Hello! ชาว Dek-D ทุกคน ไม่ทันไรก็เข้าสู่เดือนกรกฎาคมกันแล้ว ถ้าเป็นที่อเมริกาตอนนี้คนส่วนใหญ่คงกำลังตื่นเต้นกับวันหยุดสุดครึกครื้นที่กำลังจะมาถึงอย่าง ‘The Fourth of July’ หรือวันชาติของสหรัฐอเมริกากันอยู่แน่ๆ ซึ่งถ้าหากใครที่เคยไปแลกเปลี่ยน ไป Work & Travel หรือดูภาพยนตร์อเมริกันก็อาจจะเคยเห็นภาพบรรยากาศการเฉลิมฉลองจุดพลุดอกไม้ไฟผ่านตากันมาบ้าง แล้วทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่าวันที่ 4 กรกฎาคมนี้มันสำคัญยังไงกับชาวอเมริกัน แล้วทำไมถึงต้องใช้ดอกไม้ไฟในการเฉลิมฉลองด้วย?
วันนี้ พี่น้ำพุ เลยขอพาทุกคนไปรู้จักกับวันชาติสหรัฐอเมริกา (Independence Day) พร้อมกับส่องวัฒนธรรมการเฉลิมฉลองที่คนอเมริกันทำกันในวันนี้ จะมีไฮไลต์อะไรน่าสนใจบ้าง ตามไปดูพร้อมกันได้เลยครับ~
วันชาติอเมริกาคืออะไร ทำไมสำคัญ?
วันที่ 4 กรกฎาคม (Fourth of July) ของทุกปีจะถือว่าเป็น ‘วันชาติของอเมริกา’ หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ‘วันประกาศอิสรภาพอเมริกา’ (Independence Day) ซึ่งรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ได้ประกาศให้เป็นวันหยุดประจำปีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1941 แล้ว ความยิ่งใหญ่ในการเฉลิมฉลองวันหยุดนี้ก็เทียบเท่ากับวันคริสต์มาสเลยครับ // ถ้าบ้านเราก็คล้ายๆ กับสงกรานต์เลย
หากจะเล่าถึงความเป็นมาของวันประกาศอิสรภาพนี้ เราก็ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 ตอนที่สหราชอาณาจักรได้เข้ามายึดครองดินแดนที่เป็นที่ตั้งของอเมริกาในปัจจุบัน (ตอนนั้นยังไม่มีการเรียกว่าเป็นสหรัฐอเมริกา และมีเพียงแค่ 13 รัฐเท่านั้น) โดยอังกฤษเข้ามาหาผลประโยชน์จากทรัพยากรในพื้นที่ ลิดรอนสิทธิ์ของผู้อาศัยในอาณานิคม และเอารัดเอาเปรียบผ่านการเรียกเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม แถมยังไม่ให้ออกสิทธิ์ออกเสียงในการปกครองอีกต่างหาก จนสุดท้ายชาวอาณานิคมก็ทนไม่ไหว ลุกขึ้นมาต่อต้านอังกฤษจนกลายเป็นสงครามที่เรารู้จักกันในชื่อ ‘สงครามการปฏิวัติอเมริกา’ (American Revolutionary War) ซึ่งผลของการต่อสู้ในครั้งนั้นอังกฤษเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และต้องคืนสิทธิ์การปกครองตัวเองให้กับอเมริกา
ย้อนไปในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 สภาคองเกรสภาคพื้นทวีปที่ 2 (Second Continental Congress) ได้ลงนามคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกาและใช้เวลาต่ออีก 2 วันในการตรวจสอบและรับรองการลงนาม นั่นทำให้วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ.1776 ถือเป็นวันแรกที่อเมริกาได้เลื่อนสถานะกลายเป็น ‘ประเทศ’ ที่มีอิสรภาพอย่างเต็มรูปแบบ และมีการเฉลิมฉลอง July 4 ของชาวอเมริกันในทุกปีตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แถมในวันที่ 9 กันยายนในปีเดียวกัน อเมริกาก็ได้รับการแต่งตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘The United States of American’ อย่างที่เราเรียกกันมาจนถึงทุกวันนี้ครับ
