สวัสดีชาว Dek-D ค่ะ ถ้าพูดถึงประเทศที่หลายคนใฝ่ฝันอยากไปเรียนต่อ เชื่อว่าลิสต์อันดับต้นๆ จะต้องมี “สหราชอาณาจักร (UK)” และ “สหรัฐอเมริกา (USA)” อย่างแน่นอน เพราะอย่างที่รู้กันว่า 2 ประเทศนี้ระบบการศึกษามีคุณภาพ เป็นที่ตั้งของยูระดับท็อปโลก และเปิดกว้างให้กับชาวต่างชาติสามารถทำงานต่อได้หลังเรียนจบ เรียกว่ามีช่องทางต่อยอดได้ในระยะยาวเลยทีเดียว
แต่เชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่แน่ใจว่าควรปักหมุดเรียนต่อปริญญาโทที่ไหนดี วันนี้เราเลยสรุปข้อมูลและประเด็นสำคัญๆ ที่ควรใช้พิจารณาก่อนตัดสินใจว่าจะเป็นทีมไหนดี ทั้งเกณฑ์การสมัครเรียน, ประเมินค่าใช้จ่ายเบื้องต้น, การขอวีซ่าทำงานต่อหลังเรียนจบ รวมถึงชี้พิกัดทุนการศึกษาด้วย จะมีเรื่องอะไรที่ควรอัปเดตบ้าง เลื่อนไปอ่านกันเลยค่ะ Let’s go~
……………………….
ตัวอย่างสาขายอดฮิต
อยากเรียนต่อสาขานี้ ควรเลือกที่ไหนดี? ถือว่าเป็นประเด็นท็อปๆ ที่หลายคนมักถามกัน ดังนั้นเรามาเริ่มต้นด้วยตัวอย่างสาขาวิชาที่คนนิยมไปเรียนต่อใน UK กับ USA กันก่อนเลยค่ะ
อังกฤษ | อเมริกา |
|
|
Note: อย่างไรก็ตาม ตารางด้านบนก็ไม่อาจสรุปเป็นข้อมูลตายตัวได้เสมอไป แนะนำว่า ถ้าอยากเรียนสาขาไหน ให้ลองเช็กอันดับจาก QS World University Rankings by Subject ซึ่งเค้าจะสรุปข้อมูลมาให้ว่า ถ้าอยากเรียนต่อด้านนี้ มีมหาวิทยาลัยอะไรจากประเทศไหนที่มีชื่อเสียงบ้าง (ค้นหาได้ทั้งโลก ไม่ได้จำกัดแค่ UK กับ USA) ลองเช็กให้ชัวร์ อาจจะช่วยให้เราพบคำตอบได้ง่ายขึ้น!
จะเรียนต่อ ป.โท ต้องใช้อะไรบ้าง?
มาต่อกันที่หัวข้อเบสิกอย่าง ‘เกณฑ์การสมัครเรียน’ กันค่ะ สำหรับการสมัครเรียนที่สหราชอาณาจักร มักกำหนดเกณฑ์การพิจารณาเบื้องต้น ดังนี้
- ผลการเรียนระดับ ป.ตรี : ควรมีเกรดขั้นต่ำเทียบเท่า Upper Second-Class Honours (2:1) หรือ Lower Second-Class Honours (2:2) ของการเรียนในประเทศอังกฤษ ซึ่งถ้าจะเทียบกับ GPA ของมหาวิทยาลัยในไทยก็จะอยู่ที่ประมาณ 3.3-3.7 (2:1) และ 2.8-3.2 (2:2) นั่นเองค่ะ
- ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ : ส่วนใหญ่ใช้ผลสอบ IELTS Academic ขั้นต่ำ band 6.5 (อาจยื่นผลสอบประเภทอื่น เช่น TOEFL, PTE, CAE แทนได้) แต่หากใครไม่ชัวร์ว่าเราจะสอบได้ band ที่มหา’ลัยกำหนดไว้หรือไม่ อาจใช้ผลสอบ ‘IELTS UKVI’ (แล้วแต่มหา’ลัย) ซึ่งได้รับการรับรองจาก UK Visas and Immigration (UKVI) แทนได้ โดยความพิเศษจะอยู่ที่กรณีสอบไม่ผ่านเกณฑ์ สามารถใช้ผลสอบนี้ยื่นสมัคร Pre-sessional English Course ซึ่งเป็นหลักสูตรปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษก่อนเริ่มเรียน ป.โท ที่มหาวิทยาลัยใน UK ได้เลย (ไม่ต้องสอบใหม่)
ส่วนมหาวิทยาลัยฝั่งอเมริกากำหนดเงื่อนไขการสมัครเรียนเบื้องต้นไว้ ดังนี้
