รีวิวเรียนสถาบันภาษาเกาหลี 'Yonsei KLI' จุดแพสชันจนคว้าทุนรัฐบาลเกาหลีในรั้ว ม.ยอนเซ

อันยองค่ะชาว Dek-D ~ นับวันกระแสเรียนภาษาเกาหลีจะยิ่งมาแรงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากโรงเรียนกับมหาวิทยาลัยในไทยจะเปิดสอนแผนนี้โดยเฉพาะแล้ว เดี๋ยวนี้ยังมีช่อง YouTube และคอร์สออนไลน์ให้เข้าถึงได้ฟรีๆ เยอะมากกก หรืออีกทางเลือกนึงคือมีหลายคนไป take course ของสถาบันภาษาที่มหาลัยในเกาหลีเปิดสอนเพื่อให้ได้ซึมซับภาษาและวัฒนธรรมเต็มๆ 

และหนึ่งในนั้นคือ ‘น้องขิม’ ณัฐมนต์ ครูส่ง ที่หลังจากเรียนจบม.ปลายแผนศิลป์-คำนวณเน้นภาษาอังกฤษ ก็ตัดสินใจไปค้นหาตัวเองโดยการลงเรียนภาษาเกาหลีที่ Yonsei University Korean Language Institute (YSKLI) จากเลเวล 2 จนจบเลเวล 6 ปัจจุบันเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ป.ตรี ที่ Yonsei University ที่เดียวกับที่เรียนภาษาเลยค่ะ ในนี้จะเล่าตั้งแต่การเรียนคลาสภาษา สภาพแวดล้อม บรรยากาศ สภาพแวดล้อม รวมถึงการปรับตัวจากเด็กสถาบันภาษาสู่เด็กปี 1 ในรั้วม.ยอนเซด้วย  // ใครอยากเรียนต่อเกาหลีห้ามพลาด เพราะเด็กที่เรียนสถาบันภาษาที่นี่มีโอกาสได้รับการแนะนำให้กับทางคณะของมหาลัยยอนเซด้วยนะคะ

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

เพราะสื่อบันเทิงมีคุณภาพ 
เลยเริ่มอยากเรียนรู้ภาษา

“หนูเป็นคนนึงที่เริ่มเรียนภาษาเกาหลีเพราะซีรีส์กับรายการวาไรตี้ของเค้าค่ะ เพราะไม่ใช่แค่คอนเทนต์สนุก แต่ยังมีซับไตเติลให้เราซึมซับภาษากับวัฒนธรรมของเค้าแบบอ้อมๆ ได้อีก หลังจากเรียนจบมัธยมก็เลยอยากค้นหาตัวเองก่อน เลยขอที่บ้านไปเรียนสถาบันภาษาของ ม.ยอนเซ (YSKLI) การสมัครง่ายมากๆ ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขอะไรมากมาย แค่ต้องเช็กว่าจะสมัครโปรแกรมไหน เน้นเตรียมเอกสารให้ครบ จากนั้นเค้าจะมี Placement Test ดูเลเวลภาษาของเราก่อน ถ้าเกิดไม่ได้ภาษาเกาหลีเลยก็เริ่มต้นที่ 1 ค่ะ”

โปรแกรมทั้งหมดมีดังนี้

(อ้างอิง: https://www.yskli.com/hp/main/main.do)


 

  • Regular Program
  • The University Korean Program
  • Evening Program
  • Advanced Program
  • Summer Special Program
  • 3-Week Program
  • Request Program

“ส่วนหนูเริ่มมาเรียนตอนเลเวล 2 โปรแกรม Regular Program ที่จะเน้นการสื่อสารในชีวิตประจำวัน พอจบเลเวลนึงรู้สึกอยากให้ท้าทายขึ้น เลยย้ายมาเป็น The University Korean Program ตอนเลเวล 3 (ตอนจะย้ายก็แค่ลงทะเบียนง่ายๆ แล้วทำ Placement Test เพราะข้อสอบคนละชุดกัน)”

