Cross to Glasgow! รีวิวจบ ป.ตรี Finance ข้ามสายไปลุยโท Marketing ที่ ‘University of Strathclyde’ สกอตแลนด์

สวัสดีชาว Dek-D ค่ะ ถ้าพูดถึงการเรียนต่อ ป.โท ในประเทศแถบยุโรป เชื่อว่า “สหราชอาณาจักร” (United Kingdom) ถือเป็นลิสต์อันดับต้นๆ ของหลายคน เพราะมีมหาวิทยาลัยคุณภาพตั้งอยู่เยอะมาก หลักสูตรส่วนใหญ่ใช้เวลาเรียนเพียง 1 ปี จึงตอบโจทย์คนที่อยากอัปเกรดความรู้ให้แน่นในระยะเวลาสั้นๆ แถมยังเป็นโอกาสฝึกภาษาอังกฤษอีกด้วย 

และวันนี้แขกรับเชิญที่เราบุกไปสัมภาษณ์กันถึงโต๊ะแผนก ก็คือ “พี่อาร์ต” ทีมงาน Novel Platform Marketing ของ นิยายเด็กดี นั่นเองค่ะ! ใกล้ตัวสุดๆ เพราะทีมงานของเราไปสืบมาได้ว่าพี่อาร์ตเป็นบัณฑิตคณะบริหารธุรกิจที่จุฬาฯ และบินไปสกอตแลนด์คว้าปริญญาโทในสาขาการตลาด (Marketing) ที่ ‘University of Strathclyde’ มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งเมืองกลาสโกว์ (Glasgow) 

ในบทสัมภาษณ์มีรีวิวครบตั้งแต่ช่วงเรียน Pre-Sessional English, สไตล์การเรียน ป.โท ใน UK รวมไปถึง #รีวิวสกอตแลนด์ ในหลากหลายแง่มุม พร้อมแชร์ Tips ในการใช้ชีวิตที่นั่น และหลังจากอ่านจบอยากพูดคุยและปรึกษารุ่นพี่นักเรียนไทยในสกอตแลนด์ 1:1 เตรียม walk-in มาพูดคุยกับ “พี่อาร์ต" ในงาน Dek-D’s Study Abroad Fair รอบเมษายน 2024 กันนะคะ (พบพี่อาร์ตได้ในวันอาทิตย์ที่ 28 เม.ย. 2024) เช็กตารางรุ่นพี่และไฮไลต์ทั้งหมดที่นี่ >> https://www.dek-d.com/studyabroadfair    

……………….

มหาวิทยาลัยสแตรธไคลด์ (University of Strathclyde) ก่อตั้งเมื่อปี 1796 ที่เมืองกลาสโกว์ (Glasgow) ประเทศสกอตแลนด์ ปัจจุบันติดอันดับ 276 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกจาก QS World University Rankings 2024 และครองตำแหน่งรองแชมป์มหาวิทยาลัยแห่งปี 2024 จาก Daily Mail University Guide ตัวอย่างสาขาที่มีชื่อเสียง เช่น Pharmacy and Pharmacology, Hospitality and Leisure Management, Business and Management Studies เป็นต้น นอกจากนี้ Business School ของที่นี่ยังเป็นแห่งแรกในสกอตแลนด์ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานการศึกษาจาก 3 สถาบันดังอย่าง AMBA, EQUIS และ AACSB หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Triple Crown accreditation” นั่นเองค่ะ

เมื่อวิชานอกภาค ป.ตรี และ Disney
พาผมมาถึงจุดนี้

สวัสดีครับ ชื่อ “อาร์ต–ธนธรรม ชาติอาชาไนย” เรียนจบ ป.ตรี คณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเรียนต่อ ป.โท สาขาการตลาด (MSc Marketing) หลักสูตร 1 ปีที่ University of Strathclyde ประเทศสกอตแลนด์ ปัจจุบันทำงานฝ่ายการตลาดของแพลตฟอร์มนิยายเด็กดีครับ 

ต้องขอเล่าย้อนไปตอน ป.ตรี ผมเรียนสาขา Finance ก็จริง แต่เราสามารถข้ามไปลงวิชาที่สนใจของภาคอื่นได้ด้วย หนึ่งในนั้นคือวิชา Marketing Channel and Physical Distribution ของภาค Marketing ครับ วิชานี้จะได้เรียนเกี่ยวกับช่องทางการวางแผนและโปรโมตสินค้า ผมเลยมีโอกาสได้เห็นเพื่อนสาขาการตลาดแสดงความครีเอทีฟและมุมมองที่พลิกแพลงต่างจากเรา

