Go Beyond Limits! เล่าชีวิตป.โท 1 ปีในรั้ว Warwick แห่ง UK กับหลักสูตรปั้นนักธุรกิจสุดครบเครื่อง (Innovation & Entrep.)

สวัสดีค่ะชาว Dek-D เชื่อว่ามีน้องๆ คนไทยที่ใฝ่ฝันอยากคว้าปริญญาโทใน “สหราชอาณาจักร” เพราะไม่เพียงบรรยากาศและสถานที่ท่องเที่ยวดีต่อใจ แต่ใน UK ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่ง และจบได้ในเวลา 1 ปีเท่านั้น

และวันนี้เราจะพาไปรู้จัก “พี่ปรอย – ณัฏฐ์หทัย เจนจิรวัฒนา” รุ่นพี่คนไทยที่เรียนจบหลักสูตร ป.โท MSc Innovation and Entrepreneurship (IAE) จาก University of Warwick ในสหราชอาณาจักร บอกเลยว่าเป็นการเรียนปีเดียวแต่คุณภาพอัดแน่น ดิสคิสมันส์ อัปสกิลเขียนแบบพุ่ง ไม่มีวิชาไหนชิลๆ แต่ไม่น่าเบื่อสักวิชา! อีกทั้งสาขา Business & Management ของ Warwick ติดอันดับ Top5 จากการจัดอันดับโดย QS World University Rankings by Subject 2022 และหลักสูตรที่พี่ปรอยเรียนครองแชมป์อันดับ 1 ใน UK จากการจัดอันดับโดย eduniversal ranking ด้วยนะคะ 

จะน่าสนใจแค่ไหน ตามมาเก็บข้อมูลกันเลย~

. . . . . . .  .

แนะนำตัว

สวัสดีค่ะ ~ พี่ปรอย เรียนจบ ป.ตรี เอกบัญชี (Accounting) จาก Thammasat Business School (BBA) พอจบมาก็เริ่มทำงานปีแรกเป็นผู้ช่วยผู้ตรวจสอบบัญชี (Audit Assistant) จากนั้นก็ออกไปทำธุรกิจส่วนตัว รวมๆ ทำงานได้สัก 3 ปีก็เริ่มรู้สึกตันๆ อยากต่อยอดสกิลที่มีเพื่อให้โพรไฟล์เราเด่นขึ้น และมองว่าเป็นจังหวะชีวิตที่เหมาะกับการไปหาประสบการณ์ที่ต่างประเทศด้วย

. . . . . . .  .

กว่าจะลงตัวกับหลักสูตรนี้ที่ “อังกฤษ”
ตัดสินใจจากปัจจัยอะไรบ้าง?

เราตั้งเป้าหมายว่าอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ เลยตัดสินใจต่อโท Innovation and Entrepreneurship ที่ University of Warwick

  1. ตอนแรกอยากไปทั้งอเมริกา (United States) กับอังกฤษ (United Kingdom) ถ้าเทียบจาก ranking มหาวิทยาลัยที่อยากเข้าก็คือพอๆ กัน เลยมาดูต่อเรื่องระยะเวลาเรียน และเลือกเป็นอังกฤษ เพราะหลักสูตร ป.โท ในอังกฤษใช้เวลาเรียนแค่ 1 ปี แต่หลายคณะในอเมริกาต้องเรียน 2 ปี
     
  2. ดูจาก ranking เน้นเลือก ม.ชั้นนำระดับประเทศและระดับโลก *เรามีไปใช้บริการ Hands On ขอคำปรึกษา 3 อันดับมหาวิทยาลัยที่ดังหลักสูตรผู้ประกอบการ (Entrepreneurship) อย่างเช่น University of Warwick ติดท็อปด้านนี้ใน UK *ตอนสมัครพี่ปรอยแนะนำว่าควรมีตัวเลือกเซฟๆ มีโอกาสติดสูงอยู่ในนั้นด้วย
     
  3. ตรวจสอบว่าในคอร์สมีวิชาที่สนใจและสอดคล้องกับเป้าหมายอาชีพเรามั้ย ส่วนตัวพี่ปรอยอ่านจากเว็บมหาวิทยาลัยประกอบกับรีวิวจากรุ่นพี่ศิษย์เก่า​ (Alumni) ว่าเค้าเรียนยังไงกันบ้าง วิชาไหนน่าสนใจค่ะ
     