The University Korean Program
The University Korean Program
Cr. YSKLI (Official Website)

โปรแกรม Regular vs. The University Korean Program 

ข้อแตกต่างของ 2 โปรแกรมนี้ (*จากประสบการณ์ส่วนตัว)

  • เกณฑ์การ pass ชั้น ถ้าเป็น Regular ต้องทำคะแนนรวม 4 ทักษะ = 60% ขึ้นไป แต่ The University Korean Program จะต้อง 70% และมีคะแนนการเข้าชั้นเรียน (Attendance) เช่น ปกติเรียน 200 ชั่วโมงต่อเทอม ต้องเข้าคลาส 80% หรือ 160 ชั่วโมงขึ้นไปด้วย
     
  • Regular Program จะเน้นสื่อสารในชีวิตประจำวันมากกว่า แต่เนื้อหาของ The University Korean Program จะค่อนข้างเป็นเชิง Academic ที่ใช้กันในระดับมหาลัยเลย มีทั้งแนวมนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ เข้มข้นมากก แล้วยังมีสอนนำเสนองานกับโต้วาทีด้วย  *มีพี่คนนึงตั้งใจจะมาเรียนต่อแพทย์ เค้าก็มาเรียนโปรแกรมนี้ก่อนเพื่อเตรียมความพร้อม นอกจากนี้หนูเห็นว่าเพื่อนที่เรียน Regular ได้ทำรายงานตอนเลเวล 5 แต่โปรแกรมของเราจะได้ทำตั้งแต่เลเวล 4 การดีเบตก็เริ่มเร็วกว่าค่ะ
Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

บรรยากาศในคลาส & วิธีเรียน

"ถ้าเป็นเลเวลแรกๆ ระดับ Beginner คลาสนึงน่าจะมีนักเรียนไม่เกิน 13 คน แต่จำนวนห้องเยอะมากกก ตอนนั้นเห็นเลเวล 2 มี 13 คลาส แต่พอเลเวลสูงขึ้นอาจเหลือแค่ 1 คลาส ส่วนใหญ่คนจีนกับญี่ปุ่นจะมาเรียนเยอะ แต่ละคนที่เรียนมี background ต่างกัน เช่น ตอนเรียนเลเวล 6 มี Visiting Professor ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เกาหลีชาวอเมริกันมานั่งเรียนด้วยกันอีกด้วย"

บรรยากาศหอประชุมช่วง orientation ก่อนเปิดคอร์ส
บรรยากาศหอประชุมช่วง orientation ก่อนเปิดคอร์ส
Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

"ปกติแล้วใน 1 ปีจะได้เรียน 4 เทอม / เลเวลละ 2 เดือนครึ่ง / แล้วหยุด 2 สัปดาห์ เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยใน 1 วันจะแบ่งเป็น 4 คาบ คาบละ 50 นาที ซึ่งใน 1 วันเค้าจะจัดให้เรียนประมาณ 2-3 ทักษะ

ยกตัวอย่างเช่น Listening ตอนแรกจะให้ฝึกฟัง Passage สั้นๆ แล้วตอบคำถาม แต่พอเลเวลสูงขึ้นก็จะยาวเป็นหน้าๆ ส่วน Speaking อาจารย์จะให้โต้วาทีหรือกำหนดหัวข้อให้นั่งดิสคัสกันในคลาส หรืออย่าง Writing นอกจาก Essay สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ก็ยังมีให้แต่งประโยคทุกวันด้วยค่ะ หนูว่าเนี่ยยากสุดเพราะเป็นคนแต่งประโยคไม่เก่งเลยยย 