- ผลการเรียนระดับ ป.ตรี : ควรมี GPA ขั้นต่ำ 3.00
- ผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ : มักใช้ผลสอบ TOEFL ขั้นต่ำ 80 คะแนน ทั้งนี้อาจใช้ผลสอบประเภทอื่น เช่น IELTS, PTE, CAE แทนได้ (ขึ้นอยู่กับมหา’ลัย)
- ผลสอบ GRE หรือ GMAT : หลายมหา’ลัยกำหนดให้สอบ GRE (Graduate Record Examination) ซึ่งเป็นข้อสอบวัดความสามารถสำหรับสมัครเรียนต่อ ป.โท และสำหรับใครเล็งเรียนต่อ Business School (เช่น สาขา MBA, Marketing, Finance ฯลฯ) มักต้องสอบ GMAT (Graduate Management Admission Test) ที่ใช้วัดระดับสำหรับผู้ที่จะเรียนต่อในด้านนี้โดยเฉพาะเพิ่มเติมด้วย
Note: ทั้งนี้มหาวิทยาลัยอาจกำหนดเกณฑ์การรับสมัครแตกต่างจากที่ระบุไว้ด้านบน โปรดตรวจสอบที่หน้าเว็บไซต์ของแต่ละแห่งค่ะ
หลักสูตร & ระยะเวลาเรียน
เรื่องระยะเวลาในการเรียนก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่หลายคนใช้ในการตัดสินใจ ถ้าหากใครมีข้อจำกัดต้องการอัปเกรดความรู้ในระยะเวลาสั้นๆ ปักหมุดที่ UK ก็น่าจะตอบโจทย์มากกว่า เพราะหลักสูตรระดับ ป.โท ของที่นี่ใช้เวลาเรียนประมาณ 9-12 เดือน โดยจะเน้นการเรียนแบบเจาะลึกในสาขาวิชานั้นๆ สำหรับโพรเจกต์จบก็มีให้เลือกหลายประเภท (แล้วแต่หลักสูตร) เช่น วิทยานิพนธ์ (Dissertation), การฝึกงาน (Internship), โพรเจกต์ให้คำปรึกษา (Consulting Plan) เป็นต้น
ทางฝั่ง USA ส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลาเรียนประมาณ 2 ปี (อาจมีบางหลักสูตรใช้เวลาเรียนประมาณ 1 ปี ขึ้นอยู่กับหน่วยกิตของสาขานั้นๆ) ซึ่งการเรียนการสอนก็จะเน้นรอบด้าน ครอบคลุมทุกความรู้พื้นฐานแบบแน่นๆ เพื่อให้นักศึกษาสามารถต่อยอดการเรียนช่วงครึ่งหลังของหลักสูตรได้ ส่วนโพรเจกต์จบก็มีหลากหลายทั้งวิทยานิพนธ์ (Thesis), Capstone Project และอื่นๆ
Note: ถ้าหากใครที่มีผลสอบวัดระดับภาษาไม่ถึงเกณฑ์ จะต้องเรียนปรับพื้นฐานก่อน จึงจะสามารถเรียนต่อ ป.โท ได้
ค่าเล่าเรียน
- ค่าเล่าเรียนที่ UK โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 17,109 ปอนด์/ปี (ประมาณ 755,190 บาท)
- ค่าเล่าเรียนที่ USA โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 22,000 ดอลลาร์/ปี (ประมาณ 768,000 บาท)
Note:
- แม้ค่าเล่าเรียนโดยเฉลี่ยต่อปีจะมีอัตราใกล้เคียงกัน แต่อย่าลืมว่าหลักสูตรที่อเมริกาใช้เวลาเรียนประมาณ 2 ปี ดังนั้นจะต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในปีการศึกษาถัดไปด้วยค่ะ
- แต่ละหลักสูตรมีค่าเล่าเรียนแตกต่างกัน แนะนำให้เช็กที่หน้าเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยโดยตรง
- ส่องอัตราค่าครองชีพของเมือง คลิกที่นี่
- อ้างอิงเรตเงิน 1 ปอนด์ = 44.14 บาท และ 1 ดอลลาร์ = 34.94 บาท (อัปเดตเมื่อ 22 ธ.ค. 66)
เปิดรับสมัครเมื่อไหร่?