  4. วิธีสอน *เรื่องนี้ช่วยเราตัดช้อยส์ได้เยอะมากกก เพราะมีบางหลักสูตรที่เรียนเลกเชอร์แล้วไปสอบ แต่พี่มองว่าสาย Business น่าจะเหมาะกับการเรียนแบบเน้นปฏิบัติ ลงมือทำจริง ก็เลยลองหาคอร์สที่สอนแบบ Active Learning และมี Workshop ให้เข้าร่วมตลอด
     
  5. เลือกเมืองที่เดินทางสะดวก ปลอดภัย ค่าครองชีพไม่สูง ซึ่ง University of Warwick อยู่ในเมือง Coventry ใจกลางเมืองประเทศอังกฤษ สามารถเดินทางไป Birmingham ได้ภายใน 20 นาที หรือไป London ได้ภายใน 1 ชั่วโมง แล้วยังเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก เราสามารถเดินไปสถานีรถไฟฟ้ากับซูเปอร์มาร์เก็ตได้เลยค่ะ :D
Photo by Christian Mackie on Unsplash
Photo by Christian Mackie on Unsplash
Photo by Tom Podmore on Unsplash
Photo by Tom Podmore on Unsplash

. . . . . . .  .

กว่าจะได้เข้าเรียน WMG ที่ Warwick
(แชร์โพรไฟล์, เอกสาร, คำแนะนำการเขียน SoP)

เอกสารการสมัครเบื้องต้น

  1. Transcript ต้องได้เกียรตินิยมอันดับ 1-2 หรือถ้าจบจากมหาวิทยาลัยในลิสต์ที่เค้ากำหนด สามารถส่งเป็นเกรดเฉลี่ยรวม 3 ขึ้นไปก็ได้เหมือนกัน
  2. CV เล่าเป็นข้อๆ (bullet points) เช่น ประวัติการเรียน การฝึกงาน การทำงาน ทักษะ งานอดิเรก ฯลฯ
  3. Statement of Purpose หรือ Personal Statement จดหมายแนะนำตัวเอง เป็นหัวใจสำคัญของการสมัครเรียนต่อ คิดดูว่าเค้าอ่าน SoP เป็นพัน ทำยังไงให้เค้าสะดุดแล้วเลือกรับเราเข้าเรียน
  4. IELTS Overall 6.5 และแต่ละพาร์ตต้องไม่ต่ำกว่า 6 (เช็กเกณฑ์คะแนนภาษาที่นี่)

*อ้างอิงจากตอนเราสมัคร กรรมการจะพิจารณาจากเอกสารล้วนๆ ไม่มีรอบสัมภาษณ์

How to Apply for 2023

แชร์ Tips การเขียนเรียงความสมัครเรียน
เขียนแบบไหนให้กรรมการสะดุด?

  1. ควรเริ่มจากลิสต์เป็นข้อๆ (bullet points) จะช่วยเซฟเวลาได้มาก เช่น 

    เหตุผลที่อยากเข้าเรียน 1…. 2…. 3….
    สิ่งที่เคยเรียน 1…. 2…. 3….
    ประสบการณ์ทำงาน 1…. 2…. 3…. 

    ข้อดีเราจะได้เห็นโครงสร้างภาพรวม SoP ของเราชัดขึ้น แล้วเลือกหยิบเฉพาะข้อที่น่าสนใจมาเขียนได้ (เป็นการคัดกรองอีกชั้นนึง) และยังช่วยคุมให้เรียงความเรากระชับได้ใจความ ไม่เวิ่นเว้อ
     
  2. ควรเลือกหยิบประสบการณ์เด่นๆ ที่คิดว่าน่าจะต่างกับผู้สมัครคนอื่นให้มากที่สุด เช่น อะไรคือจุดเปลี่ยนชีวิต เป้าหมายการทำงานในอนาคตคืออะไร ทำไมถึงเลือกเข้าเรียนคณะและสถาบันนี้ การเรียนที่นี่จะพาเราไปถึงเป้าหมายชีวิตนั้นได้ยังไง แล้วเราจะช่วย contribute มหาวิทยาลัยได้ยังไงบ้าง
     
