งานหินแค่ไหนก็สู้! เปิดรีวิวเด็ก Work & Travel ในอุทยานหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก @ California

“ คุณไม่มีทางจินตนาการได้เลยว่า ที่แห่งนี้น่าอัศจรรย์เพียงใด
 หากจนกว่าจะได้มาเห็น ด้วยตาของคุณเอง ”

สวัสดีครับทุกคน เชื่อว่าวัยมหา’ลัยน่าจะคุ้นเคยกับชื่อโครงการ Work and Travel ที่เปิดโอกาสให้บินลัดฟ้าไปอเมริกา เพื่อหาประสบการณ์ทำงานระยะสั้น พร้อมกับฝึกภาษาและเรียนรู้วัฒนธรรมอย่างใกล้ชิด งานจะมีหลากหลาย พาไปเจอเสน่ห์และประสบการณ์ที่แตกต่าง เช่น งานในสวนสนุก โรงแรม ร้านอาหาร อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

และวันก่อนพี่อั้มมีโอกาสชวน “พี่ปิ่น” นิสิตเอกฝรั่งเศส คณะอักษรจุฬาฯ มาแชร์ประสบการณ์ Work & Travel ในอุทยานหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง ‘Yosemite National Park’ ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย (California) ตั้งแต่ 12 พฤษภาคม - 30 สิงหาคม 2565 (รวม 3 เดือนครึ่ง) แค่ฟังสถานที่ก็น่าสนใจแล้ว มาดูกันต่อว่าระหว่างทาง เธอเจอเรื่องราวอะไรบ้าง โมเมนต์ไหนจำไม่ลืม คุ้มมั้ยกับการตัดสินใจมาครั้งนี้

Are you ready? Let’s start the journey!

• • • • • • •

จุดเริ่มต้นการออกเดินทาง 

จริงๆ เราอยากไปต่างประเทศมาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วค่ะ จนกระทั่งช่วงใกล้จบปี 4 รู้สึกอยากหาอะไรทำก่อนจบ ก็มาลงตัวที่โครงการ Work & Travel เพราะโครงการนี้ไปแค่ช่วงสั้นๆ เราก็ชอบภาษากับวัฒนธรรมเป็นทุนเดิม แล้วยังมีเพื่อนที่ตัดสินใจไปด้วย จังหวะทุกอย่างลงล็อกเป๊ะ ก็ลุยสมัครเลย

โครงการมีสถานที่ให้เลือกเยอะ แต่พอดีเพื่อนที่ไปด้วยกันลงงานที่ Yosemite National Park เพราะอยากไปแคลิฟอร์เนีย เราเลยเลือกไปตามเพื่อนเลยค่ะ พอดูไว้แล้วก็ไปสอบสัมภาษณ์วัดระดับภาษาก่อน -> จองงาน -> สอบสัมภาษณ์กับนายจ้าง บรรยากาศชิลสุดๆ!

 

สุดท้ายก็ผ่าน~ ขั้นต่อไปคือติดต่อเรื่องทำวีซ่า ส่งอีเมลอัปเดตสถานะวีซ่ากับนายจ้าง แล้วก็จองตั๋วเตรียมบินเลยค่ะ

เทคนิคการสัมภาษณ์วีซ่าฉบับเด็กปี 4 ของพี่ปิ่น คือการตอบให้ชัดเจน จริงใจ เหมือนเราไปคุยกับเพื่อน อย่าพยายามจำบทเพื่อไปใช้ในการสัมภาษณ์ และแนะนำให้หาเหตุผลในการไปแลกเปลี่ยนและแพลนหลังจากจบโครงการมาให้ชัดเจน

แพ็กของเตรียมพร้อม
บินตรงสู่สนามบินนานาชาติเฟรสโน! 
(Fresno Yosemite International Airport) 

หลังจากลงสนามบินแล้ว เราสามารถต่อรถชัตเตอร์บัส​ (YARTS) ตรงเข้าอุทยานเลยค่ะ ช่วงซัมเมอร์ตลอด 3 เดือนครึ่งนี้ (พ.ค.-ส.ค.) เราจะได้ทำงานที่ Yosemite National Park อุทยานแห่งชาติหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย

ก่อนจะเข้าเรื่องงาน ขอพาทัวร์ก่อน~~

จริงๆ พื้นที่ในอุทยานใหญ่มากกก ประมาณ 3,000 กว่าตารางกิโลเมตร แต่เราทำงานตรงโซน Yosemite Valley ช่วงแถวๆ หุบเขา ประมาณ 5.8 ตารางกิโลเมตร ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวฮิตๆ ที่คนมากันเยอะอย่าง Half Dome นั่งรถเข้ามาก็จะเห็นเลย หรือ Yosemite Falls ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในอเมริกาเหนือ 

หลักๆ นักท่องเที่ยวมจะชอบเดินทางมาด้วยรถยนต์ หรือเรียกใช้บริการชัตเตอร์บัสเพื่อมาเดินเล่น ปีนเขา เที่ยวน้ำตก ถ่ายรูป แต่ทางเรากับเพื่อนๆ จะชอบเช่าจักรยานปั่นไปเที่ยวสถานที่รอบๆ อุทยาน เช่น  El Capitán หน้าผาหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ Valley View ** เป็นอีกหนึ่งจุดเช็กพอยต์ที่ต้องมานะคะ สวยมากก!

Photo Credit: https://www.yosemite.com/
Photo Credit: https://www.yosemite.com/ 
Half Dome
Half Dome
Yosemite Fall
Yosemite Fall 
El Capitan
El Capitan

Note: El Capitan ขึ้นชื่อว่าเป็น “หน้าผาหินแกรนิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก” มีความสูงเป็นสองเท่าของตึก Empire State หรือกว่าสามเท่าของหอไอเฟล (Eiffel Tower) 

Valley View
Valley View

ช่วงแรกๆ ที่ไปก็รู้จักกับเพื่อนต่างชาติเยอะ เลยมีโอกาสชวนกันไปเดินเขาอยู่บ่อยๆ หรือวันไหนถ้าไปกับเพื่อนกลุ่มคนไทยก็จะนัดกันในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ มีทั้งไปเดินเล่นที่ Mirror Lake บ้างก็นัดกันไปพายเรือล่องแก่งที่ Merced River หรือถ้าว่างหน่อยก็ออกไปเที่ยว road trip นอกอุทยานกับเพื่อนๆ เรียกว่ามีอะไรทำเยอะมาก สถานที่เที่ยวบอกเลยว่าไม่มีวันที่จะเก็บหมด 555

Mirror Lake
Mirror Lake
Merced River
Merced River

ขอบอกว่าครั้งนึง เราเคยเดินขึ้นไปถึงยอดของ Half Dome เลยนะ! โดยเริ่มต้นเดินจากเส้นทาง Mist trail เดินขึ้นไปอีก 1 ชั่วโมงครึ่ง จนเดินผ่าน Vernal fall ที่เป็นน้ำตกรุ้ง และ Nevada fall จากนั้นเดินต่อยาวอีกนิดไปจนถึง Little Yosemite Campground ก่อนจะแบกของลุยต่อจนถึงยอดบนสุด เรียกว่าเดินผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ตลอดทาง เพราะเหมือนเส้นทางเดินมันเชื่อมกันเกือบหมด สามารถเดินต่อกันไปได้ตลอดเลย

Mist trail
Mist trail
Vernal fall
Vernal fall
Nevada fall
Nevada fall
Half Dome
Half Dome

Note: ใครอยากติดตาม ‘ประสบการณ์การเดิน Hike 15 ชั่วโมงขึ้นไปยัง Half Dome' ของพี่ปิ่น สามารถตามต่อได้ที่นี่เลย:

พาเที่ยวเสร็จ มาต่อเรื่องงานกันบ้างค่ะ!

 

เริ่มต้นด้วยงานแม่บ้าน Housekeeper 

อันดับแรกที่มาถึง เราต้องติดต่อ HR เรื่องงานที่เราจองไว้ก่อนค่ะ ตอนนั้นสมัครไว้เป็น Housekeeper ได้ประจำโซน Curry Village ที่พักจะเป็นเต็นท์และบ้านพักกลางป่า หลักๆ เราจะได้ทำความสะอาดตามตารางที่ Manager กำหนดให้ มีทั้งแบบ Departure (ดูแลเต็นท์/บ้านที่แขกออกแล้ว) และ Stayover (ดูแลเต็นท์/บ้านที่แขกพักต่อ) รายได้ต่อชั่วโมงดีมากๆ ตกประมาณ 15.5 ดอลลาร์ // แถมมี OT อีก

ถึงจะทำงานดูแลความสะอาดในโซนที่ตัวเองรับผิดชอบ ไม่ค่อยเจอคน แต่ก็มีโอกาสได้ฝึกภาษาอังกฤษเหมือนกัน อย่างตอนที่ใส่เสื้อพนักงานแล้วแขกเดินมาเจอพอดี เขาอาจจะถามทาง หรือชวนคุยทำความรู้จัก หรือไม่ก็คุยกับเพื่อนตอนเข้าออฟฟิศช่วงเช้า พักเที่ยง และหลังเลิกงาน บอกเลยว่าคุยได้หมด เพราะสังคมการทำงานที่นี่เป็นกันเองมากๆ 

แต่อย่างที่บอกว่างานนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด 

ตอนมาถึงแรกๆ เราอยากเน้นเก็บเงินเยอะๆ ก็เลยโหมทำงาน 6 วันใน 1 สัปดาห์ แต่ปรากฏว่าพอมาทำจริง งานแต่ละอย่างต้องใช้พลังงานเยอะมาก! ทั้งอยู่กลางแจ้ง ได้เข้าร่มแค่ตอนทำความสะอาดห้อง พวกอุปกรณ์รถลากที่ใช้เก็บผ้าก็มีน้ำหนัก ต้องเข็นขึ้นเนินทุกวันๆ จนรู้สึกร่างแทบจะเดี้ยง มีปวดตัวปวดหลัง ทำจนมือชาเลยก็มี ยิ่งเพื่อนบางคนไม่ใช่สายลุยหรือสายออกกำลังกายมาก่อน เจอแบบนี้ต้องปรับตัวเยอะ

Note: ช่วง 'กรกฎาคม (July) - สิงหาคม (August)' เป็นช่วงเวลาที่เราอาจต้องเจอปัญหา ‘ฝุ่นควัน’ จากไฟป่าในบริเวณรอบอุทยานด้วย 

แต่ถ้ามองอีกมุมคือเราเหมือนได้ออกกำลังกายตลอดเวลา (พูดจริงนะไม่ใช่ปลอบใจ 5555) ในขณะที่เราต้องทำงานใช้แรง อาหารที่นี่ก็อุดมสมบูรณ์มากทั้งสลัด พิซซ่า แฮมเบอร์เกอร์ ฯลฯ เหมือนกับเราได้กินและเวทเทรนนิ่งจนร่างกายบึกบึนแข็งแรงกว่าเดิม 

ช่วงเย็นสลับมาเป็น Cook Helper
มีงานทั้งหน้าครัวและหลังครัว

ความโชคดีอย่างนึงคือเรามารู้จักรุ่นพี่บาร์เทนเดอร์คนไทยในร้านอาหารโซน Curry Village ที่เราทำ Housekeeper เลยมีโอกาสได้มาทำงานเป็นผู้ช่วยคนทำอาหาร หรือ Cook Helper ซึ่งปกติงานที่ 2 แบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ** ขึ้นอยู่กับจำนวนเด็กในโครงการ Work & Travel และเจ้าของร้านด้วยว่าจะเปิดรับมากน้อยแค่ไหน 

หน้าที่ของ Cook Helper หลักๆ มีทั้งช่วยเตรียมพิซซ่าตามออเดอร์ลูกค้า มีได้ไปช่วยเสิร์ฟด้านหน้าร้านบ้าง หรือถ้าพนักงานไม่พอก็ได้ไปล้างจาน 555 โดยรวมเป็นงานที่สบายๆ ชิลๆ อยู่ในห้องแอร์ มีลำโพงส่วนกลางในครัว เราสามารถเปิดเพลงฟังตอนทำงานไปด้วยได้

ที่พักไม่แพง สวัสดิการดี
แถมช่วยให้เก็บเงินได้มากกว่าเดิม

ที่พักของเด็ก WAT จะอยู่ไม่ไกลจาก Curry Village ที่เราทำงาน ซึ่งบ้านพักที่เราอยู่ชื่อว่า Boy’s Town สามารถเดินหรือปั่นจักรยาน 3 นาทีถึงที่ทำงานได้เลย หรือสำหรับใครที่อยากจะออกไปหาพื้นที่เล่น Wifi ก็สามารถเดินทางไปที่ส่วนกลางพนักงาน (Wellness Center)ได้ ใช้เวลาประมาณ 10 นาที  // สัญญาณโทรศัพท์ในโซนที่พักแทบไม่มี T_T

Wellness Center
Wellness Center

ขอบอกว่าค่าที่พักถูกมากก สัปดาห์ละประมาณ 20 ดอลลาร์ นอนกับเพื่อนรวมกัน 3 คน อาจมีส่วนที่ใช้ร่วมกันคือห้องน้ำ ห้องครัว และห้องซักผ้า

Boy’s Town
Boy’s Town

Note: ภายในห้องนอนจะมีมาให้แค่เตียงพร้อมฟูกนอน ฮีตเตอร์ ตู้เก็บของส่วนตัว ในส่วนของ “หมอน ผ้าปูเตียง” อาจจะต้องเตรียมาเอง  ถ้าเราทำงานเป็น **แม่บ้าน ก็สามารถขอจากนายจ้างที่นั่นได้

  • มีบัตรสวัสดิการพนักงานให้ใช้เป็นส่วนลด 15-50% จากราคาปกติ หรือถ้าจะทำอาหารกินเอง ในร้านขายของชำที่นี่จะมีวัตถุดิบขายด้วย (ส่วนลดประมาณ 15%) เราก็ชอบซื้อตุนไว้ เพราะตอนว่างหรือกลับจากเที่ยววันหยุด เราจะชอบทำอาหารมาแบ่งกัน 

    // ถ้าเป็นอาหารไทย เพื่อนต่างชาติจะชอบต้มยำกุ้ง แกงเขียวหวาน ฯลฯ ส่วนที่เราเคยทำคือชาบู ไม่รู้ว่าเรียกอาหารไทยดีหรือเปล่าค่ะ 555

กิจกรรมเยอะจนเลือกไม่ถูก!

นอกจากเดินป่า ล่องแก่ง เราสามารถกดเข้าเว็บไซต์ของอุทยาน ไปเช็กตารางกิจกรรมอื่นๆ ได้ อย่างตอนนั้นเราก็มีไปเข้า 'คอร์สศิลปะโมเสก' (Mosaic Art) จัดที่ศูนย์การเรียนรู้ Art and Nature Center

Mosaic Art
Mosaic Art

ในอุทยานยังมีไฮไลต์อีกเยอะ เช่น  Visitor Center ที่เปิดให้เราเข้าไปดูประวัติข้อมูลเชิงลึกของอุทยาน นอกจากนี้ยังมี Indian Village ให้เราได้ดูเรื่องราววิถีชีวิตของคนพื้นเมือง Native American ในอดีต หรือบริเวณ Housekeeping Camp ก็จะมีพื้นที่ชายหาดให้พนักงานเล่นกีฬาหรือพักผ่อนจอยๆ กันได้ ซึ่งกีฬาฮิตของที่นี่คือ 'วอลเลย์บอลชายหาด'

Visitor Center
Visitor Center
Art and Nature Center at Happy Isles
Art and Nature Center at Happy Isles
Housekeeping Camp
Housekeeping Camp

ที่ทำงานยังมีจัด Event เป็นครั้งคราวด้วยนะ อย่างตอนเราไปก็มี Pride Month ช่วงเดือนมิถุนายน มีทั้งอาหารฟรี ปาร์ตี้ร้องเพลงกับเพื่อนเยอะๆ สนุกมากก หรือบางวันมีจัดเลี้ยงอาหาร มีรถไอศกรีมให้พนักงานตักได้ฟรี มาทีนี่คือทำงานแบบอิ่มๆ เที่ยวจัดเต็มแน่นอน !

แต่ถ้าถามว่ามานี่มีเรื่องพีคไหม?
บอกเลยว่า หมี! แรคคูน! หมาป่า!

ด้วยความที่เราอยู่ป่า ใกล้ชิดธรรมชาติ โอกาสที่เจอสัตว์ก็มีเยอะตามไปด้วย เช่น บางครั้งเจอหมาป่าโคโยตี (Coyote) วิ่งตัดหน้า เจอหมีกำลังปีนต้นไม้บ้างก็มี แต่ถ้าถามว่าเหตุการณ์ไหนตกใจสุด ก็คือวันที่เปิดห้องพักมาเจออาหารกับของในกระเป๋าถูกรื้อกระจายหมด! ไม่รู้ฝีมือคนหรือสัตว์ในอุทยาน เพราะไม่มีของชิ้นไหนถูกขโมยไปเลย แล้วพอผ่านไปเดือนนึงก็เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีกค่ะ แต่คราวนี้สังเกตดีๆ มีรอยกรงเล็บที่ประตูมุ้งลวดด้วย!

พอเจอแบบนี้ก็รีบไปแจ้ง Park Rangers ให้ตรวจสอบเป็นเรื่องเป็นราว แล้วในหัวก็กังวลไปหมดเพราะไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ สุดท้ายเราย้อนไปดูรูปที่ถ่ายไว้ตอนเข้าพักวันแรก ถึงรู้ว่าจริงๆ มีรอยกรงเล็บตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว (อ้าว) แล้วเพื่อนๆ ก็ยังคุยกันว่าเคยมีแรคคูนแอบเปิดประตูห้องพักเข้ามาด้วย เราเลยคิดว่าแรคคูนนี่แหละตัวต้นเรื่อง ไม่น่าใช่คนที่มารื้อห้องพวกเรา

ถึงเวลาจากลา “โลกใบที่สอง”

“อาจต้องเหนื่อยหรือเจอเรื่องท้าทาย แต่เทียบไม่ได้เลยกับความอบอุ่นและความผูกพันที่ได้รับ”

ตอนที่จบโครงการแล้วเห็นเพื่อนทยอยกลับทีละคนๆ รู้สึกเศร้ามากกก ไม่อยากกลับเลย ใจเรารู้สึกชอบที่นี่ไปแล้วจริงๆ เพราะได้เปิดประสบการณ์ ลองทำอะไรที่ชอบ รู้สึกได้ใช้ชีวิตเป็นตัวเองที่สุด อีกอย่างคือบรรยากาศกับกิจกรรมบางอย่างคงไม่มีโอกาสสัมผัสอีกถ้าอยู่ไทย คงไม่ได้นอนบนทุ่งหญ้ากับเพื่อนๆ นอนเปิดเพลงร้องเพลงด้วยกันแบบนี้อีกแล้ว

ช่วงเวลานั้นเหมือนเราวาร์ปมาอยู่ใน “โลกอีกใบ” ที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีอยู่จริง ยิ่งเราแค่เลือกมาอุทยาน Yosemite ตามเพื่อน แต่กลายเป็นทุกช่วงเวลาพาให้เรามาค้นหาตัวเองจนเจอ เจอเพื่อนที่เป็นสายลุย ได้ทำงานเก็บเงิน สบายใจเหมือนเป็น Comfort Zone ในความทรงจำของเราไปแล้วค่ะ :)

ฝากถึงน้องๆ ที่สนใจ

สำหรับคนที่อยากลุย Work & Travel ที่อุทยานแห่งชาติ Yosemite National Park ส่วนตัวเราเชียร์เพราะรู้สึกได้เติบโตและค้นพบตัวเองในมุมที่เราอาจไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อน อีกอย่างคือแม้จะไม่ใช่สายธรรมชาติก็อาจตกหลุมรักอุทยาน Yosemite ได้ไม่ยากเลย ถ้าตอนนั้นไม่ได้ตัดสินใจมาสัมผัสด้วยตัวเอง คงไม่มีทางเข้าใจว่าธรรมชาติทำให้เรามีความสุขและผ่อนคลายได้ขนาดนี้มาก่อนค่ะ

• • • • • • •

สามารถติดตาม พี่ปิ่น ได้จากช่องทางข้างล่างนี้ได้เลย

Instagram: @Pinvixpa

YouTube: Pinvixpa

พี่อั้ม
พี่อั้ม - Columnist เด็กมนุษย์ Eng เชื้อสายอีสาน ขับเคลื่อนงานด้วยชาเขียว

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น