เชื่อว่าหลายคนอาจมีคำถามประมาณว่า “แล้วถ้าอยากสมัครเรียนต่อ ป.โท ที่ UK และ USA ควรเตรียมตัวตอนไหนดีล่ะ?” การวางแผนเรื่องเวลานั้นก็สำคัญมากๆ ซึ่งโดยปกติแล้วควรเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ปี ก่อนวันเปิดรับสมัคร เพราะอย่างเรื่องขอเอกสารสำคัญบางอย่าง เช่น ใบวุฒิการศึกษา, ใบแสดงผลการเรียน, ผลสอบวัดระดับ ฯลฯ โดยเฉพาะกรณีที่ต้องแปลและนำไปรับรองที่กงสุล อาจใช้เวลานานและคาดเดาไม่ได้ ดังนั้นจึงแนะนำให้เผื่อเวลาเอาไว้ และเริ่มดำเนินการอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนมหาวิทยาลัยเปิดรับสมัคร
แล้วมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครเมื่อไหร่? ปกติแล้วมหาวิทยาลัยจะเปิดรับสมัครล่วงหน้า 1 ปี ก่อนปีที่เราจะไปเรียนค่ะ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมหาวิทยาลัยเปิดเทอม Fall ของปีนี้เสร็จปุ๊บ เค้าก็จะเปิดรับสมัครเทอม Fall ของปีถัดไปต่อเนื่องกันเลยค่ะ ก็คือใน 1 ปีเต็มๆ นี้เราต้องสมัครเรียน, ติดต่อมหาวิทยาลัย, ตอบรับ offer, ดำเนินการเรื่องวีซ่า, หาที่พัก, จองตั๋วเครื่องบิน พูดง่ายๆ ก็คือต้องดำเนินการให้เรียบร้อย จากนั้นจึงจะสามารถบินไปเข้าเรียนใน Intake ที่เราสมัครไปได้ // ว่าแล้วเรามาดู Timeline ของแต่ละประเทศกันว่า ในแต่ละเทอมเค้าเปิดรับสมัครช่วงไหนบ้าง?
Timeline สมัครเรียนต่อ UK
Intake | ระยะเวลารับสมัคร |
September (เปิดเทอมเดือนกันยายน) | เดือนกันยายน - มีนาคม |
January (เปิดเทอมเดือนมกราคม) | เดือนกันยายน - พฤศจิกายน |
Timeline สมัครเรียนต่อ USA
Intake | ระยะเวลารับสมัคร |
Fall (เปิดเทอมเดือนกันยายน) | เดือนสิงหาคม - ธันวาคม |
Spring (เปิดเทอมเดือนมกราคม) | เดือนมกราคม - เมษายน |
Summer (เปิดเทอมเดือนมิถุนายน) | เดือนพฤษภาคม - สิงหาคม |
Note:
- บางหลักสูตร/มหาวิทยาลัยอาจมีกำหนดการรับสมัครแตกต่างไป โปรดตรวจสอบที่หน้าเว็บไซต์ของแต่ละแห่ง
- บางเทอม (Intake) อาจไม่ได้เปิดรับสมัครทุกหลักสูตร ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย เราควรเช็กดีๆ ว่าคอร์สที่อยากเรียนนั้นเปิดรับสมัครเทอมไหน เพราะบางทีอาจมีคนสมัครเป็นจำนวนมาก และอาจรับแบบ first come, first serve (โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นเทอม Fall จะมีหลักสูตรเปิดรับสมัครเยอะกว่าเทอมอื่นๆ ค่ะ)
- ข้อมูลในตารางด้านบนอ้างอิงจากเว็บไซต์ UCAS ระบบส่วนกลางที่ใช้สมัครเรียนต่ออังกฤษ และ Hands On ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนต่อ UK และ USA
ทำงานพาร์ตไทม์ได้ไหม?
