จดไว้ให้แฟนเก่า! แกะภาษาจาก 5 เพลงใหม่ของ ‘Olivia Rodrigo’ นักร้องสาวขวัญใจวัยรุ่น Gen Z

สวัสดีน้องๆ ชาว Dek-D ทุกคนค่า ถ้าพูดถึงนักร้องตัวแทนวัยรุ่นยุค GenZ นาทีนี้เราต้องยกให้กับ 'Oliivia Rodrigo' นักร้องสาววัย 18 ปี ที่ดังเป็นพลุแตกไปกับเพลงเปิดตัวอย่าง 'drivers license' จนทุบสถิติชาร์ตเพลงทั่วโลกในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และสานต่อความปังอีกครั้งกับเพลง 'deja vu' เมื่อช่วงเดือนเมษายน และล่าสุดเธอก็ไม่รอช้าเปิดตัวอัลบั้มเดบิวต์อย่างเป็นทางการไปหมาดๆ กับอัลบั้ม 'Sour' ที่เธอลงมือแต่งเองทุกเพลง และตอนนี้เพลงในอัลบั้มของเธอก็พาเหรดติดชาร์ตทุกสำนัก เรียกว่าเป็นนักร้องใหม่ที่น่าจับตามองสุดๆ (ขนาด Taylor Swift ยังบอกว่านี่แหละลูกสาวของฉัน!) 

Photo Credit: Olivia Rodrigo Official Site
Photo Credit: Olivia Rodrigo Official Site 

และด้วยความเป็นวัยรุ่นนี่แหละค่ะ เนื้อหาแต่ละเพลงของสาวโอลิเวียก็เรียกว่าเต็มไปด้วยอารมณ์วัยว้าวุ่นขมปนหวาน ทั้งความรัก ความโกรธ ความอิจฉา และการค้นหาตัวตน และที่สำคัญภาษาที่เธอเลือกใช้ในเพลงก็มีเนื้อหาเข้าใจง่าย แกรมมาร์ไม่ซับซ้อน เหมาะกับน้องๆ ที่อยากฝึกภาษาอังกฤษเลยก็ว่าได้ วันนี้พี่ชีตาร์เลยคัดมา 5 เพลงให้น้องๆ ตามไปฟังพร้อมฝึกภาษากัน จะมีเพลงอะไรบ้าง ตามมาเซฟเก็บไว้ในเพลย์ลิสต์กันเลยค่า :-) 

Photo Credit: Olivia Rodrigo Official Site
Photo Credit: Olivia Rodrigo Official Site 

///

‘happier’

มาที่เพลงแรก ‘happier’ พูดถึงในมุมมองของแฟนเก่าที่แม้ว่าจะเลิกกันไปแล้ว แต่ก็หวังให้เธอไปได้ดี แต่อีกใจนึงก็ไม่อยากให้ดีไปกว่าตอนที่คบกัน รับบทอดีตแฟนสาวขี้หวงความทรงจำไปอีก เพลงนี้จะแอบมี mood คล้ายๆ กับเพลง ‘Happier - Ed Sheeran’ เลยค่ะ เพราะต่างคนต่างอยากมีความสุขที่สุดตอนอยู่กับแฟนเก่าซะงั้น 

I hope you're happy, but not like how you were with me

ฉันหวังให้เธอมีความสุขนะ แต่ไม่ใช่แบบตอนที่อยู่กับฉัน

I'm selfish, I know, I can't let you go

ฉันมันเห็นแก่ตัว ฉันรู้ดี ฉันไม่สามารถปล่อยเธอไปได้

So find someone great but don't find no one better

เพราะงั้นหาใครสักคนที่ดี แต่ไม่ใช่ใครที่ดีกว่าฉัน

I hope you're happy, but don't be happier

ฉันหวังว่าเธอจะมีความสุขนะ แต่อย่ามีมากไปกว่าตอนนั้น (ที่เราคบกัน)

เกร็ดภาษาจากเพลง

การใช้ ‘ขั้นกว่า (Comparison)’ ในภาษาอังกฤษ สามารถเติม -er หลังคำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่อใช้เปรียบเทียบคุณลักษณะของของ 2 สิ่ง เช่น 

-happy > happier (มีความสุขมากกว่า)

-good   > better (ดีกว่า)

สงสัยมั้ยคะ ทำไมคำว่า ‘great’ ในเพลงไม่ใช้ขั้นกว่าว่า ‘greater’ แต่เลี่ยงไปใช้คำว่า ‘better’ แทน เพราะคำว่า ‘great’ เมื่อนำมาเติม -er แล้วจะมีความหมายว่า ‘ใหญ่กว่า’ ไม่ใช่ดีหรือเยี่ยมกว่าแต่อย่างใด   