  3. ประสบการณ์ทำงาน พยายามเขียนให้สัมพันธ์/เชื่อมโยงกับหลักสูตรที่เราสมัคร แต่ถ้าใครไม่เคยทำงานหรือเรียนสายที่เกี่ยวข้องเลย อาจไปเล่าในมุมคุณสมบัติเฉพาะตัว ความชอบ สิ่งที่อยากทำในอนาคต ฯลฯ
     
  4. แสดงให้เห็นความตือรือร้น ควรศึกษาข้อมูลหลักสูตรและมหาวิทยาลัยมาอย่างดี ถ้าง่ายสุดเลยก็คือในเว็บมหาวิทยาลัย มีบอกครบ

    เราสมัครไป 3 มหาวิทยาลัย เค้าโครงของ SoP คล้ายกัน แต่ไม่เหมือนกัน เพราะเราจะลงรายละเอียดเฉพาะของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่ง เช่น อ้างอิงวิชาเรียน เหตุผลที่สนใจ เราคิดว่าจะได้ประสบการณ์อะไรบ้าง ฯลฯ ให้เค้าเห็นว่าเราทำการบ้านมาเยอะจริงๆ 
     
  5. หาวิธีเล่าเรื่องธรรมดาให้ดูพิเศษและความเฉพาะตัวขึ้นมา (unique) จนคณะกรรมการอยากอ่านจนจบ เช่น 

    - กรณีแข่งแล้วได้รางวัลอะไรกลับมา อาจเพิ่มความน่าสนใจโดยการเล่าว่าอะไรเป็นแรงบันดาลใจให้สมัครแข่ง, จุด climax อุปสรรค หรือความท้าทายที่เจอระหว่างทาง, ทำยังไงถึงก้าวข้ามจนได้รางวัลนี้กลับมา, นอกจากรางวัลเราได้อะไรอีกบ้าง 

    - กรณีเล่าประสบการณ์ทำงาน อาจลองเปลี่ยนจากการบอกตำแหน่งและงานที่ต้องทำ มาเป็นความท้าทายที่เจอและวิธีที่ทำให้ก้าวข้ามอุปสรรค // ยกขึ้นมาเป็นกรณีศึกษาก็ได้ค่ะ เช่น พี่ยกตัวอย่างว่ามาทำงานกับคนที่อายุเยอะกว่า แต่เราต้องเป็น manager ที่คุมงานเค้าอีกทีนึง เราจะรับมือกับความกดดันรอบข้างและพาพวกเขาไปถึงเป้าหมายของบริษัทได้มั้ย ยังไงบ้าง แสดงให้เห็นว่าเรามีดีอะไร เราได้ contribute บริษัทยังไง (เช่น ทำให้ teamwork แข็งแกร่งขึ้น หรือช่วยพัฒนาสิ่งที่องค์กรมีอยู่แล้วให้ดีขึ้นได้ยังไงบ้าง)

    แพตเทิร์นที่เราใช้จะประมาณนี้
    เล่าสิ่งที่ทำ -> pain point -> วิธีที่เราใช้ก้าวข้ามอุปสรรคนั้น -> ทักษะที่ได้รับจากประสบการณ์นั้น
     
  6. แนะนำให้เป็นคำศัพท์เชิงวิชาการ​ (Academic English)
  7. ไม่ควรเขียนสิ่งที่บ่งบอกถึงทัศนคติแง่ลบ (negative thought)
  8. อยากให้ใช้พื้นที่ที่มีจำกัดให้กรรมการรู้จักเรามากที่สุด แนะนำว่าไม่ควรเขียนสิ่งที่บอกไปแล้วใน CV หรือใบสมัคร

Recommendation Letter

ฉบับนึงจากที่ทำงาน และอาจารย์ที่ปรึกษา ใครไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานมาก่อนก็สามารถขอจากอาจารย์ทั้ง 2 ฉบับได้เลย คำแนะนำคือ

