“Life begins at the end of your comfort zone.”
— Neale Donald Walsch
สวัสดีค่ะชาว Dek-D สำหรับใครที่อยากออกเดินทางค้นหาตัวเองในบรรยากาศที่ดีต่อใจสุดๆ วันนี้เราจะพาไปจุดแพสชันให้ลุกโชนกับรีวิวโครงการ Work & Travel ที่อุทยานแห่งชาติเกลเชอร์ (Glacier National Park) ณ รัฐมอนแทนา (Montana) ซึ่งเป็นอีกสถานที่เที่ยวยอดฮิตและอาณาเขตกว้างขวางแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา
เจ้าของเรื่องราวและรูปภาพความทรงจำแบบจัดเต็ม ก็คือ “พี่ก็อต” เด็กวิศวะบางมดที่วางแผนจะต่อ ป.โท ในไทย แต่เกลเชอร์เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาสมัครทุนโครงการ YSEALI Academic Fellowship และเบนเข็มทิศจาก ป.โท ในประเทศไทย มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกที่ “สหรัฐอเมริกา” ดินแดนที่เขาตั้งใจว่าจะไปใช้ชีวิตอีกครั้งในฐานะเด็กมหาวิทยาลัยปริญญาโท
เพราะอะไรเขาถึงโดนตก? อัปเลเวลภาษาและการเดินป่าปีนเขาขนาดไหน? พร้อมแล้วไปหาคำตอบที่รัฐมอนแทนากันค่ะ~
[อัปเดตล่าสุด] พี่ก็อตมีสถานะเป็นนักเรียนทุน ก.พ. และได้รับการตอบรับเข้าเรียน University of Michigan เรียบร้อยแล้ว ใครสนใจสามารถอ่านรีวิวได้ที่โพสต์นี้ค่ะ // และพิเศษมากกก ใครอยากปรึกษาเกี่ยวกับชีวิตในอเมริกา, Work & Travel, YSEALI รวมไปถึงเรื่องกระบวนการสมัครทุนรัฐบาลไทย และมหาวิทยาลัยในอเมริกา เตรียม Walk-in มาปรึกษาพี่ก็อตได้ในงานแฟร์ Dek-D's Study Abroad Fair รอบเมษายน 2024 นี้นะคะ ไฮไลต์เพียบ!
แนะนำตัวสั้นๆ
สวัสดีครับ ชื่อ “ก็อต-ฉัตรชัย กรุณา” เป็นนักเรียนทุนพระราชทาน ม.ท.ศ. รุ่นที่ 7 และทุนเฉลิมพระเกียรติฯ รุ่นที่ 2 (ปี 2565) จบ ป.ตรี ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลที่ มจธ. (บางมด) และเข้าบรรจุเดือน ต.ค. 2022 อยู่ระหว่างการปฏิบัติราชการในส่วนราชการ ระยะที่ 1 เป็นวิศวกรปฏิบัติ ณ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน และอยู่ระหว่างการเตรียมตัวเพื่อไปต่อ ป.โท ต่างประเทศปีหน้าครับ
เริ่มแรกผมไม่ได้มีความฝันวัยเด็กที่อยากไปต่างประเทศนะครับ แต่จุดเปลี่ยนคือตอนจะจบปี 4 เรามานั่งคิดว่ามีโอกาสหลายอย่างที่เสียไปเพราะไม่ได้ภาษา และไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ๆ ก็เลยเอาล่ะ! ช่วงใกล้จบอยากทำอะไรสักอย่างก่อนจะตีกรอบตัวเองไปตลอดชีวิต ตัดสินใจสมัครโครงการ Work and Travel ครับ
*ข้อควรระวังคือลังเลนานไม่ได้ เพราะจะสมัครโครงการนี้ได้ต่อเมื่อมีสถานะเป็นนักศึกษาเท่านั้น (อาจจะ ป.ตรี, โท) และมีเงื่อนไขเรื่องอายุด้วยครับ ผมยังนึกเสียดายเลยครับที่ไม่คิดจะสมัครตั้งแต่ปี 1 ไม่งั้นจะมีครั้งต่อไปอีกแน่ๆ (ลิงก์รายละเอียดคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการ: https://www.engenius.co.th/work-and-travel)
สมัครยังไง? ไปด้วยวิธีไหน?
