Servus aus Wien! สวัสดีครับชาว Dek-D ทุกคนนน~~ ช่วงนี้ใครกำลังค้นหามหาวิทยาลัย เตรียมพร้อมปักหมุดไปเรียนต่อ ป.โท ประเทศในยุโรปอยู่ ต้องห้ามพลาดที่นี่เลย! เพราะวันนี้ พี่ธัน จะพาไปแนะนำยูดังอย่าง ‘University of Vienna’ ที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองหลวงที่เพิ่งถูกจัดอันดับว่ามีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 ไปหมาดๆ (พูดแล้วก็อยากไปลองอยู่ซะเอง จะว้าวเหมือนที่เขาว่ามั้ย)
การที่จะมีคุณภาพชีวิตดีๆ ก็ต้องมาจากหลายปัจจัยใช่มั้ยครับ หนึ่งเรื่องที่ขาดไม่ได้เลยก็คือการศึกษานั่นเอง ดังนั้นเราไปเปิดรั้ว University of Vienna กันดีกว่าของเค้าดี ของเค้าเริ่ดยังไง ใครเล็งๆ ประเทศนี้อยู่ ตามไปเก็บข้อมูลและไอเดียในการเรียนต่อกันเลยครับ~
…………….
ประวัติโดยย่อของมหาวิทยาลัย
‘Universität Wien’ หรือในภาษาอังกฤษเขียนว่า ‘University of Vienna’ (มหาวิทยาลัยเวียนนา) เป็นสถานบันการศึกษาของรัฐบาลที่ตั้งอยู่ในกรุงเวียนนา เมืองหลวงของออสเตรีย ที่นี่ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1365 และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันเลยทีเดียว (เก่ากว่า Universität Heidelberg ในเยอรมนีอีก!)
รูดอล์ฟที่ 4 ดยุกแห่งออสเตรีย (Duke Rudolf IV of Austria) ก่อตั้ง University of Vienna ขึ้นตามโมเดลของมหาวิทยาลัยปารีส (University of Paris) เพื่อมาแข่งขันกับกษัตริย์เยอรมัน ชาร์ลส์ที่ 4 (Charles IV) ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยปราก (University of Prague) ในปี 1348
หลังจากนั้นน้องชายของรูดอล์ฟที่ชื่ออัลเบิร์ตที่ 3 (Albert III) ก็ได้เข้ามาจัดการมหาวิทยาลัยใหม่ โดยทำหลักสูตรให้ครอบคลุมมากขึ้น ดึงดูดนักศึกษาจากรอบทิศ ทำให้ที่นี่ได้ทะยานขึ้นมาเป็นสถานศึกษาชั้นนำในกลุ่มประเทศที่ใช้ภาษาเยอรมันอีกแห่งหนึ่ง และสาขาวิชาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ได้แก่ การแพทย์ กฎหมาย และเทววิทยา
ใน 1848 มหาวิทยาลัยเวียนนาเป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติ และไม่กี่ปีหลังจากนั้นก็เกิดการปฏิรูป นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เหล่าครู อาจารย์มีอิสระในการสอนมากขึ้น เนื้อหาการเรียนมีความหลากหลายกว่าเดิม และ 30 ปีต่อมาก็ได้เปิดกว้างโอกาสทางการศึกษาให้กับผู้หญิงให้สามารถเรียนต่อด้านปรัชญา (คณะศิลปศาสตร์) เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นความเป็นสหศึกษาก็แพร่ขยายไปในสาขาอื่นๆ เช่น แพทยศาสตร์และนิติศาสตร์ เป็นต้น
ส่อง 6 ไฮไลต์ปังๆ ของกรุงเวียนนา
1. เมืองแห่งดนตรี
‘เวียนนา’ หรือในภาษาเยอรมัน ‘Wien’ (วีน) ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งดนตรี (City of Music) เพราะมีนักดนตรีคลาสสิกชื่อดังมากมายเคยอาศัยอยู่ เช่น โมสาร์ท (Mozart), บีโทเฟน (Beethoven), ไฮเดิน (Haydn), ชูเบิร์ต (Schubert) และ โยฮันน์ สเตราส์ (Johann Strauss) เจ้าของเพลง ‘The Blue Danube’ นั่นเอง และด้วยความที่เป็นศูนย์กลางทางดนตรี ทำให้มีโรงมหรสพและโรงละครโอเปร่าหลายแห่งตั้งอยู่ที่นี่ อย่างเช่น Musikverein และ Vienna State Opera เป็นต้น
2. สวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอยู่ที่นี่
นั่นก็คือสวนสัตว์เชินบรุน (Schönnbrunn Zoo) ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี 1752 ในฐานะสวนสัตว์ของจักรพรรดิฟรานซิสที่ 1 (Emperor Francis I) และยังเป็นศูนย์วิจัยและอนุรักษ์สัตว์ที่ใกล้ศูนย์พันธุ์ที่ทันสมัยอีกแห่งหนึ่ง
3. จุดเริ่มต้นวัฒนธรรมร้านกาแฟ
No Coffee, No Life! การเข้าร้านกาแฟถือว่าอยู่ในสายเลือดของชาวเวียนนาเลยก็ว่าได้ และรู้หรือไม่ว่าเทรนด์นี้มีมาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 17 แล้วนะ ยาวนานจนทาง UNESCO ได้ยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเลย // ร้านกาแฟนอกจากจะเป็นสถานที่ให้คนมาดื่ม มาดริงก์กันแล้ว ยังเป็นที่สำหรับการอ่านวรรณกรรม แลกเปลี่ยนความคิด และพบปะผู้คนด้วย
4. แหล่งรวมสถาปัตยกรรมจากหลายยุคสมัย
กรุงเวียนนาเป็นเหมือนกับศูนย์กลางของสถาปัตยกรรมโดดเด่นจากยุคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกอทิก (Gothic), เรอแนซ็องส์ (Renaissance), บาโรก (Baroque), คลาสสิก (Classical) รวมถึงสมัยใหม่ (Modern) ด้วย แถมแลนด์มาร์กสำคัญก็มีเพียบ เช่น St. Stephen’s Cathedral, Hofburg Palace, Belvedere Palace เป็นต้น อีกอย่างคืออาคารหลายแห่งก็มีความสำคัญจนทาง UNESCO ได้ยกย่องเป็นมรดกโลกอีก รับรองได้ซึมซับประวัติศาสตร์และความอลังการแบบเต็มอิ่มแน่นอน!
5. เมืองสีเขียว
คนที่นี่เขาให้ความสำคัญกับพื้นที่สีเขียวมากๆ มากจนทำให้เวียนนามีพื้นที่กว่าครึ่งเป็นสวนสาธารณะ สวนดอกไม้ และแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ได้เต็มปอด ไม่ต้องกลัวฝุ่น PM2.5 เลย!
ยกตัวอย่างเช่น The Prater สวนสาธารณะแห่งหนึ่งที่กว้างขวางสุดๆ มีตั้งแต่ทางเดินใต้ร่มไม้สวยๆ ไปจนถึงสวนสนุก ครบจบในที่เดียว // อีกสวนที่มีชื่อเสียงเหมือนกันก็คือ Stadtpark แหล่งปิกนิก พักผ่อนหย่อนใจของชาวเวียนนา และยังมีรูปปั้นของคุณ Johann Strauss ไว้ให้แวะถ่ายรูปด้วย
6. เจ้าของตำแหน่งเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลก
เมื่อไม่นานมานี้ทาง ‘Economist Intelligence Unit’ (EIU) ได้ประกาศการจัดอันดับเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในโลกประจำปี 2024 ออกมา เวียนนาเองได้คว้าเบอร์หนึ่งไปอีกครั้ง (ติดต่อกันเป็นปีที่สามแล้ว) ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะว่าที่นี่มีระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุม โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย สาธารณสุขที่ดี ใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการศึกษาที่มีคุณภาพ
เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ University of Vienna
- มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของออสเตรียและอันดับที่ 137 ของโลก (จัดอันดับโดย QS World University Rankings 2025)
- ได้รับเงินทุนมากถึง 118 ทุนจากสภาวิจัยยุโรป (European Research Council หรือ ERC)
- มีนักศึกษาเข้าเรียนที่นี่รวมแล้วกว่า 85,000 คน
- 63% เป็นผู้หญิง
- ราว 28,000 คนเป็นชาวต่างชาติจาก 120 ประเทศ
- มี 186 หลักสูตรเปิดสอนในปัจจุบัน ทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท อนุปริญญา และปริญญาเอก
- มีความร่วมมือกับทาง ERASMUS และมหาวิทยาลัยอีก 340 แห่งทั่วยุโรป
การเรียนที่ University of Vienna
สำหรับใครที่จะไปเรียนต่อ ป.โท ที่ออสเตรีย ปกติแล้วจะใช้เวลาทั้งหมด 4 ภาคเรียน หรือ 2 ปี โดยมีการแบ่งเทอมดังนี้:
- ภาคเรียนฤดูร้อน (Summer Semester)
- มีนาคม - มิถุนายน
- ภาคเรียนฤดูหนาว (Winter Semester)
- ตุลาคม - มกราคม
ปัจจุบัน University of Vienna มีทั้งหมด 15 คณะ ได้แก่
- Catholic Theology (ศาสนศาสตร์คาทอลิก)
- Protestant Theology (ศาสนศาสตร์โปรเตสแตนต์)
- Law (นิติศาสตร์)
- Business, Economics and Statistics (ธุรกิจ, เศรษฐศาสตร์ และสถิติศาสตร์)
- Computer Science (วิทยาการคอมพิวเตอร์)
- Historical and Cultural Studies (ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมศึกษา)
- Philological and Cultural Studies (นิรุกติศาสตร์และวัฒนธรรมศึกษา)
- Philosophy and Education (ปรัชญาและศึกษาศาสตร์)
- Psychology (จิตวิทยา)
- Social Sciences (สังคมศาสตร์)
- Mathematics (คณิตศาสตร์)
- Physics (ฟิสิกส์)
- Chemistry (เคมี)
- Earth Sciences, Geography and Astronomy (ธรณีวิทยา, ภูมิศาสตร์และดาราศาสตร์)
- Life Sciences (วิทยาศาสตร์ชีวภาพ)
พร้อมทั้งมี 5 สถาบันเฉพาะทาง ได้แก่
- Centre for Translation studies (สถาบันการแปล)
- Centre for Sport science and University Sports (สถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาและกีฬามหาวิทยาลัย)
- Centre for Molecular Biology (สถาบันอณูชีววิทยา)
- Centre for Microbiology and Environmental Systems Science (สถาบันจุลชีววิทยาและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม)
- Centre for Teacher Education (สถาบันวิชาการสอนครู)
แม้ว่าหลักสูตรส่วนใหญ่ที่ University of Vienna จะใช้ภาษาเยอรมันในการเรียนการสอน แต่ก็มีหลักสูตรปริญญาโทภาคภาษาอังกฤษให้เลือกเยอะมากๆ ทั้งสังคมและสายวิทย์ แต่มีข้อควรจำก็คือในบางสาขาได้กำหนดคุณสมบัติผู้สมัครไว้ว่า ต้องจบปริญญาตรีในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกันมาก่อน หรือบางสาขาอาจจะมีการสอบเข้าด้วยเช่นกัน (อย่าลืมเช็กให้ดีล่ะ!)
ค้นหาหลักสูตรเพิ่มเติมการสมัครเรียน
- สร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ที่ u:space ในช่วงเวลาเปิดรับสมัคร
- ล็อกอินบน u:space เพื่อลงทะเบียนและเลือกหลักสูตรและสาขาที่สนใจ
- อัปโหลดเอกสารที่จำเป็น
- กด [ submit application ] เพื่อส่งเอกสารการสมัคร
- ไปที่ u:space > Studies > Apply for admission > My applications (หากขึ้นว่า ‘submitted’ แปลว่าการอัปโหลดข้อมูลสำเร็จแล้ว)
- หลังจากนั้นทางมหาวิทยาลัยจะส่งจดหมายตอบรับกลับมา ซึ่งอาจะใช้เวลาหลายสัปดาห์
Note: ตรวจสอบข้อมูลให้เรียบร้อยว่าถูกต้องและครบถ้วนเพื่อไม่ให้ระยะเวลาการพิจารณาผลการสมัครล่าช้า
คะแนนการทดสอบภาษาอังกฤษ
แต่ละหลักสูตรรับผลคะแนนสอบภาษาอังกฤษหลากหลายรูปแบบ และระบุระดับภาษาที่แตกต่างกันไป โดยจะอยู่ในช่วง B2 - C2 (ตามมาตรฐาน CEFR) โดยสามารถเทียบเท่ากับการสอบรูปแบบต่างๆ ดังนี้
- B2
- TOEFL: 87
- IELTS: 6.5 (Overall)
- Cambridge English First Certificate (FCE): B2
- Cambridge Certificate in Advanced English (CAE): B2
- ผลการทดสอบภาษาจากทางสถาบันภาษาของมหาวิทยาลัย: B2
- C1
- TOEFL: 110
- IELTS: 8 (Overall) (ขั้นต่ำ 7.5 ในแต่ละพาร์ต)
- Cambridge English First Certificate (FCE): A
- Cambridge Certificate in Advanced English (CAE): C หรือมากกว่า
- C2
- TOEFL: 115
- IELTS: 8 (Overall)
- Cambridge English First Certificate (FCE): A
- Cambridge Certificate in Advanced English (CAE): C หรือมากกว่า
เอกสารที่จำเป็น
- สำเนาหนังสือเดินทาง
- ใบจบและผลการเรียนระดับปริญญาตรี
- รับรองการแปล (หากไม่ใช่ภาษาอังกฤษหรือเยอรมัน)
- รวมกันเป็นไฟล์เดียว (PDF)
- ประวัติส่วนตัว (CV)
- จดหมายแนะนำตัว (Letter of Motivation)
- ผลการทดสอบภาษาอังกฤษ
- เอกสารเพิ่มเติมของแต่ละหลักสูตร (แล้วแต่กำหนด)
ค่าเล่าเรียนและทุนการศึกษา
อีกหนึ่งความปังของมหาวิทยาลัยเวียนนาคือ ค่าเล่าเรียนราคาที่เอื้อมถึงได้ โดยค่าธรรมเนียมต่อภาคการศึกษาสำหรับนักเรียนต่างชาติจากประเทศนอกเขตเศรษฐกิจยุโรปจะอยู่ที่ 726.72 EUR (หรือประมาณ 28,583 บาท) บวกกับค่าธรรมเนียมสมาคมนักศึกษาอีก 24.70 EUR (หรือประมาณ 971 บาท)
นอกจากนี้ทางมหา’ลัยยังมีทุนส่วนลดค่าเล่าเรียนให้อีก โดยทุกคนสามารถขอทุนพร้อมกับการสมัครเรียนได้เลย (แต่จะพิจารณาทุนแบบเทอมต่อเทอมเท่านั้น) ส่องรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
ส่วนทุนการศึกษาจากองค์กร มหาวิทยาลัยต่างๆ รวมถึงรัฐบาลออสเตรีย สามารถเข้าไปเช็กรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://grants.at/en/ เขารวบรวมทำเป็นฐานข้อมูล (Data Base) ไว้ให้แล้ว ใช้ง่ายมากๆ
…………….
เป็นยังไงกันบ้างหลังจากที่ได้ไปทำความรู้จักกับ University of Vienna นอกจากจะตั้งอยู่กลางกรุงเวียนนา ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆ มากมายให้ไปเช็กอินไว้ทำคอนเทนต์อัปลงโซเชียลแล้ว ด้านคุณภาพการศึกษาก็ดีไม่แพ้ที่ไหน สาขาวิชาก็มีให้เลือกเรียนหลากหลายไม่ไหว ถ้าใครที่สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ของทางมหาวิทยาลัยเพื่อศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยนะครับ หรือในส่วนข่าวสารทุนการศึกษาก็สามารถติดตามจากทาง Study Abroad by Dek-D ซึ่งมีอัปเดตเรื่อยๆ ส่วนรอบหน้าทางเราจะพาไปเปิดรั้วม.ไหน รอติดตามกันได้เลยยย Bis bald!~~
เยี่ยมชมเว็บไซต์มหาวิทยาลัยสำหรับใครที่มองหาโอกาสโกอินเตอร์ ตอนนี้มีหลายทุนกำลังเปิดรับสมัคร
ตามไปเช็กกันต่อได้เลยที่ "โปรแกรมค้นหาทุนเรียนต่อนอก by Dek-D"
ติดตามทุนต่อนอกง่ายๆ กับ Dek-D
- Website: www.dek-d.com/studyabroad
- X: @tornokandcourse
- IG: @tornokandcourse
- Facebook: Study Abroad เรียนต่อนอก by Dek-D
- Facebook: Study Guide ไปเรียนต่อนอกกันเถอะ
- TikTok: @tornokandcourse
0 ความคิดเห็น