  • ถ้าตอน ป.ตรี วางแผนจะเรียนต่อ ป.โท อยู่แล้ว ให้พยายามสร้างความคุ้นเคยกับอาจารย์ไว้สักประมาณ 1-2 คน เพราะถ้าเราเรียนจบแล้วทำงานสักพักใหญ่ๆ มีโอกาสที่อาจารย์จะจำเราไม่ได้
  • ควรส่งเป็น E-mail **แต่ถ้าไม่มีการตอบรับ อาจเข้ามหาวิทยาลัยไปพบอาจารย์โดยตรง
  • ควรขอเผื่อไว้หลายๆ คน เพราะอาจมีอาจารย์ที่ติดภารกิจ อาจไม่ได้ตอบรับหรือไม่สามารถเขียนภายในช่วงเวลาที่เราวางแผนไว้

ตัวอย่างการเขียน E-mail 

  • แนะนำตัวก่อนว่าเราเป็นใคร, เรียนวิชาอะไรกับอาจารย์ท่านนี้ ดียังไง ได้ประโยชน์อะไร ฯลฯ เพื่อสร้างความคุ้นเคยและทำให้เคารู้สึกดีกับเราก่อน จากนั้นก็เล่าว่าเราจบมาทำอะไร แล้วตั้งใจจะสมัครเรียนที่ไหนต่อ เป็นจุดประสงค์ที่อยากให้อาจารย์ช่วยเขียน Recommendation Letter ให้
  • ควรแนบ CV ประกอบให้อาจารย์รู้จักเรามากขึ้น

 

. . . . . . .  .

มหาวิทยาลัยใหญ่ฟีลธรรมชาติ
ท่ามกลางบรรยากาศเมืองย่อมๆ

UNIVERSITY OF WARWICK

University of Warwick (UW) เป็นมหาวิทยาลัยใหญ่ในเมืองเล็ก สายธรรมชาติชอบแน่นอนนน เพราะมีต้นไม้เขียวๆ สนามหญ้ากว้าง สัญลักษณ์คือเป็ดกับห่าน แต่ตึกโมเดิร์น ในรั้วมหาวิทยาลัยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ อย่างห้องสมุด, ห้องคอมพ์ขนาดใหญ่, Study Room, Sport & Wellness พื้นที่สำหรับเล่นกีฬาทุกประเภท และ Gym & Training Area

ใครอยู่หอในคือสะดวกสุดๆ มีทุกอย่างครบจบในมหาวิทยาลัยทั้งร้านอาหาร, ซูเปอร์มาร์เก็ต, บาร์, ห้องคาราโอเกะ, ธนาคาร ฯลฯ จะ hang out ก็ยังได้เลย แล้วทุกสัปดาห์จะมีจัดงานให้เข้าร่วม อาจเป็นงานเทศกาล หรือมี food truck มาสร้างสีสัน หรือถ้าอยากจะเข้าเมือง ก็นั่งบัสได้ 10 นาทีถึง

ถ้าพูดถึงคอร์สฮิตที่คนมาเรียนกันเยอะมากคือ Warwick Business School (WBS) แบ่งเป็นหลักสูตรที่ปั้น expert แต่ละด้าน เช่น Business with MSc Marketing, MSc Finance & Economic, MSc Business with Operations Management, MSc Management, MSc Marketing & Strategy เป็นต้น (*ตรวจสอบหลักสูตรได้ที่นี่) ส่วนสาขา Innovation and Entrepreneurship เป็นอีกคอร์สดัง แต่จะอยู่ภายใต้ WMG (The Warwick Manufacturing Group) 

นอกจากนี้ “สาขาวิศวกรรมเครื่องยนต์” (Automotive Engineering) ก็มีชื่อเสียง เพราะมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในเมือง Coventry ซึ่งเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ของประเทศอังกฤษ

COVENTRY

เมื่อกี้เล่าถึงมหาวิทยาลัยเป็นฟีลธรรมชาติ ส่วนเมืองที่ตั้งของมหาลัยอย่าง Coventry จะเหมาะกับคนไลฟ์สไตล์ฟีลเมือง แต่เป็นเมืองเล็กที่มีครบเกือบทุกอย่าง (บรรยากาศต่างจากเมืองใหญ่อย่าง London) ตอนนั้นเราอยู่หอนอก ออกจากหอปุ๊บเจอห้างกับร้านอาหาร ซึ่งมีร้านอาหารทั้งไทย จีน ญี่ปุ่น ปิ้งย่าง ชานมไข่มุก ฯลฯ // แนะนำ!! ร้านปิ้งย่างชื่อดังย่านนี้คือ Jinseon Korean BBQ Restaurant & Bar เรียกว่าอยู่อังกฤษได้เป็นปีเพราะร้านนี้เลยค่ะ 5555

*กรณีพี่ปรอยไม่ได้ขอทุน ประมาณค่าใช้จ่ายคร่าวๆ 1.7 ล้าน ~ 2 ล้านบาทไทย ในนี้รวมค่าเรียนและค่าครองชีพ มากน้อยขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน (ดูเพิ่มเกี่ยวกับค่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่นี่) 

. . . . . . .  .