หลังจบออกมาผมสมัครเข้าร่วมโครงการฝึกงาน Disney ICP ได้ไปทำงานเป็น Cast Member ที่ Walt Disney World ทำให้ค้นพบว่าตัวเองชอบงานธุรกิจที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ด้วย ซึ่งถ้าเป็นอาชีพ "นักการตลาด" คงตอบโจทย์ แล้วเพื่อนการตลาดก็แนะนำอีกว่าสายอาชีพนี้ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี เพราะเทรนด์การตลาดไปไวมาก ถ้าเปลี่ยนสายอาชีพช้า และใช้ความรู้ที่เรียนตอน ป.ตรี ก็อาจไม่ทันแล้วก็ได้

เริ่มเข้าสู่เส้นทางการตลาด Marketing
ในย่านเศรษฐกิจของสกอตแลนด์

โลเคชันดี มีเอเจนซีประสานให้

University of Strathclyde เป็นมหาวิทยาลัยตั้งอยูในโซนเศรษฐกิจของเมืองกลาสโกว์ (Glasgow) สกอตแลนด์ ซึ่งมีบริษัทใหญ่ๆ ห้าง และร้านค้าเยอะ เวลาไปซื้อของเลยสะดวก ไม่ต้องเสียเวลานั่งรถไฟเข้าไปในเมือง  นอกจากนี้อันดับกลุ่ม Business Schools ติดอันดับต้นๆ ภายใน Top 20 ของ UK และมีหลักสูตร Marketing ที่คนไม่มีพื้นฐานหรือประสบการณ์ทำงานด้านการตลาดมาก่อนสามารถเรียนได้ ทำให้ยิ่งตอบโจทย์คนที่อยากเปลี่ยนสายงานครับ

อีกหนึ่งข้อดีคือเราสามารถสมัครเรียนมหา’ลัยนี้ผ่านเอเจนซีได้ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องการเตรียมเอกสาร แล้วไปเน้นโฟกัสการเตรียมตัวสอบ IELTS ตอนนั้นผมไปเข้าคลาส IELTS ให้รู้แนวข้อสอบกับทริคการตอบคำถาม สุดท้ายได้ Overall 7.0 ผ่านเกณฑ์มหาวิทยาลัย  และได้รับตอบรับเข้าเรียนแบบไม่ติดเงื่อนไข (Unconditional Offer) *ตอนรุ่นผมกำหนดว่าต้องได้ overall 6.5 ขึ้นไป และไม่มีพาร์ตที่ได้ต่ำกว่า 5.5 ถ้าใครเตรียมจะสมัครลองเข้าไปเช็กอัปเดตที่หน้าเว็บไซต์หลักสูตรได้นะครับ

Pre-sessional English 

ก่อนเริ่ม ป.โท University of Strathclyde จะมีคอร์ส Pre-Sessional English ให้เรียนก่อน 4 สัปดาห์โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ถ้ากรณีที่ได้ Unconditional Offer สามารถเลือกไม่เรียนคอร์สนี้ก็ได้ แต่ผมลงเพราะถือโอกาสปรับตัว เดินเล่นสำรวจหาแหล่งของกินในเมือง แล้วซื้อของเข้าหอด้วย  (แต่ถ้าใครไม่ลงเรียน แนะนำให้ถึงเมืองที่เรียนก่อนสัก 1-2 สัปดาห์เพื่อ survey ครับ)

ในช่วงนี้จะได้เรียนและมีการบ้านให้ฝึกเขียนพวก Essay, Literature Review (ประมาณ 1,000 คำ) และสอนเทคนิคการอ่าน Textbook แบบ Skimming and Scanning เพื่อจับใจความ ฯลฯ รู้สึกตัดสินใจถูกมากกกกเพราะการเรียนช่วงนี้ช่วยให้ตั้งตัวกับสิ่งที่จะเจอได้ทัน เพราะพอเปิดเทอม ป.โท ของจริง อาจารย์ให้เขียนงานส่ง 5,000 คำบ้าง 12,000 คำบ้าง และก่อนเข้าคลาสต้องเตรียมอ่านล่วงหน้าหลายบท ซึ่งการปรับกระบวนการคิดจากคอร์ส Pre-sess ช่วยได้เยอะ

รีวิวชีวิตช่วง ป.โท
ในสาขาการตลาด

เรียนประมาณไหน?