ถ้าจะไป Work and Travel ต้องผ่านเอเจนซี แล้วดูต่อว่าเอเจนซีนั้นมีบริการครอบคลุม Location ที่เราอยากไปมั้ย ขั้นตอนคร่าวๆ จะมีดังนี้ครับ
- สอบวัดระดับภาษาก่อน
- มีลิสต์ให้เลือกงานที่ทำได้ตามระดับภาษาของเรา
- ถ้าผ่านจะได้สัมภาษณ์กับนายจ้าง
- เข้าสู่ขั้นตอนขอวีซ่า (วางแผนดีๆ เพราะมีโอกาสตก โดยเฉพาะเด็กปี 4)
- พอวีซ่าผ่านก็จองตั๋วบิน แล้วพี่เอเจนซีก็จะดูแลเราถึงสนามบินเลย
ผมตั้งใจจะไป Glacier National Park ตั้งแต่ก่อนสอบวัดระดับอีก เลยมุ่งมั่นช้อยส์เดียว ยื่นสมัครตั้งแต่เปิดรับวันแรก และได้ไปช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย. 2022
. . . . . . . . .
Let the journey begin.
บรรยากาศและสังคมที่เจอ
ผมรู้จักคำว่า Seasonal Job เป็นครั้งแรก มันคืองานที่ไม่มีพนักงานประจำ แต่เปิดรับสมัครเป็นช่วงๆ เพราะอย่างตอนหน้าหนาวปกคลุม อุทยานปิด ก็เลยไม่มีการจ้างช่วงนั้น ข้อดีคือตอบโจทย์คนที่อยากสำรวจโลกกว้าง ไม่ชอบงานจำเจ ถ้าเป็นอุทยานก็จะได้ทำงานและเที่ยวไปในตัว
ในขณะเดียวกันเราต้องลุ้นว่ารอบนี้จะเจอระบบและ Manager แบบไหน ความสนุกก็ต่าง ส่วนตัวผมต้องใช้คำว่า โชคดีที่เจอสังคมน่ารักมากกก! คนที่นั่นเฟรนด์ลี่สุดๆ อาจด้วยคาแรกเตอร์คนทำงานอุทยาน พื้นฐานจะต้องชอบธรรมชาติ ใจเย็น ใจดี ใช้ชีวิตไม่เร่งรีบ
**อย่างไรก็ตาม ผมไม่อยากให้ทุกคนคาดหวังว่าจะเจอแบบที่ผมรีวิวมาแน่ๆ ต้องใช้แต้มบุญที่สะสมมาว่ารุ่นเราจะเจอเพื่อนแบบไหน ต้องเผื่อใจ + ศึกษาให้ดี + วางแผนวิธีรับมือด้วยตัวเองให้รัดกุมครับ
ภาษา
ผมตั้งใจไปฝึกภาษาอยู่แล้ว ช่วงแรกที่คุยกับเพื่อนอาจยังไม่ชินกับภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกัน อย่างคำว่า Mountain ผมออกเสียง “เม้า-เท่น” แบบสำเนียงไทยๆ ส่วนคนที่นั่นออกเสียง “เม้า-อึ่น” ต้องปรับหูพอสมควร แต่ข้อดีคือสังคมต่างชาติที่ผมเจอเขาเปิดใจให้เราอยากฝึก บางคนพูดช้าลงให้เราฟังง่ายขึ้น ไม่บั่นทอนกำลังใจกันเรื่องสำเนียงเลย
การไป Work and Travel ครั้งนี้ผมเลือกงานในครัวเพราะอยากฝึกภาษาแบบค่อยเป็นค่อยไปนะครับ เพราะสมมติไปถึงเป็นพนักงานเสิร์ฟที่เผชิญหน้ากับลูกค้า เราอาจรู้สึกกดดัน กลัวส่งผลกระทบกับร้าน จนอาจไม่กล้าเริ่มพูดเลยก็ได้ กลายเป็นเสียความมั่นใจจนไม่กล้าเดินก้าวแรก