เจาะลึกไฮไลต์เจ๋งๆ & บรรยากาศ
สาขา Innovation & Entrepreneurship 

เราคิดว่าคณะนี้เหมาะกับคนอยากทำธุรกิจส่วนตัว, Start-up หรืออยากสานต่อธุรกิจที่บ้าน แต่หลังเรียนจบก็สามารถเข้าไปทำงานในองค์กรได้เหมือนกันค่ะ

สาขานี้จะเป็นหลักสูตรที่สร้างผู้ประกอบการ (Entreprenuership) เริ่มตั้งแต่ Business Idea, Business Model และ Strategy ในการทำธุรกิจรูปแบบต่างๆ เช่น เราจะนำธุรกิจของเราออกสู่ตลาดยังไง? ขายให้ใคร? มีกลยุทธ์การตลาดแบบไหน? ถ้าเรียนจบมาคือสร้างธุรกิจได้อย่างนึงเลย แล้วที่เจ๋งมากๆ คือถ้าใครที่ตั้งใจจะสร้างธุรกิจอะไรสักอย่างแล้วหยิบมาทำเป็นโปรเจ็กต์ตอนเรียน ก็จะเหมือนกับได้อาจารย์ที่เก่งระดับโลกมาเป็นที่ปรึกษาเลยค่ะ

Photo by Tom Podmore on Unsplash
Photo by Tom Podmore on Unsplash

“ไม่มีวิชาที่ไหนที่ไม่ชอบเลย
รู้สึกสนุกเหมือนได้เล่นเกมตลอดเวลา”
 

  • เราจะได้เรียนวิชาบังคับ (Core) 7 วิชา และวิชาเลือก (Elective) 2 วิชา รวมเป็น 9 วิชา
  • เรียนจบทีละวิชา วิชาละ 1 สัปดาห์ (5-7 วัน) อาจรวมเสาร์-อาทิตย์ด้วย
  • สมมติมีนักเรียน 100 คนในรุ่น เค้าจะแบ่งเป็นกลุ่มละ 20-30 คน แล้วเวียนกันเรียนจนครบทุกวิชา เช่น กลุ่ม A เริ่มเรียนวิชาแรกเป็น Business Model Generation กลุ่ม B เริ่มด้วย Service Design and Delivery กลุ่ม C เริ่มด้วย Enabling a New Venture แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ
  • พอเป็นคลาสเล็กก็ทำให้คนในคลาสแชร์ความเห็นกันแบบคึกคักมากก อาจารย์จำชื่อเด็กได้เกือบทุกคนเลยค่ะ :D
  • หลังเรียนจบแต่ละวิชา เราจะมีเวลา 1 เดือนทำชิ้นงานประเมินหลังเรียน “Post-Module Assessment” เขียนประมาณ 3,000-4,000 คำ อาจเป็นการตอบคำถามหรือให้ทำ business case study ก็ได้

วิชาบังคับ *เรียนทุกวิชา

  • Business Model Generation
  • Service Design and Delivery
  • Enabling a New Venture
  • Finance for Entrepreneurs
  • Innovation
  • Digital Marketing Strategy and Management
  • Sales and Sales Management

วิชาเลือก *เลือกเรียน 2 จาก 4 วิชาต่อไปนี้

  • Organisations, People and Performance
  • Leadership Management of Change
  • Global Business Environments and Markets
  • Reputation and Relationship Management

 

*อ้างอิงข้อมูลเมื่อเดือน พ.ย.65 จากเว็บไซต์หลักสูตร >> 

https://warwick.ac.uk/fac/sci/wmg/education/wmgmasters/courses/innovation_and_entrepreneurship

 