ต้องบอกว่าเส้นทางกว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกาขึ้นมาได้นั้นไม่ใช่ง่ายๆ พวกเขาต้องทนต่อสู้และสูญเสียอะไรไปมากเหมือนกัน นั่นเลยเป็นเหตุที่ทำให้คนอเมริกันเฉลิมฉลองกันแบบจัดเต็มในวันนี้นั่นเอง~
การเฉลิมฉลองวันชาติอเมริกาครั้งแรก
น้องๆ รู้มั้ยว่าก่อนหน้าที่จะมีการเฉลิมฉลองกันอย่างรื่นเริงในวันชาติแบบทุกวันนี้ ชาวอเมริกันเคยต้องฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักรอังกฤษ (George III) มาก่อน ซึ่งก็ตรงกับวันที่ 4 เช่นกัน แต่ต่างที่เป็นเดือนมิถุนายน ซึ่งในวันนั้นมักมีการเฉลิมฉลองด้วยการก่อกองไฟ การกล่าวคำปราศรัย และการตีระฆัง แต่หลังจากที่อเมริกาประกาศอิสรภาพจากสหราชอาณาจักรในปี 1776 สำเร็จ นั่นหมายความว่างานเฉลิมฉลองของพระองค์ก็ไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป ชาวอเมริกันเลยยืมและดัดแปลงการเฉลิมฉลองเหล่านั้นมาใช้ในวันที่ 4 เดือนกรกฎาคมแทนซะเลย โดยชาวอาณานิคมบางคนถึงขนาดฉลองวันนี้ด้วยการจัดฉากงานพระราชพิธีพระบรมศพล้อเลียนสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3 ซึ่งพวกเขาถือว่าการแสดงออกดังกล่าวเป็นการบ่งบอกถึงการสิ้นสุดบทบาทของระบอบราชาธิปไตยในอเมริกานั่นเองครับ
การจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติอเมริกาแบบเป็นทางการครั้งแรกนั้นจัดขึ้นในปีค.ศ. 1777 (1 ปีถัดมาหลังจากอเมริกาประกาศอิสรภาพ) ที่เมืองฟิลาเดเฟีย (Philadephia) และบอสตัน (Boston) โดยที่ฟิลาเดเฟียดูจะจัดหนักจัดเต็ม เพราะจากข่าวในหนังสือพิมพ์ตอนนั้นเค้าบอกว่าชาวเมืองต่างออกมาเฉลิมฉลองและแต่งตัวกันด้วยสีสันสดใสฉูดฉาด อีกทั้งยังมีการนำเรือติดอาวุธและเรือแจวโบราณอย่างละ 13 ลำมาจอดเทียบท่าในแม่น้ำใกล้ๆ กับตัวเมือง พอตกบ่ายก็ยิงกระสุนปืนใหญ่ 13 ลูกจากเรือทั้งสองชนิด ซึ่งเลข 13 นี้ถือเป็นการให้เกียรติกับทั้ง 13 รัฐต้นกำเนิดที่อเมริกามีอยู่ในตอนนั้น (ปัจจุบันมี 50 รัฐ) ส่วนการเฉลิมฉลองตอนเย็นจะมีการตีระฆังเสรีภาพ (Liberty Bell) จำนวน 13 ครั้ง และจบวันด้วยการโชว์ดอกไม้ไฟแบบอลังการที่จะเปิดและปิดโชว์ด้วยเซตดอกไม้ไฟอย่างละ 13 ลูกเช่นกัน
ส่อง 3 ไฮไลต์การเฉลิมฉลองในปัจจุบัน
1.ดอกไม้ไฟ
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าถ้าพูดถึง Fourth of July ก็ต้องพูดถึงดอกไม้ไฟ เหตุผลที่ชาวอเมริกันต้องจุดดอกไม้ไฟในวันชาติก็เพื่อเฉลิมฉลองอิสรภาพของชาติอเมริกาให้ออกมาในรูปแบบที่เจิดจรัสและสว่างจ้าที่สุด เปรียบกับการประกาศอิสรภาพของอเมริกาที่ลุกโชติช่วงเป็นที่ประจักษ์แก่ทั่วโลกนั่นเอง
Note: มีสถิติว่าในทุกๆ ปี ชาวอเมริกันจะใช้เงินเพื่อซื้อดอกไม้ไฟในวันชาตินี้มากถึง 1 พันล้านดอลลาร์ (≈3 หมื่นล้านบาท) ต่อปีเลยครับ!
