สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับคนที่อยากเรียนต่อแพทย์ใน “จีน” ประเทศที่ยิ่งใหญ่ทั้งอาณาเขต เศรษฐกิจ และยังทรงอิทธิพลระดับโลก วันนี้เราจะชวนไปเจาะลึกเส้นทางเรียนแพทย์อินเตอร์ 6 ปีของ “พี่อู๋-ศุภัสรา มุทานนท์” จบจาก “มหาวิทยาลัยฟู่ตั้น” (Fudan University) ซึ่งคณะแพทย์ที่นี่ดังมากกกทั้งในหมู่คนจีนเองก็ต้องแข่งขันกันแบบเดือดๆ เพื่อให้ได้เข้าเรียนที่นี่ // ถ้าพร้อมแล้ว มาตามติดชีวิตแต่ละพาร์ตของพี่หมออู๋กันเลยค่ะ!
"พี่หมออู๋" ให้เกียรติตอบรับคำเชิญมาประจำบูธงาน Dek-D’s Study Abroad Fai รอบเมษายน 2024 ใครอยากปรึกษา 1:1 กระบวนการสมัคร การเรียนและการใช้ชีวิต ฯลฯ เคลียร์คิวแล้ว Walk-in มาที่บูธได้เลยนะคะ (พี่หมออู๋จะมาวันที่ 28 เม.ย. 2024) เช็กตารางรุ่นพี่และไฮไลต์ทั้งหมดที่นี่ลิงก์นี้ได้เลย: https://www.dek-d.com/studyabroadfair
**แนะนำสำหรับน้องๆ ที่ต้องการปรึกษา แนะนำให้เตรียมข้อมูลเกรดเฉลี่ย ม.ปลาย, ผลทดสอบภาษา และใบประกาศนียบัตรที่ใช้ประกอบการสมัครมาด้วย พื่อให้ได้คำแนะนำและการช่วยเหลือที่ตรงจุดที่สุด
1. ที่มาที่ไป ทำไมถึงเลือกเรียนแพทย์ที่ประเทศจีน
สวัสดีค่ะ ชื่อ “พี่อู๋-ศุภัสรา มุทานนท์” นะคะ เรียนจบ ป.ตรี คณะ Bachelor of Medicine and the Bachelor of Surgery (MBBS) ที่ Fudan University ในเมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ประเทศจีน ตอนนี้กลับมาทำงานที่ไทยพร้อมกับเปิดเอเจนซี Intexcell ที่ช่วยเหลือน้องๆ ที่สนใจอยากเรียนแพทย์ในประเทศจีนทั้งหลักสูตรจีนและอินเตอร์ค่ะ
จุดเริ่มต้นที่เลือกเรียนแพทย์คือช่วงมัธยมชอบวิชาชีวะที่สุด และพี่อู๋จบ ม.ปลายจากโรงเรียนนานาชาติที่จีน ก็เลยหาลู่ทางเรียนต่อแพทย์ในต่างประเทศค่ะ สุดท้ายจีนลงตัวสุด เพราะพอมีพื้นฐานภาษาจีนอยู่นิดหน่อย และมองว่าเป็นประเทศใกล้ไทย ค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงเท่าฝั่งยุโรป
2. เลือกมหาวิทยาลัยจากเหตุผลอะไรบ้าง
*สำคัญมากๆ* ถ้าเกิดวางแผนว่าจะกลับมาทำงานที่ไทย ต้องสมัครมหาลัยที่แพทยสภาของไทยรับรอง ถึงจะมีสิทธิ์สอบใบประกอบโรคศิลป์ของไทยได้
พี่อู๋เลยเริ่มจากนั่งลิสต์มหา’ลัยแทบจะทุกที่ที่เขารับรองออกมาเลยค่ะ 555 หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเลือกหลักสูตร MBBS ของ Fudan University ด้วยหลายเหตุผล
- Rankings อันดับของโลกและประเทศ ปัจจุบันคณะแพทย์ ม.ฟู่ตั้น เป็นอันดับ 2 ของจีน อ้างอิงจาก QS World University Rankings by Subject 2023: Medicine) และ ม.ฟู่ตั้นยังหนึ่งใน 9 มหาวิทยาลัยชั้นนำกลุ่ม C9 League ของประเทศจีนด้วยค่ะ
- คณะ MBBS เป็นภาคอินเตอร์ มีนักเรียนต่างชาติเท่านั้นที่เข้าได้ การเรียนการสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
- แคมปัสอยู่ในเมืองเซี่ยงไฮ้ (Shanghai) ที่ตอบโจทย์เรื่องความสะดวกสบาย
- คอนเน็กชันดีมาก มีความร่วมมือกับ Top U. ระดับโลก เช่น Harvard University
พอได้เข้าไปเรียนแล้วไม่ผิดหวังเลย เราเจอข้อดีอีกเยอะมากๆ
- ขอไฮไลต์ว่าอาจารยที่ฟู่ตั้นดีมากมากกกก แล้วด้วยความที่โรงพยาบาลในเครือของฟู่ตั้นจะเป็นโรงพยาบาลชั้นนำใหญ่ๆ ของประเทศ ได้รับเคสที่ส่งต่อมาจากโรงพยาบาลอื่นค่อนข้างเยอะ เรามีโอกาสได้ศึกษาเคสยากๆ เคสที่เจอได้ไม่บ่อย รู้สึกโชคดีมากกที่ได้เข้าเรียนที่นี่
- เรื่องนี้สำคัญ เรียนแพทย์ที่จีนมีเวลาให้นอนค่ะ! ตอนเรียนแพทย์ที่จีนปี 4-5 ไม่ต้องเข้าเวร หรือถ้ามีช่วงที่ต้องเข้าเวรข้ามคืนจริงๆ ก็จะมี off ให้กลับไปนอนได้ ไม่ใช่ทำงานต่อเนื่อง
- จีนมีกฎหมายระบุว่า นักศึกษาต่างชาติจะไม่สามารถลงมือทำหัตถการเองได้ แม้จะเป็นเพียงหัตถการง่ายๆ เบื้องต้น นอกจากอาจารย์จะอนุญาต ดังนั้นจะมีข้อจำกัดเรื่องหัตถการ แต่ข้อดีคือเรียนแพทย์ที่จีนจะปิดเทอมนาน เราสามารถใช้เวลาช่วงนี้ไปสมัครฝึกงานในต่างประเทศได้ พี่อู๋เคยฝึกงานที่จีน ไทย และอังกฤษ ช่วงที่ฝึกงานในไทยกับอังกฤษเลยได้เติมเต็มข้อจำกัดนี้ค่ะ
3. อยากให้พี่อู๋แชร์โพรไฟล์ตอนสมัครหน่อยค่า
คณะแพทย์ ม.ฟู่ตั้นมีคนสมัครเยอะ คัดโหด รวมๆ คือการแข่งขันสูงมาก ก่อนอื่นคุณสมบัติผู้สมัครต้องผ่านตาม Requirements ทั้งหมดเขาถึงจะพิจารณาขั้นต่อไป
น้องๆ ที่สนใจลองตรวจสอบ Requirements คณะ MBBS ของฟู่ตั้นที่พี่อู๋สรุปไว้ที่ลิงก์นี้ได้นะคะ อัปเดตสดๆ ร้อนๆ ของปี 2024 ค่า
อัปเดต!! ไกด์ไลน์ MBBS ปี 2024ตอนพี่อู๋สมัครมีประมาณนี้
- วุฒิ ม.ปลายภาคอินเตอร์ (จบจาก High School ในจีน)
- คะแนนเกรดปีสุดท้าย 4.00
- IELTS 6.5
คำแนะนำเบื้องต้นถึงน้องๆ ม.ปลาย
- ต้อง Strong ทั้ง Academic และ Activity คะแนนทุกพอยต์สำคัญหมด แนะนำว่า Portfolio ควรมีใบประกาศนียบัตรแข่งวิชาการ จิตอาสาในโรงพยาบาล ตอนสมัครพี่อู๋ลิสต์กิจกรรมที่เคยทำมาทั้งชีวิตตั้งแต่ ป.2 ทั้งประกวดงานเขียน จิตอาสา หัวหน้าทีมแบดมินตัน ฯลฯ ยกมาหมดเลยค่ะ 5555
- คณะ MBBS ถึงไม่มีวุฒิอินเตอร์ก็ยื่นได้ แต่ต้องพยายามทำองค์ประกอบอื่นให้โดดเด่น เช่น IELTS Score, Personal Statement, Recommendation Letter, Awards, etc.
- รอบสัมภาษณ์ ต้องรู้จักโพรไฟล์ตัวเองอย่างดี เพราะเขาจะรีวิวเอกสารของเราละเอียดมากถึงมากที่สุด เช่น ทำไมมีช่วงที่เราเกรดเราตกไปนิดนึง หรือ เราได้รางวัล Writing โดดเด่นในโรงเรียน แต่ขัดกับคะแนน IELTS ที่ไม่ถึง 7 เพราะอะไร ฯลฯ
4. หลังจากมหาวิทยาลัยตอบรับ แล้วต้องทำอะไรอีกบ้าง
- หลักๆ จะต้องดำเนินการยื่นเรื่องกับทางแพทยสภา เอกสารตอนนั้นจะประกอบด้วยแบบฟอร์มที่ทางแพทยสภาให้กรอกข้อมูล, สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาว่าสำเร็จการศึกษาก่อนสมัครเข้าเรียนแพทย์ และหลักฐานการตอบรับเข้าเรียนสถาบันแพทย์ (กรณีที่สถาบันนั้นผ่านการรับรองจากแพทยสภาแล้ว) จากนั้นก็ชำระเงินค่าธรรมเนียมขึ้นทะเบียนค่ะ
- พอได้ตอบรับแล้ว ทางมหาลัยจะส่งเอกสารจำเป็นมาให้ทางที่อยู่ที่เรากรอกไว้ใน Application Form ค่ะ ขั้นตอนนี้จะครอบคลุมเรื่องการทำวีซ่าด้วยนะคะ
- หลังจากทำเรื่องสำคัญเรียบร้อย พี่อู๋แนะนำให้ใช้เวลาที่เหลือไป enjoy กับชีวิต เที่ยวและใช้ชีวิต ทำสิ่งที่อยากทำให้มากที่สุด เพราะเมื่อเข้าเรียนแล้วอาจจะหาโอกาสได้น้อยมาก พี่อู๋เองก็คือคนนึงที่ไม่เคยฉลองปีใหม่ สอบตรงช่วงไฟนอล และไม่ค่อยมีเวลาได้เที่ยวหรือใช้ชีวิตเลยค่ะ
5. นักศึกษาแพทย์อินเตอร์ที่ ม.ฟู่ตั้น เรียนอะไรกันบ้าง!?