เราจะได้เข้าคลาสจริงแค่ 9 สัปดาห์ แต่ก็จะมีคลาส Electives ที่ลงเรียนเองตามความสนใจได้ ตลอดเวลาเรียนไม่มีวิชาไหนที่ไม่ชอบเลยค่ะ~ สนุกทุกวิชาเพราะอาจารย์วางแผนการสอนมาอย่างดี และกระตุ้นให้แสดงความคิดเห็น อาจมาในรูปแบบงานกลุ่ม (Group Works), เวิร์กชอป (Workshop), สัมมนา (Seminar) เข้ามาถึงจะมีกิจกรรมให้ทำ เช่น แบ่งกลุ่มโยนโจทย์ให้คิด Business Idea & Model แล้วมาพรีเซนต์ หรือกำหนด Business Case ให้คิดวิธีแก้ปัญหา

ความสนุกคือในคลาสจะมีการ generate new business idea ตลอดเวลา และเป็นงานกลุ่มทั้งหมด เรากับเพื่อนจะได้แชร์ไอเดียกับสิ่งที่ตัวเองถนัด เพื่อให้ธุรกิจหรือกิจกรรมนั้นๆ แข่งขันกับคนอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่นคลาส “Innovation” แบ่งกลุ่มแข่งกันต่อหุ่นยนต์ให้ได้ผลลัพธ์ตามที่กำหนด เช่น ต่อยังไงให้หุ่นยนต์เดินบนรางได้เร็วที่สุด หรือมีธุรกิจนี้ 1 อย่าง ให้โครงสร้างหุ่นยนต์มา เราต้องคิดวิธีนำหุ่นยนต์มาเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจให้ได้

หรือในคลาส “Sales and Sales Management” เราต้องคิดธุรกิจและกลยุทธ์เพิ่มยอดขายให้บริษัทได้มากที่สุด คิดช่องทางการขาย (Online & Offline) วิเคราะห์ว่าใครคือคู่แข่งของเรา

และวิชาที่คิดว่ายากสุดสำหรับเราคือ “Business Model Generation” เค้าจะให้เราทำ Business Model Framework ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจเลยค่ะ เราจะได้เห็นภาพใหญ่และปัจจัยทั้งหมด เช่น ต้องทำอะไรบ้าง, คุณค่าของธุรกิจเราคืออะไร, มี pain point อะไรที่ธุรกิจของเราสามารถแก้ไขได้, ใครเป็น supplier เป็นต้น

______________
 

ถ้าเราคิดว่าขีดความสามารถของตัวเองอยู่ตรงไหน อาจารย์จะทำให้เราไปไกลกว่านั้นอีก เค้าบอกว่า “ธุรกิจในโลกความจริงไม่ได้ง่ายเหมือนที่เรานั่งทำเปเปอร์ส่งในคลาส เราอาจล้มเหลวตั้งแต่เริ่มก็ได้ ดังนั้นถ้าอยากเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จเราต้อง push yourself beyond your limits คุณทำได้มากกว่าที่คุณคิด เป็นได้มากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ และคุณสามารถเป็นใครก็ได้บนโลกนี้” 

อย่างเช่น เราอาจคิดว่าโมเดลธุรกิจเราโคตรเจ๋งเลยว่ะ ไป pitching เพื่อขอเงินลงทุน แต่ปรากฏว่าคนอื่นไม่ได้รู้สึกเหมือนกัน สิ่งที่เราคิดว่าทำได้ดี อาจยังไม่ใช่สำหรับคนอื่นก็ได้ อาจารย์เลยสอนว่า “อย่าหยุดพยายาม เรายังทำได้อีก” เวลาส่งงานอาจารย์แล้วเค้าตีกลับมา เราก็ต้องพยายามคิดหาวิธีทำใหม่ หาความรู้ใหม่ เอาเป็นว่าอย่าหยุดที่จะพยายาม ไม่ว่าใครมีเป้าหมายแบบไหนก็ปรับใช้ได้