โดยวัฒนธรรมการเล่นดอกไม้ไฟนี้คาดว่าอเมริกาได้รับมาจากจีน ในสมัยก่อนจีนนำดินปืนมาประดิษฐ์เป็นทั้งอาวุธสำหรับทำสงคราม และต่อมาได้ดัดแปลงให้กลายเป็นดอกไม้ไฟ พอมีการติดต่อกันระหว่างมิชชันนารีจากตะวันตกกับชาวจีน ทำให้ดอกไม้ไฟแพร่เข้ามาสู่อเมริกาในที่สุด แต่ขอบอกก่อนว่าในสมัยที่มีการเริ่มฉลองวันชาติแรกๆ ดอกไม้ไฟที่ระเบิดบนฟ้านั่นยังไม่ได้มีสีสันงดงามเหมือนกับทุกวันนี้ เราจะเห็นเป็นเพียงประกายไฟสีส้มหรือเหลืองเท่านั้น เหตุผลก็เพราะสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีการทำดอกไม้ไฟสีสันที่เกิดจากการผสมแร่ต่างๆ เข้าไปนั่นเองครับ
เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมมาถึง ชาวอเมริกันก็มักจะออกจากบ้านไปรวมตัวเพื่อชมดอกไม้ไฟในสถานที่ต่างๆ เช่น ลานกว้าง บนดาดฟ้าโรงแรม ร้านอาหารที่สามารถมองเห็นวิวของดอกไม้ไฟได้ชัด หรือถ้าไม่อย่างนั้น บางครอบครัวก็จะจุดดอกไม้ไฟหรือประทัดเล็กๆ เล่นที่บ้านของตัวเองแทน
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันนี้ ที่อเมริกาเริ่มให้ความสนใจและตระหนักกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้ในวัน Fourth of July สถานที่หลายแห่งเริ่มใช้โดรนลอยฟ้าในการจัดแสดงโชว์แทนการจุดดอกไม้ไฟจริงๆ เพื่อเป็นการลดมลพิษทั้งทางเสียง แสง และอากาศ ที่อาจเป็นอันตรายต่อมนุษย์และสัตว์เลี้ยงที่อยู่ใกล้ๆ ด้วย
2. ขบวนพาเหรด
แต่ละเมืองในอเมริกามักจะจัดงานเดินขบวนพาเหรดเพื่อเฉลิมฉลองวันชาติ ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน ในตอนกลางวัน ชาวเมืองจะมาร่วมกันเดินขบวนพาเหรด ส่วนใหญ่จะเลือกสวมชุดที่มีสีสันสดใส มักแต่งกายด้วยธีมสีแดง น้ำเงิน ขาว ซึ่งเป็นสีของธงชาติอเมริกานั่นเอง
การมาเดินขบวนพาเหรดถือเป็นการแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในความเป็นชาวอเมริกัน อีกทั้งเป็นการระลึกถึงความสำเร็จและการเสียสละของวีรบุรุษและผู้ที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาติอเมริกาในอดีตอีกด้วยครับ
สำหรับขบวนพาเหรดที่จัดใหญ่และถูกพูดถึงมากที่สุดในประเทศ มีชื่อว่า ‘National Independence Day Parade’ มักจะจัดขึ้นทุกปีที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. (Washington D.C.) โดยจะมีการร่วมเดินขบวนจากผู้คนมากมายหลายภาคส่วน ทั้งคนธรรมดา เหล่าทหารจากกองทัพ นักดนตรีวงโยธวาทิต หรือแม้แต่เหล่าเซเลบคนดังทั้งหลาย เรียกว่าทั้งขบวนจะเต็มไปด้วยสีสันและเสียงเพลงสุดม่วนจอยจนใครๆ ก็อยากเข้ามาร่วมขบวนนี้ด้วยแน่นอน!