เรื่องค่าครองชีพ
ก่อนเดินทางผมเตรียมเงินประมาณ 110,000 บาท ในนี้จะมีค่าสมัคร ค่าจองงาน ค่าโครงการ ค่าวีซ่า ($160) ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ, Amtrak (Seattle Montana), ค่าโรงแรม ปฐมนิเทศ, ค่ามัดจำบ้าน ($100) นอกจากก้อนนี้ ผมเตรียม Pocket Money ไว้ 20,000 บาท สำหรับใช้ช่วงก่อนได้ค่าจ้าง เช่น กรณีผมได้ทุกราย 2 สัปดาห์ ก็เตรียมเงินไปใช้ช่วง 2 สัปดาห์แรกก่อนครับ
Montana ค่าครองชีพไม่สูง เหมาะกับการมาเก็บเงิน ชอปปิงได้เหมือนเดิมโดยไม่มี Sale Tax แล้วที่ดีมากคือพอเราเข้ามาทำงาน จะสามารถเข้าบริเวณไหนใน Glacier ก็ได้โดยไม่เสียเงิน และอาจมีรถรับส่งด้วย
. . . . . . . . .
ตีแผ่ชีวิตสุดครบเครื่องในครัว
เวียนมาหลายตำแหน่ง ทำอะไรบ้าง?
ในเกลเชอร์มีหลายโรงแรม ผมทำที่ Many Glacier Hotel เป็นโรงแรมที่เปิดช้าสุด อยู่ลึกสุด ไกลจากทุกอย่าง ถ้าออกจากเมืองคือใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แต่กลับรู้สึกโชคดีมากที่ได้มาทำ เพราะที่นี่คือโรงแรมใหญ่ เป็นจุดเริ่มต้นของ Hike สวยๆ หลายจุด พวกเน็ตหรือไฟฟ้าครบหมด (ในโรงแรมมี Wi-Fi ให้ใช้) และส่วนมากอากาศดี // ยกเว้นใครชอบหน้าหนาวอาจลำบาก เพราะฤดูร้อนก็ยังหนาว อาจถึงขั้นมีหิมะตกได้
ผมไปทำงานในส่วนของ “Kitchen Worker” ซึ่งจะมีแยกย่อยอีกเยอะมาก เช่น Pantry (คนทำสลัดกับขนมหวาน ประจำการที่เตาอบ), Cook (คนปรุงอาหาร), Cook 2 (ผู้ช่วยคนปรุงอาหาร) Prep Cook (จุดตั้งต้น แปรรูปวัตถุดิบพร้อมปรุงเตรียมส่งต่อให้ Pantry หรือ Cook), Dishwasher (พนักงานคุมเครื่องล้างจาน) ฯลฯ มีเยอะมากๆ ส่วนผมจะทำหลายตำแหน่งเวียนกันครับ
ตอนเด็กผมเคยทำอาหารอยู่บ้างนะครับ แต่เหตุผลที่เลือก Kitchen Worker เพราะเราจินตนาการงานประมาณ Prep Cook รู้สึกสนุกเวลาได้โฟกัส และข้อดีคือพอทำหลังครัว เราจะได้พัฒนาภาษาอังกฤษแบบค่อยเป็นค่อยไปด้วย
เริ่มวันแรกที่ “Pantry” งานที่ใครๆ ก็อยากทำ