แน่นอนว่าการเรียนต่อต่างประเทศนั้นมีภาระค่าใช้จ่ายจิปาถะมากมายที่ต้องรับผิดชอบ ที่ผ่านมานักศึกษาไทยหลายคนจึงหาช่องทางในการทำงานหลังเลิกเรียน เพื่อเพิ่มทั้งประสบการณ์และหาเงินเพื่อช่วยซัปพอร์ตค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันไปในตัว ซึ่งความดีงามทั้งอังกฤษและอเมริกาก็คือ อนุญาตให้นักศึกษาในหลักสูตร ป.โท แบบเต็มเวลาสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้ โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- UK : ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ ทำงานเต็มเวลา (สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ในช่วงปิดเทอม
- USA : ช่วงเปิดเทอมสามารถทำงานพาร์ตไทม์ได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และ ทำงานเต็มเวลา (สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์) ได้ในช่วงปิดเทอม แต่ขอโน้ตไว้นิดนึงว่าต้องเป็นงานที่อยู่ภายในมหา’ลัย (on campus) เท่านั้นค่ะ
Graduate Visa
โอกาสหางานต่อหลังเรียนจบ
หลายคนที่วางแผนบินไปเรียน ป.โท มักจะสนใจเรื่องการทำงานต่อในประเทศนั้นๆ เพราะเป็นโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้วัฒนธรรม และอาจเป็นลู่ทางในการขอ PR ในอนาคตได้ ซึ่งทั้ง UK และ USA ต่างมีวีซ่าให้นักเรียนต่างชาติหางานหลังเรียนจบได้ ช่วยยืดระยะเวลาออกไปช่วงนึงค่ะ โดยมีรายละเอียดและเงื่อนไขจะต่างกัน ดังนี้
- UK : อนุญาตให้ผู้ถือ Student Visa ระดับ ป.โท สามารถสมัคร Graduate Visa เพื่ออยู่หางานต่อได้ 2 ปี และเมื่อจบระยะวีซ่านี้แล้วสามารถสมัครวีซ่าประเภทอื่นๆ เพื่อพำนักต่อได้อีก เช่น Skilled Worker, Global Talent หรือ Innovator routes
- USA : อนุญาตให้ผู้ถือ F Student Visa สามารถสมัครโปรแกรม Optional Practical Training (OPT) ประเภท Pre-completion OPT (ทำงานก่อนเรียนจบ) และ/หรือ Post-completion OPT (ทำงานหลังเรียนจบ) โดยแบ่งเป็น
- กรณีเรียนจบสาขาอื่นๆ : ได้สิทธิ์ทำงานเป็นเวลา 12 เดือน
- กรณีเรียนจบสาขา STEM (Science, Technology, Engineering, Mathematics): ได้รับสิทธ์ขยายเวลาทำงาน (STEM OPT Extension) เพิ่มอีก 24 เดือน (รวมเป็น 36 เดือน)
Note: ยกเว้นกรณีถ้าหากเป็นนักเรียนทุน Chevening จากรัฐบาล UK จะมีเงื่อนไขว่าผู้ได้รับทุนต้องเดินทางกลับประเทศไทยและพำนักอย่างน้อย 2 ปีหลังเรียนจบ จะไม่สามารถอยู่ต่อและทำงานได้ค่ะ
เปิดวาร์ปแหล่งทุนเรียนต่อ
อย่างที่รู้กันว่าไม่ว่าจะอเมริกาหรืออังกฤษก็ล้วนมีค่าเล่าเรียนและค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่อย่าเพิ่งนอยด์ไปค่ะ เพราะยังมีโครงการทุนหลายประเภทที่พร้อม support นักศึกษาต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นทุนจากมหาวิทยาลัย จากองค์กรต่างๆ และจากรัฐบาล สำหรับพาร์ตนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักทุนเต็มจำนวนจากรัฐบาล UK และ USA กันค่ะ!
