จบโท-ลาออกงาน เปิดประสบการณ์ Work & Holiday ที่ 'ออสเตรเลีย' ถึงงานไม่ง่าย แต่สนุกได้ไม่ยาก!

สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับคนที่อยากหาโอกาสเหมาะๆ ที่ได้ทั้งฝึกภาษา หาเงินค่าขนม และทดลองใช้ชีวิตในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง “ออสเตรเลีย” มีวิธีนึงที่คนไทยฮิตมากและถูกกฎหมาย นั่นก็คือ “WAH” หรือ Work and Holiday Visa ไทย-ออสเตรเลีย นั่นเองค่ะ โครงการนี้เป็นความร่วมมือของรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศ เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยอายุ 18-30 ปีสามารถเดินทางไปศึกษา ท่องเที่ยว และทำงานระยะสั้นที่ออสเตรเลียได้ 12 เดือนด้วยวีซ่า “Working Holiday Visa (subclass 462)”

แม้จะมีโอกาสให้ต่ออีก 2 ระยะถ้าผ่านเงื่อนไข และเป็นใบเบิกทางสู่โอกาสมากมายที่คาดไม่ถึง แต่ขึ้นชื่อว่าย้ายประเทศก็ต้องเก็บข้อมูลจนมั่นใจว่าตอบโจทย์เราจริงๆ หรือไม่ วันนี้เราจะพาไปรีวิวประสบการณ์ตรงจาก “มะลิ” เจ้าของเพจ “Mali takes you มะลิพาไป” สาวไทยที่จบ ป.โท + ลาออกจากงานประจำ และผันตัวเป็น Backpacker บินมาออสด้วยวีซ่านี้! 

ใครเป็นทีมออสหรือเล็งวีซ่านี้ไว้ห้ามพลาดค่ะ~

Note: บทสัมภาษณ์นี้อิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้าของเรื่อง รายละเอียดโครงการอาจต่างกันในแต่ละปี หากสนใจแนะนำให้ติดตามข่าวสารทางเว็บไซต์กองส่งเสริมการพัฒนาและสวัสดิการเด็ก เยาวชน และครอบครัว กลุ่มการแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ หรืออ่านระเบียบการ Work and Holiday 2023 ของปี 2024 เป็นแนวทางการเตรียมตัวรอบหน้าได้นะคะ 

เริ่มจากแนะนำตัวสั้นๆ
ก่อนเปิดความปังของวีซ่าสุดฮอต!

สวัสดีค่า~ “มะลิ” นะคะ เรียนจบจากคณะธุรกิจการบินของ มรภ.สวนสุนันทา  หลังจบสักระยะแล้วก็ตัดสินใจสมัครโครงการ Work & Holiday ไปออสเตรเลียตั้งแต่ปี 2022 ปัจจุบันอยู่ออสมาได้ปีกว่าๆ แล้วค่ะ เริ่มสนใจเพราะขั้นตอนไม่ซับซ้อนถ้าเทียบกับประเภทอื่นๆ และสามารถทำงานถูกต้องตามกฎหมายได้แบบไม่จำกัดชั่วโมง เพียงแต่ห้ามเกิน 6 เดือนต่อ 1 นายจ้าง 

สำหรับ Working Holiday Visa (subclass 462) ขอครั้งแรกอยู่ได้นาน 12 เดือน แต่ถ้าติดใจอยากอยู่ต่อ สามารถต่อได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 12 เดือน ภายใต้เงื่อนไข เช่น เก็บชั่วโมงทำงานในพื้นที่ที่กำหนด รวม 88 วัน และอายุไม่เกิน 31 ปี  

ข้อมูลวีซ่า Work & Holiday 462

How-to วิธีสมัครคร่าวๆ

  1. ลงทะเบียนเว็บ https://www.dcy.go.th/webnew/main
  2. เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด ให้เข้ามากดจองโควตาให้ทัน (ออนไลน์) โดยใช้ Username / Password ที่ลงทะเบียนไว้ *ถ้าเต็มแล้วจะปิดรับสมัครทันที
  3. สแกนเอกสารส่งที่อีเมลและทางไปรษณีย์ภายในเวลาที่กำหนด
  4. รับหนังสือรับรอง
  5. นำหนังสือรับรองไปประกอบเอกสารเพื่อยื่นขอวีซ่า ยื่นสถานทูตแล้วบินได้เลย

