คำถามโหดหินที่ต้องตอบให้ได้
1) ทำไมถึงเลือกเรียนคณะนี้
อย่าเพิ่งแย้งว่าโหดตรงไหน คำถามนี้เหมือนเป็นคำถามเปิดประเด็น ถ้าตอบได้ดี คำถามต่อไปก็ราบรื่น แต่ถ้าตอบไม่ดี อาจจะโดนยิงคำถามเป็นชุดต่อเนื่องได้ ดังนั้นการตอบคำถามนี้เป็นการแสดงทัศนคติของเรา ที่จะปูทางสำหรับคำถามต่อๆ ไป น้องๆ หลายคนน่าจะเตรียมคำตอบไว้ว่า "อยากเรียน" "เป็นคณะในฝันตั้งแต่เด็ก"
คำตอบแนวนี้ถือว่าตอบได้ แต่ไม่ได้ดีที่สุด พี่มิ้นท์แนะนำว่าหากพูดประโยคเหล่านี้ไปแล้ว ควรจะมีเหตุผลมาเชื่อมโยงหรือแสดงถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากเรียน เพื่อเพิ่มความเป็นเหตุเป็นผลและทำให้เราดูมุ่งมั่นกับการเรียนคณะนี้จริงๆ เช่น "อยากเรียนมนุษย์ Eng ตั้งแต่ ม.4 แล้วค่ะ เพราะอยากเป็นแอร์โฮสเตส ก่อนหน้านี้เคยไปเที่ยวต่างประเทศ เห็นแอร์โฮสเตสพูดภาษาอังกฤษคล่อง ทั้งสวย ทั้งเก่ง ก็เลยใฝ่ฝันอยากจะเป็นบ้าง หนูก็เลยพยายามที่จะสอบเข้าที่นี่ให้ได้"
แค่หนึ่งประโยคที่ไม่ได้ยาวเท่าไหร่ แต่ก็สร้างความประทับใจให้กรรมการได้มากๆ ดีกว่าการตอบสั้นๆ แค่อยากเรียน หรือ ชอบค่ะ ซึ่งถ้าตอบแบบนี้มา อาจเจอคำถามไม่คาดคิดมาอีกเรื่อยๆ จนอาจทำให้จนมุมได้ ดังนั้นตอบให้ครบถ้วน ทุกประเด็น อาจารย์จะได้เปลี่ยนคำถามเร็วๆ ค่ะ
2) ทำไมถึงเลือกเรียนที่นี่
คำถามนี้อาจจะได้เจอในมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้โด่งดังมาก เพราะถ้าพูดกันตามตรงแล้ว ใครๆ ก็อยากเรียนสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับท็อปของประเทศอยู่แล้ว ดังนั้น อาจารย์เค้าอาจจะอยากรู้เหตุผลว่าทำไมเราถึงเลือกสถาบันของเค้า คำถามนี้เสี่ยงมากค่ะ ควรตอบแบบประนีประนอม อย่าตอบให้อาจารย์เคืองนะคะ เช่น "ก็ไม่ติดอันดับ1 อะค่ะอาจารย์ เลยได้อันดับ2" หรือ "เห็นที่นี่เปิดสอนแล้วคะแนนถึงก็เลยเลือก" เป็นต้น เพราะคำตอบแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเราไม่เห็นคุณค่าของสถาบันที่เราสอบติดเลย ระวังอาจารย์จะไม่เห็นคุณค่าของเรานะ
แล้วจะตอบอย่างไรให้โดนใจกรรมการ?? น้องๆ สามารถตอบให้ดูดี ด้วยการแสดงถึงความสำคัญของสถาบันนั้น เช่น "ตอนเลือกคณะได้ลองหาข้อมูลของคณะ... มหาลัยนี้แล้ว เห็นว่าหลักสูตรตรงกับที่อยากเรียน และที่นี่ก็มีชื่อเสียงในด้านนี้อยู่แล้วด้วย ที่สำคัญก็ชอบบรรยากาศของมหาลัย" เห็นมั้ยว่าการตอบแบบนี้มันก็ทำให้เราได้แสดงทัศนคติในเชิงบวกให้เกียรติกับสถาบันมากกว่าการตอบแบบแรกเยอะเลย จงตอบให้เห็นว่าถึงจะไม่ใช่อันดับ 1 แต่ก็เป็นคณะ/สถาบัน ที่เราตั้งใจเลือกมาเหมือนกัน ดังนั้น สิ่งหนึ่งที่อยากฝากน้องๆ ก็คือ ถึงเราจะไม่ได้ติดอันดับ 1 ก็ตาม แต่อันดับ 2 3 4 ก็มีความสำคัญ ทุกที่ผลิตบัณฑิตได้มีคุณภาพทั้งหมด จงภูมิใจที่เราสามารถฝ่าฝันจนได้เรียนในคณะเหล่านั้นนะคะ
3) รู้มั้ยว่าคณะนี้เรียนอะไร??