ปกติทุกคนจะเริ่มต้นที่ตำแหน่งคนคุมเครื่องล้างจาน หรือ Dishwasher ก่อน แล้วค่อยเลื่อนขั้นไปทำหน้าที่อื่น แต่พอดีผมมาจังหวะที่ Pantry คนก่อนหน้าติดโควิดพอดี ผมเลยได้มาแทน หน้าที่คือทำสลัด ขนมหวาน อบคุกกี้ ฯลฯ ประจำการที่เตาอบ งานไม่หนักไม่เบา ไม่ต้องทนร้อน ร้อนสุดก็แค่ตอนเปิดเตาเอาขนมเข้าไปอบ และอาจต้องตื่นเช้ากว่าปกติหน่อยเพื่อมาเตรียมอาหาร
แต่ถ้าถามว่าต้องมีสกิลอาหารมาพร้อมเลยมั้ย แค่พื้นฐานก็พอ เพราะส่วนใหญ่ทำจากอาหารสำเร็จรูป มีซอสหรือเครื่องปรุงให้ อาจได้ทำบางอย่างเช่น สลัดรูปแบบต่างๆ มีสูตรให้พร้อมทำตามแบบ step-by-step เรียกว่าสกิลอาหารก็ไม่ได้รู้สึกว่าดีขึ้น เพราะอาหารไทยรายละเอียดมากกว่าเยอะ 5555
พอทำไปได้ 2 วีค ผมก็ติดโควิดและกักตัว ก่อนจะออกมาเจองาน Dishwasher ที่ผมมองว่าเหนื่อยสุดในบรรดางาน Kitchen Worker ทั้งหมด!
“Dishwasher” ใครว่าล้างจานเป็นเรื่องง่าย
ตำแหน่งนี้จะแบ่งออกเป็น “กะเช้า” (เริ่ม 7AM) และ “กะบ่าย” (เริ่ม 2PM) กว่าจะปิดครัวก็ดึกๆ ประมาณ 4-5 ทุ่ม เป็นทีมรับจบ ภาชนะทุกอย่างจะมารวมกันที่นี่ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็สามารถทำให้ชิลๆ เรื่อยๆ ทำไปคุยกับเพื่อน คุยกับเด็กเสิร์ฟที่นำภาชนะมาส่ง ฯลฯ
บอกเลยครับว่าฝันร้ายสำหรับ Dishwasher คือเหตุการณ์ “ไฟดับ” เพราะต้องเปลี่ยนมาล้างด้วยมือเองทั้งหมดแทนปกติที่ใช้เครื่อง ผมทำงานนี้ 2 เดือน เคยเจอไฟดับเหมือนกัน ตอนนั้นเพื่อนแผนกอื่นมาช่วยล้างด้วยครับ // บอกแล้วว่าสังคมน่ารักมากกก
และแล้วฟ้าก็เมตตาผมมมม ได้โปรโมตไปเป็นผู้ช่วยเชฟ หรือ Cook 2 ครับ!
“Cook 2” งานไม่หนักแต่ท้าทายไม่เป็นรอง
ชีวิตเปลี่ยนจริงๆ เพราะได้ทั้งเงินรายชั่วโมงเพิ่ม เนื้องานไม่หนักเท่าล้างจาน แต่จะท้าทายตรงที่เราต้องทำอาหารที่จะถูกนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจริงๆ แล้ว ซึ่งหนึ่งในเมนูที่ผมทำคือ คาวาทาปิ (Cavatappi) พาสต้า (Pasta) ย่างปลา ทอดไก่ หุงข้าว ฯลฯ เหมือนได้ขุดสกิลทำอาหารทั้งชีวิตมาใช้ และฝึกบางอย่างเพิ่ม อย่างเช่นวิธีการแล่ปลาแซลมอน แต่จะมีแค่บางอย่างที่เราทำไม่ได้ซึ่งเป็นหน้าที่ของ Cook เช่น ต้องดูระดับความสุกของเนื้อ ฯลฯ
นอกจากนี้ผมมีโอกาสทำ Prep cook ด้วยครับ หั่นวัตถุดิบ เช่น พริกหยวก ซูกินี (Zucchini) ฯลฯ โดยมี Cook เป็นคนที่สั่งว่าจะใช้อะไรบ้าง
บรรยากาศในครัวที่เจอแต่ละวัน?
ฮามากกกก!
ปกติงานหลักๆ จะมีตอนช่วง Breakfast -> Lunch -> Dinner มีกะเช้าที่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ ส่วนกะบ่ายมักเป็นวัยรุ่นเพราะเลิกงานดึกได้ ซึ่งตอนผมทำ Cook มักจะได้กะเย็นตลอด เลยได้ดูอาหารมื้อเย็น แล้วเราก็มักจะได้เพื่อนช่วงนี้เพราะอยู่ด้วยกันเยอะ บางวันเปิดเพลงกัน (แต่ต้องระวังไม่ให้ดังรบกวนทะลุไปโซนอื่น) คุยกันเฮฮามากกก พอเสร็จงานทุกคนก็ เฮ!!!
อย่างแรกเราต้องสนุกกับงาน และรู้สึกงานเข้ามือก่อน ซึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ผมสนุกได้ทุกวันและไม่เบื่อก็คือ “เพื่อนร่วมงาน” ช่วงแรกผมเหนื่อยก็จริงแต่รู้สึกอยากตื่นมาทำงานตลอด เพราะจะได้มาคุยกับเพื่อนทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ถ้าอันไหนผิดก็จะไม่ได้ take serious แต่จะให้เรามองเป็นบทเรียน เพื่อไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีกในครั้งต่อไป
ถามว่าราบรื่นทั้งหมดมั้ย ในการทำงานก็จะเจอเรื่องที่ใหม่สำหรับเราบ้าง แต่ผมไม่ได้มองเป็นปัญหา เพราะเราพร้อมจะไป Enjoy อยู่แล้ว หรือถ้าเกิดรู้สึกวันไหนมันไม่ใช่วันของเรา อย่าเพิ่งจมกับมันจนออกมาไม่ได้ โลกยังไม่แตกสักหน่อย หลังเลิกงานวันนั้นผมก็ไป drink ไป party กับเพื่อน เก็บความผิดพลาดเป็นบทเรียน อาศัยการยอมรับและมองหาอะไรดีๆ ของทุกประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครับ
ช่วงโหมงานมีมั้ย มี!
ผมสถานการณ์ช่วงพีคจัดๆ 3-4 สัปดาห์สุดท้าย มันไม่ใช่ไฟต์บังคับที่ต้องทำงานหนัก แต่ด้วยความที่ผมเห็น iPhone ออกใหม่ เลยตั้งใจจะเก็บให้ถึงเป้าจากการทำงานที่นี่ครับ ตอนนั้น OT แบบ non-stop เคยทำมาสุด 16 ชั่วโมงติดต่อกัน 5 วัน เข้างาน 6AM เลิก 10-11PM ถือคติว่าจะนอนเมื่อไหร่ก็ได้ นอนบนรถไฟขากลับเอาก็ได้ แต่ตอนนั้นขอเอาเงินก่อน บางวันยังไปปาร์ตี้ต่ออีก ซึ่งขอเตือนว่าไม่ดีต่อสุขภาพ อย่าทำตาม!! ช่วงนั้นเสียงผมก็หายไปเลยครับ TT
. . . . . . . . .
สวรรค์ของคนรักธรรมชาติ
และการ Hiking
ถ้าให้แนะนำ Glacier National Park เหมาะที่สุดแล้วสำหรับคนชอบ Hiking บรรยากาศโคตรธรรมชาติ ตลอด 3 เดือนนั้นผมไปมากกว่า 10 จุด ทั้งเดินป่าจริงจังกับเดินชิลช่วงเย็นหลังเลิกงาน ซึ่งในแต่ละ Hike ไม่ใช่ว่าจะเหมือนๆ กัน แต่จะสวยและสนุกไปคนละแบบ แถมไม่ต้องเสียค่าที่พักเพราะเรามา Work and Travel มีที่พักในตัว มีรถรับส่งระหว่างโรงแรม หรือบางทีตอนไปเขาไกลๆ ก็มีรถ “Glacier Park Red Bus Tours” ที่พาไปดูจุดต่างๆ ในอุทยานด้วย
ที่ประทับใจอีกคือระบบนิเวศหลากหลายและอุดมสมบูรณ์ มีโอกาสเจอสัตว์ป่าที่เราไม่คุ้นหน้าคุ้นตาบนภูเขาน้ำแข็ง เช่น ที่เจอบ่อยคือ “กวางมูสต์” อาจมีที่ต้องระวังคือ “หมี” แต่ก็จะมีพก Bear Spray ให้อุ่นใจ สำคัญคือต้องไม่ลืมว่าป่าคือบ้านของพวกเขา (สัตว์ป่า) ก่อนเริ่มงานจะมีปฐมนิเทศ อบรมข้อควรระวัง Do & Don’t แล้วเราก็เตรียมความพร้อม มีสติ และรู้ตัว เตรียมรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้น ส่วนสัตว์อื่นๆ ถ้าไม่เข้าใกล้หรือทำร้าย เขาก็ไม่ทำอะไรเราครับ
ถนนที่ทุกคนไม่ควรพลาดคือ Going-to-the-Sun Road ทางยาวและสวย มีวิวตลอดทาง ผมได้เห็นวิวแบบนี้ตลอด 3 เดือนครับ!
สำหรับใครที่มา Hiking เลือกความยากง่ายตามพละกำลังของเรานะครับ ถ้าถามส่วนตัวผมว่า Hiking ที่นี่เหนื่อยน้อยกว่าไทย เพราะไทยร้อน แต่ที่มอนแทนาชิลมาก มีฝนตกบ้างแบบพอรับได้ และ Enjoy ระหว่างทาง พยายามคุยกับชาวต่างชาติเยอะๆ
มีคนบอกว่าถ้ามา Montana ต้องลอง Huckleberry มองเผินๆ ดูเหมือนกับผลไม้กลุ่มเบอร์รี่ทั่วไป แต่เป็นอาหารลับ Must Try คนท้องถิ่นนิยมเอามาทำเบียร์กับไวน์กัน ผมบรรยายรสชาติไม่ถูก ต้องชิมถึงจะเข้าใจจริงๆ ครับ 5555
Glacier National Park –
A place where dreams are made
and memories are kept.
It’s hard to say goodbye.