Chevening Scholarships
- ทุนชีฟนิ่งมอบโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีศักยภาพความเป็นผู้นำ ประวัติการศึกษา-การทำงานโดดเด่น และมุ่งสร้างการเปลี่ยนเชิงบวกให้กับโลก สามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพใน UK ได้
- ความปังของทุนนี้คือเป็นทุนการศึกษาแบบเต็มจำนวนเป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อใช้เรียนต่อในระดับปริญญาโท แบบไม่จำกัดสาขาวิชาและจะเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยไหนก็ได้ใน UK
- มูลค่าทุน & สิทธิประโยชน์
- ค่าเล่าเรียนเต็มจำนวน
- ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ชั้นประหยัด
- ค่าตั้งรกราก (Arrival allowance)
- ค่าทำวีซ่าขาเข้า
- เงินสนับสนุนหลังเรียนจบ (Departure allowance)
- ค่าตรวจปอดเพื่อหาเชื้อวัณโรค (TB test) สูงสุด 75 ปอนด์ (ถ้ามี)
- ค่าเดินทางแบบเติมเงิน (Travel top up allowance)
- เบี้ยเลี้ยงรายเดือน ครอบคลุมค่าที่พักและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
- โอกาสเข้าร่วมเครือข่ายศิษย์เก่าทุนชีฟนิ่งกว่า 55,000 คน
- ช่วงเวลาเปิดรับสมัคร : ประมาณเดือนกันยายน - พฤศจิกายนของทุกปี
Fulbright Thai Graduate Scholarship (TGS)
- ทุนฟุลไบร์ทเป็นทุนเรียนต่อระดับปริญญาโทหรือปริญญาเอก ณ มหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีโควตาให้คนไทยโดยเฉพาะ
- เปิดรับสมัครทุกสาขาวิชา ยกเว้น แพทยศาสตร์ (Medicine), ทันตแพทยศาสตร์ (Dentistry), พยาบาลศาสตร์ (Nursing) และสัตวแพทยศาสตร์ (Veterinary Medicine)
- มูลค่าทุน & สิทธิประโยชน์
- ทุนเต็มจำนวนในปีการศึกษาแรก มูลค่าไม่เกิน $35,500 หากยังไม่จบหลักสูตรสามารถขอทุนต่อในปีที่สองได้ไม่เกิน $17,500
- ค่าหนังสือและอุปกรณ์การเรียน
- ประกันสุขภาพ
- ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
- ได้รับวีซ่า J-1 (Exchange Visitor) สามารถฝึกงานหรือทำงานต่อได้ 9-18 เดือนหลังเรียนจบ และสามารถขอวีซ่าทำงานได้หลังกลับมาประเทศไทยแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี
- ช่วงเวลาเปิดรับสมัคร : ประมาณเดือนมกราคม - เมษายนของทุกปี
มัดรวมแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์
หากใครต้องการหาข้อมูลการเรียนต่อในประเทศอังกฤษและอเมริกาเพิ่ม ขอแนะนำช่องทางต่อไปนี้ค่ะ
แหล่งข้อมูลสำหรับเรียนต่อ UK
- เว็บไซต์ UCAS (www.ucas.com) : เว็บไซต์ส่วนกลางที่ใช้สมัครเรียนต่อ และรวบรวมรายละเอียดการเรียนที่ UK ตั้งแต่ระดับ ป.ตรี-ป.เอก
- เว็บไซต์ Discover Uni (https://discoveruni.gov.uk/) : เว็บไซต์การศึกษาในความร่วมมือของประเทศในเครือสหราชอาณาจักร
- FB เพจ “UK in Thailand” : เพจของสถานทูตอังกฤษ คอยอัปเดตข่าวสาร-เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ UK, รายละเอียดการขอวีซ่า และอื่นๆ
- FB เพจ “Chevening Awards (FCDO)” : อัปเดตข่าวการรับสมัครทุนชีฟนิ่ง และข้อควรรู้ต่างๆ
แหล่งข้อมูลสำหรับเรียนต่อ USA
- เว็บไซต์ EducationUSA (https://educationusa.state.gov/) : เว็บไซต์รวมรวมข้อมูลเพื่อการศึกษาต่อระดับปริญญาในสหรัฐอเมริกา
- FB เพจ “EducationUSA Thailand” : แชร์ข้อมูลการเรียนต่อ, โครงการแลกเปลี่ยน, ทุนการศึกษา ฯลฯ
- FB เพจ “Fulbright Thailand” : อัปเดตข่าวการรับสมัครทุนฟุลไบร์ทประเภทต่างๆ
อ่านรีวิวจากรุ่นพี่ #ทีมUK
- เปิดเส้นทางพิชิตทุน Chevening จนได้เรียนป.โทฟรีที่ King’s College London (+แชร์เทคนิคเพียบ)
- เมื่อเด็กสายภาษาบินลัดฟ้าไปอังกฤษ เริ่มชีวิต ป.โท Computer Science ใน Newcastle Univ.