แชร์ทริคเล็กๆ เพิ่มโอกาสกดโควตาทัน

  • พิมพ์ข้อมูลทุกอย่างที่ต้องกรอกรอไว้เตรียม Copy + Paste (อาจจะพิมพ์ใส่ Word หรือ Excel)
  • วันกดโควตาให้เปิดรอไว้หลายๆ หน้าเลย เพราะคนใช้งานเยอะมีสิทธิ์เว็บล่ม ถ้าเว็บนิ่งก็กด refresh เรื่อยๆ จนกว่าจะได้

. . . . . . . .

ต่อไปมะลิจะพาทุกคนเข้าสู่
การีวิวชีวิตที่ออสเตรเลียค่ะ!

“ภาพฝันของเราก่อนจะบินมาทำงานออสเตรเลียด้วยวีซ่า Working and Holiday คือการได้นั่งทำงานบริษัทสวยๆ เงินเยอะๆ ทำงานน้อยๆ ได้แต่งตัวไปเที่ยวสถานที่ต่างๆ ฝันว่าจะได้อยู่บ้านแบบสบายๆ ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าแพง ฝันว่าอาหารไทยคงจะไม่แพงมาก ซื้อกินได้สบาย 

 

แต่ความเป็นจริงมันต่างมากค่ะแม่! การมาอยู่เมืองนอกไม่ได้สบายแบบที่เราคิด เราต้องมีการวางแผนและเตรียมตัวอย่างมาก เพราะนี่คือชีวิตจริงที่เดิมพันด้วยอนาคตของเราเอง”
 

— เจ้าของเพจ “Mali takes you มะลิพาไป”

ปรับตัวช่วงแรกยากตรงไหน?

สำหรับมะลิมี 2 อย่างหลักๆ

  1. สำเนียงภาษาอังกฤษต่าง คนออสซี่มักจะพูดเสียงอยู่ในลำคอ แต่เราคุ้นชินกับแบบอเมริกันที่อ้าปากมากกว่า ตอนไปถึงช่วงแรกฟังแล้วไม่เข้าใจเลยค่ะ TT
  2. ระยะเวลาจำกัด & สภาพแวดล้อมเปลี่ยน กระตุ้นให้รู้สึกว่าต้องตั้งเป้าหมายแล้ววางแผนใช้เวลาแต่ละวันให้คุ้ม และลดโอกาสผิดพลาด เช่น วันนี้จะไปทำงานด้วยวิธีไหน ไปทำอะไร เตรียมประโยคให้เหมาะกับจุดที่เราจะไปทำ

วิธีที่ช่วยให้สนุกและปรับตัวง่ายขึ้น ก็คือพยายามคุยกับเพื่อนต่างชาติ เพื่อสังเกตงานอดิเรก ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เช่น วันหยุดบางคนชอบพักที่บ้านเพื่อนชาร์จพลัง ส่วนบางคนชอบเดินป่าชมนกชมไม้ พอเราฟังก็จะมีตัวเลือกมาปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวันเล็กๆ ของเราได้ค่ะ :D 

หางานยากไหม?