ส่วนตัวคิดว่ายากสุดคือช่วงเปลี่ยนผ่านจากกึบ 3 ไปกึบ 4 เพราะทั้งภาษาและศัพท์แอดวานซ์ขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยค่ะ จะไม่ใช่ศัพท์ในชีวิตประจำวันเหมือนก่อนหน้านี้ที่อาจคุ้นจากในทีวีบ้าง ส่วนแกรมมาร์ก็ค่อยๆ ไต่เลเวลขึ้นมา แต่จะยากตรงที่ต้องมาประกอบกับคำศัพท์"

"จริงๆ แล้วแทบไม่รู้สึกว่าเพื่อนแข่งกันเรียน แต่กลายเป็นเราเองที่อยากรักษามาตรฐานให้ได้พอๆ กับคนอื่นมากกว่า ความรู้สึกเลยขึ้นๆ ลงๆ ยิ่งตอนสอบคือเครียดมาก เพราะทั้งเนื้อหาเยอะ แล้วตัดเกรดโหด อย่างที่บอกคือถ้าจะ pass ชั้นต้องได้ 70% ขึ้นไป (ถ้า 69 คือ F) และคะแนนแต่ละสกิลต้องไม่ต่ำกว่า 70 ด้วย"

ว่าด้วยเรื่องทัศนศึกษา

"ปกติถ้าไม่มีโควิดเค้าจะมีทัศนศึกษาด้วยเทอมละ 1 ครั้ง อย่างหนูมีโอกาสได้ไปสถานีโทรทัศน์ MBC ไปกันยกคลาส ไม่มีการบ้าน ทางสถานีเค้าจะมีเปิดโซนนึงของสถานีให้นักท่องเที่ยวเข้าชมโดยเฉพาะ ให้เราได้เห็นระบบการทำงาน มีบทละครให้อ่านได้ มีห้องถ่ายทำเป็นจอเลื่อนๆ ให้ลองเล่นเหมือนในห้องประกาศข่าว ปกติน่าจะมีนักท่องเที่ยวมากันเยอะแยะเลยค่ะ

แต่ที่น่าเสียดายอีกอย่างคือปกติตอนจบเลเวล 6 มีทริปจบไปต่างจังหวัด แล้วในวันมอบใบประกาศฯ ทุกคนจะได้แต่งชุดฮันบกแบบ formal เข้าไปรับ แต่ของหนูดันเป็นออนไลน์แทนค่ะ TT"

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818
หอ Yonsei University International Campus, Songdo, Incheon
หอ Yonsei University International Campus, Songdo, Incheon
Photo Credit: IG @Kimn0818

เมื่อมองย้อนกลับไปตอนเลเวล 2

"หนูว่ามันเหมือนกับมุมมองของเราเปลี่ยนไปเลย อย่างเช่นตอนเลเวล 2 เรียนภาษานึงได้ประมาณนึงแล้ว ก็จะแบบ เฮ้ยยย เราได้เยอะแล้วนะเนี่ย เรียนแป๊บๆ ก็น่าจะจบแล้วแหละ แต่พอจบเลเวล 6 มาปุ๊บ โห เรายังไม่รู้อะไรอีกเยอะเลย ยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้อีก มีศัพท์ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน"

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

เมื่อรีเสิร์ชก่อนจบของสถาบันภาษา 
พาไปเจอเป้าหมายเรียนต่อมหาลัย

"หลักๆ แล้วเป้าหมายที่สถาบันภาษาให้เราทำวิจัย (Research) คืออยากให้คือเรารู้ว่าจะเข้าถึงข้อมูลได้จากแหล่งไหนและด้วยวิธีไหนบ้าง โดยเราต้องทำ Presentation นำเสนออาจารย์ 2-3 ครั้งว่าจะทำเรื่องนี้ + คอยอัปเดตเรื่อยๆ + นำเสนอผลหลังวิจัยเสร็จสิ้น   **หนูใช้เวลาทำทั้งเทอม แต่พอเข้ามหาลัยจริง งานสเกลนี้ใช้เวลาแค่สัปดาห์เดียว แล้วยังเข้มข้นกว่าเดิมอีกกก เพราะเรียนออนไลน์แล้วเค้าจะสั่งงานลักษณะนี้แทนการสอบกลางภาคและปลายภาคค่ะ