หลักสูตร Bachelor of Medicine and the Bachelor of Surgery (MBBS) ที่ Fudan University จะมีทั้งหมด 6 ปีการศึกษา แบ่งเป็น Pre-Clinical Year (ปี 1-3) และ Clinical Year (ปี 4-6) โดยรวมพี่อู๋ว่าการเรียนแพทย์ หนักจริง แต่ไม่ได้ยาก ใช้วินัยและความพยายามสูง
Note:
|
Pre-Clinical Year (ปี 1-3)
ปี 1
เรียนเหมือน ม.ปลาย ยังพอมีเวลาให้สนุกได้
- นักศึกษาแพทย์จะได้เรียนรวมกันที่ Handan Campus (邯郸市) (หัน-ตัน) เรียนวันจันทร์-ศุกร์ตั้งแต่ 08.00-16.00 น. วิชาเหมือนได้ทบทวน ม.ปลายซ้ำอีกครั้ง ยังไม่เจอวิชาเฉพาะของแพทย์โดยตรง
- ตัวอย่างวิชาเรียน เช่น ฟิสิกส์ (Physics) เคมี (Chemistry) ชีวะ (Biology) Science) แคลคูลัส (Calculus) คอมพิวเตอร์ (Computers) ภาษาจีน (Chinese I), China Survey I-II ส่วนวิชาเลือกปีนี้ พี่อู๋ลงเป็น Introduction to Buddhism, Energy and Environment Chinese และ Calligraphy ไปเพราะได้ยินมาว่าง่ายสุดแล้ว 555
- สรุปภาพรวมปี 1 อาจจะยากสำหรับคนที่ไม่ถนัดวิชานั้นๆ แต่ก็ถือว่ามีเวลาให้ปรับตัวและใช้ชีวิตมากที่สุดแล้ว พี่อู๋เลยอยากแนะนำให้ออกไปทำกิจกรรม พูดคุยกับเพื่อนคนจีนเยอะๆ เพื่อฝึกภาษา จะช่วยให้ใช้ชีวิตในประเทศจีนง่ายขึ้นค่ะ
ปี 2
เริ่มต้องจำสิ่งใหม่ๆ ไต่ระดับความละเอียด
- ปีนี้เราจะได้ย้ายไปเรียนที่ Fenglin Campus (เฟิง-หลิน) ซึ่งเป็นแคมปัสที่รวมคณะสายแพทย์ เภสัช พยาบาล ฯลฯ และอยู่ติดกับหลายโรงพยาบาลค่ะ หลักๆ ปีนี้เราจะได้เรียนความผิดปกของเซลล์ เรียน Anatomy มีผ่าอาจารย์ใหญ่ และเข้าสู่การเรียนภาษาจีนสำหรับแพทย์ (Medical Chinese II) แต่ยังจำแค่ส่วนสำคัญๆ อย่างพวกกระดูกชิ้นใหญ่ๆ กระเพาะอาหาร ชื่อโรค ฯลฯ
- เทอม 1 เรียนวิชา Medical Chinese II, Cell Biology, Medical Genetics, Systematic Anatomy, Histo Embryology ส่วนวิชาเลือกอู๋ลงเป็น Molecular Biology of Cancer
- เทอม 2 เรียนวิชา Medical Chinese II, Physiology, Immunology, Regional Anatomy, Experiment in Biochemistry, Biochemistry
ปี 3
ความสนุกเริ่มหดหาย
- เข้าสู่เนื้อหาแพทย์ล้วนๆ จำเรื่องความผิดปกติของร่างกาย ชื่อโรคต่างๆ มีเข้า Lab (+ เขียน Lab Report) มีฝึกงานที่แผนกสูตินารีเวชที่ประเทศจีน เป็นวิชา Elective พอจบมาก็ไปฝึกงานที่ไทยค่ะ
- เทอม 1 เรียนวิชา Medical Microbiology, Pathology, Human Parasitology (พยาธิในคน), Pathophysiology
- เทอม 2 เรียนวิชา Pharmacology, Experiments of Functional Science, Diagnostic
สำหรับพี่อู๋ปีนี้หนักสุดที่เรียนมาทั้งหมด 6 ปี เพราะต้องสอบทั้งของมหาวิทยาลัยและสอบใบประกอบโรคศิลป์ที่ไทย ตอนนั้นอ่านเองหมดเพราะตั้งปณิธานไว้ว่าจะไม่ลงเรียน // สุดท้ายก็ผ่านค่า เย้!
