เล่าเส้นทางกว่าจะได้ทำงานที่ Microsoft (รีวิวกระชับ+เรียลๆ) โดย 'พี่ซอล' #ทีมอเมริกา

สวัสดีค่ะชาว Dek-D ช่วงนี้หลายคนคงกำลังมองหาหนทางเพื่อเรียนหรือทำงานที่ต่างประเทศเพื่อเปิดโลกกว้างและมองหาโอกาสใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่ง 'สหรัฐอเมริกา' ก็เป็นเป้าหมายอันดับต้นๆ โดยเฉพาะคนที่อยากทำงานสาย Technology ล่าสุดเราไปเจอโพสต์ของพี่ซอล   Noranart Vesdapunt ใน Private Group ที่ฮอตที่สุดในขณะนี้ เล่าถึงเส้นทางกว่าจะได้เรียนที่ ม.ระดับท็อปของโลกและทำงานที่บริษัท Microsoft โดยเขาบอกว่า  "ชีวิตคนมันช่างตลก พอรู้สึกว่าตกต่ำที่สุดในชีวิต อยู่ๆ ประตูก็เปิดให้เดินต่อได้" แต่กว่าประตูจะเปิด ระหว่างทางเขาทำอะไรมาบ้าง? เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องนำข้อความดังกล่าวมาแชร์เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่มีความฝันทุกคนได้อ่านกันค่ะ!

(ส่องประวัติและโปรเจกต์ได้ที่ https://noranart.com  นะคะ)

 

ฉบับย่อ

ผมมาเรียนป.โทด้วยวีซ่า F-1 (เรียน 16 เดือน) จากนั้นเข้าทำงาน Microsoft ด้วย F-1 OPT ทำงานได้ 8 เดือน เปลี่ยนวีซ่าเป็น H1-B และได้กรีนการ์ด (EB-2) ตอนทำงานได้ 3 ปีครับ

ฉบับเต็ม 

 

"ผมจบวิศวะคอมพ์จุฬาฯ ตอนจบใหม่ทำงาน consult ให้บริษัท Big 4 รวมสวัสดิการและเงินเดือนเกือบครึ่งแสน แต่ผมเป็นคนโลภ ถามตัวเองทุกวันว่าทำไมเราราคาถูกจัง จึงลาออกหลังจากทำงานได้ 4 เดือนมาลองสมัครงานต่างประเทศและขายของออนไลน์ไปพลางๆ ยื่นไปร้อยกว่าบริษัท ถึงเข้าใจว่าโลกมันกว้างใหญ่ มหาวิทยาลัยไทยไม่ค่อยเป็นที่รู้จักขนาดที่คนสัมภาษณ์อ่านชื่อมหาวิทยาลัยไม่ออก และแน่นอนว่าเกียรตินิยมอันดับ 1 ก็ไม่มีความหมายครับ ตอนนั้นบริษัท US ที่เรียกสัมภาษณ์คือ Google, Oracle ผมตอบคำถามได้ด้วย brute force คือวิธีห่วยที่สุด ประกอบกับภาษาไม่ดี อธิบายไม่รู้เรื่อง เลยตกรอบ 

สำหรับบริษัทจากประเทศอื่น ผมพอผ่านสัมภาษณ์หลายรอบแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซักที่ งานขายของออนไลน์ก็เริ่มตัน ผมเขียนบอท follow ลูกค้าใน Instagram ลูกค้าหลายท่านกดกลับตามมารยาท ทำให้มีผู้ติดตามร้านกว่า 2 แสนคน และขยายเป็น 7 ร้าน แต่กำไรน้อยเพราะรับสินค้ามาจากจีน ผมจินตนาการว่าถ้าทำจนตายคงหาได้สิบล้าน แต่จินตนาการร้อยล้านไม่ออกจริงๆ รู้สึกว่าสมัครงานก็ไม่รอด ทำธุรกิจก็ไม่รอด เลยยอมรับความโง่ของตัวเองและยอมสมัครเรียนต่อ

ไหนๆ ก็จะไปชุบตัวด้วยการเรียนต่อแล้ว ผมเลยยื่นมหาวิทยาลัยอันดับที่ 1-7 ของโลก (MIT, Stanford, UC Berkeley, etc.) แค่สมัครก็เสียที่ละประมาณ 5 พันบาท และผมสอบ TOEFL 3 รอบกว่าจะได้คะแนน 104/120 เสียค่าสอบไปเป็นหมื่นบาท เลยคิดว่าถ้าไม่ได้มหาวิทยาลัยที่ดีจริงๆ ก็คงไม่ไป สุดท้ายโดนปฏิเสธทุกที่ เหลือแค่ Carnegie Mellon (CMU) ที่ได้เป็นตัวสำรอง 