ส่วนตัวคิดว่าไม่ยากเพราะมีนายจ้างมาตามหาคนทำงานเรื่อยๆ อย่างมะลิก็ได้งานแรกตั้งแต่ตอนอยู่ไทยเลย โดยหาจากกรุ๊ปเฟซบุ๊ก ติดต่อนายจ้างไปแนะนำตัว ระบุว่าสนใจตำแหน่งไหน มีประสบการณ์อะไรมาก่อนบ้าง แล้วเขาก็นัดสัมภาษณ์ทาง VDO Call **แนะนำให้บอกวันและเดือนที่แน่นอนว่าจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่ ถ้าบอกเป็นช่วงอาจจะกว้างไป และมีผลกับการตัดสินใจรับเข้าทำงาน

ตัวอย่างช่องทางหางาน

  • อัปเดตประวัติไว้ในแพลตฟอร์ม “SEEK”  สนใจงานไหนก็สมัครแล้วติดต่อนายจ้างไปค่ะ
  • กรุ๊ปเฟซบุ๊ก “Backpacker Jobs in Australia” 
  • แอปพลิเคชัน “Supp” หางานพาร์ตไทม์ที่ออสเตรเลีย ข้อดีคือเรตดีมากกกกก, งานเยอะ, เลือกงาน, เลือกวันได้

รีวิวประสบการณ์ตรงของมะลิ
ทำงานอะไรมาบ้าง? 

มะลิอยู่ออสเตรเลียมาได้ปีกว่า เจอนายจ้างเป็นคนออสซี่ทั้งหมด และด้วยความที่ชอบลองมาก ก็เลยทำมาหลากหลายมาก เช่น Housekeeping (แม่บ้านทำความสะอาด), Laundry (ซักรีด), Public Area (งานในพื้นที่สาธารณะ), Food and Beverage Service (ดูแลอาหารและเครื่องดื่ม), Events (งานเลี้ยง), Food truck (ร้านขายอาหารเคลื่อนที่), Warehouse (คลังสินค้า), Dishwashing (พนักงานล้างจาน) ฯลฯ

ถ้าแฮปปี้สุด ยกให้งานเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มใน Events 

เช่น งานแต่งงาน งานคริสต์มาส ฯลฯ คนที่มางานจะยิ้มแย้มมีความสุข อยากสนุกเต็มที่ไปกับงาน ทำให้บรรยากาศการทำงานของเรา feel good ไปด้วย หนึ่งในเรื่องใจฟูคือมีครั้งนึง คุณพ่อของเจ้าสาวในงานเดินเข้ามายิ้มและขอบคุณที่เรามาช่วยเติมเต็มให้งานนี้ออกมาสมบูรณ์ เป็นงานที่สวยงามที่สุดในชีวิตของเขาค่ะ~

งานพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร 

อาจจะมีเครียดช่วงแรกๆ แต่ถ้าจับทางได้เมื่อไหร่ก็จะเริ่มสนุก ยิ่งถ้าเรามี Service Mind ก็อาจได้โบนัสเพิ่มเป็นทิปจากลูกค้าด้วย~ 

Note: สายงานบริการ ร้านอาหาร,งานโรงแรม ที่ต้องเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต้องมีใบ RSA (Responsible Service of Alcohol) ถ้าไม่มีถือว่าผิดกฎหมายของออสเตรเลียนะคะ   

งานบาริสต้า 

เริ่มมาถึงเพื่อนร่วมงานก็เทรนให้มะลิก่อน เช่น ถ้าลูกค้าสั่งลาเต้ต้องแบบนี้นะ คาปูชิโนแบบนี้ ฯลฯ เราก็ต้องจำแล้วจดๆ (แต่ตอนทำจริงก็ไม่มีเวลาดูหรอกค่ะ 5555) ความสนุกและความท้าทายก็คือต้องไว ลูกค้าอาจมาทีเดียว 10 คน จดแทบไม่ทัน แล้วก็ต้องนึกไปด้วยว่าสูตรนี้ต้องทำยังไงนะ แถมบางคนก็จะรีเควสต์ให้เราผสมอันนั้นอันนี้ ค้นพบสูตรใหม่ตลอดเวลา จนบางทีรู้สึกว่า “เฮ้ย เมนูนี้กินแบบนี้ได้ด้วยหรอ!”