ข้อสอบของไทยจะ based on U.S. เราอ่านไปสอบรวดเดียวได้เลย และหลักสูตรจีนกับไทยก็คล้ายกัน แต่ต้องอ่านเพิ่มบางส่วน เช่น พวกชื่อยา ที่จีนจะเป็นสมุนไพรของจีนเลย หรือ ประเทศไทยจะจำแนกพยาธิละเอียดและมีเคสบ่อยกว่า มีโรคประจำถิ่นของแต่ละประเทศ โรคเขตร้อน เป็นต้นค่ะ
Note:
|
Clinical Year (ปี 4-6)
ช่วงปิดเทอมก่อนขึ้นปี 4 ม.ฟู่ต้นมีจัดคอร์ส Shadowing (Experience doctoring and nursing) เลยลงของสูตินารีเวชไปด้วยค่ะ~
ปี 4
อ่านเยอะเหมือนเดิม แต่สัมผัสชีวิตแพทย์มากขึ้น
- เทอม 1 เรียนวิชา Traditional Chinese Medicine (เรียนแพทย์แผนจีนแค่พื้นฐานเทอมเดียว), Internal Medicine I, Surgery I, Hygienical Statistics หรือ Biostat นั่นเองค่ะ
- เทอม 2 เรียนวิชา Medical Psychology, Diagnostic Imaging (การดูฟิล์ม เช่น X-ray, MRI), Internal Medicine II, Surgery II, Preventive Medicine I
- ปีนี้เราจะได้เรียนรู้โรคแบบซับซ้อนขึ้น ครึ่งเช้าเรียนเลกเชอร์ บ่ายเรียนที่โรงพยาบาล เน้นสังเกตการณ์ (Observe) + วิเคราะห์แต่ละเคส เช่น ผลแล็บ ผลเลือด ผล x-ray (แล้วแต่วิชาที่เรียน) อาจารย์อาจจะลิสต์คนไข้มาให้เราซักประวัติ ตรวจร่างกาย ดูว่าเราเจออะไรในคนไข้รายนี้บ้าง โรคที่มีโอกาสเป็น และอภิปรายกับเพื่อนๆ เกี่ยวกับแนวทางการรักษา
- ด้วยความที่พี่อู๋วางแผนจะกลับมาทำงานที่ไทยอยู่แล้ว ช่วงปี 4 เลยเลือก Elective ฝึกงานที่ไทยเพื่อสัมผัสระบบโรงพยาบาลในไทย (เข้าแผนกฉุกเฉิน ตรวจใน OPD) มหาวิทยาลัยจะเปิดกว้างให้เราไปฝึกงานแล้วยื่นเก็บเครดิตได้ด้วยค่ะ // ใครสนใจชมคลิปรีวิวด้านล่างนี้ได้เลยค่า
ปี 5
แลกเปลี่ยนที่เคมบริดจ์ช่วงโควิด-19
- เทอม 1 เรียนวิชา Obstetrics and Gynecology (สูติฯ), Pediatrics, Infection Diseases, Dermatology, Psychiatry, Preventive Medicine II
- เทอม 2 ช่วงนั้นเราเริ่มเจอสถานการณ์โควิด ล็อกดาวน์ Basic of Clinic Oncology, Ophthalmology, Otorhinolaryngology, Stomatology, Neurology, Forensic Medicine
- เนื่องจากเป็นช่วงโควิด เราจะได้เรียนออนไลน์ทั้งหมด แต่ปีนี้จะสนุกตรงที่เราไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศได้แล้ว ก็เลยเลือกไปฝึกแผนกรังสีวิทยาของโรงพยาบาลที่ Cambridge ประเทศอังกฤษค่ะ
ปี 6
ฝึกงานที่ไทย & เรียนออนไลน์กับระบบที่โคตรล้ำ!!
มหา’ลัยมีตัวเลือกว่าเราจะ [เรียนออนไลน์] เป็นการฟังบรรยายและ Case Discussion หรือ [ฝึกงาน] ตามโรงพยาบาลในประเทศตัวเอง แล้วเอาไปยื่นเก็บหน่วยกิตกับมหา’ลัย นอกจากนี้ยังมีทางเลือกให้นักเรียนเลื่อนการจบไปอีก 1 ปีได้ด้วย
ตอนนั้นพี่อู๋เลือกฝึกงานกับเรียนออนไลน์ผสมผสานกัน
- การฝึกงาน เขาจะมีตารางให้ว่าต้องฝึกอะไรบ้าง ฝึกแต่ละ Department กี่สัปดาห์ รวมกันทั้งหมดจะมี 48 สัปดาห์ **ปีนี้สนุกตรงที่ได้ทำจริงเยอะขึ้น ตรวจและดูแลคนไข้ตามที่ได้รับมอบหมาย เราอาจจะกดดันเพราะต้องรักษาคนไข้จริงๆ แล้วนะ
- เรียนออนไลน์ ห้องพี่อู๋มีหลายชาติ Timezone แตกต่างกัน ที่นี่จะให้เลือกเข้าเรียนตอนที่สะดวก
อยากแชร์ว่าระบบเรียนออนไลน์ที่ ม.ฟู่ตั้นดีมาก และโปรแกรมที่เรียนล้ำสุดยอด จำลองให้เรารู้สึกเหมือนตรวจเคสจริง ซักประวัติคนไข้จริง แล้วมีคะแนนให้ตามที่ตอบ หรือสมมติต้องตรวจร่างกาย ก็เห็นเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง ถ้าจะฟังปอด แล้วเราคลิกรูปปอด ก็จะมีเสียงปอดขึ้นมาเลยนะ แต่ต้องเลือกตำแหน่งที่ถูกต้องเท่านั้น
6. อยากให้แชร์ความน่าสนใจของวงการแพทย์แต่ละประเทศที่เจอตอนฝึกงาน
ตามหลักสูตรจะมีบังคับคือฝึกงานตอนปี 6 ทั้งปี (รวม 50 สัปดาห์) มหาวิทยาลัยจะมีลิสต์โรงพยาบาลที่จีนให้ แต่ก็สามารถเลือกฝึกที่ต่างประเทศได้เหมือนกันค่ะ ช่วงเรียนพี่อู๋ได้ฝึกงานในโรงพยาบาล 3 ประเทศ คือ จีน อังกฤษ และไทย // จริงๆ จะวางแผนไปอเมริกาด้วย แต่โควิดระบาดเลยต้องยกเลิกไป
- ด้วยความที่จีนใช้เทคนิคผ่าตัดส่องกล้องเป็นเรื่องปกติ ตอนเรียนจึงใช้อุปกรณ์ส่องกล้องเป็นหลัก ตอนกลับมาฝึกงานที่ไทยเลยเจอกับ Culture Shock เพราะแพทย์ที่ไทยใช้มีดผ่าจริงแทบทั้งหมด มีน้อยเคสที่จะใช้การส่องกล้อง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าทั้ง 2 วิธีนี้ยากคนละแบบ ถ้าเทียบเทคนิคส่องกล้องก็คล้ายการใช้เม้าส์ปากกา เราต้องฝึกควบคุมเม้าส์วาดบน Tablet ให้ตำแหน่งสัมพันธ์กับจอคอมพ์แทนการวาดลงบนกระดาษตรงๆ
- จีนนิยมใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยควบคุมการผ่า อาจจะมีวิญญีแพทย์อยู่หน้างาน แต่อาจารย์แพทย์ก็สามารถควบคุมการผ่าตัดจากบ้านได้
- อย่างที่เล่าตอนต้น นักศึกษาต่างชาติจะมีข้อจำกัดเรื่องหัตถการนอกจากอาจารย์จะอนุญาต แต่การเรียนแพทย์ที่จีนจะปิดเทอมนาน เราสามารถใช้เวลานั้นสมัครฝึกงานที่ต่างประเทศเพื่อเติมเต็มข้อจำกัดนี้ (ประสบการณ์ที่ไทยช่วยให้ได้ฝึกหัตถการได้เยอะมากค่ะ)
- ถ้าพูดถึงในอังกฤษ อยากแชร์เรื่องวิทยาการด้านการแพทย์ที่ทันสมัยล้ำหน้าสุดๆ ตอนนั้นพี่อู๋ไปฝึกแผนกรังสีวิทยา (Radiology) ที่ Cambridge, UK ทำให้มีโอกาสได้เห็นบางวิทยาการที่ยังไม่มีในไทยและจีน มีโอกาสได้ลงมือตรวจคนไข้เอง ทำอัลตราซาวด์ แล้วกลับมารายงานว่าเจออะไรมาบ้าง ฯลฯ นอกจากนี้คือที่อังกฤษจะให้ความเป็นส่วนตัวและใส่ใจคนไข้มากค่ะ เช่น เราต้องแนะนำตัว ขออนุญาต ขอความยินยอมจากคนไข้ก่อน โดยอาจารย์แพทย์จะเป็นผู้แนะนำเราให้กับคนไข้ค่ะ
- ในขณะเดียวกัน ประเทศแถบเอเชียรวมถึงประเทศไทย เพราะคนไข้จะมีโอกาสพบแพทย์เฉพาะทางได้ง่ายกว่าทางยุโรป เช่น เราสามารถไปโรงพยาบาลเพื่อพบแพทย์เฉพาะทางโรคหูได้เลย ในขณะที่ทางฝั่งยุโรปโดยเฉพาะที่โรงพยาบาลใหญ่ เขาจะใช้ระบบคัดกรอง (Screening) เป็นขั้นตอนละเอียด เริ่มจากพบแพทย์ประจำบ้าน -> แพทย์ทั่วไป -> ส่งต่อมาเป็นทอดๆ จากคลินิก -> โรงพยาบาลเล็ก -> โรงพยาบาลใหญ่ กว่าจะได้พบ Specilaist เป็นเรื่องยากมากๆ
7. หลังจากเรียนจบแพทย์ที่จีน/ต่างประเทศ ต้องทำยังไงต่อบ้าง
การเรียน 6 ปีนี้คือ General ยังไม่เจาะเฉพาะทาง หลังจากเรียนจบจะได้เป็น “แพทย์ทั่วไป” เหมือนหลักสูตรที่ไทย ส่วนกระบวนการหลังจากนั้นจะแล้วแต่ประเทศค่ะ เช่น ถ้าเรียนจบจากไทยต้องใช้ทุนก่อน 3 ปี แล้วก็ไปเรียนต่อเฉพาะทางได้ หรือ สมมติเรียนจบต่างประเทศแล้วอยากทำงานที่จีน ก็สามารถต่อแพทย์เฉพาะทาง ได้เลย แต่ต้องสอบใบประกอบโรคศิลป์ของประเทศจีน
*ถ้าเรียนแพทย์ต่างประเทศ แล้ววางแผนจะกลับมาทำงานที่ไทย แนะนำให้สอบตามเกณฑ์คือปี 3, ปี 5 และปี 6 ค่ะ
8. อัปเดตชีวิตปัจจุบัน
ตอนนี้อยู่ไทยแล้วค่า~ กลับมาเพราะพ่อแม่อยู่ไทย และคิดอยากเริ่มต้นธุรกิจด้วย พี่อู๋ตั้งเอเจนซี Intexcel เพื่อให้คำปรึกษาน้องๆ ที่อยากเรียนต่อประเทศจีน เน้นคณะแพทย์ แต่ก็จะมีคณะอื่นของ Fudan University ด้วยค่ะ