///

‘traitor’ 

มาที่เพลงที่ 2 กับเพลง ‘traitor (คนทรยศ)’ เพลงตัดพ้อ แซะจิกกัดแฟนเก่านิดๆ รับบทอดีตแฟนสาวเจ้าน้ำตาแต่ก็มีความเป็น Fighter ไม่ยอมคนเหมือนกัน อารมณ์แบบว่า ทำไมเธอ move on ได้ แต่ฉันยังอยู่ที่เดิม! เพลงนี้มีความอารมณ์รุนแรง และสื่อถึงเซนส์ผู้หญิงแรงมากค่ะ เพราะสุดท้ายคนรักของเธอก็ไปคบกับคนนั้นที่เคยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ไหนบอกว่าอย่าคิดมากไง! You are a traitor! :(  

You betrayed me

เธอทรยศฉัน

And I know that you'll never feel sorry

และฉันก็รู้ว่าเธอไม่เคยรู้สึกผิด

For the way I hurt

ที่ทำให้ฉันเจ็บเลย

You talk to her

เธอคุยกับเขา

When we were together

ในตอนที่เรายังคบกัน

Loved you at your worst

ฉันรักเธอแม้จะเป็นอย่างนั้น

But that didn't matter

แต่มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ 

เกร็ดภาษาจากเพลง

คำว่า ‘feel sorry’ แปลว่า ‘รู้สึกผิด/รู้สึกแย่’ ต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นด้านลบ เราจะใช้คู่กับ ‘for’ เท่านั้นนะคะ เช่น ‘I feel sorry for your lost’ = ฉันเสียใจด้วยกับการสูญเสียของคุณ และเนื่องจาก for เป็นคำบุพบท (Preposition) สิ่งที่ตามหลังต้องเป็นคำนาม (Noun) หรือคำกิริยาที่เติม -ing เท่านั้น เช่น ‘I am sorry for hurting you so bad.’ = ฉันรู้สึกเสียใจที่ทำให้เธอเจ็บปวดเหลือเกิน 

///

‘good 4 u’ 

เพลงนี้จะไม่อารมณ์พลุ่งพล่านเท่าเพลงก่อนหน้า แต่มีความแซะแฟนเก่าตั้งแต่ชื่อเพลงไปเลย ซึ่ง ‘good for you’ ที่ว่านั้น เราสามารถใช้ได้ในหลายแง่ทั้งบวกและลบ แต่ในเพลงนี้คือแซะ 100% เพราะดนตรีก็คือเร้าใจมาก รวมถึงเนื้อเพลงและน้ำเสียงก็คือประชดประชันกันสุดตัว รับบทอดีตแฟนสาวเจ้าคิดเจ้าแค้นกันไป

good for you, I guess that you've been workin' on yourself

ดีสำหรับเธอแล้วแหละ ฉันคิดว่าเธอคงหายดีแล้ว 

I guess that therapist I found for you, she really helped

คิดว่านักบำบัดที่ฉันหาให้เธอ เขาคงช่วยเธอได้ดี

Now you can be a better man for your brand new girl

ในตอนนี้เธอจะได้เป็นคนที่ดีขึ้นสำหรับแฟนใหม่ของเธอ  

เกร็ดภาษาจากเพลง

คำว่า ‘work on (something/somebody)’ เป็น ‘phrasal verb’ มีความหมายว่า ‘พยายามทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ’ และเนื่องจาก on เป็นคำบุพบท (Preposition) สิ่งที่ตามหลังต้องเป็นคำนาม (Noun) หรือคำกิริยาที่เติม -ing เท่านั้น 

ตัวอย่างเช่น ‘No matter how hard I tried, I can’t work on forgetting you’ = ไม่ว่าฉันจะพยายามมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถลืมเธอได้ :-( 

///

‘déjà vu’ 

ต่อที่เพลง ‘déjà vu’ จะบอกว่าเพลงนี้แซ่บจนต้องเอามือทาบอกตอนฟังในครั้งแรกเลยค่ะ มีความโชว์เหนือคนรักใหม่ของแฟนเก่าไปอีก มีการใช้คำว่าเดจาวูมาเล่นในเพลงด้วย รับบทอดีตแฟนสาวขี้น้อยใจจนต้องแอบแขวะนิดๆ //อารมณ์วัยรุ่นพลุ่งพล่านสุดดด 

So when you gonna tell her that we did that, too?

แล้วเธอจะบอกเขาตอนไหนล่ะ ว่าเราก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน 

She thinks it's special, but it's all reused

เขาคิดว่ามันพิเศษ แต่จริงๆ แล้วมันก็แค่ของทำซ้ำ 

That was our place, I found it first

มันเคยเป็นที่ของเรา ฉันเป็นคนเจอมันก่อน 

Do you get déjà vu when she’s with you?