หนูเลือกทำวิจัยหัวข้อ “โฆษณาแฝงในสื่อเกาหลีและการยอมรับของผู้บริโภค” ความท้าทายคือเราเองยังไม่ค่อยรู้จักเพื่อนที่เป็นคนเกาหลี การจะเจาะอินไซต์เลยไม่ง่ายขนาดนั้น อิงจากรีเสิร์ชที่เค้าเผยแพร่บนเว็บ ระหว่างเก็บข้อมูลเราได้ค้นพบข้อมูลที่น่าสนใจว่าปกติแล้ว TV หรือ YouTube ของเกาหลี ถ้ามีโฆษณาแฝงจะต้องเขียนไว้ชัดเจนด้วย ส่วนความถี่ของโฆษณา ส่วนใหญ่จะมีครั้งเดียวคั่นระหว่าง 2 รายการ แล้วถ้าเป็นเมื่อก่อน ละครตั้งแต่ต้นจนจบแทบไม่มีโฆษณาเลย

แล้ววิจัยนี้ทำให้เป้าหมายเราชัดเจนขึ้น ตอนแรกลังเลว่าจะยื่นสมัครเรียนแนวนิเทศฯ หรือธุรกิจดี ซึ่งเรื่องนี้อยู่ก้ำกึ่งระหว่าง 2 ฝั่ง พอได้ชั่งน้ำหนักก็รู้สึกตัวเองจะเหมาะกับทาง Marketing มากกว่า เลยเลือกไปทั้ง 3 อันดับเลยค่ะ 

อันดับ 1 : คณะ Business Administration ที่ Yonsei University  (*ได้อันดับนี้)

อันดับ 2 : คณะ Liberal Arts & Social Science Business Administration  ที่ Hanyang University

อันดับ 3 : คณะ College of Business Administration ที่ Hannam University 

อ่านรีวิวขอทุนรัฐบาลเกาหลีใต้ (ป.ตรี)
Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

"ส่วนที่เลือก ม.ยอนเซเพราะจากที่ได้เรียนภาษามา เราเห็นว่าเค้าจัดสภาพแวดล้อมสำหรับนักศึกษาดีมาก เน้นทั้งเรื่องเรียน+ชีวิตมหาวิทยาลัย  มีครบทั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ชมรม กิจกรรม แล้วยังมีงานแข่งขันกีฬาครั้งใหญ่ระหว่าง ม.ยอนเซ กับ ม.โคเรีย (연고전) แล้วยังมีเทศกาล Akaraka (아카라카) ที่จะมีนักร้องไอดอลต่างๆ มากันเยอะมาก น่าเสียดายปีนี้อดเพราะโควิด (ช่วงปี 1 มหาลัยจะมีแบ่งเป็นบ้านๆ ในหอของ International Campus ให้ฟีลเหมือนใน Harry Potter ด้วยนะคะ มีรุ่นพี่ดูแลและจัดกิจกรรมให้)

อยากแนะนำคนที่อยากเรียนต่อมหาลัยที่เกาหลีว่า การเรียนสถาบันภาษา YSKLI เป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าเรียนที่ ม.ยอนเซด้วย เพราะเค้าจะมีให้อาจารย์ช่วยเสนอนักเรียนในห้องที่เรียนดีให้อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนสอนภาษาพิจารณา ถ้าผ่านโรงเรียนก็จะแนะนำให้ทางคณะของ ม.ยอนเซโดยตรงอีกทีนึงค่ะ"