ผ่านไปอีก 2 เดือน คนอื่นจ่ายค่าเทอมกันแล้ว ผมหมดหวังแล้ว แต่ได้รับอีเมลว่าติด CMU เข้าไปซักพักถึงรู้ว่ามีคนเลือก MIT เลยสละสิทธิ์ ไม่รู้เป็นใครแต่ขอบคุณจากใจจริง ชีวิตคนมันช่างตลก พอรู้สึกว่าตกต่ำที่สุดในชีวิต อยู่ๆ ประตูก็เปิดให้เดินต่อได้ จริงๆ รู้สึกโชคดีด้วยที่เป็นตัวสำรองเพราะไม่ต้องสัมภาษณ์ เพื่อนบอกว่าโดนถามยากพอสมควร แถมเพื่อน TOEFL 109+ บางคนเคยทำงาน Google บางคนเป็นผู้จัดการ Asus ถึงได้รู้ว่าผมใช้ดวงเข้ามาล้วนๆ 

เรียนไปประมาณเดือนนึง แล้วก็พบว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย ซักพักผมโดดเรียนมานั่งดูคนสอนจากหลายๆที่ (Coursera, IIT, Youtube) ฟังหลายคนสอนจนกว่าจะไล่ในห้องทันจึงกลับไปเรียน เรียนได้ 2-3 คาบก็ตามไม่ทันอีก และเนื่องจากเรียนแค่ 16 เดือน เดือนที่ 4 ควรจะมีที่ฝึกงานแล้ว เพื่อนหลายคน 3 เดือนก็ได้หลายที่แล้ว ผมยื่นที่ไหนก็ไม่ผ่าน มีบริษัทนึงให้ทำ Object Tracking ผมตอบได้ด้วยเทคนิคโบราณ (Lucas-Kanade) ก็ตกรอบ รู้สึกว่าไม่เห็นต่างจากตอนสมัครจากไทย คือผมก็โง่เหมือนเดิม 

โชคดีที่ประมาณเดือนที่ 6 มีอาจารย์ที่ลาออกไปทำ Microsoft ประกาศรับเด็กฝึกงาน ผมตอบอีเมลคนแรกเลยได้สัมภาษณ์วันรุ่งขึ้น คนสัมภาษณ์ถามปัญหาวิจัย ซึ่งตอนนั้นผมคิดได้แค่ว่ามันจะทำได้จริงๆ เหรอ ผมเลยอ้อนวอนขอเวลาหาคำตอบ แล้วก็โต้รุ่งคืนนั้นเพื่อส่งคำตอบไปตอนตี 3 เค้าเห็นว่ามีความพยายามก็เลยรับ คำตอบที่ส่งไปคือเอาชื่อคนสัมภาษณ์ไปเซิร์ชแล้วเจองานวิจัยเค้า ก็เลยเอาเทคนิคของคนสัมภาษณ์ไปตอบ 555

การฝึกงานถือเป็นใบเบิกทาง พอฝึกงานเข้าเดือนสุดท้าย ผมโดนสัมภาษณ์เพื่อเปลี่ยนเป็นพนักงานประจำ 6 รอบ เรียกว่าเช็กทุกอย่างและผมก็ตอบไม่ค่อยได้เหมือนเดิม งานวิจัยตอนฝึกงานก็ไม่ค่อยดีเพราะไปเอาเทคนิคคนอื่นมาลอง ไม่ได้คิดอะไรใหม่ๆ แต่สุดท้ายหัวหน้าก็รับเข้าทำงาน เพราะจะได้กลับมาต่อยอดงานวิจัย และอย่างน้อยเค้าก็รู้จักเรา ถ้าสัมภาษณ์คนอื่นก็ต้องเริ่มต้นกับปัญหานี้ใหม่ แถมกลัวนิสัยเข้ากับคนอื่นไม่ได้ครับ 

หลังจากได้งาน มีช่วงเวลาสั้นๆที่รู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้น เลยสมัครบริษัทอื่นเพื่อหา counter offer (ให้บริษัทหลายที่ๆ เสนอเงินเดือนแข่งกัน) สุดท้ายได้ Samsung แต่ให้ไปฝึกงานอีกรอบเพราะไม่มั่นใจในความรู้ของผม สรุปโง่เหมือนเดิมนี่เอง ก็เลยกลับไปซบอก Microsoft งานที่ทำเกี่ยวกับ AI โดยใช้ Deep Learning ต้องสร้างผลิตภัณฑ์และเขียนเปเปอร์ ช่วงแรกๆ ผมส่งเปเปอร์ปีละ 3-4 ที่ แต่โดนปฏิเสธทั้งหมด โชคดีที่ผมเชี่ยวชาญการทำโมเดลให้เล็ก คือคนสติดีจะใช้โมเดลประมาณ 500MB ผมเป็นคนบ้า 100KB ก็ทำมาแล้ว โมเดลผมเลยประหยัดค่ารัน แถมเอาไปใช้ในมือถือได้ ก็เลยมีลูกค้าขอซื้อ หัวหน้าเลยเลื่อนตำแหน่งให้ทุกปี ปีที่แล้วผมเริ่มเขียนเปเปอร์เป็น หัวหน้าบอกว่าถึงเวลาเลื่อนตำแหน่งเป็น Senior แล้ว ผมรู้สึกว่าอยู่ๆก็มีอิสรภาพมหาศาล คือไม่รู้จะทำยังไงต่อ ตอนที่โดนสั่งเอาๆ ง่ายกว่า ตอนนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังจากทุกคนครับ

ผมทำงานได้ 1 ปีก็คืนทุนค่าเรียนแล้ว แนะนำว่าถ้าเข้าบริษัทดีๆ ได้ ยังไงก็คุ้ม ผมเสียค่าเรียนประมาณ 2 ล้านบาท แต่กินอยู่อนาถ ห้องพักกำแพงมีรูจนหิมะเข้ามาได้ ก็เลยเสียรวมๆ แค่ 2.4 ล้านบาท ทำงานปีแรกหักภาษีแล้วได้เกินมาเป็นล้านครับ ได้ sign on bonus (ยังไม่เริ่มงานก็ได้เกือบล้านบาท) ได้หุ้นที่แบ่งจ่าย 4 ปี ซึ่งผมโชคดีที่หุ้น Microsoft ขึ้นมา 4 เท่าครับ 

ประกันสุขภาพค่อนข้างดี แต่ค่ารักษาก็แพง ภรรยาผมคลอดลูกแบบธรรมชาติโดนไปล้านบาท แต่เบิกได้เหลือจ่ายเองแสนกว่าๆ ซึ่งบริษัทให้เงินออมสำหรับการรักษาปีละเกือบแสน มีนโยบายให้ซื้อหุ้น 10% ของเงินเดือนแต่จะได้หุ้น 15% (ESPP) มีกองทุนเกษียณอายุที่บริษัทสมทบให้ 50% (401k) มีเงินค่าออกกำลังกายให้ปีละเกือบครึ่งแสน ได้ Surface Book ฟรี (เพื่อนถึงกับเอาไปขายต่อ) ได้ไปคอนเสิร์ต Ellie Goulding (ตอนนั้นไม่รู้จัก ถามเพื่อนว่า Adele เหรอ) ขึ้นรถเมล์ฟรี มีส่วนลดร้านอาหาร, สวนสัตว์, พิพิธภัณฑ์, ฯลฯ มีประกันชีวิต ประกันอุบัติเหตุ มีทนายให้ (แต่ห้ามฟ้อง Microsoft 555) เรียกว่าบริษัทดูแลดีครับ และที่สำคัญที่สุดคือคนจะเริ่มมองว่าเราต้องมีดีอะไรซักอย่าง ถึงเป็น Senior ที่นี่ได้ แต่ผมก็รู้สึกโง่เหมือนเดิม 

ขออนุญาตฝาก https://noranart.com  ทิ้งท้ายว่าท่านใดสนใจลองสมัครงาน อย่างน้อยได้สัมภาษณ์ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีครับ หรือมีคำถามอะไรก็ยินดีตอบให้นะครับ ขอบคุณครับ

เข้าชมเว็บไซต์ที่นี่
Photo by Aaron Burden on Unsplash
Photo by Aaron Burden on Unsplash
Special Thanks!พี่ซอลและพี่มิ้ม
 
 Resourceshttps://www.flaticon.com/free-icon/united-states_206626?term=america%20flag&page=1&position=1&page=1&position=1&related_id=206626&origin=searchhttps://unsplash.com/photos/t2b1Z-jPT-w
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น