สวัสดีค่ะชาว Dek-D ทุกคน มีใครเคยสังเกตไหมคะว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพของผู้คนบนโลกเริ่มเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีและระบบอำนวยความสะดวกเริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตเรามากขึ้น และยิ่งเวลาผ่านไปสิ่งเหล่านี้ก็ดูเหมือนจะยิ่งก้าวหน้าจนเราเองก็ตามแทบไม่ทัน วันนี้ พี่ปุณ เลยอยากจะมาแชร์ “เทรนด์การทำงาน” ที่จะเกิดขึ้นในอีกเกือบ 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 2030 นั่นเอง ไปดูกันค่ะว่าจะมีอะไรต่างออกไปจากการทำงานในปัจจุบันบ้าง!
โลกแห่งการทำงานใหม่ ตื่นตาตื่นใจกว่าเดิม
โลกแห่งการทำงานในอีก 10 ปีข้างหน้าถูกแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลัก โดยแต่ละรูปแบบจะถูกแทนด้วยสีที่บ่งบอกถึงลักษณะการทำงานที่ต่างกัน
1. The Red World
โลกแห่งการทำงาน “สีแดง” คือโลกที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับธุรกิจขนาดเล็ก ทั้งในด้านการเข้าถึงข้อมูล การพัฒนาทักษะ และการเงิน ซึ่งนั่นหมายถึงว่าการหางานจะยากขึ้น การแข่งขันจะสูงขึ้น การจ้างงานจะไม่ใช่หน้าที่ของ HR ในแต่ละบริษัทอีกต่อไป เพราะธุรกิจจะเลือกให้บริษัทภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดหาทรัพยากรบุคคลเข้ามาทำหน้าที่แทน ดังนั้นคนที่มีทักษะโดดเด่นและหลากหลายเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้
2. The Blue World
โลกแห่งการทำงาน “สีน้ำเงิน” คือโลกที่กิจการที่มีการทำธุรกิจเกี่ยวกับต่างประเทศจะเติบโต แข็งแกร่ง และมีอิทธิพลกว่าที่เคยเป็นมา บริษัทน้อยใหญ่ต่างก็ต้องปรับตัวและพัฒนา เพื่อรักษาผลประโยชน์และกำไรของบริษัทไว้ ซึ่งถ้าบริษัทไหนพัฒนาได้ไวกว่า ก็จะมีโอกาสขึ้นมาเฉิดฉายในธุรกิจประเภทนั้นๆ ได้
3. The Green World
โลกแห่งการทำงาน “สีเขียว” คือโลกที่ให้ความสำคัญกับ “ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” โดยในปัจจุบัน ทุกธุรกิจในทุกประเทศต่างหันมาสนใจประเด็นการรักษาสิ่งแวดล้อมและกำจัดมลพิษมากขึ้น ทำให้หลายองค์กรมีการตั้งกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม เพื่อนำโลกที่น่าอยู่กลับมาสู่ผู้คนนั่นเอง
4. The Yellow World
โลกแห่งการทำงาน “สีเหลือง” คือโลกที่บริษัทและลูกจ้างต่างเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และพึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยลูกจ้างมักจะมองหางานที่มีความยืดหยุ่น มีอิสระ และตอบโจทย์กับความสามารถของตัวเอง เพื่อจะได้อุทิศตนทำงานให้บริษัทได้เต็มที่ ในส่วนของบริษัท เมื่อได้รับงานที่มีประสิทธิภาพตามที่มุ่งหวังแล้ว ก็ย่อมต้องให้ค่าตอบแทนอย่างเหมาะสม เพื่อซื้อใจให้ลูกจ้างดีๆ อยู่กับบริษัทต่อไปอีกเนิ่นนาน
สภาพแวดล้อมการทำงานดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
แน่นอนว่าเมื่อเทรนด์การทำงานเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมการทำงานย่อมเปลี่ยนตาม และนี่ก็เป็นตัวอย่างบางส่วนของสภาพแวดล้อมการทำงานที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 ปีข้างหน้านี้
- ผู้คนจะสามารถ กำหนดสถานที่และสภาพแวดล้อมการทำงานได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งทำงานรวมกัน แต่สามารถแยกย้ายกันไปทำงานคนละที่ โดยยังได้งานที่ดีและมีคุณภาพได้
- ธุรกิจขนาดเล็กจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ละธุรกิจจะเริ่มรวมตัวหรือสร้างพาร์ทเนอร์เพื่อความก้าวหน้าในสายงานนั้นๆ
- เรื่องลำดับขั้นและความอาวุโสในบริษัทจะถูกลดทอนความสำคัญลง ทุกคนสามารถเป็นผู้นำในเรื่องที่ตัวเองถนัด อีกทั้งยังเน้นการทำงานเป็นทีมมากกว่าการสั่งงานในแบบฉบับของเจ้านายกับลูกน้องด้วย
- ห้องพักผ่อน ห้องเล่นเกม ดนตรีบำบัด และพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง จะถูกเพิ่มเข้ามาในออฟฟิศ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีและทำให้คนทำงานมีความผ่อนคลายมากขึ้น