______________

สำหรับ โปรเจ็กต์จบ (Dissertation) จะได้ทำตอนปี 3 คิดเป็นสัดส่วน 33% ของเกรดรวม ป.โท หลักสูตรเราจะให้ประยุกต์ทุกสิ่งที่เรียนมาสร้างเป็น New business idea ธุรกิจอะไรก็ได้ที่สนใจ แต่เงื่อนไขคือต้องไม่มีคนทำมาก่อนหรือพัฒนาสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น // ต้องรีเสิร์ชข้อมูลเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าบริหารจัดการเวลาดีก็สามารถเรียนและเที่ยวไปด้วยได้เลยค่ะ

พอพูดถึง Dissertation ก็ต้องเล่าถึงความยากของ ป.โท ว่าเขียนเยอะมาก ตกวิชาละ 3,000-4,000 คำ คูณไป 9 วิชา ส่วนโปรเจ็กต์จบ (Dissertation) ขั้นต่ำ 20,000 คำ (เราเขียนไปประมาณ 40,000 คำ ไม่ได้กำหนด maximum) มันเป็นอะไรที่ท้าทายมากเลยนะ เพราะเรารู้สึกตัวเองภาษาไม่แข็งขนาดนั้น แต่ต้องมาเขียนเยอะมากภายในเวลาที่จำกัด สุดท้ายแล้วบรรยากาศการเรียนก็ผลักดันให้ทำได้สำเร็จ 

**มาตรฐานการให้ Dissertation ผ่านของ Warwick สูงมากกก ถ้าทำดีๆ อาจถึงขั้นได้ตีพิมพ์ แล้วอย่างปัจจุบันเรากำลังเรียน ป.เอก ก็ได้ต่อยอดหัวข้อที่เคยทำตอน ป.โท ด้วยค่ะ

. . . . . . .  .

#รุ่นพี่บอกต่อ
อยากให้เตรียมรับมือกับสิ่งนี้

1. ภาษาเชิงวิชาการ (Academic) 
และทักษะการพูดในที่สาธารณะ (Public Speaking) 

เราจะได้เจอบรรยากาศแบบ Interactive Learning ต้องมีส่วนร่วมในการคุยและตอบคำถามตลอดเวลา  

เมื่อก่อนเรากังวลมากๆ กว่าจะพูดออกมาได้ 1 ประโยค ช่วงไปเรียน UK แรกๆ เลยกดดันตัวเอง  ตอนพูดหน้าห้องก็เก้ๆ กังๆ แต่จริงๆ เราได้อยู่ในสังคมที่ผลักดันให้ทุกคนกล้าพูด เห็นต่างได้ไม่ผิด แล้วถึงสำเนียงจะฟังยากหรือพูดผิดพูดถูก ขอแค่สื่อความหมายได้ คนรอบข้างก็จะพยายามทำความเข้าใจและ push ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครชี้ว่า you พูดไม่รู้เรื่อง จากนั้นพอได้พูดเรื่อยๆ ก็จะคล่องและลื่นไหลขึ้นเอง

2. ทัศนคติ (Mindset) 

มีหลายคนเลยที่ตอนเรียนทำ Business Idea หรือ Dissertation พอจบออกมาแล้วสร้างธุรกิจได้จริงๆ ดังนั้นอย่าประเมินตัวเองต่ำเกินไป ถ้ามีดีต้องโชว์ออกมา 

3. ไอเดียธุรกิจที่อยากทำจริง

แนะนำว่าถ้าใครคิดโปรเจ็กต์ไว้แล้วหยิบมาทำส่งตอนเรียน เวลาอาจารย์คอมเมนต์จะเหมือนได้ที่ปรึกษาด้านธุรกิจที่เก่งระดับประเทศมาให้คำแนะนำ เพราะพวกเค้าผ่านประสบการณ์ทำธุรกิจมาอย่างเข้มข้น หรือบางคนก็ทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านธุรกิจด้วย

4. ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องเรียน แต่สำคัญมาก!

อยากเตือนให้รักษาสุขภาพดีๆ อย่าเจ็บป่วยเลยย~ ระบบโรงพยาบาลที่นี่มีคุณภาพก็จริง แต่ต้องรอแต่ละขั้นนานมาก แล้วยังหาซื้อยายากมากๆ ด้วยค่ะ อย่าลืมพกยาสำคัญมาด้วยนะคะ

. . . . . . .  .