3. ปาร์ตี้ & บาร์บีคิว
เช่นเดียวกับในวันหยุดเทศกาลอื่นๆ ชาวอเมริกันมักตกแต่งบ้านให้เข้ากับธีมเทศกาล รวมถึงจัดปาร์ตี้ ชวนเพื่อนฝูง สมาชิกในครอบครัวมาเฉลิมฉลอง ดื่มสังสรรค์ เล่นเกม ทำกิจกรรมร่วมกัน และสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทุกบ้านจะขาดไปไม่ได้นั่นคือการทำบาร์บีคิวกินที่สวนหลังบ้าน ซึ่งจากสถิติพบว่าชาวอเมริกันมีเตาบาร์บีคิวไว้ที่บ้านมากกว่า 80% เลยทีเดียว! และวันที่คนนิยมย่างบาร์บีคิวกันมากที่สุดในรอบปีก็คือวันชาติอเมริกานี้นี่เอง คนรักของปิ้งย่างต้องชอบวันนี้กันมากแน่ๆ
ประวัติศาสตร์ของบาร์บีคิวในประเทศอเมริกานั้นก็มีมาอย่างยาวนานกว่า 200 ปีแล้ว เริ่มจากสมัยที่ชาวอาณานิคมมักจะก่อไฟย่างวัวเพื่อถนอมอาหารก่อน ต่อมาในศตวรรษที่ 19 การย่างบาร์บีคิวก็ถูกนำมาใช้เป็น ‘เครื่องมือทางการเมือง’ โดยนักการเมืองต่างๆ มักจะจัดการชุมนุมขึ้นในวันที่ 4 กรกฎาคม ซึ่งในงานนั้นจะมีการแจกบาร์บีคิวฟรีให้กับคนที่มาเข้าร่วม ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการขายนโยบายหรือแสดงความเห็นของพรรคการเมืองของตัวเอง ฟังดูเป็นกลยุทธ์ที่ดูแปลกแต่กลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมีหลายคนที่เข้าร่วมการชุมนุมเพียงเพราะแค่อยากกินบาร์บีคิวโดยเฉพาะ พอคนเริ่มคุ้นชินกับการได้กินเป็นประจำในวันนี้ทุกๆ ปี บาร์บีคิวเลยกลายเป็นธรรมเนียมประจำ Fourth of July ไปเสียอย่างนั้น
หลังจากนั้นเมื่อสังคมเมืองของอเมริกาเริ่มขยายเป็นวงกว้าง การย่างบาร์บีคิวก็แพร่หลายขึ้นกว่าเดิม นักลงทุนและเหล่านายทุนต่างทำการตลาดและโฆษณาขายเตาย่างบาร์บีคิว ให้ทุกครัวเรือนสามารถเข้าถึงการทำบาร์บีคิวได้แบบง่ายๆ โดยอาหารที่ชาวอเมริกันมักนิยมนำมาย่างบนเตาบาร์บีคิวในวัน Fourth of July คือเนื้อบริสเกตรมควันและฮอตดอก ที่น่าทึ่งคือชาวอเมริกันชอบกินฮอตดอกในวันชาติเอามากๆ จากสถิติแล้วพวกเค้าบริโภคในวันเดียวนี้นับรวมกันเป็นกว่า 150 ล้านชิ้นเลยทีเดียว!
เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวันชาติอเมริกา
1. ประธานาธิบดีของอเมริกา 3 คน เสียชีวิตลงในวันนี้
เป็นเรื่องที่ทั้งแปลกและน่าเหลือเชื่อเพราะทั้งประธานาธิบดีคนที่ 2 ของสหรัฐฯ อย่างจอห์น อดัมส์ (John Adams) และคนที่ 3 อย่างทอมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ต่างเสียชีวิตในวันเดียวกัน (ห่างกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง) นั่นคือวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1826 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 50 ปีของการประกาศอิสรภาพอเมริกา โดยทั้งคู่ยังเคยเป็นสมาชิกของกลุ่มนักปฏิวัติอเมริกา และสาเหตุการเสียชีวิตก็เกิดจากอาการป่วยของตน แต่ๆ ความบังเอิญยังไม่หยุดแค่นั้นเพราะอีก 5 ปีต่อมา (ค.ศ. 1831) เจมส์ มอนโร (James Monroe) ประธานาธิบดีคนที่ 5 ของสหรัฐก็เสียชีวิตลงในวันนี้เช่นเดียวกันครับ!
2. เราไม่ควรใส่เสื้อที่ทำมาจากลายธงชาติอเมริกา!