รู้สึกเดจาวูบ้างมั้ยเวลาเธออยู่กับเขา? 

เกร็ดภาษาจากเพลง

คำว่า ‘déjà vu’ มาจากภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึง ‘ความรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับว่าเราได้เคยสัมผัสหรือประสบกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ไปแล้ว’ พูดง่ายๆ ก็คือเหตุการณ์ตรงหน้ามีความคุ้นเคยราวกับว่ามันเคยเกิดขึ้นไปแล้วอย่างไรอย่างนั้น ถึงแม้ว่าจะมีรากศัพท์มาจากภาษาฝรั่งเศส แต่คำนี้ก็ถูกใช้อย่างแพร่หลายในทุกประเทศทั่วโลก! 

///

‘driver license’

ปิดท้ายที่เพลงสุดปังอย่าง ‘driver license (ใบขับขี่)’ กันค่ะ สาเหตุที่ใช้ชื่อเพลงว่าใบขับขี่ เป็นเพราะว่าเธอกำลังเปรียบความรักความสัมพันธ์ของคู่รักกับการไปทดสอบทำใบขับขี่ค่ะ ครั้งหนึ่งเคยพยายามกับความรักครั้งนี้อย่างมาก เหมือนได้ผ่านบทสอบต่างๆ จนได้ใบขับขี่นี้มา แต่สุดท้ายในขากลับกลับเหลือเพียงตัวคนเดียว และยังต้องขับรถกลับบนถนนเส้นเดิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำที่เคยสร้างมาด้วยกันอีก รับบทแฟนเก่าที่ยัง move on ไม่ได้ เพลงนี้จะมี mood ที่ค่อนข้างเศร้า เปิดเพลงนี้ระหว่างขับรถแล้วคิดถึงแฟนเก่ากันถ้วนหน้าแน่ๆ T-T 

'Cause you said forever, now I drive alone past your street

เพราะเธอบอกตลอดไป ตอนนี้ฉันได้แต่ขับรถคนเดียวผ่านถนนของเธอ 

Yeah, today, I drove through the suburbs

ใช่แล้วล่ะ วันนี้ฉันขับผ่านไปแถวชานเมือง

'Cause how could I ever love someone else?

เพราะฉันจะไปรักคนอื่นได้ยังไงกัน? 

เกร็ดภาษาจากเพลง

ความแตกต่างระหว่าง ‘passed’ และ ‘past’ 

Passed (V.) เป็นรูปอดีตของ ‘pass’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘ผ่าน/ส่งผ่าน(ไปแล้ว)’ 
เช่น ‘I pased all my exams!’ = ฉันสอบผ่านทุกแบบทดสอบแล้ว! 

ในขณะที่ ‘Past’ (N./ADJ.) ให้ความรู้สึกที่เศร้ากว่านิดๆ เพราะมันให้ความรู้สึกว่าสิ่งที่เรากำลังพูดถึง ไม่มีอีกแล้ว ใช้บอกจุดของเวลาในอดีตที่ผ่านไปแล้วนั้นเอง 
อย่างเช่น ‘In the past people used to live differently’ = คนใช้ชีวิตที่แตกต่างในอดีต

// ถ้าจะแยกให้ชัดๆ คือเราจะไม่ใช้ ‘past’ เป็นคำกริยา เพราะมันทำหน้าที่เป็นคำนามหรือคำคุณศัพท์เท่านั้น ในขณะที่ ‘passed’ เป็นกริยาเสมอ! อย่างในเพลง ‘I drive alone past your street’ กริยาก็คือ drove กริยาช่อง 2 ของ drive ส่วน past มีหน้าที่มาช่วยขยายเท่านั้น 

ความจริงแล้วในอัลบั้ม Sour นั้นมีถึง 10 เพลงด้วยกัน นอกจาก 5 เพลงที่พี่ยกมา เพลงอื่นๆ ก็ดีงามไม่แพ้กัน ความหมายแต่ละเพลงคือดีสุดๆ  น้องคนไหนที่อยากฝึกภาษาก็ไปหาฟังกันได้นะคะ : ) 
 

Sources:https://www.oliviarodrigo.comhttps://www.billboard.com/articles/columns/pop/9576109/olivia-rodrigo-sour-review-tracks-ranked/https://www.bbc.com/news/entertainment-arts-57174471https://dictionary.cambridge.org/dictionary/english/deja-vuhttps://www.oxfordinternationalenglish.com/passed-vs-past-whats-the-difference/
พี่ชีตาร์
พี่ชีตาร์ - Columnist Once a Literature Student, Always a Literature Student

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น