ความเจ๋งของมหาวิทยาลัย
ซัพพอร์ตเรื่องการหางานแบบจัดเต็ม

มหาวิทยาลัยจะส่งเสริมให้นักเรียนจบแล้วมีงานทำ หรือช่วยให้ธุรกิจที่คิดไว้เกิดขึ้นจริงได้เลยค่ะ ซึ่งการซัพพอร์ตจะมีหลายรูปแบบ เช่น 

Career Fair 

จัดทุกเทอม 3 และมีต่อเนื่องทุกสัปดาห์ มหาวิทยาลัยจะเชิญคนจากบริษัทดังระดับโลกมาพูดถึงกระบวนการสมัครงาน

Research Employer Event 

เชิญบริษัทหรืออาจจะเป็นศิษย์เก่าที่จบออกไปทำงานบริษัทนั้นๆ มาพูดเรื่องทักษะ (Skills) และประสบการณ์ (Experience) ที่นายจ้างมองหาในตัวผู้สมัคร เพื่อให้เห็นแนวทางว่าเราจะบิ๊วพอร์ตยังไงให้มีโอกาสเข้าตากรรมการมากขึ้น

Career Workshop 

สอนทำ CV การนำเสนอตัวเองในโพรไฟล์ให้โดดเด่น และ Job Interview (สัมภาษณ์งาน) เทรนกับรุ่นพี่หรืออาจารย์ และมีเนื้อหาในเว็บ Warwick ให้ศึกษาเองได้ด้วย *บางครั้งมหาวิทยาลัยจะเชิญนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาบรรยาย และส่งนักเรียนไปแข่ง Business ด้วยค่ะ

Connection​ (ดีมาก!)
 

  • อาจารย์ก็เป็นผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์สูง หลังจบแล้วเรายัง keep contact พูดคุยปรึกษากันได้
  • เพื่อนที่เรียนด้วยกันในหลักสูตรผู้ประกอบการ มักจะมีเป้าหมายคืออยากทำธุรกิจหรือมีธุรกิจของตัวเองอยู่แล้ว ทำให้เราเหมือนเจอคนที่คุยภาษาเดียวกัน และมาจากต่างเชื้อชาติต่างวัฒนธรรม ได้เห็นไอเดียที่แตกต่าง นำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจในไทยที่เราทำได้เลย
  • เครือข่ายคนไทยใน Warwick เหนียวแน่น รุ่นพี่รุ่นน้องดีมากๆ มาแล้วไม่เหงาแน่นอน!

Company Visit มหาวิทยาลัยมีพาเราไปบริษัทต่างๆ เช่น

  • Jaguar บริษัทผลิตรถยนต์ระดับหรูของ UK
  • ดูการทำ Logistic ที่แอมะซอน.คอม (Amazon.com) แหล่งซื้อขายสินค้าปลีกขนาดใหญ่
  • บริษัทผลิตรองเท้าบูทของประเทศอังกฤษ

. . . . . . .  .

ได้ประยุกต์ใช้ทุกอย่างที่เรียน
และสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่ง

หลังเรียนจบเราได้ออกมาเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) แตกไลน์ออกมาทำธุรกิจเป็นของตัวเองค่ะ :D หลังจากเรียนทุกอย่างที่นักธุรกิจต้องทำจริงๆ ไม่ว่าจะเป็น Theory, Strategy, Framework, Connection หรือ Experience ใหม่ๆ จากในคลาส เราได้ประยุกต์ใช้จริงทั้งหมด แล้วยังต่อยอดหัวข้อโปรเจ็กต์จบตอน ป.โท มาใช้สมัครและ pitching ต่อในการเรียน ป.เอก ได้ด้วย

การเรียน ป.โท เหมือนได้สร้างเกราะป้องกันที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้น สร้างวิธีคิด, กรอบความคิด (mindset) เป็นการเปิดประสบการณ์ครั้งใหม่และโอกาสใช้ชีวิตแบบ freedom เรียนรู้การใช้ชีวิตและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งและแตกต่างจากตอนมาเที่ยวมากๆ เลยค่ะ

. . . . . . .  .

สำหรับน้องๆ ที่อ่านแล้วอยากปรึกษาเรื่องเรียนต่อหลักสูตรนี้ที่ Warwick สามารถติดต่อมาที่ IG: proymuayy หรือ FB: proy.janjirawattana   ได้นะคะ :D

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น