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

รีวิวชีวิตเด็ก ม.ยอนเซ

ประเดิมด้วยการเรียนออนไลน์

ด้วยความที่เรียนภาษาจบเลเวล 6 แล้ว พอสมัครเรียน ม.ยอนเซต่อเค้าก็ตัดให้เราเป็น TOPIK 6 เลยค่ะ (เงื่อนไขทุนนี้คือถ้าได้ TOPIK 5 ขึ้นไป = ไม่ต้องเรียนคอร์สภาษาแล้ว) ดังนั้นตอนนี้เรากำลังเรียนปี 1 ที่ ม.ยอนเซ  รายวิชาเป็นแบบ GenED คณะเราจะมี require ให้เก็บวิชาสถิติ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ วิชาคณะจะค่อนข้างโหดอยู่ (ขนาดรุ่นพี่คนเกาหลียังบอกว่ากว่าจะรอดมาได้ก็แทบตาย)" 

แล้วยิ่งตอนเรียนต้องพยายามรักษามาตรฐานให้เทียบเท่า เพราะเรียนหลักสูตรภาษาเกาหลี ก็คือเรียนกับคนเกาหลี 100% อาจจะมีนักเรียนต่างชาตินิดหน่อย แต่อย่างที่รู้กันว่าเรียนออนไลน์ไม่ได้เอื้อกับการหาเพื่อน ทุกคนไม่ยอมเปิดกล้องจนจบเทอมยังแทบไม่เคยเห็นหน้ากันเลยค่ะ 555"

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

เลือกเรียนได้อิสระสุดๆ

"ข้อดีของการเรียนที่ ม.ยอนเซ คือเด็กมีอิสระในการเลือกเรียน สนใจวิชาไหนก็ลงได้เลย น้อยมากที่จะจำกัดว่าต้องเป็นเด็กคณะไหนถึงจะลงวิชานี้ได้ นอกจากนี้เราสามารถเรียนเป็นเมเจอร์เดี่ยว / ดับเบิลเมเจอร์ / หรือไมโครเมเจอร์ก็ได้ แต่ละแบบจะมีกำหนดหน่วยกิตที่บังคับลงเรียนต่างกัน พอเรียนจนปี 3 ก็สามารถย้ายคณะได้ และมีเลือกเรียนแบบตรีควบโทได้ด้วย เปิดกว้างมากจริงๆ"

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

คอร์สภาษาระดับ 6 VS. ชีวิตมหาลัยปี 1

"เรื่องเนื้อหาความยากคือเหมือนเป็นภาคต่อ (Next Level) ของสถาบันภาษาเลยค่ะ ตอนเรียนภาษาจบกึบ 6 ก็ยังมั่นใจว่าพอได้แล้วแหละ เพื่อนหลายคนที่จบกึบ 6 ก็คิดแบบนั้น แต่พอเข้ามาจริงๆ มีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะเลย 

โปรแกรมที่สถาบันภาษาก็จะเน้นพัฒนาเลเวลภาษาโดยเฉพาะ แต่พอ switch มาเป็นหลักสูตรมหาลัยแล้ว เค้าโฟกัสเรื่องเนื้อหา ไม่มีเวลามาทวนเรื่องภาษา บางแกรมมาร์ก็เพิ่งมาเห็นที่นี่เลย นอกจากนี้ยังต้องปรับตัวเรื่องสังคม เพราะการคุยกับเจ้าของภาษากับคนต่างชาติจะมี gap แตกต่างกัน ถึงคุย topic เดียวกันแต่เหมือนกับตอนคุยกับคนเกาหลีแล้วหนูจะกดดันกว่าอย่างบอกไม่ถูก"

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

เรียนคลาสเกาหลีล้วน VS. คลาสเด็กต่างชาติล้วน

“ปกติเรียนเกาหลี แต่จะมีบางรายวิชาที่ขึ้นต้นด้วย GLC (Global Leadership College) จะจำกัดเฉพาะเด็กต่างชาติเท่านั้น เราต้องเรียนครบ 3 วิชาตอนปี 1