- อุปกรณ์เทคโนโลยีและฟีเจอร์อำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างเช่น Siri, Alexa, Email, Schedule meetings, และ Spreadsheets จะเข้ามาเป็นตัวช่วย ทำให้เราสามารถทำงานได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม
- ระบบการทำงานแบบออนไลน์ทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการแชร์ไอเดียเกิดขึ้นได้ง่ายขึ้น เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็สามารถติดต่อสื่อสารและเชื่อมถึงคนที่อยู่ห่างไกลได้อย่างไร้กังวล
ต้องยอมรับเลยค่ะว่าสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี มีผลต่อคุณภาพงานที่ลูกจ้างแต่ละคนจะสรรค์สร้างออกมาเป็นอย่างมาก การปรับบรรยากาศในออฟฟิศและการจัดหาตัวช่วยในการทำงานที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทควรให้ความสำคัญด้วยนั่นเอง
10 อาชีพเกิดใหม่ ชวนให้อัปสกิล
มาถึงช่วงของการอัปเดต 10 อาชีพเกิดใหม่ ที่กำลังเป็นที่สนใจและคาดว่าจะได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2030 ใครเล็งอาชีพไหนไว้ ก็ต้องรีบตามอัปสกิลให้ทัน รู้ก่อนได้เปรียบกว่าแน่นอน!
Virtual Store Sherpa - อาชีพบริการลูกค้า คอยให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเพื่อสร้างความพึงพอใจและมีส่วนสำคัญให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
Personal Data Broker - อาชีพนายหน้าที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าเงินลงทุนที่เสียไป จะถูกเปลี่ยนเป็นผลกำไรอย่างงาม
Personal Memory Curator - อาชีพผู้ดูแลความทรงจำ อาชีพนี้มักจะทำงานกับผู้สูงอายุ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมเหมือนจริงและประสบการณ์ใหม่ๆ เพื่อลดความเครียดจากการสูญเสียความทรงจำ
Augmented Reality Journey Builder - Augmented Reality หรือ AR คือการนำเทคโนโลยีมาผสมผสานระหว่างโลกแห่งความเป็นจริงและความเสมือน ด้วยการใช้ระบบซอฟต์แวร์หรืออุปกรณ์เชื่อมต่างๆ โดยอาชีพนี้ต้องทำงานร่วมกับวิศวกรและศิลปินด้านเทคนิคเพื่อพัฒนาอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
Highway Controller - อาชีพจัดระบบการจราจร ทั้งบนถนนและในอากาศเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้ผู้ใช้ยานพาหนะ
Body part maker - อาชีพที่จะดูแลเรื่องสรีระและอวัยวะในร่างกายให้กับเหล่านักกีฬาและทหาร
Nano-medic - อาชีพที่มีการนำนาโนเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยหากในอนาคตวิทยาการนี้ถูกนำมาต่อยอดและพัฒนาไป ผู้ป่วยก็จะมีความหวังในการหายจากโรคร้ายมากยิ่งขึ้น
GM/Recombinant farmer - อาชีพที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับการทำเกษตรและปศุสัตว์
Elderly wellness consultant - อาชีพที่จะคอยให้คำแนะนำและคำปรึกษาด้านสุขภาพทั้งทางกายและทางใจกับผู้สูงวัย
Memory augmentation surgeon - อาชีพศัลยแพทย์ผ่าตัดขยายความทรงจำ เพื่อช่วยรักษาและพัฒนาความทรงจำในกลุ่มประชากรผู้สูงอายุ
จะเห็นได้ว่าเมื่อแต่ละประเทศเริ่มเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อาชีพเกี่ยวกับการแพทย์ การพยาบาล และการดูแลผู้ป่วยก็ได้รับความนิยมมากขึ้น โดยการดูแลที่ว่านี้ไม่ใช่เพียงแต่การรักษาอาการทางกาย แต่รวมไปถึงการดูแลจิตใจให้แข็งแกร่งและคิดบวกอยู่เสมอด้วยนั่นเอง
เป็นยังไงกันบ้างคะกับ เทรนด์การทำงานในปี 2030 ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่นานนี้ มีใครเห็นด้วยกับพี่ไหมว่าเทคโนโลยีเริ่มเข้ามามีบทบาทและเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในปัจจุบันให้เติบโตและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ถ้าใครสังเกตเห็น อยากเป็นที่ต้องการ อยากทำงานในสายงานที่ใฝ่ฝัน และอยากมีความมั่นคงในอาชีพแล้วล่ะก็ เตรียมปรับตัวกับโลกการทำงานที่เปลี่ยนไป แล้วอย่าลืมอัปสกิลกันไว้ให้ดีด้วยนะคะ!
Source:https://www.simplilearn.com/future-of-work-article
1 ความคิดเห็น