สวัสดีค่ะชาว Dek-D ทุกวันนี้นอกจากสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งจะปรับปรุงคุณภาพหลักสูตรให้เป็น the best version อยู่เสมอแล้ว ก็ยังมีทางเลือกใหม่ๆ เกิดขึ้นเพื่อลดเส้นกั้นพรมแดนทางการศึกษา ช่วยเพิ่มทางเลือกสำหรับผู้เรียนที่อยากสัมผัสหลักสูตรคุณภาพระดับ ม.ชั้นนำของโลก โดยไม่ต้องไปเรียนไกลถึงประเทศต้นทาง
ไม่นานมานี้เรามีโอกาสได้คุยกับคนไทยที่มีประสบการณ์เรียนต่อระบบ “Transnational Education” (TNE) ของ Singapore Institute of Management (SIM) ความน่าสนใจของระบบนี้คือ เราจะได้เรียนโปรแกรมของมหาวิทยาลัยพาร์ตเนอร์ของ SIM ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งมีสถาบันชื่อดังหลายแห่งจากประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา โดยนักศึกษาไม่ต้องเดินทางไกล แค่นั่งเครื่องจากไทยมาลงแคมปัสที่สิงคโปร์ก็พอ // ช่วยทุ่นทั้งเวลาและงบไปเยอะมากๆ
และเพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น วันนี้เรามีรีวิวส่งตรงจาก “พี่กิฟ” (เจ้าของเพจ รีวิวสิงคโปร์จ้า) คนไทยที่เริ่มต้นเส้นทางการศึกษาโดยเรียนหลักสูตร Diploma in Accounting ของ SIM ต่อด้วย ป.ตรี หลักสูตรม.พาร์ตเนอร์ของ SIM จาก RMIT University ของออสเตรเลีย // เรียนกันยังไง? มีข้อดีและความท้าทายยังไงบ้าง? ด้านไหนที่เราต้องปรับตัว? ตามมาเก็บข้อมูลและจุดแพสชันเรียนต่อนอกกันเลยค่ะ!
Note! เนื้อหาในบทสัมภาษณ์นี้ อ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของ “พี่กิฟ” ศิษย์เก่าที่เรียนจบ ป.ตรี หลักสูตร Accounting ของ SIM-RMIT ปัจจุบันทำงานที่สิงคโปร์ หากสนใจอย่าลืมตรวจสอบข้อมูลปัจจุบันอย่างละเอียดนะคะ |
แนะนำตัว
สวัสดีค่า ชื่อพี่กิฟค่ะ จบ ม.ปลาย สายวิทย์-คณิต รร.โยธินบูรณะ (ภาคอินเตอร์) เลือกเรียน Diploma 15 เดือน ต่อด้วย ป.ตรี Accounting อีกปีกว่าๆ ก็จบออกมาทำงานที่สิงคโปร์จนถึงปัจจุบันค่ะ
เริ่มจากไหน ทำไมถึง SIM-RMIT
ตอนแรกตั้งใจจะเรียนต่อ ป.ตรี ที่ไทยค่ะ แต่เพื่อนคุณแม่ที่เป็นคนไทยในสิงคโปร์เค้าพูดถึง SIM (Singapore Institute of Management) สถาบันการศึกษาเอกชนชั้นนำของประเทศ ซึ่งนักเรียนต่างชาติมีโอกาสเข้าถึงมากกว่าถ้าเทียบกับ ม.รัฐ เพราะถ้าเป็น ม.รัฐจะคัดเลือกแบบเดือดกว่ามากๆ
เรากับพ่อแม่ตัดสินใจบินไปดูสถานที่จริง ที่ตั้งแคมปัสอยู่ที่ถนนเคลเมนติ (Clementi) ที่สิงคโปร์ พอไปถึงเราก็รู้สึก amazing ตรงที่มีทุกอย่างครบ เช่น ห้องสมุด ห้องประชุม ห้องเรียนพร้อมโปรเจ็กเตอร์ ฯลฯ แล้วยังมีสำนักงานที่คอยให้ความช่วยเหลือต่างชาติแบบครบวงจร ตอนนั้นเป็นระบบคิวคล้ายๆ ธนาคารเลย
รีวิวการสมัครเรียนที่ SIM
(**ไม่ยาก สมัครเองได้ตั้งแต่อยู่ไทย)
เรื่องการสมัครเรียนจะมีเอเจนซีของ SIM ในไทยที่บริการให้คำปรึกษาและดำเนินการค่ะ จริงๆ ขั้นตอนไม่ซับซ้อน สมัครเองได้ตั้งแต่อยู่ไทย คร่าวๆ คือเราต้องยื่นเกรดกับผลสอบวัดระดับภาษาอังกฤษ (ถ้าเป็น IELTS 5.5 ขึ้นไป) สมมติคะแนนไม่ผ่านเกณฑ์ก็สามารถเรียนปรับพื้นฐานก่อนประมาณ 1-1.5 ปี
ปรึกษาวางแผนการเรียนต่อที่ SIM
|
ถ้าจบ ม.6 แล้วอยากเรียนต่อ ป.ตรี ที่ SIM มี 2 แนวทางคือ
- ไปเริ่มที่ ป.ตรี เรียนหลักสูตร Accounting เต็มเวลา (Full-time) ประมาณ 3 ปี
- ไปเริ่มที่อนุปริญญา เรียน Diploma in Accounting (DAC) 15 เดือน ก่อนจะต่อ Bachelor of Accounting อีกประมาณ 1.5-2.5 ปี **เราเลือกแบบนี้ค่ะ ข้อดีคือเราได้เตรียมความพร้อมก่อน และสามารถขอ waive บางวิชาได้ ระยะเวลาเรียน ป.ตรี ก็เลยน้อยลง
ทาง SIM จะมีจัดปฐมนิเทศตอนต้นว่าถ้าจบ Diploma นี้ จะสมัครอะไรต่อได้บ้าง เช่น เรียนต่อบัญชีที่ RMIT, University of London, University at Buffalo เป็นต้น
Note: ค่าเรียน Diploma สำหรับนักเรียนต่างชาติอยู่เริ่มต้นที่ประมาณ SGD $11,000 ถึงเกือบๆ SGD $14,000 |
ช่วงเรียน Diploma ก่อนขึ้น ป.ตรี
มีความกึ่งๆ มัธยม + มหาวิทยาลัย
เหมือนมัธยมตรงที่เรียนกับเพื่อนกลุ่มเดิมไปจนจบ และเหมือนมหาวิทยาลัยคือเราต้องลงทะเบียนเรียนเองในเว็บ ซึ่งวิชาของบัญชีจะค่อนข้างตายตัวค่ะ แต่จะมี slot ว่างนิดหน่อยให้ลงเรียนวิชาอื่นๆ ได้ เช่น วิชาเกี่ยวกับการลงทุน, วัฒนธรรม, ช่วยเหลือสังคม (CSR) เป็นต้น
การเรียนช่วง Diploma จะสอนโดยอาจารย์สิงคโปร์ที่ SIM ทั้งหมด และเพื่อนร่วมคลาสเกือบทั้งหมดเป็นชาวต่างชาติ
วิชาเรียนช่วง Diploma ล่าสุดบนเว็บ |
รีวิว ป.ตรี Accounting ฉบับ SIM-RMIT
1. เหมือนไปเรียนที่ออสเตรเลีย
- ทุกอย่าง Sync กันหมด เราจะได้เรียนกับอาจารย์สิงคโปร์ของ SIM ที่ผ่านการเทรนจาก RMIT และจะมีบางวิชาที่อาจารย์จาก RMIT บินตรงจากออสฯ มาสอนทุกเดือนด้วย หรือถ้ามีบทเรียนหรือการบ้านที่รู้สึกไม่เคลียร์ เราเข้าเว็บมหาวิทยาลัย SIM ล็อกอินด้วยรหัสนักศึกษา แล้วฝากคำถามถึงอาจารย์ออสฯ วิชานั้นๆ ได้
- หนังสือเรียนเล่มเดียวกัน วันสอบตรงกัน การบ้านเหมือนกัน (อาจารย์ที่ออสฯ ให้เกรด) และมีสิทธิ์เข้าถึง Resources ของ RMIT เช่น ฐานข้อมูลวิจัย เปเปอร์ หรือ VDO ที่อาจารย์ประจำวิชาอัดไว้ให้นักเรียนโหลดได้ช่วงใกล้สอบ
- ในช่วงเทอมสุดท้าย สามารถเดินทางไปเรียนและรับปริญญาที่ RMIT ได้ด้วยนะคะ ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ต้องออกเองค่า
2. ต้องสตรองและไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
- เนื้อหาเรียนยากขึ้น หนักขึ้น การบ้านก็ยากและต้องคิดหลายชั้น
- ช่วง ป.ตรี เราจะต้องจัดสรรเรื่องวิชาเรียนเอง สมมติมีงานกลุ่มก็เป็นโอกาสที่ทำให้เราได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ซึ่งช่วยให้เราได้ขยายวงสังคมให้กว้างมากขึ้น
- คะแนนส่วนใหญ่มาจากการสอบ ตอนเรียนที่สิงคโปร์คือเก็บทุกเม็ด ไม่ว่าจะสอบเล็ก สอบใหญ่ บางวิชาคะแนนโปรเจ็กต์แค่ 30% แล้วช่วงสอบนี่แหละคือช่วงที่รู้สึกตัวเองขยันที่สุดในชีวิต
- สภาพแวดล้อมพาไปในทางที่ดี เพื่อนๆ ขยันและแอคทีฟมากกก ยกมือถามในคลาสบ่อย เรายังจำภาพที่เลิกคลาสปุ๊บ เพื่อนรีบต่อคิวกันถามอาจารย์ได้เลยค่ะ
3. เขียนเน้นๆ & พรีเซนต์บ่อย
มีเขียนทุกวิชา เรากับเพื่อนต่างชาติมักจะเจอปัญหาตอนเขียน Essay ความยาวประมาณ 300~600 คำ ใช้ภาษาเชิงวิชาการที่เคร่งทั้งคำศัพท์และไวยากรณ์ เขาจะมีเครื่องมือตรวจจับการคัดลอก (ถ้าเกิน % ที่กำหนดจะถูก reject) บางครั้งมี Pop-up Quiz กำหนดหัวข้อให้เราเขียนอธิบายกันสดๆ ณ ตอนนั้นด้วย
Note: ปัจจุบัน Student Learning Centre ของ SIM พร้อมให้การสนับสนุนนักศึกษาเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการเขียนวิชาการ (Academic Writing) ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ผ่านกิจกรรมเวิร์กชอป การจัดเตรียมแหล่งข้อมูล พร้อมบริการให้คำปรึกษาสำหรับนักเรียนทุกคน (รายละเอียดเพิ่มเติม https://www.sim.edu.sg/degrees-diplomas/life-at-sim/learning-support) |
นอกจากทักษะการเขียนแล้ว การเรียนที่นี่มีพรีเซนต์งานบ่อยมากค่ะ ยิ่งเรื่องเรียนจำเป็นต้องฝึกทักษะการพูดเอาไว้นะ โดยเฉพาะคนเอเชียโซนๆ เราหลายคนจะมีปัญหาเดียวกันคือ การเปิดประเด็นพูดหรือถามในคลาสค่ะ แนะนำให้เตรียมทักษะการพูดเชิงวิชาการและนำเสนอในที่สาธารณะ (Public Speaking) เอาไว้เลย เพราะในชั้นเรียนเพื่อนๆ จะยกมือถามกันตลอด
. . . . . . . . .
ว่าด้วยเรื่องการหางานหลังจบ
เราว่าสิงคโปร์ตอบโจทย์การมาเรียนต่อบัญชี ตรงที่เป็นจุดศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจในอาเซียน ถ้ามีวุฒิจบจากมหาวิทยาลัยที่สิงคโปร์ก็จะถือเป็นแต้มต่อ เข้าถึงคอนเน็กชันได้มากกว่า นายจ้างเขาก็จะ assume ได้ว่าเราผ่านการปรับตัวกับสังคมและสภาพแวดล้อมที่นี่มาแล้วประมาณนึง
- ถ้าเป็นเรื่องการหางาน ทุกเทอมจะมีจัดงาน Career Connect Job Fair ซึ่งเป็นอิเวนต์เชิญบริษัททั่วสิงคโปร์ที่ยินดีรับนักเรียนจากที่นี่ หรือเป็น Alumni มาเปิดบูทที่มหาวิทยาลัย แล้วข้อดีคือเป็นการเตรียมนักเรียนให้พร้อมว่าจะเจออะไรบ้างในโลกการทำงาน ในระดับที่จำลองให้เห็นภาพเลยค่ะ เช่น กำหนด Dress code ให้เราแต่งกายแบบ Formal และเตรียม CV/Resume ในการยื่นสมัคร -> การสัมภาษณ์งาน // ยื่นพรีเซนต์ให้ตัวแทนบริษัทในงานฟัง แล้วมีโอกาสที่เราจะได้ตอบรับเข้าทำงานจริงๆ ด้วยค่ะ
*นอกจากนี้ออฟฟิศ Career Connect ยังคอยซัปพอร์ตนักศึกษาในการเรื่องเตรียมพร้อมสมัครงานด้วย เช่น เวิร์กชอปการเขียน Resume และเซสชันการเตรียมสัมภาษณ์งาน https://www.sim.edu.sg/degrees-diplomas/life-at-sim/career-services
- มีคลาสอบรมหัวข้อที่เกี่ยวกับการหางาน เราสามารถใช้ Account นักศึกษาของ SIM เข้าเว็บไปเช็กว่าวันไหนมีเปิดเทรนหัวข้ออะไรบ้าง (ปกติจะอยู่ประมาณ 4-5 PM) หัวข้อจะสลับหมุนเวียนเรื่อยๆ เช่น การเขียน CV, การสัมภาษณ์งาน หรือการทำ Presentation สำหรับสมัครงานผู้ตรวจสอบบัญชี เป็นต้น
- แต่ละปี SIM-RMIT จะมีจัดงานรวมตัวศิษย์เก่า (Alumni) ที่จบแล้วได้ไปทำงานในออฟฟิศที่สิงคโปร์ ให้ได้มาพบปะกันที่ห้อง Ballroom ซึ่งจะมี Snack ให้ทานเล่น ตั้งวงคุยกัน พูดคุยพรีเซนต์เกี่ยวกับการทำงานหลังเรียนจบ มันจะมีความเฉพาะกลุ่ม เราสามารถเข้าไป join ได้
- เรื่องปกติของคนสิงคโปร์เลย ที่จะตื่นตัวกับการหางาน ให้เขาตอบรับก่อนเรียนจบ แล้วเราค่อยตามส่งเอกสาร ใบจบ กับเกรดในตอนหลัง ส่วนเราที่ถือวีซ่านักเรียนต่างชาติ จะมีเวลาจำกัดในการหางานหลังที่สิงคโปร์หลังเรียนจบค่ะ รู้สึกกดดันเหมือนกันนะ แต่เราตื่นตัวกับการหางานมากๆ หาตั้งแต่ปี 3 ก่อนเปิดเทอมสุดท้าย บอกกับที่ทำงานให้ชัดเจนว่าเราคาดว่าจะจบในปีไหน เขาก็จะขอดูผลการเรียนแล้วประเมินว่าเราสามารถจบได้ตามที่บอกจริงๆ
- บริษัท Tech ที่สิงคโปร์เยอะมาก และงานกลุ่ม Sales หรือ Consultant เป็นที่ต้องการสูง *ถ้าใครมีสกิลภาษาอื่นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ เช่น จีน เวียดนาม หรือแม้แต่ภาษาไทย ก็จะเป็นแต้มต่อเวลาสมัครงานที่เกี่ยวกับโซน Asia–Pacific (APAC)
. . . . . . . . .
ปัจจุบันทำงานที่บริษัทข้ามชาติในสิงคโปร์
งานแรกหลังเรียนจบคือฝ่ายขาย (Sales) ยังไม่เกี่ยวกับสายบัญชีมาก แต่งานต่อมาเราทำที่บริษัท Finance สัญชาติอเมริกันที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ เราได้งานนี้เพราะมี background จบสายบัญชีมาก่อน // สวัสดิการดีเหมือนบริษัทแม่ที่อเมริกา ครอบคลุมทั้งตัวเองและครอบครัวด้วย
ส่วนเรื่องวัฒนธรรมการทำงานที่เจอ ค่อนข้างเข้มงวดและซีเรียสตามหัวหน้างานที่เป็นคนสิงคโปร์เลยค่ะ ถึงเวลาทำงานคือทำจริง Productive สุดๆ เพราะวัฒนธรรมเขาค่อนข้างเป๊ะ ถ้าให้ดีเราควรทำงานให้เสร็จและส่งก่อนกำหนด เพราะบริษัทก็จะไม่อยากให้พนักงานทำงานล่วงเวลาค่ะ
. . . . . . . . .
#รีวิวสิงคโปร์
- เทคโนโลยีทันสมัยมากตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อนที่เราเรียนจบแล้ว ส่วนใหญ่เรานั่งบัสกับรถไฟใต้ดิน ที่นั่นจะเน้นให้คนเดินทางไปด้วยกันเพื่อลดการสร้างมลพิษ เขาเลยพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้สะดวกและทันสมัย เข้าถึงได้ง่าย ด้วยความที่เป็นประเทศเล็ก เราสามารถเดินทางได้รอบประเทศเลยค่ะ
- ธรรมชาติฮีลใจ อากาศบริสุทธิ์ไม่มีฝุ่น PM 2.5 แล้วถึงจะเป็นประเทศที่ร้อนแต่ไม่ได้ถึงขั้นเผาไหม้ เพราะโฟกัสเรื่อง Green City มากๆ เค้าส่งเสริมให้คนปลูกต้นไม้ เน้นการรีไซเคิล งดใช้ถุงพลาสติกแบบจริงจัง เดินทางไปไหนไปด้วยกัน (ส่วนใหญ่นั่งบัสกับรถไฟใต้ดิน)
- อยากให้เตรียมรับมือกับความเหงา ดูหนังกินข้าวคนเดียวคือเรื่องปกติ ส่วนตัวคนที่อยู่สิงคโปร์มักจะสบายใจกับพื้นที่ส่วนตัวและมีเส้นแบ่งชัดมาก แต่ถึงอย่างนั้นเราก็มีโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ จากทั่วโลกที่มาเรียนที่นี่
- เรื่องค่าใช้จ่าย เรารู้สึกค่าเรียนพอๆ กับอินเตอร์ในไทย และได้สภาพแวดล้อมที่มีความเป็นนานาชาติทั้งในและนอกคลาส เพียงแต่ค่าครองชีพอย่างที่พัก อาหาร ฯลฯ จะสูงกว่าไทย (ตอนนี้เราทำงานที่สิงคโปร์ ค่าห้องพัก S$2,000 ต่อเดือน ค่าอาหารประมาณ S$500-1,000 เหรียญต่อเดือน) อีกอย่างถ้าหากเปรียบเทียบกับการไปเรียนที่แคมปัสประเทศออสเตรเลีย หรือประเทศโซนตะวันตก การเรียนที่สิงคโปร์จะช่วยเซฟค่าใช้จ่ายได้มากกว่า
0 ความคิดเห็น