ผมไม่แน่ใจว่าภาษาอังกฤษดีขึ้นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มีแพสชันขึ้น และออกจาก Comfort Zone ได้แบบ 100% เพราะหลังกลับมาผมสมัครไปโครงการ YSEALI Academic Fellowship เมื่อปี 2023 มีแบ่งเป็น 3 สาขาคือ Civic Engagement, Social Entrepreneurship and Economics Development และที่ผมไปคือ Environmental Issues สาขานี้ตรงความสนใจผม แถมตัวเลือกที่จะได้ไปคือ Hawai’i หรือ Montana
พอผมเห็นชื่อ Montana นั่งอ่านโครงการ คุณสมบัติ สิ่งที่ได้ทำ สถานที่ ฯลฯ โหหห สมัครแน่นอน! ไม่ใช่สมัครแค่เพราะอยากไปเที่ยว แต่อยากไปดูว่าเขามีวิธีดูแลรักษาธรรมชาติและคงความสวยงามนั้นยังไงบ้าง แล้วอะไรที่ทำให้คนมีความตื่นตัวทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Awareness) ได้ขนาดนั้น
และแล้วผลก็ออก โครงการเลือกให้ผมไป Hawai’i แต่ไม่รู้สึกผิดหวังเลยครับ เพราะเราไปรับประสบการณ์อีกแบบที่ไม่ซ้ำกับ Montana เจอความประทับใจเรื่องระบบและมาตรการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม กับการปลูกฝังความคิดเรื่องการอนุรักษ์ธรรมชาติมากๆ และมีการพูดถึงเรื่องพลังงานสะอาดค่อนข้างเยอะ ได้เห็นแนวคิด ข้อจำกัด วิธีเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ดูว่าจะปรับใช้กับสิ่งที่เราต้องการผลักดันได้ยังไงบ้าง
ผมมีโอกาสไป San Francisco ครั้งที่ 2 คราวนี้ได้เรียนรู้การจัดการขยะและพลังงานของเมือง และมีโอกาสได้ถามคำถามกับ “David Vogel” ผู้เขียนหนังสือ California Greenin': How the Golden State Became an Environmental Leader เกี่ยวกับความยืดหยุ่นของพลังงาน (Energy resilience) ในบริบทของประเทศไทยและแคลิฟอร์เนียครับ
ตอนแรกวางแผนจะเรียนต่อ ป.โท ที่ไทย แต่การก้าวออกจาก comfort zone ในครั้งนั้นทำให้ผมกล้ามากขึ้น บวกกลับหลังจากกลับจากโครงการ YSEALI ก็ยิ่งทำให้ผมอยากไปเรียนต่างประเทศมากขึ้นไปอีก ซึ่งก็คิดว่าต้องอเมริกาแน่ๆ ช่วงเวลาที่ได้ไป Work and Travel 3 เดือนทำให้ผมตกหลุมรักอเมริกาแบบจริงจัง
(ด้านล่างนี้เป็นภาพสรุปโครงการ YSEALI ที่ผมทำไว้ ขอแชร์เผื่อมีน้องๆ สนใจนะครับ)
สุดท้ายนี้!!
ทีมงานต้องขอขอบคุณพี่ก็อตที่มาแชร์ประสบการณ์กันนะคะ เรียกว่ารูปและข้อมูลมาแบบจุใจมากก และหากใครอยากอ่านรีวิวจากรุ่นพี่ประสบการณ์ตรง YSEALI Academic Fellow สาขา Environmental Issues เพิ่มอีกสักหนึ่งแบบจัดเต็ม ตามไปอ่านรีวิวนี้กันต่อเลยค่าา (มาโครงการประมาณนี้คอนเน็กชันดีมากจริงๆ ใครสนใจห้ามพลาดค่ะ)
. . . . . . .
You’re Invited!
เสาร์ 27 - อาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024
งานเรียนต่อนอก Dek-D ครั้งที่ 3
รอบนี้พิเศษสุดๆ เพราะ Dek-D’s Study Abroad Fair ได้รับเกียรติจากรุ่นพี่นักเรียนทุนและจบนอกจากประเทศยอดนิยมตอบรับคำเชิญมาประจำบูธใหญ่ของพวกเรามากถึง 23 คน เพื่อให้น้องๆ และผู้ปกครอง Walk-in ปรึกษาได้ตัวต่อตัว ไม่ว่าจะเป็น รุ่นพี่ทุน Erasmus+ (ยุโรปและอเมริกา), Fulbright (อเมริกา), Chevening (สหราชอาณาจักร), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), ทุนรัฐบาลอิตาลี, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน, ทุนรัฐบาลไทย (ก.พ./UiS) รวมถึงรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์และออสเตรเลีย
สำหรับใครที่อยากพูดคุยกับ “พี่ก็อต" สามารถ Walk-in มาปรึกษา 1:1 ได้ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน 2024 นะคะ แล้วเจอกันนน!
เช็กไฮไลต์และคิวเวทีรุ่นพี่ทั้งหมด
0 ความคิดเห็น