ผมรู้สึกว่า ป.โท ก้าวกระโดดจากตอนเรียน Pre-Sessional English ไปเยอะเหมือนกันนะครับ รูปแบบการสอนจะแล้วแต่คลาสเลย อาจจะมีจดเลกเชอร์ (Lecture) มีการดิสคัส (Discuss) ที่อาจารย์จะตั้งคำถามให้ฝึกคิดและตอบ แลัวยังมีกิจกรรมอื่นๆ ส่วนข้อสอบก็มีตั้งแต่แบบเลือกตอบ (Multiple Choices), เขียนเรียงความ (Essay) และทำโพรเจกต์กลุ่ม (Group Projects) แต่บางวิชาเก็บคะแนนจากการบ้านแบบ 100% เลยก็มี

ก่อนเรียนแต่ละคาบ ผมต้องอ่าน Textbook, Article และ Case Studies ในส่วนสิ่งที่อาจารย์กำลังจะสอนมาล่วงหน้า วิธีนี้ช่วยได้มากเลยนะ เพราะตอนเรียนเลกเชอร์ อาจารย์มาจากหลายประเทศ มีหลายสำเนียงที่เราอาจฟังแล้วอ๊องจนหลุดไปเลย แต่จะดีตรงที่ Marketing มีชุดคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เราคุ้นบ้าง ยิ่งพอได้ยิน keywords จากที่อ่านมาก็ทำให้พอเชื่อมโยงได้ว่าเขากำลังพูดส่วนไหนอยู่ครับ 

สิ่งสำคัญของการเรียน ป.โท คือ “การอ้างอิงแหล่งข้อมูล” (Citation) ซึ่งต้องทำให้อาจารย์เห็นว่างานเขียนของเราเอาข้อมูลมาจากงานวิจัยหรือ materials ชิ้นนี้นะ อย่างตอนผมทำ Dissertation ก็ต้องมีสมมติฐาน (Hypothesis) ที่ได้จากการอ่านงานวิชาการต่างๆ แล้วเอามาสร้างเป็นวิทยานิพนธ์ตัวเอง เรียกได้ว่าเราต้องเข้มงวดในเรื่องนี้สุดๆ 

วิชาสุดประทับใจ เปิดมุมมองใหม่ๆ
สู่การเป็นนักการตลาด

การเรียน Marketing คือการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งจะเน้นเรื่องการคิดวิเคราะห์และการสังเกตมากกว่าการคำนวณ  หลายวิชาที่เรียนเลยทำให้ผมมีมุมมองที่หลากหลายและเข้าใจมนุษย์มากขึ้น

ถ้าพูดถึงวิชาที่ชอบสุดจะเป็น “Contemporary Consumers” ที่เรียนเจาะลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน วิชานี้ผมเทคคอร์สเพิ่มเองเพราะความฝันนึงคืออยากเป็นนักเขียน อยากเข้าใจเทรนด์ความสนใจของคนในปัจจุบัน ส่วนหัวข้อที่ประทับใจตอนที่เรียนก็คือเรื่อง Liquid consumer ที่ทำให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปเพราะ Dematerialization หรือ Digital Transformation ที่ทำให้สินค้าหรือบริการอยู่ในรูปของวัตถุจับต้องได้น้อยลง อย่างแต่ก่อนถ้าอยากดูหนังสักเรื่องก็ต้องมีแผ่น DVD และเครื่องเล่น แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น เพียงแค่เรามีรหัสผ่านเข้าแอปสตรีมมิ่งต่างๆ ก็เข้าถึงเนื้อหานั้นได้เลย

วิชา “Strategic Marketing Management” ก็เป็นวิชานึงที่ผมประทับใจนะครับ (แม้ตอนเรียนจะค่อนข้างเครียดก็ตาม 555) เราจะเน้นเรียนทฤษฎีต่างๆ เพื่อวางกลยุทธ์ทางการตลาด อาจารย์มียกกรณีศึกษา (Case Study) เรื่องการขายอาหารเอาไปเลี้ยงนกขึ้นมา แล้วถามว่า จริงๆ คนขายเขาต้องการขายอะไรกันแน่ ในคลาสก็ดิสคัสกันแบบจริงจัง สุดท้ายแล้วคำตอบที่ได้คือ เขาขายความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง เพราะเด็กรู้สึกมีความสุขตอนให้อาหารนก // ผมก็คิด เออเนอะ ปลดล็อกมุมมองเหมือนกันนะ

ส่วนอีกวิชาที่ชอบคือ “International Service Marketing” เรียนเกี่ยวกับ 7P หรือแนวคิดสำคัญสำหรับนักการตลาด ทำให้เห็นจุดร่วมที่เป็นสากลแม้จะอยู่ในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน และวิชาการตลาดงานบริการนี้ยังช่วยให้เข้าใจมุมมองกับประสบการณ์การทำงานบริการที่ผ่านมาด้วย เช่น เพราะผมเคยทำงานบริการที่ Walt Disney World ทำให้มุมมองและการประเมินคุณภาพงานบริการของผมแตกต่างจากคนทั่วไป

ทำกิจกรรมอะไรนอกคลาสบ้าง

การเรียนต่อ ป.โท ต้องรับผิดชอบตัวเองเยอะ ต้องบริหารจัดการเวลาให้ดี พอรู้ว่าจะทำ Dissertation เรื่องไหน ผมก็นั่งอ่านพวกงานวิจัยต่างๆ เตรียมไว้ แล้วถ้าเกิดมีเวลาว่างจริงๆ ก็ทำกิจกรรมทั่วไปอย่าง ออกกำลังกาย เดินเล่นในเมือง ทำอาหาร ฯลฯ ตอนนั้นมีไปหาแหล่งซื้อปลามาเอามาแล่ทำซาชิมิเองด้วยครับ 55555

โอกาสทำงานต่อหลังเรียนจบมีเยอะไหม

ความจริงมีตัวเลือกการทำงานต่อหลากหลายมากนะ ในเมืองกลาสโกว์มี "Job fair" ให้ไปดูด้วย เท่าที่ผมสังเกตขอบเขตงานที่มาออกบูทจะเกี่ยวกับพลังงานสะอาดหรือพลังงานยั่งยืนซะเยอะครับ ถ้าใครไม่ติดว่าอยากทำงานในอุตสาหกรรมด้านไหนเป็นพิเศษก็ถือเป็นโอกาสที่ดีอย่างหนึ่งเลย เพราะสามารถขอวีซ่าทำงานหลังเรียนจบได้ (เพื่อนผมบางคนยังได้ offer ไปทำงานที่ประเทศเยอรมนีด้วยครับ)

ส่วนผมเองอยากทำแนวธุรกิจที่เชื่อมกับโลก Entertainment แต่ที่สกอตแลนด์ไม่ได้มีตำแหน่งให้เลือกเยอะเท่าไหร่ เลยตัดสินใจกลับมาหางานที่ไทยครับ ปัจจุบันงานที่ Dek-D ตอนนี้ก็ได้ประยุกต์ความรู้ด้านการตลาดที่เรียนมาเยอะพอสมควรเลยครับ

รีวิวสกอตแลนด์ & กลาสโกว์
(ความประทับใจ & แชร์ Tips การใช้ชีวิต)

1. สกอตแลนด์นอกจากจะดังเรื่องพลังงานสะอาดแล้ว ยังมีระบบคมนาคมทั่วถึง ทำให้การเดินทางไปมาระหว่างเมือง รวมถึงระหว่างประเทศสะดวกสบาย อย่างจะไปเมืองเอดินบะระหรือลอนดอนก็สามารถขึ้นรถไฟไปได้ แถมใช้เวลาไม่นานด้วย ถ้าจะไปประเทศอื่นในยุโรป เพียงขอวีซ่าเชงเกนก็ไปได้แล้ว ด้านสาธารณูปโภคอื่นๆ ถือว่าดีเช่นกัน น้ำประปาสะอาด สามารถดื่มได้ มีอากาศดี ฝนตกไม่หนักเท่ากับอังกฤษด้วย  

2. เมืองกลาสโกว์มีค่าครองชีพไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับเมืองอื่นในอังกฤษและในสกอตแลนด์ ด้วยความเป็นเมืองเศรษฐกิจเลยมีพวก Job fair ให้ไปเดินดู การพักอาศัยก็สะดวกเพราะมีห้าง/ร้านค้าตั้งอยู่เยอะ ในเมืองมีสวนเยอะมาก เวลาเครียดหรืออยากพักสามารถไปเดินเล่นได้ แต่อาจไม่ตอบโจทย์สายเที่ยวเท่าไหร่ เพราะไม่ค่อยมีที่เที่ยว (มีปราสาทอยู่บ้างแต่ไม่มากเท่าเมืองเอดินบะระ) 

3. ตอนผมไปเรียนไม่ค่อยเจอเรื่อง Racism เพราะสังคมมีความหลากหลายทางเชื้อชาติ คนสกอตเองก็ Friendly บางครั้งจะพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียง Scottish และเลือกใช้คำศัพท์เฉพาะของเขาที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน 

อย่างมีครั้งนึงผมให้ช่างช่วยมาดูเตาทำอาหารครับ ตอนนั้นเราใช้คำว่า ‘Stove’ แต่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะคนที่นั่นเรียกรวมๆ ว่า ‘Cooker’ (คำนี้จะรวมถึง oven และ hob ไปด้วย) หรือตอนทำ Dissertation ก็เจอวลี “When I was wee.” ซึ่งคำว่า ‘wee’ ในที่นี้หมายถึง ‘เล็ก/ยังเด็ก’ ค่อนข้างเปิดโลกพอสมควรครับ แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ผมอาศัยถามคู่สนทนาเลยว่าคำหรือประโยคนั้นหมายถึงอะไร 

4. แน่นอนว่าการไปเรียนต่อ UK ต้องเตรียมเงินหลักล้าน ตอนที่ผมไปเรียนพอดีเงินปอนด์สเตอร์ลิง (£) กำลังแข็งค่า ของก็เลยแพงตามไปด้วยครับ // สำหรับใครที่หาวิธีช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เพื่อนผมบางคนก็ทำ Part-time แต่ผมไม่มีประสบการณ์ตรงเพราะอยากทำแต่สุดท้ายจัดเวลาไม่ลงตัวครับ TT ตอนนั้นก็เลยพยายามหาทางประหยัดวิธีอื่นแทน เช่น 

  • คอยเช็กโปรโมชันลดแลกแจกแถมของร้านอาหารต่างๆ
  • เลือกซื้อของจากห้างค้าปลีก ‘Lidl’  ซึ่งถูกกว่าร้านอื่น
  • ทำอาหารกินเอง

ไหนๆ ก็ขอพูดอีกข้อดีนึงของมหาวิทยาลัยเลยว่า ทุกวันศุกร์เขาจะมีแพ็กพวกขนมปัง พาสตา อาหารเหลือจาก Cafeteria ให้เราเก็บไว้เป็นเสบียงด้วย ตรงนี้ก็ช่วยประหยัดได้อีกนิด

…………..

จบไปแล้วนะคะกับรีวิวประสบการณ์การเรียนต่อ ป.โท ด้าน Marketing ที่ประเทศสกอตแลนด์ ในแบบฉบับของคนที่ไม่ได้เรียนจบสาขานี้มาโดยตรง และแม้ว่าพอมีพื้นฐานด้านนี้มาบ้างแล้ว แต่การเรียน ป.โท ก็ได้เปิดมุมมองให้กว้างขึ้น แถมช่วยอัปเกรดโพรไฟล์ให้เหมาะกับการทำงานในสายนี้อีกด้วย 

และสำหรับใครที่กำลังวางแผนเรียนต่อ ป.โท เพื่อต่อยอดความรู้ในสาขาที่เรียนมา หรือต้องการเปลี่ยนสายงานแบบพี่อาร์ต การศึกษาข้อมูลและเตรียมตัวล่วงหน้าถือเป็นสิ่งสำคัญเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าเราพร้อม โอกาสในการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยในฝันก็อยู่ไม่ไกลเลยค่ะ!

…………..

​​You’re Invited!
เสาร์ที่ 27 - อาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024
งานเรียนต่อนอก Dek-D ครั้งที่ 3

รอบนี้พิเศษสุดๆ เพราะ Dek-D’s Study Abroad Fair ได้รับเกียรติจากรุ่นพี่นักเรียนทุนและจบนอกจากประเทศยอดนิยมตอบรับคำเชิญมาประจำบูธใหญ่ของพวกเรามากถึง 23 คน เพื่อให้น้องๆ และผู้ปกครอง  Walk-in ปรึกษาได้ตัวต่อตัว ไม่ว่าจะเป็น รุ่นพี่ทุน Erasmus+ (ยุโรปและอเมริกา), Fulbright (อเมริกา), Chevening (สหราชอาณาจักร), DAAD (เยอรมนี), Franco-Thai (ฝรั่งเศส), ทุนรัฐบาลอิตาลี, จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น, ไต้หวัน (ICDF), ทุนรัฐบาลไทย (ก.พ./UiS) รวมถึงรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยในสกอตแลนด์และออสเตรเลียด้วย

สำหรับใครที่อยากพูดคุยกับ “พี่อาร์ต” สามารถ Walk-in มาปรึกษา 1:1 ได้ในวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024 นะคะ แล้วเจอกันนน!

พี่พลอยกี้
พี่พลอยกี้ - Columnist หนอนหนังสือ ผู้หลงรักเพลง K-POP ฝันอยากท่องโลกกว้าง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น