วัยมหา’ลัยคนไหนอยากไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อเมริกามาทางนี้เลย! เพราะเราจะพาทุกคนไปอ่านสตอรี่ของ ‘พั้น’ นิสิตจากอักษรจุฬาฯ ที่ได้ไป Work and Travel ใช้ชีวิต-ทำงาน-ท่องเที่ยวที่สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2023 ที่ผ่านมา โดยเธอบินไปไกลถึงเมืองวิลเลียมสเบิร์ก (Williamsburg) แห่งรัฐเวอร์จิเนีย (Virginia) แถมยังได้ตะลอนเที่ยวสองเมืองดังอย่าง ‘นิวยอร์ก’ และ ‘ลอสแอนเจลิส’ อีกด้วย ซึ่งเธอบอกเลยว่า work หนักไม่กลัว กลัวไม่ได้ travel ใครกำลังหาข้อมูลหรือวางแพลนไปปีหน้าอยู่ มาตามรอยกันเลยครับ~
.........
ที่มาที่ไป ทำไมถึงสมัคร Work & Travel?
“เหตุผลน่าจะเหมือนหลายๆ คนเลยก็คือเป็นโอกาสให้ได้ทำงานหาเงินและเที่ยวไปพร้อมๆ กัน ยิ่งเห็นรีวิวจากเด็กเวิร์กรุ่นก่อนๆ มีเงินเก็บกลับมาเยอะ เราเชื่อว่าตัวเองก็ต้องทำแบบนั้นได้สิ เราชอบเที่ยวด้วย ตอบโจทย์แน่นอน เพียงแต่ว่ายังกลัวไปอยู่ต่างประเทศคนเดียวแล้วจะเหงา ก็เลยชวนเพื่อนสนิทไปด้วยอีกคนค่ะ สรุปคือได้ไปตอนปิดเทอมช่วง Summer และอยู่อเมริกาตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม – ต้นเดือนสิงหาคม 2023 รวมแล้วก็ 2 เดือนนิดๆ”
รีวิวขั้นตอนการขอวีซ่า
ถ้าจะไปโครงการนี้ต้องขอวีซ่า J1 ค่ะ เราคิดว่าขั้นตอนต่างๆ ในส่วนนี้ค่อนข้างซับซ้อนและต้องทำความเข้าใจเยอะ เราเลือกสมัครไปกับเอเจนต์แห่งหนึ่งไปเพื่อความอุ่นใจ (คิดว่าเด็กเวิร์กส่วนใหญ่ก็สมัครผ่านเอเจนซีเหมือนกันเพื่อความสะดวกสบายและความเป๊ะ) ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกมากเพราะเค้าแนะนำละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ เหลือแค่เราไปขอเอกสารและนำไปยื่นสมัครด้วยตัวเอง
เอกสารที่ต้องใช้มีเยอะพอสมควร จำได้คร่าวๆ คือเอกสารรับรองการเป็นนักศึกษา ใบ Transcript จากมหาวิทยาลัย และใบ Statement จากทางธนาคาร ฯลฯ พอเราได้เอกสารเรียบร้อยแล้วก็จะยื่นส่งไปให้กับทางสถานทูตและรอวันสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ // ส่วนตอนสัมภาษณ์ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด คำแนะนำคือตั้งใจฟังคำถามแล้วค่อยๆ ตอบตามจริงเลย~
มาเหนือกว่าใคร! เพราะ ‘Travel’ ก่อนไป ‘Work’
ด้วยความที่อยากไปเที่ยวเมกาแบบจัดเต็ม เรากับเพื่อนเลยเริ่มไปเที่ยวกันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงานเลยค่ะ 5555 เราเลือกบินไปที่นั่นก่อนเริ่มงานประมาณ 1 สัปดาห์ มุ่งหน้าไปที่เมืองในฝันของเราก่อน ซึ่งก็คือ ‘นิวยอร์ก’ นั่นเอง
จริงๆ ก่อนที่จะไปนิวยอร์กเราก็ศึกษาบ้าง เคยเห็นข่าวที่รถไฟใต้ดินไม่ค่อยปลอดภัย น่ากลัว และมีคนไร้บ้าน (Homeless) เยอะพอสมควร วันแรกที่ไปถึงก็ยังกังวล แต่พอได้เที่ยวปุ๊บ จากประสบการณ์ส่วนตัวคือไม่ได้เจอแบบในข่าว เลยทำให้เอนจอยสุดๆ หายกลัวไปเลย **สำคัญมาก** ไม่ว่าน้องๆ จะไปที่ไหน ต้องระมัดระวัง เซฟตัวเองให้มากที่สุดนะคะ
ชวนเม้าท์หน่อย เที่ยวไหนมาบ้าง?
