปอยู่ในห้องนึง แล้วแสดงบทบาทเป็นคนเจ็บขา แต่ต้องเปิดประตูให้ได้ เราที่ไม่เคยเรียนการแสดงเลยก็พูดว่า ‘โอ๊ย เจ็บขาจังเลย ใครก็ได้เปิดประตูที’ แต่ครูสอนว่า 

การแสดงที่ดีต้องทำเหมือนเราไม่ได้กำลังแสดง ไม่พูดพากย์ออกมาตรงๆ แต่ต้องมีอารมณ์ร่วม เราต้องสื่อด้วยท่าทางออกมาให้คนเห็นแล้วตีความได้เองว่าเรากำลังเจ็บขา

ครูพัคอึนซอก
ครูพัคอึนซอก

ครู 'อีซึงฮี' ผู้เป็นที่สุดของที่สุด

ครูคนนี้เคยแสดงร่วมกับ ‘พัคซอจุน’ มาหลายเรื่องมาก เค้ามีความเป็นครูสูงและช่วยจุดไฟด้านการแสดงเราขึ้นมาอีกครั้ง เล่าก่อนว่าปกติเกาหลีจะใช้ Monologue ในการออดิชัน (=อารมณ์แบบพูดคนเดียวเล่นคนเดียว) ครูเลยปล่อยให้เราซ้อมบทพูดคนเดียว เวลาดูเราแสดงก็จะนั่งยิ้ม ชิลล์ๆ บอกว่าอยากทำอะไรทำเลย ถ้าไม่ดีเดี๋ยวครูบอกเอง คอยบอกจุดที่ควรปรับ ไม่โอ๋แต่ก็ไม่ว่าอะไร ทำให้เรากล้าเปิดใจแสดงให้เค้าดู

บางทีเค้าก็จะส่งผู้กำกับหนังสั้นมาช่วยเราถ่าย Monologue ช่วยเช็กเสื้อผ้าหน้าผมให้หมด พร้อมให้คำปรึกษาตลอดเวลา จะ 4-5 ทุ่ม ตี 1 ก็ให้เราอัด VDO ให้เค้าเช็กก่อนว่าบทพร้อมมั้ย วีคไหนซอลลาหยุดไปแล้วกลับมาใหม่ เค้าก็ทักประมาณว่า ‘เฮ้ยยยย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน อยากได้ยินเสียงนี้มานานแล้ว’ (พูดภาษาเกาหลี)

ครูอึซังฮี
ครูอึซังฮี
ครูอึซังฮี
ครูอึซังฮี

คิดว่าอะไรยากที่สุดสำหรับการแสดง?

  • ภาษา เพราะเราต้องพูดบทให้คนอื่นเข้าใจ ถึงซอลจะเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเกาหลี แต่สำเนียงยังไม่เป๊ะ การแสดงก็ยากขึ้นไปอีกขั้น จากที่คนชมว่าเราภาษาเกาหลีเราดีมาก แต่วงการนี้ทำให้เราดูตัวเล็กไปเลย ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาอีกเยอะ
     
  • การแสดงที่ไม่แสดง ร้องไห้ไม่ใช่แค่น้ำตา คนดูไม่ได้อยากมาดูเราร้องไห้ แต่อยากดูนักแสดงต่อสู้กับการร้องไห้ ต้องกล้ำกลืน พยายามไม่ให้คนเห็น ครูจะพยายามฝึกความรู้สึกบ่อยมาก

สัปดาห์ก่อนขำตัวเองมาก ซอลกำลังนั่งในคลาส แล้วในบทบอกว่าเราจะต้องเจอคุณแม่ที่ทิ้งเราไปเมื่อ 27 ปี แต่แม่ดูสบายมากอ่ะ ซอลต้องพูดประชดแม่ว่า ‘สบายดีหรอ ดูสบายดีเนอะ แต่รู้มั้ยว่าตั้งแต่แม่ทิ้ง ชีวิตหนูเหมือนตกนรก’ เราก็พยายามทำให้ตัวเองดูโกรธแค้น 

แต่ครูบอกว่า ไม่! แล้วเค้าให้เราจินตนาการภาพแม่มานั่ง ครูก็มานั่งบิ๊วเราข้างๆ ว่า นี่ไง เห็นแม่ชัดมั้ย / เค้ายิ้มอยู่มั้ย / ขอโทษมั้ย / เราไม่ให้อภัยหรอ / อือแล้วตอนนี้เค้าทำหน้ายังไง? แต่คือตรงข้ามมันไม่มีคนอ่าาา เหมือนเรากำลังนั่งอยู่กับหมอผี แล้วคุยกับแม่ซื้อตลอดเวลา แต่เนี่ยคือสิ่งที่นักแสดงเกาหลีต้องทำ การโชว์อารมณ์ให้คนทางบ้านเห็นชัดๆ มันคือการแสดงแบบสมัยก่อน เราต้องปรับให้เข้ากับยุค เรามีหน้าที่แสดงไป เรื่องอารมณ์เดี๋ยวคนดูเค้ารู้สึกเอง

มีคำพูดของครูสอนการแสดงคนนึงว่า 'คุณอยากเป็นนักแสดงหรืออยากเป็นซุป'ตาร์? ถ้าเกิดอยากเป็นนักแสดง ต่อให้จะเป็นบทขอทานหรือบทเล็กแค่ไหนคุณก็เล่นได้ ถึงแม้จะไม่มีใครรู้จักชื่อคุณเลย แต่คุณมีตัวตนในซีรีส์ มีผลงานที่ถ่ายทอดให้คนดูเห็น' 

จริงๆ แทบไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าจากที่เป็นติ่งซีรีส์ จะได้มาทำตามความฝัน เห็นความบันเทิงอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ ซอลตื่นเต้นทุกครั้งที่เห็นครูสอนการแสดงมาอยู่ในหนัง ซีรีส์ หรือมิวสิกวิดีโอ ครูของซอลแต่ละท่านเริ่มจากบทเล็กๆ ทั้งนั้น เค้าจะ work hard เพื่อพิสูจน์ตัวเอง เป็นแรงบันดาลใจให้ซอลอยากฝึกตัวเองต่อไปแม้โอกาสจะน้อยแค่ไหน ถึงปีนี้หรือปีหน้าจะไม่มีงานเลย ซอลก็รักที่จะแสดงบทนึงให้ครูหรือคนรอบตัวได้ดู 

บ้านเมืองที่ให้ความสำคัญกับศิลปะ

ถ้าเทียบกับซีรีส์สมัยก่อน สังเกตมั้ยว่าตอนนี้ภาพในซีรีส์ชัดขึ้น เราแทบจะแคปซีรีส์ช็อตใดช็อตหนึ่งออกมาแล้วตั้งเป็น Wallaper ได้เลย  นั่นเพราะเค้าใช้ช่างภาพมืออาชีพ นักเขียนบทมืออาชีพ ทีมคอสตูมมืออาชีพ ฯลฯ ทุกอย่างมืออาชีพหมด

จริงๆ ไม่ใช่แค่วงการนี้ แต่เกาหลีเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับศิลปะจนทุกอย่างออกมาดี มีแกลอรีที่ให้เราเข้าไปชมภาพได้ เวลามีงานออเคสตร้าก็มีคนรอไปนั่งดูกันเต็ม เจ๋งสุดคือถนนวัฒนธรรมแทฮักโร (Daehak-ro Culture Street) เป็นเหมือน broadway วันไหนอยากดูละครก็ไปได้เลย ทุกวันทุกรอบและทั้งวัน รอบนึงตก 20,000 วอน

รีวิวคนเกาหลี
จากประสบการณ์ส่วนตัว

  • ถึงคนเกาหลีจะทำงานหนัก แต่ความเป็นอยู่ดีมาก สังเกตว่าเค้าจะไม่ค่อยชอบอยู่ติดบ้าน เพราะข้างนอกมีคาเฟ่สวยๆ คนเยอะๆ ขนาดมีวันนึงซอลไปเที่ยวแนวทุ่งนา ก็ยังมี Smart Bus Stop เลย
     
  • จากการสังเกตคนรอบตัว เค้ามักจะ 'ทำงานอดิเรกอย่างจริงจัง' เช่น เพื่อนคนนึงเรียนตัดกระโปรง นางก็ตัดจริงจัง วันเสาร์อาทิตย์นัดเพื่อนไปนั่งตัดกระโปรงขาย คนที่เรียนภาษาก็จะมีคอมมูนิตี้ของเค้า มีคาเฟ่ภาษา ได้เจอคนที่มีความสนใจเหมือนๆ กันแล้วทำกิจกรรมร่วมกัน
     
  • เรื่องการคบเพื่อนคนเกาหลี แรกๆ เค้าจะยังไม่ค่อยเปิดใจกับเราหรอก อาจจะมองว่าเราต้องการอะไรจากเค้ารึเปล่า? ต้องมีการใช้เวลาร่วมกันถึงจะสนิท แล้วถ้าสนิทขึ้นมาจะรู้ว่าเค้าน่ารักและให้ใจมากๆ แต่บทจะโหดก็โหด เค้าเคร่งเรื่องสิทธิ มีสิทธิ์พูดมีสิทธิ์ complaint ถ้ารู้สึกมันไม่แฟร์กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร เค้าจะคิดแล้วคิดอีกหลายตลบมาก

มีน้องหลายคนถามว่า
"อยากเก่งภาษาเกาหลีต้องทำยังไง?"

ลองพยายามเอาโลกภาษาเกาหลีมาอยู่ในโลกของเรา อย่างช่วงนึงซอลดูซีรีส์ ฟังเพลง ดูเกมโชว์ วาไรตี้ จนทำให้เราซึมซับตั้งแต่อยู่ไทย ยิ่งเดี๋ยวนี้มีคอร์สออนไลน์หรือคลิปสอนตาม YouTube  ด้วย เรียนที่ไหนก็ได้ พยายามทำให้ภาษาเป็นความเคยชิน // วิธีนี้ใช้ได้กับทุกภาษา ถ้าช่วงไหนซอลอยากได้สำเนียง British ก็จะไปนั่งดู Sherlock Holmes กับ The Crown เรียนรู้ด้วยการเลียนแบบ ทำตัวเป็นนกแก้ว ถ้าถามว่าฝึกยังไง ความเคยชินคือคำตอบ เวลาดูหนังอย่าดูแค่ซับ แต่ให้ดูอินเนอร์และวิธีการใช้ด้วย

ซอลอยากใช้พื้นที่นี้
ให้กำลังใจน้องๆ ที่สนใจเกาหลี

ซอลก็ไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง ป.ตรีจบมาด้วยเกรด 2.5 เพราะเค้าตัดเกรดโหด + ภาษาด้วย แต่นั่นไม่ใช่ทุกอย่าง เพราะเค้าจะดูที่ความคิดและภาษาว่าสื่อสารได้แค่ไหน สุดท้ายแล้วซอลก็ได้มาทำงานในโรงเรียนภาษาทื่ใหญ่ที่สุดในคังนัม ทำงานในโรงพยาบาลที่มีคนดังมาใช้บริการเยอะๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ขอไม่ต้องขอเงินทางบ้าน แต่สามารถส่งกลับให้เค้าได้ // ทุกวันนี้คุณพ่อของซอลภูมิใจมาก เค้าทำงานเป็นคนขับแท็กซี่ เวลารับลูกค้าเกาหลีก็จะโทรมาให้เราช่วยเป็นล่ามคุยกับลูกค้าให้ ลูกค้าเลยประทับใจแล้วจ้างคุณพ่ออีก :)

ดังนั้นไม่อยากให้น้องหลายคนท้อ ถึงจะเรียนไม่เก่งหรือติดเรื่องเงิน ก็ไม่ได้แปลว่าไม่สิทธิ์เรียนต่างประเทศ ซอลก็เริ่มต้นมาจากจุดนั้นเหมือนกัน และอยู่จุดที่โดนคนรอบตัวสบประมาทด้วย แต่ความพยายามดึงให้คนหลายคนเข้ามาช่วยเรา แล้วมหาวิทยาลัยกับรัฐบาลเกาหลีจะมีทุนสำหรับนักศึกษาต่างชาติเยอะมาก เค้าเปิดโอกาสด้านการศึกษา ดังนั้นอย่าหมดหวังนะ ลองดูว่าที่ไหนเหมาะกับเรามากที่สุดนะคะ

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บมหาวิทยาลัยและเจ้าของเรื่อง
http://enter.mju.ac.kr/images/brochure/eng_main.pdf IG  @solsol5213 
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

bin 3 เม.ย. 64 22:38 น. 1

เก่งมากๆเลยค่ะนานๆทีจะเห็นประสบการณ์ไปเรียนต่างประเทศที่ช่วยตัวเองเยอะขนาดนี้ นี่ก็ทำงานพาร์ทไทม์เลยเข้าใจว่างานที่ทำแต่ละอย่างมันเหนื่อยแค่ไหน แถมยังเป็นที่ต่างประเทศอีกต่างหาก อ่านแล้วยิ้มตามเลย ภูมิใจแทนคุณพ่อเลยค่ะ

1
kookkaii :3 Columnist 7 เม.ย. 64 09:44 น. 1-1

พอได้คุยตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็รู้สึกดีใจกับคุณซอลเหมือนกันค่ะ คือเก่งมากกกก เราเองก็ขอให้คุณ bin เจองานที่สนุกและเพื่อนร่วมงานที่น่ารักเหมือนกันนะคะ ^^

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
อิอิ 10 พ.ค. 64 23:13 น. 6

หลุดขำตอนบอกว่าคุยกับแม่ซื้อ 55555555 พ่อแม่เข้าใจมากเลยนะ ถึงปล่อยให้ลาออกได้ แต่คุณซอลก็พยายามได้ดีมาก ขอให้ได้ pr ไวๆนะคะ

0
กำลังโหลด

6 ความคิดเห็น

bin 3 เม.ย. 64 22:38 น. 1

เก่งมากๆเลยค่ะนานๆทีจะเห็นประสบการณ์ไปเรียนต่างประเทศที่ช่วยตัวเองเยอะขนาดนี้ นี่ก็ทำงานพาร์ทไทม์เลยเข้าใจว่างานที่ทำแต่ละอย่างมันเหนื่อยแค่ไหน แถมยังเป็นที่ต่างประเทศอีกต่างหาก อ่านแล้วยิ้มตามเลย ภูมิใจแทนคุณพ่อเลยค่ะ

1
kookkaii :3 Columnist 7 เม.ย. 64 09:44 น. 1-1

พอได้คุยตั้งแต่ต้นจนจบแล้วก็รู้สึกดีใจกับคุณซอลเหมือนกันค่ะ คือเก่งมากกกก เราเองก็ขอให้คุณ bin เจองานที่สนุกและเพื่อนร่วมงานที่น่ารักเหมือนกันนะคะ ^^

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม

กำลังโหลด
มมม 5 เม.ย. 64 23:53 น. 5

ระบบเป็นอะไรหรือเปล่าคะทำไมจะเลื่อนลงไปอ่านข้างล่างทำไมถึงอ่านไม่ได้เพราะเลื่อนลงข้างล่างหน้าเว็บก็จะเลื่อนขึ้นให้อ่านอะไรไม่ได้หรอกนะคะ

2

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยเจ้าของ

กำลังโหลด
อิอิ 10 พ.ค. 64 23:13 น. 6

หลุดขำตอนบอกว่าคุยกับแม่ซื้อ 55555555 พ่อแม่เข้าใจมากเลยนะ ถึงปล่อยให้ลาออกได้ แต่คุณซอลก็พยายามได้ดีมาก ขอให้ได้ pr ไวๆนะคะ

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด