ใกล้การสอบแอดมิชชั่นเข้ามาเต็มที่แล้ว พี่ลาเต้ ก็มีบทความที่น่าสนใจมาฝากครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความหายนะของวงการวิทยาศาสตร์ ซึ่งหลายคนบอกว่าเป็นเพราะแอดมิชชั่น ลองไปอ่านดูครับ... " ระบบแอดมิชชั่นส์กำลังพ่นพิษสร้างความหายนะต่อวงการศึกษาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของไทยด้วยการจัดการศึกษาในสาระการเรียนรู้สำหรับช่วงชั้นที่ 4 (ม-ม.6)นั้นพบว่าการเรียนการสอน ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ของการประเมินผลเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาผ่านระบบแอดมิชชั่นส์"นี่คือมุมมองของ "รศ.เย็นใจ สมวิเชียร" กรรมการมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการและพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษาในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.) ผู้รู้ลึกรู้จริง ในวงการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นแนวหน้าของเมืองไทย และเธอคือผู้อยู่เบื้องหลังการปั้นเด็กหัวกะทิให้สามารถพิชิตรางวัลโอลิมปิกวิชาการมาครองรศ .เย็นใจ ชี้ว่า เมื่อเด็กชั้นม.4-ม.6 สามารถเลือกเรียนตามความถนัดและความสนใจ จึงมีเด็ก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เน้นสายวิทยาศาสตร์ และกลุ่มที่เน้นสานศิลปศาสตร์ เด็กทั้ง 2 กลุ่มจะต้องเรียนสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐาน 4 รายวิชา 6 หน่วยกิต แยกเป็นรายวิชาดังนี้ 1.แรงและการเคลื่อนที่(ฟิสิกส์),2.โลกดาราศาสตร์และอวกาศ(ดาราศาสตร์), 3.สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต(ชีววิทยา)และ 4.สารและสมบัติของสาร(เคมี)
ส่วนเด็กสายวิทย์จะต้องเรียนเพิ่มอีก 26-30 หน่วยกิต เพื่อให้มีพื้นฐานเพียงพอ ที่จะไปศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา อีก 17 รายวิชาได้แก่ เคมี 5 รายวิชา, ชีววิทยา 5 รายวิชา, ฟิสิกส์ 6 รายวิชา และดาราศาสตร์ 1 รายวิชาการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต)นักเรียนม.6ทุกคน จะสอบเฉพาะสาระการเรียนรู้พื้นฐานวิทยาศาสตร์เพียง 4 รายวิชา เมื่อทุกคนต้องสอบเหมือนกัน ปัญหาที่เกิดขึ้น คือ 1.ข้อสอบออกยากไม่ได้เพราะเด็กสายศิลป์จะทำไม่ได้ ส่วนเด็กสายวิทย์ จะง่ายมากๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่ามีคนได้คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เต็ม คะแนน และมีคนได้ 0 คะแนน 2.ไม่สามารถแยกแยะนักเรียนสายวิทย์ได้ว่ามีความรู้พื้นฐานแค่ไหนเพราะข้อสอบออกระดับม.3" ข้อสอบโอเน็ต จึงประเมินความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กสายวิทย์ไม่ได้ เพราะไม่ได้ประเมิน ความรู้ที่เรียนมาอีก17 รายวิชาที่เรียนมาตลอดเวลา 3 ปี(ม.4-ม.6)" รศ.เย็นใจ ระบุสำหรับข้อสอบเอเน็ตหรือการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นสูง ปกติต้องสอบความรู้ทุกรายวิชา เพื่อทราบว่านักเรียนจะเรียนต่อในระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ประยุกต์ได้หรือไม่ แต่สอบเอเน็ตใช้เวลา 1 ชั่วโมง เพื่อสอบ 3-4 วิชาคือ เคมี ชีววิทยา และฟิสิกส์ ซึ่งรวม ดาราศาสตร์ด้วย เมื่อเด็กต้องสอบเนื้อหาวิชาที่แตกต่างกันมา จึงทำให้เด็กสับสน ผลคือเด็กทำไม่ได้ หรือ ทำไม่ทัน หรือไม่ทำอีกทั้ง เวลาสอบไม่สัมพันธ์กับการเรียน เพราะเรียนตลอด 3 ปี (ม-6) เคมี 60 ชั่วโมง ชีววิทยา 60 ชั่วโมง ฟิสิกส์ 80 ชั่วโมง และดาราศาสตร์ 40 ชั่วโมง ทำให้ข้อสอบไม่ครอบคลุมเนื้อหาที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อในระดับสูงได้ ไม่สามารถแยกเด็กได้ว่ามีความรู้มากพอที่จะเป็นพื้นฐานในการเรียนต่อหรือไม่การให้น้ำหนัก 100 คะแนนในกลุ่มสาระการเรียนรู้รายวิชา ภาษาไทย สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ซึ่งประกอบด้วย เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์และ ดาราศาสตร์ เท่ากันจึงไม่เป็นธรรมกับเด็กสายวิทย์ เพราะถ้านักเรียนสอบได้คะแนนสูงในวิชา ภาษาไทย สังคมศึกษา และภาษาอังกฤษก็เข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ ฯลฯ ได้
ผลเสียที่เกิดขึ้นเด็กกวดวิชาเพิ่ม เด็กที่เรียนเก่งด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์ ไม่สนใจพัฒนาตนเองด้านวิทยาศาสตร์ แต่มุ่งไปกวดวิชาด้านภาษาไทยและสังคมศึกษาแทน ทำให้ผู้ปกครองต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม และทำให้การเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ได้ผลเต็มประสิทธิภาพ" ก่อให้เกิดความเสียหายต่อวงการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ ได้เกิดขึ้นแล้ว ในคณะวิทยาศาสตร์และคณะที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนที่ใช้วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เช่น วิศวกรรมศาสตร์และแพทยศาสตร์ ดูจากเกรดเฉลี่ยของนิสิตชั้นปีที่วิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ปีการศึกษา 2547 -2550 จาก 1.94, ลดลงเป็น 1.93, 1.29, จนเหลือ 1.2 ทั้งๆที่ข้อสอบง่าย และสองปีหลังมีนิสิตขอถอนประมาณครึ่งหนึ่ง ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็เช่นเดียวกัน ทำให้สูญเสียทั้งงบประมาณและเสียเวลาในการพัฒนาบุคลากร" รศ.เย็นใจ ระบุจะเห็นได้ว่า "แอดมิชชั่นส์" ทำให้เกิดความหายนะ ต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศไทยในระยะยาว ทำให้ประเทศไทยล้าหลังนานาชาติ ทั้งๆ ที่บุคลากรมีคุณภาพ แต่ระบบการสอบและระบบการศึกษาทำลายบุคคลเหล่านี้ได้อ่านกันแล้ว น้องๆชาวเด็กดีดอทคอมคิดเห็นกันอย่างไร มาแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ..แต่ส่วนตัว พี่ลาเต้ แล้ว..เห็นด้วยอย่างยิ่งกับบทความนี้ครับ.. |
พพี่ลาเต้ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึกพ |
60 ความคิดเห็น
อยากเป็นหมอดันเจือกต้องเรียนดาราศาสตร์ อื่นๆอีกเยอะแยะ จิปาถะ
เอางี้ดีกว่าว่ะ
ม.4 แบ่งออกเป็นสายชีวะ สายเคมี สายฟิสิกส์ไปเลยดีป้ะละ
งั่ง
สอบปีนี้ค่ะ
เข้ามหาลัยก็ไม่มีปัญหา เด่นไปเลยในด้านที่สนใจ ไม่มาปวดหัวซ้ำซ้อน
เสียเวลาจัดหาวิชา หน่วยกิตเพิ่ม เด็กจะตายเพราะเรียนก่อนพัฒนาประเทศอีกน้า
อเมริกาไม่เห็นเรียนหนักเท่าไทยเลย แต่ประเทศเค้าเจริญได้ อืมๆๆ น่าจะไปลองคิดดู
(ความคิดเห็นส่วนบุคคลนะ)
บอกแล้วให้แบ่งสอบวิทย์
4รายวิชา
จะได้ซะจาย
ช่ายๆ น่าจะแยก
สมมติว่าคนอยากเข้า วิท เคมี ก็ให้ใช้แต่เคมี
อยากให้ วิท ฟิสิก ก็ใช่แต่คะแนน ฟิสิก
อยากเข้า วิท ชีวภาพ ก็ เอา % ชีว เยอะหน่อย
แล้วอยากเข้าพวก วิท คริต สถิติ ก็เอาเลข เยอะหน่อย
อะไรอย่างนี้
เหมือนเรียนไปไม่มีความหมาย บางมหาลัย คณะมนุษย์ไม่เอา PAT ทั้งๆที่บ่งบอกว่าเป็นมนุษย์ฝรั่งเศส
นี่เหรอระบบการศึกษาไทย ให้สอบวิชาอื่น เพื่อไปเรียนฝรั่งเศส อะไรของมันวะ เอาสมองส่วนไหนคิดเหรอ
แยกไปเลยตั้งแต่ม.4
ถ้าเด็กคนไหนเรียนไม่ไหวจะได้ย้ายทัน
ง่ายกว่าไหมคะ
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กไทย
ถึงนิยมไปเรียนเมืองนอก
เพราะขนาดประเทศไทยเองยังมั่ว
โอเนต
ไท 88.25
สังคม 71.75
เลข 59.00
อังกิด 72.00
วิทย์ 84.25
เอเนต
วิทย์2 """39""
เลข2 """26"""
อังกิด 64
พฐวิดวะ """39""
GPAX 3.92
สุดยอดไปเลย การคัดเด็กเข้ามหาวิทยาลัย
ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ - -*
แล้วไม่อัพตัวเองละก็ ตายแหงแซะ
สงสัยพวก ทปอ คงจะเป็นเด็กสายศิลป์ เลยไม่รู้เรื่องวิทยาศาสตร์
เพราะเห็นผลและปัญหามันมากเหลือเกิน
ปีเราจะได้สอบ แบบ GAT PAT ซึ่งเราว่าก็ดีกว่าระบบเดิม
แต่เรารู้สึกว่าPAT ที่ให้สอบมันดูไม่ตรงตามที่เราจะเรียนยังไงก็ไม่รู้
คือเราจะเข้าจิตวิทยา แต่ให้เราสอบPAT คณิตศาสตร์ อย่างงงเลย
เพราะจิตวิทยาเขาใช้ชีวะกันเยอะ แทนที่จะให้ไปสอบ PAT วิทย์ แต่ดันให้ไปสอบคณิต
เหใอนคณะมนุษย์ก็ต้องสอบแพทนี้เหมือนกัน นิติอย่างงี้
เป็นบ้ารึเปล่า นี่สมมติถ้าอยากเรียนนิติได้ต้องเก่งเลขใช่ไหม เอาไว้ท่องมาตรารึไง
ใครมันเป็นคนจัด ประสาท(ตอนนั้นละก็บอกว่าประชุมกันหลายฝ่าย เราว่าคนที่เขารู้จริงน่าจะคิดได้มากกว่านี้ ว่าคณะไหน ควรจะใช้แพทไหน)