- เจาะลึกขอทุนยันเรียนจบ ฉบับ 'มิ้นท์-พรปรียา' เด็กป.โทสาขาอาชญาวิทยาแห่ง 'Cambridge' #ทีมอังกฤษ
- Go Beyond Limits! เล่าชีวิตป.โท 1 ปีในรั้ว Warwick แห่ง UK กับหลักสูตรปั้นนักธุรกิจสุดครบเครื่อง (Innovation & Entrep.)
อ่านรีวิวจากรุ่นพี่ #ทีมUSA
- อยากเรียนต่อ ป.โท 'อเมริกา' เริ่มยังไงดี? รีวิวการเตรียมตัวจากศิษย์เก่า ม.ดังแบบจัดเต็ม!
- Ready Set Go! เล่าเส้นทาง ป.โท สู่การโกอินเตอร์เป็น 'นักออกแบบฉาก' ในอเมริกา
- ชีวิตเด็กโทควบเอกสุดท้าทายที่ U. of Virginia ในสหรัฐฯ กับบทบาทผู้ช่วยสอน/ผู้ช่วยวิจัย/อาจารย์พิเศษ!
- เล่าเส้นทางกว่าจะได้ทำงานที่ Microsoft (รีวิวกระชับ+เรียลๆ) โดย 'พี่ซอล' #ทีมอเมริกา
……………………….
เป็นยังไงบ้างคะกับข้อแตกต่างการเรียนต่อ ป.โท ที่ 2 ประเทศสุดฮิตที่เราสรุปมาให้ในวันนี้ สำหรับใครที่เลือกได้แล้วว่าจะเป็น #ทีมอังกฤษ หรือ #ทีมอเมริกา ขอแนะนำให้เตรียมเอกสารการสมัครไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ กันนะคะ แต่หากใครยังไม่แน่ใจก็แนะนำให้ศึกษาข้อมูลจากช่องทางต่างๆ ที่เราแปะไว้และหน้าเว็บไซต์ของหลักสูตรที่อยากเรียนค่ะ
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า “แม้ความฝันนั้นจะไกลแค่ไหน แต่ก็เป็นไปได้เพียงแค่เราลงมือทำ” แล้วเจอกันใหม่ในบทความหน้าค่ะ~
สำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D"
ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D
Website: www.dek-d.com/studyabroad
IG: @tornokandcourse
Facebook: Study Abroad เรียนต่อนอก by Dek-D
Facebook: Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ
TikTok: @tornokandcourse
Sources:https://www.youtube.com/watch?v=VP0Nabhsg6Uhttps://ielts.idp.com/thailand/about/which-test-do-i-take/academic-ukvi/th-th https://yocket.com/blog/ms-in-uk-vs-ms-in-ushttps://www.ukstudyonline.com/uk-masters-vs-us-masters/ https://www.masterstudies.com/articles/master-s-in-the-uk-vs-ushttps://www.studies-overseas.com/blogs/cost-to-study-in-usahttps://study-uk.britishcouncil.org/moving-uk/cost-studying#https://www.topuniversities.com/student-info/studying-abroad/can-you-work-part-time-us-student-visahttps://www.internationalstudents.cam.ac.uk/student-visa-responsibilities/working-student-visahttps://www.hio.harvard.edu/stem-ophttps://yocket.com/blog/intakes-in-uk-universities
0 ความคิดเห็น