งานแม่บ้าน 

แต่ละวันวิ่งไปมาหลายห้องมากกก ตั้งแต่ 8.00-16.00 น. ตอนทำโรงแรมเคยเจอมากสุดวันนึง 32 ห้อง!! แล้วยังเป็นโรงแรม 4-5 ดาว ห้องใหญ่ คิดว่าถ้าอยู่ไทยคงไม่มีโอกาสเรียนรู้งานบ้านจริงจังแบบนี้แน่ๆ ค่ะ

งานที่อุทยานแห่งชาติ (National Park) 

เขาจะจ้างพนักงาน 1 คนที่สามารถทำได้ทุกอย่าง เช่น ใน 1 สัปดาห์อาจได้รับหน้าที่แม่บ้าน 3 วัน / เสิร์ฟอาหาร 3 วัน / บาร์เทนเดอร์ 1 วัน หรือแบ่งครึ่งเช้าเย็นช่วงละหน้าที่ก็มีค่ะ

ข้อดีของงานในอุทยานแห่งชาติ คือได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองเต็มที่ และใกล้ชิดธรรมชาติ เข้าป่าชมนกชมไม้ กินอยู่และเที่ยวในนั้นโดยที่แทบไม่ต้องควักเงินส่วนตัว แต่ในอีกมุมคือเราต้องรับมือกับความเหงา เพราะอยู่ไกลจากชุมชนมากกกก ไม่มีแม้กระทั่งร้านขายข้าวขายน้ำใดๆ ไม่มีเพื่อนนอกจากคนที่ทำงานด้วยกัน

พนักงานส่วนของฟาสต์ฟู้ดที่ “IGA Supermarkets” 

ในเมือง Jabiru ห่างจากเมือง Darwin ประมาณ 3 ชั่วโมง บอกเลยว่างานซูเปอร์มาร์เก็ตต้องใช้ความไวสูงมากกก มีพนักงาน 3 คน ขายแซนด์วิชกับสลัด เราต้องถามรายละเอียดเยอะและทำหลายขั้นตอน ห่อเสร็จเชิญลูกค้าคนต่อไป วนประมาณนี้ค่า หลักๆ คือจะต้องถามครบ ทำเร็ว ห้ามผิด โฟกัสที่งาน และใช้ภาษาอังกฤษด้วย ส่วนเพื่อนอีกคนจะอยู่ที่ครัวมากกว่า ถ้าทำส่วนนั้นก็ต้องไปอบรมเรื่อง Food Safety มาก่อนค่ะ

ได้ทำงานเทศกาลดนตรีตอนสิ้นปีด้วย 

ตามไปดูในคลิปได้เลย~

ปิดท้ายด้วยรีวิวเมือง Darwin

  • เมืองเล็ก รถไม่ติด เดินทางไปไหนมาไหนง่าย เช่น จากที่พักสามารถเดินหรือปั่นจักรยานสัก 5-10 นาทีก็ถึง แต่ถ้าใครชอบเมืองอาจไม่ตอบโจทย์ เพราะเมืองเงียบสงบมากก มีห้างแค่ที่เดียวค่ะ
  • อากาศร้อน ร้อน แล้วก็ร้อนนนนน~
  • ด้วยความที่รัฐบาลต้องการดึงดูดคนทำงาน เรตค่าจ้างเมืองนี้ก็เลยโอเค และมีโอกาส PR ง่ายกว่าถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ สามารถเช็กค่าแรงขั้นต่ำของแต่ละรัฐ โดยพิมพ์ค้นหาว่า “Minimum Wage in Australia” หรือดูข้อมูลจากเว็บนี้  https://www.australianunions.org.au/
  • คนพื้นเมืองอยู่เยอะมาก อาจเจอเหตุการณ์ที่เขาทะเลาะกัน ระวังลูกหลง

สุดท้ายนี้ #ทีมออสเตรเลีย ห้ามพลาด
“มะลิพาไป” มีเรื่องน่าสนใจอีกเพียบ!

ช่องทางติดตามทั้งหมด


สำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D" 

ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D  

พี่กุ๊กไก่
พี่กุ๊กไก่ - Columnist มนุษย์เบ้าหน้าจีน หวีดนักร้องไทย คลั่งไคล้ซีรี่ส์เกาหลี คลุกคลีกับอาหารญี่ปุ่น

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น