ด้วยความที่เราเป็นคนชอบเสพงานศิลป์ใดๆ เรากับเพื่อนเลยไปเดินเที่ยวชมแกลเลอรีในนิวยอร์กกันแบบสะบัด ที่ประทับใจจนถึงวันนี้เลยคือเราได้ไปดูภาพของ ‘โมเนต์’ (Monet) ศิลปินในดวงใจของเราด้วย
เรากับเพื่อนยังไปเที่ยวเก็บอีกหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น ‘The Metropolitan Museum of Art’ พิพิธภัณฑ์ศิลปะขนาดใหญ่ที่สุดในอเมริกา ‘Musuem of Modern Art New York’ พิพิธภัณฑ์ที่เป็นที่จัดเก็บภาพเขียนชื่อดัง The Starry Night’ ของ Vincent Van Gogh นอกจากนี้ก็ยังมีโอกาสได้ไป ‘Statue of Liberty’ หรือ เทพีเสรีภาพ แลนด์มาร์กของนิวยอร์กนั่นเองค่า
เสร็จแล้วเราก็ไปเดินชอปปิงที่ย่าน ‘Soho’ และแวะไปนั่งเล่นที่ ‘Central Park’ ไปหลายที่มากๆ เลย แต่เราถือคติที่ว่าไปทั้งทีก็ต้องเก็บสถานที่แมสๆ ให้ครบ สรุปคือทริปนิวยอร์ก = เติมไฟ + กำลังใจ ก่อนเริ่มทำงานได้ดีมากๆ
และหลายคนคงเคยได้ยินสมญานามว่านิวยอร์กคือ ‘เมืองที่ไม่เคยหลับใหล’ เรามาถึงได้เจอบรรยากาศเมืองที่ครึกครื้นและเต็มไปด้วยสีสันเหมือนภาพที่คิดไว้ ที่สำคัญคือเราชอบวิถีชีวิตสไตล์ ‘New Yorker’ แต่ละคนมีวิธีการแต่งตัวและสไตล์ที่ดูเก๋กันแทบทั้งนั้น เหมือนกับทุกตารางนิ้วคือรันเวย์เลยค่ะ!
บรรยากาศการทำงานที่ร้านอาหารในสวนสนุก
หลังจากเที่ยวนิวยอร์กเสร็จก็ถึงเวลาต้องชดใช้กรรมแล้วค่ะ! 555 เราได้ไปทำงานที่ร้านขายอาหารในสวนสนุก ‘Busch Garden’ สวนสนุกชื่อดังของเมือง Williamsburg เราเข้าไปทำงานที่เดียวกับเพื่อนก็จริง แต่ถึงเวลาอยู่แยกโซนกัน และได้แยกย้ายไปทำคนละตำแหน่ง แต่ไม่เป็นปัญหาเลย เพราะเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่น่ารักกับเรามากๆ เม้าท์มอยกันฉ่ำใจ ได้โอกาสงัดสกิลภาษาอังกฤษในตัวมาใช้ แล้วความอินเตอร์คือเพื่อนร่วมงานมีหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะสเปน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฯลฯ พวกเค้าทำให้เราได้เรียนรู้วัฒนธรรมกับศัพท์ใหม่ๆ ตลอดเวลาและไม่ได้จำกัดอยู่แค่ภาษาอังกฤษด้วย เปิดโลกสุดๆ เลยค่ะ
เล่าเรื่องเนื้อหางานบ้าง เราเข้าไปทำตำแหน่ง ‘Food and Beverage’ หน้าที่หลักๆ ของเราคือจัดเตรียมอาหารตามที่ลูกค้าสั่ง บอกเลยว่าที่นี่มีลูกค้าเข้ามาเยอะตลอดแบบไม่ขาดสายเลย (ยกเว้นวันฝนตกที่คนจะไม่ค่อยมาสวนสนุกกัน) ทำให้เวลาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับการทำงานให้ดีที่สุดไม่ต้องนั่งจ๋องรอคึกคักตอนลูกค้าแน่น
หรือบางวันเราก็อาจได้เวียนไปทำหน้าที่อื่นบ้าง เช่น ทอดเฟรนช์ฟรายส์ หรือเข้าไปช่วยทำงานในครัวบ้างค่ะ ความสนุกของงานครัวคือเราจะได้จัดการเตรียมของสด หั่นผัก ล้างผลไม้ และเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งงานที่เราทำจะเม้าท์กับเพื่อนไปด้วยก็ได้ งานครัวดูเหมือนจะเป็นงานน่าเบื่อ แต่สนุกกว่าที่คิดไว้อีกค่ะ
แล้วงานเป็นยังไงบ้าง?
สิ่งที่เราชอบในงานนี้คือได้คุยและสื่อสารภาษาอังกฤษกับลูกค้าต่างชาติเยอะมากๆ เรียกว่าใช้สกิลภาษาแทบจะทุกวัน แต่เรื่องท้าทายระหว่างทำงานก็มีอยู่บ้างค่ะ บางทีจะมีลูกค้าเข้ามา complain เรื่องอาหารกับเรา หรือบางทีก็อยากขอพบกับ manager (วัฒนธรรมของชาวอเมริกันที่จะวิจารณ์ร้านอาหารกันตรงๆ + คติลูกค้าคือพระเจ้า) ซึ่งเราก็ต้องพยายามแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในส่วนนี้ไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นการฝึกทำงานภายใต้ความกดดันแบบเต็มรูปแบบกันเลยค่า
ส่วนเรื่องที่ไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ คือเพื่อนร่วมงานบางคนที่ชอบแอบกินแรงในบางครั้งค่ะ เวลาที่เตือนไปเขาก็ไม่สนใจ เราทำอะไรไม่ได้เลยปลงๆ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดต่อไป ต้องบอกว่าของแบบนี้อยู่ที่ดวงกันจริงๆ ใครที่ได้เจอเพื่อนร่วมงานดีๆ ชีวิตก็จะดีตามไปด้วยค่ะ
ค่าตอบแทนคุ้มมั้ย?
ในส่วนของค่าแรงเราจะได้ 15 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงค่ะ (ประมาณ 535 บาท) เราทำงานวันละประมาณ 7-10 ชั่วโมง มากน้อยสลับกันไปในแต่ละวัน และช่วงเวลาเริ่มงานก็ไม่เหมือนกันทุกวันด้วยค่ะ วันไหนที่เข้างานเช้าหน่อยก็จะได้กลับไว ส่วนวันที่เริ่มบ่ายก็จะอยู่ทำงานจนถึงช่วงปิดร้านเลย แล้วด้วยความที่เราไปช่วงฤดูร้อน ปัญหาที่เจอก็คือมีฝนตกบ่อยมากๆ ทำให้บางวันเราโดนลดชั่วโมงการทำงานไปบ้าง เพราะไม่ค่อยมีลูกค้ามาที่สวนสนุกค่ะ จากที่ก่อนหน้านี้หวังว่าจะได้ทำงานเยอะๆ โกยเงินเป็นกอบเป็นกำ พอมาเจออะไรแบบนี้ก็แอบเฟลนิดๆ // แนะนำให้เช็กเรื่องอากาศกันด้วยนะคะ
รีวิวเมือง Williamsburg
เราว่าคนที่ไม่ชอบความวุ่นวายแบบเมืองใหญ่ๆ ต้องชอบวิลเลียมสเบิร์กมากแน่ๆ เพราะที่นี่เป็นเมืองเล็กๆ ที่ค่อนข้างเงียบสงบ แต่มีสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ ให้นักท่องเที่ยวเช็กอินเพียบ มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ ยิ่งใครเป็นสายธรรมชาติที่ชอบเดินเข้าป่า ทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือชอบปีนเขา บอกเลยว่าต้องถูกใจสุดๆ แถมที่นี่ยังมีแลนด์มาร์กทางประวัติศาสตร์อีกด้วย ส่วนอากาศของวิลเลียมสเบิร์กเราว่าค่อนข้างดีเลยค่ะ มีแดดสลับกับฝนบ้าง ร้อนอยู่แต่ก็ไม่เท่าที่ไทย และที่สำคัญเลยคือผู้คนที่นี่น่ารักกันมากๆ ค่ะ
วันหยุดเด็กเวิร์กไปไหนกัน?
ขอสารภาพเลยว่าเราจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดส่วนใหญ่ไปกับการพักผ่อนอยู่ที่ที่พักค่ะเพราะทำงานมาทั้งสัปดาห์แล้วค่อนข้างเหนื่อย 5555 แต่วันไหนฮึดอยากลุกไปเที่ยวหาอะไรทำขึ้นมา เราก็จะไปเดินเล่นแถวมหาวิทยาลัย ‘William & Marry’ เพราะว่าแคมปัสของเค้าสวยมากๆ ขนาดเห็นแค่ข้างนอกยังน้ำตาแทบไหล ด้วยความที่มหาวิทยาลัยก่อตั้งมาประมาณ 300 ปีแล้ว เลยให้ฟีลความขลังและมีเสน่ห์ ยิ่งเราชอบเดินดูพวกตึกรามบ้านช่องที่เป็นสถาปัตยกรรมต่างๆ อยู่แล้ว พอมาเห็นที่นี่ก็ฟินมากๆ เลยค่ะ
หรือบางวันที่อยากไปเที่ยวกันไกลๆ หน่อย เรากับเพื่อนก็จะนั่ง Uber ไปที่ ‘Yorktown Beach’ ชายหาดของเมืองยอร์กทาวน์ค่ะ บอกเลยว่าหาดทรายขาว บรรยากาศดีมากก ทำฟีลๆ เอาผ้าไปปูบนชายหาดนั่งเล่นชมวิวกันสวยๆ เป็นอีกหนึ่งที่ในรัฐเวอร์จิเนียที่เราแนะนำเลยค่า
‘Work’ เสร็จแล้วไป ‘Travel’ ไหนต่อบ้าง?
หลังทำงานเสร็จเราก็ไปเที่ยวก่อนกลับไทยแบบจัดหนักจัดเต็มตามที่วางแพลนไว้ ซึ่งเรากับเพื่อนเลือกไปคือเมืองแห่งทวยเทพอย่าง ‘ลอส แอนเจลิส’ นั่นเองค่ะ (ขอสารภาพว่าตอนไปแอบอ่อมนิดนึงเพราะยังไม่ทันได้พักให้หายเหนื่อยจากการทำงานเลย TT แต่ภาพรวมยังไหว ยังสนุกอยู่ค่ะ )
พวกเราเลือกไปที่ ‘Disney California Adventure Park’ เพราะเราทั้งคู่เป็นแฟนคลับตัวยงของ ‘Marvel’ ค่ะ ที่นั่นก็จะมี Avengers Campus เป็นสวนสนุกในธีมของจักรวาลมาร์เวลที่มีเหล่าฮีโร่ต่างๆ แบบครบเลย บอกเลยว่าฟินไม่ไหว!
ถึงจะเหนื่อยแต่เราก็ขอไปต่อ! ด้วยความที่พวกเราเป็นแฟนของ ‘แฮร์รี พอตเตอร์’ เหมือนกัน ดังนั้นเราเลยมาเช็กอินที่ ‘Warner Brothers Studio’ ซึ่งเป็นสถานที่เคยถ่ายทำภาพยนตร์ของเรื่องนี้ รวมถึงซิตคอมในตำนานอย่าง Friends ก็ถ่ายที่นี่เหมือนกัน // ใครเป็นเอฟซีเหมือนเราแนะนำให้มาเลย!
หลังจากนั้นเราก็ไปเดินเล่นต่อตามย่านชื่อดังต่างๆ ของ LA เช่น Santa Monica, Hollywood Walk of Fame และย่าน Bevery Hills ด้วย แต่ละที่สวยฉ่ำสุดๆ เหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในหนังฮอลลีวูดเลยค่า~
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการไป Work & Travel
อย่างแรกคือการทำงานภายใต้ความกดดันค่ะ เพราะว่าทำงานบริการที่ต้องเจอคนหลากหลายรูปแบบมากๆ ทั้งเพื่อนร่วมงานและลูกค้าเลย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านเชื้อชาติ นิสัย มีวัฒนธรรมหรือภูมิหลังที่แตกต่างกัน สิ่งที่เราต้องเรียนรู้และปรับตัวให้ได้คือ การแก้ไขปัญหาและรับมือกับทุกสถานการณ์ให้ได้ เวลาเราไม่พอใจอะไร ต้องท่องไว้ในใจว่า ‘เรามาทำงาน’ ต้องพยายามรักษาสีหน้าและคำพูดอยู่เสมอค่ะ ซึ่งทำให้เราได้ฝึกควบคุมอารมณ์ตัวเองมากขึ้น จนค่อยๆ ปรับตัวและรู้สึกว่าตัวเองนิ่งขึ้น เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากๆ
นอกจากนี้เรายังได้รับประสบการณ์น่าประทับใจกลับมาด้วย นั่นคือการได้รับมิตรภาพดีๆ เราได้พบเจอและทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่หลายคน ทั้งไทยและต่างชาติเลยค่ะ ได้แลกเปลี่ยนภาษากันแบบมันส์มากๆ (อีกนิดจะเรียกได้ว่าเป็นทูตวัฒนธรรมแล้วค่ะ 555) นอกจากนี้แล้วเพื่อนคนไทยก็น่ารักกันมากๆ บางที เค้าจะทำอาหารไทยแล้วก็ชวนเราไปกินด้วย พอทำให้หายคิดถึงบ้านขึ้นมาบ้าง ใจฟูสุดๆ เชื่อแล้วว่าคนไทยไม่ทิ้งกันจริงๆ พอกลับไทยพวกเราก็ยังคงนัดเจอกันอีกค่ะ
และสิ่งสุดท้ายที่ประทับใจมากๆ คือการที่เราได้ไปท่องเที่ยวนี่แหละค่ะ เหมือนได้ไปตามรอยสถานที่ในฝันต่างๆ สำรวจโลกกว้างและตัวเองไปพร้อมๆ กัน แม้ว่าเราจะทำงานหนักแต่พอได้เที่ยวก็รู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมา ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่ามากๆ เลยค่ะ
ทิ้งท้าย Work & Travel ยังน่าไปอยู่ไหม?
“ด้วยความที่เราทำแค่งานเดียวและก็มีไปเที่ยว ไปชอปปิงแบบจัดหนักจัดเต็ม เราเลยขาดทุนไปบ้างแต่ไม่ได้เยอะมากค่ะ แต่บอกเลยว่าถ้าเป็นเรื่องประสบการณ์ชีวิตคือมีแต่กำไรเน้นๆ”
สิ่งที่เราอยากบอกกับคนที่สนใจอยากไป Work & Travel แต่ลังเลอยู่ เราแนะนำให้ ‘ไปเลยค่ะ’ เพราะโอกาสดีๆ แบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆ พอพ้นสภาพนักศึกษาเราก็ไปโครงการนี้ไม่ได้แล้ว ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี่แหละคือนาทีทองในการลองผิดลองถูก และการไป Work & Travel ทำให้เราได้ลองใช้ชีวิตที่ต่างบ้านต่างเมือง ได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่เราไม่เคยทำและไม่เคยคิดจะทำ ได้เจอคนใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรม มุมมองและภาษาที่แตกต่างกัน แถมยังได้มิตรภาพดีๆ กลับมาด้วย
นอกจากนี้เราได้ลองใช้ชีวิตด้วยตัวเอง จัดสรรเวลาต่างๆ ทุกอย่าง เป็นการเตรียมให้เราพร้อมกับการเป็นผู้ใหญ่ได้ดีมากๆ ดังนั้นสำหรับน้องๆ คนไหนที่ชอบเที่ยวเหมือนกัน เราว่าถ้าได้ไปยังไงก็คุ้มเงิน คุ้มใจ คุ้มประสบการณ์แน่นอนค่า~
……….
เป็นรีวิวการไป Work and Travel ที่ดูน่าตื่นเต้นและสนุกมากๆ เลยนะครับ ไปต่างประเทศทั้งทีก็ต้องเก็บประสบการณ์ทั้งเที่ยวและทำงานให้คุ้มแบบนี้แหละเนอะ พอกลับมาจะได้ไม่มาเสียดายทีหลัง
สำหรับน้องๆ ชาว Dek-D คนไหนที่เตรียมตัวเข้าร่วมโครงการ Work and Travel ในปีถัดไป ก็อย่าลืมวางแผนและศึกษาหาข้อมูลให้พร้อมนะครับ เพราะมีหลายอย่างที่ต้องให้ความสำคัญมากๆ ทั้งเรื่องการสมัครโครงการ งานที่เราอยากทำ เมืองที่เราอยากไป และไหนจะต้องเตรียมสัมภาษณ์วีซ่าอีก และถ้าหากใครได้ไปเวิร์กมาแล้วก็อย่าลืมมาแชร์กันบ้างนะ~
3 ความคิดเห็น