ดังนั้นหนูเลยเห็นภาพความต่างชัดระหว่างวิชาที่เรียนกับคนเกาหลีล้วนและต่างชาติ ความคาดหวังของอาจารย์ในคลาส GLC เค้าดูเข้าใจต่างชาติกว่า เรื่องภาษาบางคนอาจยังไม่เป๊ะ เค้าก็ค่อยๆ อธิบาย แต่ถ้าวิชาคนเกาหลีล้วนเลย เช่น วิชา Health & Exercise เนื้อหาคือ โหนึกว่าเรียนหมอ 55555 เค้าสอนละเอียดมากกก ศัพท์เฉพาะนี่พรั่งพรูสุดๆ ลึกยันชื่อเซลล์กล้ามเนื้อ เส้นประสาท หน้าที่ ประเภทการบาดเจ็บ วิธีรักษาและปฐมพยาบาล ซึ่งคลาสนี้หนูได้เรียนออนไลน์ ลุ้นตรงที่ต้องทำรายงาน และตัดเกรดรวมกับเด็กเกาหลี สรุปเขียนส่งไป 7 หน้า พอคะแนนวิชานี้ออกมาได้ 96/100 เกินคาดมากกก ><

ส่วนวิชา Food Science เรียนเป็นภาษาอังกฤษ เนื้อหาลึกพอสมควรเลยค่ะ สมมติเรียนเรื่องแป้ง ก็เรียนยันโครงสร้างแป้ง กลูเตนยังไง นม ชีส ประวัติความเป็นมาของ Pasta”

และด้วยความที่มหาลัยเป็นมหาลัยที่เน้นเกี่ยวกับศาสนาคริสต์เลยมีวิชา เช่น Christianity และ Chapel เพิ่มเข้ามาเป็นวิชาบังคับที่จะต้องเก็บให้ครบก่อนจบการศึกษาด้วยค่ะ ซึ่ง Chapel จะต้องเรียนทั้งหมด 4 เทอมเลย"

เรื่องการตัดเกรด แบ่งถี่มาก เช่น A, A+, A0, A- เกรดสูงสุดคือ 4.3 (ถ้าเป็น ม.โคเรียคือ 4.5)

Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

ชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ
ชีวิตแต่ละวันที่เกาหลี

  • เรื่องสวัสดิการ หนูว่ามีความเท่าเทียมระหว่างคนต่างชาติกับคนเกาหลีในระดับที่น่าพึงพอใจเลย อย่างเช่นเราต้องจ่ายประกันสุขภาพเหมือนกัน เราเบิกเงินค่าประกันได้ หนูเคยไปตรวจสายตาแล้วตัดแว่นล่าสุด จ่ายไปแค่ 600 บาทเอง (แล้วแต่เงื่อนไข) บางทีจ่ายนิดหน่อย อาจจะค่าน้ำตาเทียมก็ตก 300 บาท ซึ่งจริงๆ น่าจะต้องเสียประมาณ 1,200 บาทเลยค่ะ
     
  • ไหนๆ ก็เล่าเรื่องสุขภาพ หนูคิดว่าคนที่นี่เข้าถึงระบบสาธารณสุขได้ง่ายมาก อย่างมีเพื่อนไปประชุมแล้วเจอคนติดโควิดแล้วสงสัยว่าตัวเองติดเชื้อมั้ย ก็แค่ Walk-in ไปตรวจได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องมีอาการมาก่อน วันรุ่งขึ้นผลออก
     
  • แต่ที่ลำบากคือชื่อคนไทยกับคนต่างชาติจะยาว แล้วจะเจอปัญหาตอนต้องยืนยันตัวตนเวลาสมัคร App ทำธุรกรรมอะไรสักอย่าง เพราะในช่องกรอก Alien Registration Number บางทีเขียนไม่พอ มีจังหวะที่ลงทะเบียนไม่ผ่านบ้าง 55555
     
  • ระบบอาวุโส (Seniority) ของคนเกาหลีเข้มข้นมั้ย … คิดว่าแล้วแต่ประสบการณ์ส่วนตัวของแต่ละคน และต่างกันเป็นกรณีๆ ไป อย่างหนูเองรู้สึกว่าคนเกาหลีค่อนข้างซีเรียสกับวิธีการเรียก คำศัพท์ระดับสุภาพหรือไม่สุภาพค่ะ
     