แม้ว่าในวันที่ 4 กรกฎาคมเราอาจจะเห็นชาวอเมริกันหลายคนสวมเสื้อผ้าลายธงชาติกันเต็มไปหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วมีกฎเกี่ยวกับธงชาติ (Flag Code) ที่ตั้งเอาไว้ว่าไม่ควรเอาธงชาติอเมริกาไปสวมใส่เป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือทำผ้าปูเตียง โดยสาเหตุอาจเพราะดูไม่ให้เกียรติความเป็นความชาติ
อย่างไรก็ตาม กฎหมายนี้ไม่ได้ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง ตำรวจไม่ได้ออกมาจับผู้ที่ฝ่าฝืน แต่จะเป็นแนวขอความร่วมมือมากกว่า นั่นเป็นสาเหตุที่เรายังคงเห็นหลายคนใส่เสื้อผ้าลายธงชาติหรือเอาธงมาคลุมตัวอยู่ตามท้องถนนของอเมริกาในวัน Fourth of July อยู่นั่นเองครับ
นอกจากนี้แล้วยังมีกฎอื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับธงชาติอีก เช่น การที่ธงชาติของอเมริกาต้องปลิวไสวอยู่บนเสาเพียงแค่ตอนกลางวันเท่านั้น พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าต้องเอาธงชาติลงทันที (แอบคล้ายที่ไทยอยู่นะ) อีกทั้งต้องห้ามให้ธงชาติสัมผัสกับพื้นเด็ดขาดด้วย!
3.ประเพณีการกินแซมอนในวันชาติที่ New England
เมนูฮิตในวันชาติอเมริกาไม่ได้มีแค่บาร์บีคิวเพียงอย่างเดียวเพราะที่เขตนิวอิงแลนด์ (New England) นิยมรับประทานปลาแซมอนในวันนี้ด้วย สาเหตุที่นิยมกินนั้นไม่ใช่เพราะมีความหมายแฝงในตัวปลาส้ม แต่เป็นเพราะว่าช่วงฤดูร้อนที่แถบนั้นจะมีแซมอนในแม่น้ำจำนวนมาก คนเลยจับมากิน ทำให้แซมอนกลายมาเป็นอาหารบนโต๊ะในวัน Fourth of July มานับตั้งแต่นั้น โดยเค้าก็จะเสิร์ฟคู่กับถั่วลันเตา และเรียกชื่ออาหารจานนี้ว่า ‘Salmon and Peas’ นั่นเอง
4. เป็นวันที่คนดื่มแอลกอฮอล์มากที่สุดในปี
นอกจากยอดขายดอกไม้ไฟและฮอตดอกจะพุ่งกระฉูดในวันนี้แล้ว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ขายดีไม่แพ้กัน โดยผลสำรวจบอกว่าเครื่องดื่มที่นิยมที่สุดในวันนี้คือ เทเบิลไวน์ ต่อด้วยเบียร์ และเหล้าชนิดต่างๆ
แน่นอนว่ายอดการดื่มแอลกอฮอล์ที่สูงนี้ก็ทำให้อัตราการเกิดอุบัติเหตุในช่วงสัปดาห์วันหยุดนั้นสูงขึ้นตามด้วย ส่วนใหญ่เกิดจากเมาแล้วขับและจำนวนรถบนท้องถนนที่มีมากเกินไปในช่วงวันหยุดนั่นเอง
……..
จบกันไปแล้วครับสำหรับประวัติความเป็นมาและเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของวันชาติอเมริกา แต่ละข้อนั้นน่าสนใจและก็มีทั้งจุดที่เหมือนและต่างจากไทยไม่น้อยเลย หากน้องๆ คนไหนที่เคยเห็นหรือได้มีประสบการณ์ไปสัมผัสบรรยากาศของการเฉลิมฉลอง Fourth of July ที่อเมริกา ก็อย่าลืมนำเรื่องราวมาแบ่งปันให้ฟังในคอมเมนต์กันด้วยน้า ~
……..
Referencehttps://www.history.com/topics/holidays/july-4thhttps://www.britannica.com/topic/Independence-Day-United-States-holidayhttps://bensguide.gpo.gov/m-from-colonial-rulehttps://www.womansday.com/life/entertainment/g32869047/4th-of-july-facts/https://www.mountvernon.org/george-washington/the-revolutionary-war/the-earliest-july-4-celebrations/https://www.mountvernon.org/george-washington/the-revolutionary-war/the-earliest-july-4-celebrations/https://www.saturdayeveningpost.com/2020/06/9-things-you-didnt-know-about-independence-day/https://english.elpais.com/usa/2023-07-04/4th-of-july-parade-everything-you-need-to-know-about-the-national-independence-day-event.htmlhttps://www.napoleon.com/en/us/grills/blog/history-bbq-4th-julyhttps://www.msn.com/en-us/foodanddrink/foodnews/why-barbecue-is-traditionally-eaten-on-fourth-of-july/ar-BB1nUJGH?item=flightsprg-tipsubsc-v1a?season=2024/https://accidentdoctor.org/july-4th-accident-statistics/
0 ความคิดเห็น