ทีมงาน Intexcelle ทุกคนคือรุ่นพี่ที่เรียนและจบจริงทั้งจากภาคอินเตอร์และภาคจีนของ Fudan University เรามั่นใจว่าจะเป็นช่องทางที่สามารถดูแลน้องๆ ได้ตั้งแต่วางแผนจนถึงเรียนจบ ให้ข้อมูลได้แบบทะลุปรุโปร่ง ช่วยดูแลเอกสารให้ทั้งหมดตั้งแต่ Portfolio ต้องปรับตรงไหนบ้าง, ควรโฟกัสจุดไหน, การเขียนแนะนำตัวให้เป็นผู้ที่สมัครที่โดดเด่น ตรวจให้จนมั่นใจว่าผ่าน ไปจนถึงมีการติวสัมภาษณ์แบบจุกๆ แน่นๆ เลยค่ะ แม้กระทั่งเรื่องฝึกงานที่โรงพยาบาลไหนดี
ถ้าน้องๆ สนใจสามารถติดต่อมาที่ Inbox เพจ Intexcel / LINE: Supassara.mutanon / เบอร์โทร 095-195-1591 ได้เลย ทีมงานเราจะเริ่มจากช่วยวิเคราะห์และประเมินโพรไฟล์ก่อน หากมีจุดไหนที่ดูแล้วยังกังวล มีโอกาสไม่ผ่านสูง เราจะยังไม่รีบยื่นให้ค่ะ
สำหรับ YouTube Channel: Little Doctor พี่อู๋มีทำคลิปสมัคร ทุน และการเรียนแพทย์ไว้แบบละเอียด และมีคลิปที่สัมภาษณ์คนเรียนหรือเป็นแพทย์ในประเทศต่างๆ เหมาะกับน้องๆ และผู้ปกครองที่กังวลว่าบุตรหลานจบแล้วจะกลับมาทำงานที่ประเทศไทยได้มั้ย? มีกระบวนการขั้นตอนยังไงบ้าง? ฯลฯ พี่อู๋เชื่อว่าประสบการณ์ของตัวเอง และทีมงาน Intexcelle จะช่วยให้น้องๆ และผู้ปกครองอุ่นใจขึ้นได้ค่ะ
หน้าเว็บไซต์ MBBS @ Fudan Universityเว็บไซต์ Fudan University. . . . . . . . .
You’re Invited!
อยากปรึกษา 1:1 กับพี่หมออู๋ตัวจริง
พบกันที่ไบเทคบางนา 28 เม.ย. 2024
รอบนี้พิเศษมากก!! Dek-D’s Study Abroad Fair ได้รับเกียรติจากรุ่นพี่นักเรียนทุนและจบนอกจากประเทศยอดนิยมตอบรับคำเชิญมาประจำบูธใหญ่ของพวกเรา เพื่อให้น้องๆ และผู้ปกครองในงานสามารถ Walk-in ปรึกษาได้ตัวต่อตัว ไม่ว่าจะเป็น รุ่นพี่ทุน Erasmus+ (ยุโรปและอเมริกา), Fulbright (อเมริกา), Chevening (สหราชอาณาจักร), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), ทุนรัฐบาลอิตาลี, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ทุนรัฐบาลไทย (ก.พ./UiS) รวมถึงรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์และออสเตรเลียก็มาด้วยนะคะ
"พี่หมออู๋" จะสแตนด์บายที่บูธปรึกษากับน้องๆ แบบ 1:1 ในวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024 และห้ามพลาดไฮไลต์อีกมากมายในงานนี้ค่า
ย้ำอีกครั้ง!!
สำหรับน้องๆ ที่ต้องการปรึกษา แนะนำให้เตรียมข้อมูลเกรดเฉลี่ย ม.ปลาย, ผลทดสอบภาษา และใบประกาศนียบัตรที่ใช้ประกอบการสมัครมาด้วย เพื่อให้ได้คำแนะนำและการช่วยเหลือที่ตรงจุดที่สุดนะคะ แล้วเจอกันในงานแฟร์ค่าา~
0 ความคิดเห็น