  • ระบบเตือนภัยฉุกเฉิน (Emergency Alert) ที่เกาหลี เตือนถี่มากกก มีทุกวัน ไม่ใช่แค่โควิด บางทีมี Heat wave มาก็เตือนเหมือนกัน
Photo Credit: IG @Kimn0818
Photo Credit: IG @Kimn0818

แชร์วิธีเรียนภาษาเกาหลี & แนะนำคอร์สฟรี ม.ยอนเซ

"ปกติหนูจะฝึกภาษาจากการดูรายการวาไรตี้กับ YouTube ที่มีซับไตเติลเกาหลีเป็นหลัก มีทั้งแนวทำอาหาร บิวตี้ เที่ยว ฯลฯ เพื่อเพิ่มคลังศัพท์ได้หลายๆ หมวดค่ะ พักหลังนี้เราก็อยากบังคับให้ตัวเองฝึกสกิลการฟังด้วย เพราะในชีวิตจริงมีหลายสำเนียงและวิธีพูดที่หลากหลาย เลยเลือกฟังวิทยุเกาหลีในแอปฯ นอกจากนี้คืออ่านหนังสืิอตามหัวข้อที่ชอบ เช่น เรื่องสั้น การพัฒนาตัวเอง ฯลฯ เลือกที่จะอ่านแล้วไม่เบื่อ จะได้เรียนรู้การเขียนและ expression ที่หลากหลายด้วยค่ะ

แล้วแนะนำว่าล่าสุดวันที่ 6 กันยายนที่ผ่านมาทางมหาลัยได้เปิดแพลตฟอร์ม Learnus.org   (ที่ปกติจะให้นักศึกษาใช้เรียนออนไลน์) ให้กับคนทั่วไปเข้ามาลงทะเบียนเรียนคอร์สต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็น Open program (คอร์สฟรี) หรือ Professional Program (มีค่าใช้จ่าย)  มีหลักสูตรหลากหลายให้เลือกทั้งด้าน IT, Humanities, Life science, Art และอื่นๆ อีกเยอะเลยค่ะ ที่สำคัญหลังจากเรียนจบแล้วยังได้ใบ Certificates ให้อีกด้วยค่ะ”

เข้าสู่เว็บไซต์คอร์สเรียน LearnUs
พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

4 ความคิดเห็น

kookkaii :3 Columnist 16 ก.ย. 64 12:30 น. 1-1

มีค่ะ ^^ พี่ขออนุญาตยกตัวอย่างเป็นเจ้าของเรื่องนี้นะคะ https://www.dek-d.com/studyabroad/55999/ พี่คนนี้ได้ทุนรัฐบาลเกาหลีป.โทไปเรียน Biomedical Engineering (의용공학과) ที่ Konyang University (Medical Campus) เจ้าของเรื่องเล่าว่าตอนแรกพูดภาษาเกาหลีได้ 2-3 คำ แล้วการเรียนการสอนก็เป็นภาษาเกาหลีหมด แต่ข้อดีคือทุนจะให้เรียนปรับภาษาก่อนอยู่แล้ว // หรือแนะนำให้ลองค้นหาคณะที่เปิดสอนเป็นภาคอินเตอร์ก็ได้นะคะ

0
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากมีเนื้อหาไม่เหมาะสม ผิดลิขสิทธิ์ ขัดต่อหลักกฎหมาย หรือศีลธรรม

กำลังโหลด
Dek65 17 ก.ย. 64 10:26 น. 3

ถ้าสมัครคอร์สเรียนภาษาแล้วสมัครเรียนป.ตรีที่นู้นต่อเลยได้ไหมคะ ตอนนี้ม6 เเล้วถ้าสมัครคอร์สสามารถไปเรียนตอบจบม.ปลายได้ไหมคะ

1
กำลังโหลด

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด