นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เปิดเผยกับทีมข่าวการศึกษา เว็บไซต์เด็กดีดอทคอมว่า "ในกรณีรับตรงปีการศึกษา 2558 ยังคงมีอยู่ แต่อาจจะมีรูปแบบที่เปลี่ยนไป ทั้งนี้ได้ประสานงานให้ สกอ. ขอความร่วมมือไปยังมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศ หากมหาวิทยาลัยไหนยังไม่ได้ดำเนินการรับตรงนิสิตนักศึกษาในปีการศึกษา 2558 ให้ไปจัดสอบหลังจากที่นักเรียนได้เรียนจบการศึกษาแล้ว นั้นคือประมาณ ก.พ.58 เป็นต้นไป แต่หากมหาวิทยาลัยไหนดำเนินการรับนักศึกษาไปแล้ว ก็ให้ชี้แจงเหตุผลและความจำเป็น กลับมาว่ามีเหตุใดที่เลือกที่จะรับตรงโดยการจัดสอบเอง"
ทางรัฐมนตรีศึกษาธิการ ได้เปิดเผยต่อว่า.. ในส่วนของมหาวิทยาลัยที่ยังไม่ได้ดำเนินการรับตรงปี 2558 ก็ขอความร่วมมือให้ใช้ระบบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาผ่าน Clearing House มากขึ้น และให้มีการจัดสอบหลังจากเด็กเรียนจบการศึกษาแล้ว เพื่อเด็กจะได้ไม่ทิ้งห้องเรียน ส่วนในอนาคตได้มอบหมายให้ทาง สทศ. , สกอ. และ สพฐ. ร่วมพิจารณาระบบการจัดสอบต่างๆ เพื่อหาแนวทางการพัฒนาระบบคัดเลือกที่เหมาะสม จากนั้นจะรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งออกแบบกระบวนการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาให้มีความชัดเจนมากขึ้น และเป็นข้อสรุปร่วมกันต่อไป ซึ่งหากจะประกาศใช้เต็มระบบ จะต้องประกาศใช้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อไม่ให้กระทบกับนักเรียนที่เตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว"
เอาล่ะสรุปง่ายๆ คือปี 2558 รับตรง/สอบตรง/โควตา ยังมีตามปกตินะครับ บางสถาบันอาจจะจัดสอบเองเหมือนเดิม และบางสถาบันอาจจะใช้ข้อสอบส่วนกลางตามที่ รมต.กระทรวงศึกษาได้ขอความร่วมมือ เอาเป็นว่าเด็กแอดมิชชั่น 58 เตรียมตัวติดตามข่าวให้พร้อม ที่แน่ๆ รับตรงมหาวิทยาลัยต่างๆ อาจจะมาช้ากว่าปีก่อนๆ เพราะตอนนี้หลายมหาวิทยาลัยปรับปฏิทินการเปิดภาคเรียนใหม่ตามอาเซียน ส่งผลให้ปฏิทินการรับสมัครต้องเลื่อนตามไปด้วย อาทิ มศว ที่จากปีก่อนเริ่มสอบคัดเลือกประมาณ ก.ย.แต่ในปีการศึกษา 58 จะขยับไปในเดือน ม.ค.แทน
69 ความคิดเห็น
ผมขอเสนอวิธีการแก้ปัญหาการคัดเลือกนักเรียนเข้าสู่มหาวิทยาลัยครับ
หลายๆปัญหาที่ผมประสบเห็น ผมคิดว่า ณ ปัจจุบันเกิดจาก สทศ.ไม่สามารถทดสอบนักเรียนให้ตรงตามจุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยได้ พูดง่ายๆคือหลายๆมหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยกับระบบ Admission ของสทศ.ซักเท่าไหร่ จึ่งมีการ เปิดรับตรงด้วยตัวเองเพื่อคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาตามจุดประสงค์ของมหาวิทยาลัยนั้นๆ
คราวนี้.. ทางกระทรวศึกษาธิการเห็นว่าการเปิดรับตรงของมหาวิทยาลัยทำให้นักเรียนต้องไปวิ่งสอบ ซึ่งความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้บังคับให้นักเรียนสอบทุกที่ แต่นักเรียนก็อยากจะสอบติดใช่ไหมละครับ มีเปิดที่ไหนก็ต้องลองสอบ! และทำให้ต้องเรียนพิเศษเยอะขึ้นๆ และสนใจในห้องเรียนน้อยลง บวกกับนักเรียนหลายๆคนไม่เชื่อมั่นระบบ Admission ด้วย ก็เลยเกิดปัญหาในมุมมองของเขา (มุมมองของกระทรวงฯ) เลยต้องการ จัดให้มีแค่ Admission เท่านั้น และก็ใส่เกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในห้องเรียน เช่น O-NET, GPAX เป็นต้น แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่ดี
ทั้งสองฝ่ายก็ต้องการให้มีการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนมหาวิทยาลัยตรงตามจุดประสงค์ ผมคิดว่าเราก็ควรนำข้อดีของแต่ละฝ่ายมารวมกันนะครับ ในความคิดของผมเราต้องมีหลักในการวัดการสอบเข้าใหม่ คือ
1. ทดสอบด้วยข้อสอบวัดความรู้ (ทฤษฎีหรือปฎิบัตินั้นขึ้นอยู่กับคณะสาขาวิชา) 50-70% และทดสอบด้วยการสัมภาษณ์ 30-50%
2. นำผลการทดสอบระดับชาติและผลการเรียนในโรงเรียน เช่น O-NET, GPAX มาเป็นคะแนนเกณฑ์มาตรฐานในการมีสิทธิ์สอบเข้า หรือจะเป็นเกณฑ์การตัดสินในการสอบเข้าด้วยก็ได้
3. เมื่อมี 2 ข้อด้านบนแล้วให้ยกเลิก GAT-PAT และ 7 วิชาสามัญออก!!
ยกตัวอย่าง
การสอบเข้าคณะรัฐศาสตร์สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัย A
เกณฑ์มีสิทธิ์สอบเข้า
- GPAX ต้องไม่น้อยกว่า 2.50
- ผลการเรียนวิชาสังคม ภาษาไทย ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอื่นๆต้องไม่น้อยกว่า 2.5 ตลอด 6 ภาคเรียน
- O-NET คะแนนวิชาภาษาอังกฤษ ภาษาไทยและสังคมต้องมากกว่า 50 คะแนน
การทดสอบการสอบเข้า
- ข้อสอบทดสอบความรู้ด้านรัฐศาสตร์และข้อสอบทดสอบความรู้ด้านภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศได้ (เลือกภาษาสอบได้) 60 %
- การสอบสัมภาษณ์ 30 %
- คะแนน O-NET 3 วิชา(ไทย อังกฤษ สังคม) 10%
ประมาณนี้ครับ เอาเข้าจริงสามารถปรับเปลี่ยนตามที่เหมาะสมได้ ผมเพียงกำหนดมาให้เป็นแนวคิดเฉยๆครับ แบบนี้ก็จะทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการสอบตรง (ถึงจะลดไม่มากแต่ผมเชื่อว่าลดลงกว่าทุกวันนี้แน่ๆครับ) และคราวนี้ก็จะดึง O-NET ที่เป็นการทดสอบระดับชาติที่นักเรียนไม่เสียค่าใช้จ่ายมาเป็นประโยชน์แน่นอน และผมเชื่อว่าจะทำให้คนสนใจเรียนในห้องเรียนมากขึ้นครับเพราะเป็นการดึงให้คนเข้ามาเรียนในห้องมากขึ้น ทั้งสองฝ่ายระหว่างมหาวิทยาลัยกับทางกระทรวงศึกษาธิการก็จะ win win ทั้งคู่ครับ
ปัญหาที่ใช้วิธีนี้ก็ยังคงมีอยู่ครับ เช่น วันเวลาที่สอบ ความวุ่นวาย ฯลฯ ซึ่งตรงนี้ก็ต้องอาศัยการบริหารจัดการครับ น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ส่วนหนึ่ง
ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดของ #dek58 คนหนึ่งครับ 5555 ผมก็อยากสอบตรงติดมากกว่าไป Admission ครับ
พึ่งนึกออกครับ ขอเพิ่มเติมว่าวิธีนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับ "การปฎิรูปและปรับปรุงระบบการศึกษา" ใหม่ของประเทศเราด้วยครับ
ก็ดีนะ จะได้ไม่ต้องมาตามสอบ(รายจุดที่โรงเรียน)กันทีหลัง
ผมขอเสนอท่านรัฐมนตรีบ้างครับ
ผมขอให้ยุบ สทศ.ทิ้งเถอะครับ
ข้อสอบออกไม่ตรงบ้างละ พิมพ์ข้อสอบสลับกันจนต้องแจกคะแนนฟรีบ้างละ ยุบเถอะครับ เพื่อความก้าวหน้าของเด็กไทย
ดีฮะ
เปลี่ยนนู้นเปลี่ยนนี่จนเขางอกละ
7วิชาสามัญนี่อยากให้ เลิก
ค่าสอบทุกๆอย่างนี่อยากให้ ลด
บ้างนะ...
แล้วเด็ก 60 จะเป็นยังไงกันน้าาา

การที่ ศธ จะเอาเรื่องเวลาในห้องเรียนมาอ้างในกรณีนี้ มันก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ในเมื่อ สทศ เองก็ไม่สามารถให้เหตุผลได้ว่า ทำไมนักเรียนถึงต้องเข้าห้องเรียน?? ในเมื่อมันไม่จำเป็นสำหรับพวกเขาอีกแล้ว "สำหรับเกรด แค่พอผ่าน" การยกเลิกรับตรงเพื่อให้นักเรียนทุ่มเทเวลาในชั้นเรียนมากขึ้น? เพื่ออะไร?ในเมื่อคนเรียนสายสามัญทุกคนก็เรียนไปเื่อหวังเข้ามหาลัย ศธ เองต้องตอบเรื่องนี้ได้เสียก่อนครับ จะให้นักเรียนเข้าใจระบบอย่างเดียวไม่ได้ ระบบก็ต้องเข้าใจนักเรียนด้วย
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้มันเหมือนแต่ละองค์กรทำงานไปคนละทิศทางครับ การที่มหาลัยไม่ใช้ข้อสอบกลางของ สทศ ก็เป็นไปได้ในทางพฤตินัยว่า ข้อสอบนั้นไม่มีมาตรฐาน(ที่เพียงพอ) หรือแม้แต่กระทั่งไม่เห็นด้วยกับระบบแอดมิชชั่นของ ศธ เอง
จะให้มหาลัยเลิกรับตรงไปเลย ก็ไม่ได้ ได้แต่ขอความร่วมมือ นั่นคือ ศธ ไม่มีอำนาจ และ ทปอ ก็ออกมาบอกแล้วว่า มันเป็นดุลยพินิจของมหาลัย ทาง ศธ ไม่มีอำนาจในส่วนนี้ ในเมื่อมหาลัยต่างๆ ต่างก็ออกจากระบบของรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
ในจุดนี้สิ่งที่ทำได้คือ
๑. ศธ อย่าสร้างปัญหาครับ เพราะสิ่งที่เป็นอยู่และเหตุผลที่ ศธ เอามาอ้าง มันไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
๒.ระบบที่เป็นอยู่ดีอยู่แล้วครับ ถ้าจะแก้ก็ไปแก้ที่ "มาตรฐานและตัวชี้วัดคุณภาพของนักเรียน" ยกตัวอย่าง ข้อสอบ O-NET รร แต่ละแห่งมีการจัดการเรียนการสอนต่างกัน แม้ใช้หลักสูตรเดียวกัน ดังนั้น O-NET จึงไม่ได้พิสูจน์เลยว่า นักเรียนมีความรู้ความสามารถจริง หรือ นักเรียนแค่ตอบถูก เท่านั้นเอง!!
๓.สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ ตอนนี้คือ นโยบายที่ปฏิบัติไม่ได้ มันดูดี แต่มันไม่เป็นจริง ไม่เหมาะสม ไม่สามารถเอามาใช้ได้ เพราะแต่ละองค์กรต่างยึดว่า ฉันต้องการแบบนี้นะ มันต้องเป็นแบบนี้นะ สทศ ก็ว่าไปทาง ศธ ก็ว่าไปทาง ทางมหาลัยเอง ก็ว่าไปทาง ในทางเศรษฐศาสตร์เขาเรียกว่า ความสิ้นเปลืองเนื่องจากขนาด มันมีองค์กรแบบนี้มากไปนั่นเอง
๔. ถ้าต้องการพัฒนาคนจริงๆ ลดจำนวนการรีไทร์ การวิ่งรอกสอบ เปลี่ยนระบบแอดกลางที่เลือกคณะได้ เป็นระบบกลางที่มีข้อสอบเดียวที่ชี้วัดความสามารถของนักเรียนว่า บุคคลนี้มีความถนัดเช่นนี้ แล้วเลือกคณะและมหาลัยให้นักเรียนเองเถอะครับ โดยเกณฑ์การเลือกนั้น อาศัยคะแนนสอบว่า คุณมีความสามารถด้านไหนมาที่สุด ภูมิลำเนาคุณอยู่ที่ไหน และสภาพสังคมตอนนี้ต้องการแรงงานด้านนี้มากแค่ไหน ให้ระบบกลางเป็นแบบนี้ดีกว่า แล้วปล่อยให้รับตรงทำงานของมันต่อไปครับ
การสอบ บางครั้งก็ออกเกินหลักสูตรไป ซึ่งอาจจะไม่มีในบทเรียน อยากถามว่า ใช้มาตรฐานใดในการออกข้อสอบ??? ยกเลิกการสอบเถอะ GAT PAT อะ
เอาจริงๆ นะ รับตรงมันไม่ได้แพงขนาดนั้น ถ้าไม่อยากเสียเงินเยอะก็ตั้งใจสอบที่สองที่ แล้วให้ติดไปเลยสิ เราเป็นคนนึงที่อยากสอบรับตรงเยอะๆ เพราะสนามแรกๆ อาจจะไปลองข้อสอบ ถามว่าตั้งใจมั้ย? ต้องตั้งใจอยู่แล้ว ใครๆ ก็อยากมีที่เรียนทั้งนั้นล่ะ.
ปล. ปีหน้าเรา ม.6 ค่ะ โปรดเห็นใจกันด้วยนะ.