น้องๆ อาจจะสงสัยว่าอาจารย์จะถามคำถามนี้ทำไม ยังไม่เข้าไปเรียน จะไปรู้ได้ยังไงว่าเรียนอะไรบ้าง!! อาจารย์ไม่ได้ก่อกวนเราค่ะน้องๆ แต่คำถามนี้เช็คความพร้อม การเตรียมตัวของเรา เพื่อดูว่าได้หาข้อมูลมาบ้างมั้ย ซึ่งแน่นอนว่าทางออกสำหรับคำถามนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าเข้าเว็บไซต์ของคณะ แล้วดาวน์โหลดหลักสูตรของคณะมาอ่านคร่าวๆ ว่ามีวิชาเรียนอะไรบ้างก็พอ คือ ไม่ต้องถึงขนาดท่องทุกวิชา บางทีสรุปออกมาเป็นประโยคสองประโยค อาจารย์ก็รู้แล้วว่าเราทำการบ้านมาดี แบบนี้เตรียมตัวเป็นศิษย์รักของอาจารย์ได้เลย
สิ่งต้องห้ามสำหรับคำถามนี้ คือ ตอบว่า "ไม่ทราบค่ะ" นอกจากจะดูเหมือนไม่ใส่ใจแล้ว ยังดูเป็นคนที่ไม่มีความพยายาม ถ้ามีไหวพริบพอ น้องๆ อาจจะสังเกตจากชื่อคณะหรือสาขาที่ตัวเองเรียน แล้วตอบไป หรือ ตอบกลางๆ ว่า "เท่าที่ทราบมา เรียนเกี่ยวกับ...." ก็ได้ค่ะ
4) จะเรียนไหวหรอ??
กรี๊ดๆ ธรรมดาแค่ตอนเลือกคณะก็คิดหนักอยู่แล้วว่าจะเรียนไหวมั้ย พอมาเจออาจารย์ถามแบบนี้อีก ยิ่งตอกย้ำว่ามันยากแน่ๆ!! พี่มิ้นท์ ขอเตือนว่าอย่าเพิ่งคิดมากค่ะ การเรียนในมหาลัยไมได้ยากอย่างที่คิดนะคะ คำนี้เป็นคำถามเชิงวัดใจเท่านั้น ถ้าเราเรียนไม่ไหว เราก็คงเข้ามายืนอยู่ตรงจุดนี้ไม่ได้หรอกจริงมั้ย??
ทางเลือกของการตอบคำถามนี้มีไม่มาก ขอให้น้องๆ ตอบไปด้วยความมั่นใจเลยว่า "ไหวค่ะ ไหวแน่นอน ได้เข้ามาเรียนคณะในฝันแล้ว ก็ต้องทำให้เต็มที่ สมกับที่รอมานานค่ะ" กรรมการได้ฟังแค่นี้ก็ยิ้มแก้มแทบปริแล้ว อย่าไปตอบเชียวนะว่า "ไหวมั้งคะ" / "น่าจะไหวค่ะ" พร้อมกับยิ้มแหะๆ 3 ที แบบนี้กรรมการอาจจะหัวเราะ หึหึ กลับมาใส่ได้
5) เคยทำกิจกรรมมาก่อนมั้ย/ มาเรียนที่นี่จะทำกิจกรรมอะไรบ้าง
ใครที่ทำกิจกรรมมานับไม่ถ้วน คงสบายใจสำหรับคำถามนี้ แต่คนที่ไม่เคยทำอะไรมาเลยอาจขนลุกซู่ แล้วอุทานเบาๆ ว่า แย่แล้วเรา!! ตั้งสติและอย่าเพิ่งตกใจค่ะ คำถามนี้ไม่ได้ทำให้ใครตกสัมภาษณ์แน่นอน เค้าแค่ต้องการเช็คพฤติกรรมสมัยเรียน ว่ามีการทำงานร่วมกับผู้อื่นหรือไม่ รวมถึงการมีใจเป็นจิตอาสาของเรา ซึ่งในคำถามแรกที่ถามว่าเคยทำกิจกรรมอะไรมาก่อนมั้ย ถ้าไม่เคยทำเป็นชิ้นเป็นอันอย่างไปประกวดแข่งขันต่างๆ น้องๆ ก็สามารถหยิบยกงานเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้าไปมีส่วนร่วมก็ได้ เช่น งานกีฬาสีเคยเป็นสตาฟ นั่งทำพร็อพ แม้กระทั่งวิ่งไล่จับเด็กขึ้นแสตนด์ก็เอามาพูดได้
นอกจากนี้น้องๆ ก็ควรแสดงเจตนาอันแน่วแน่ไปว่า ถ้าได้เรียนในมหาลัยแล้ว จะช่วยทำกิจกรรมเต็มที่ เพราะถ้าเราไม่ชิงพูดแบบนี้ไปก่อน อาจารย์ก็จะถามกลับมาว่า แล้วเรียนมหาลัยจะทำกิจกรรมไหวหรอ กิจกรรมเยอะนะ เป็นต้น จริงๆ แล้ว การที่อาจารย์จะพูดถึงกิจกรรมเยอะก็ไม่แปลก เพราะในระดับมหาลัย กิจกรรมเยอะกว่ามัธยมแน่นอน ทั้งงานสาขา งานคณะ งานมหาลัย เช่น งานรับน้อง งานวันไหว้ครู กีฬาเฟรชชี่ งานประกวดต่างๆ เพียงแต่กิจกรรมเหล่านี้อาจจะไม่ได้บังคับเหมือนมัธยม ดังนั้นการให้ความร่วมมือเข้าร่วม ส่วนหนึ่งมันคือ จิตอาสาที่อาจารย์จะประเมินจากคำตอบของเราได้นั่นเอง ดังนั้นอยากให้อาจารย์ประทับใจ ต้องตอบยังไง น้องๆ น่าจะเลือกถูกแล้วนะคะ
6) ถ้าตกสัมภาษณ์จะทำยังไง
ได้ยินคำถามนี้ อย่าเพิ่งร้องไห้ค่ะ กรรมการไม่ได้มีเจตนาขู่แต่อย่างใด เค้าถามเพื่อวัด EQ ว่ามีทนต่อแรงกดดันได้มากแค่ไหน ซึ่งเราต้องโชว์พลังความแข็งแกร่งออกไปให้เห็นให้ได้ว่าถ้าตกสัมภาษณ์ก็ไม่เป็นไร เราทำดีที่สุดแล้ว โดยอาจจะตอบกลับไปว่า "ถ้าตกสัมภาษณ์ที่นี่จริงๆ ก็คงจะปรึกษาพ่อแม่ แล้วหาม.เอกชน หรือ รับตรงที่เปิดรอบสมทบค่ะ" การตอบแบบนี้นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงการจัดการกับอารมณ์ที่ดีแล้ว ก็ยังทำให้เห็นถึงความคิดชั้นเยี่ยมที่มีการวางแผนไว้อย่างดีด้วย ตรงกันข้าม หากกรีดร้อง เสียสติ ชี้หน้าด่ากรรมการ ก็คงได้โบกมือบ๊ายบายกันจริงๆ
พี่มิ้นท์ ถึงย้ำเสมอว่า การสอบสัมภาษณ์ในรอบแอดมิชชั่นกลางนั้น ถ้าไม่เสียสติ จิตวิปริต จริงๆ ก็ไม่มีใครตกสัมภาษณ์ ดังนั้นทำตัวให้เป็นธรรมชาติ ไม่ประมาท และหายใจเข้าลึกๆ ระงับอาการตื่นเต้น ก็ช่วยได้ดีทีเดียว ที่สำคัญ คือ ถ้าคำถามไหนที่ตอบยากหรือต้องใช้เวลาคิด ก็ยิ้มไว้ก่อนนะคะ สร้างความมั่นใจให้ตัวเองก่อน คำตอบที่ออกมาจะได้เพอร์เฟ็ค :)
นอกจากคำถามหินๆ เหล่านี้แล้ว คำถามอื่นก็ไม่มีอะไรมาก เรียกว่า นั่งคุยกันแบบสบายๆ เช่น ถามเรื่องครอบครัว งานอดิเรก ความสนใจส่วนตัว ฯลฯ เพราะในวันนั้นเราก็ได้ก้าวเข้าไปเป็นศิษย์ของคณะนั้นเกินครึ่งตัวแล้ว อาจารย์ก็อยากรู้จักเราเป็นธรรมดาค่ะ ดีไม่ดี ตอบแบบประทับใจมากๆ เปิดเทอมมา อาจารย์ก็จะจำเราได้ด้วยนะ
เอาล่ะค่ะ แนะนำกันไปค่อนข้างเยอะแล้ว พี่มิ้นท์ขอเพิ่มเติมเคล็ดลับที่ควรนำไปใช้ในวันสัมภาษณ์ด้วย ไปดูกันเลย
สิ่งที่ควรทำ และสิ่งที่ไม่ควรทำในการสอบสัมภาษณ์ เข้ามหาวิทยาลัย
Do...
- แต่งกายให้สะอาด เรียบร้อย
- มัดผมให้เรียบร้อย(สำหรับผู้หญิง) ไม่ต้องถึงกับมัดแน่นเปิดเหม่ง เอาแค่ไม่มีผมร่วงหลุดรุ่มร่ามก็พอค่ะ
- ส่วนผู้ชายไว้รองทรงได้ แต่อย่ามาแบบรากไทร หรือทรงแฟชั่นเกินไปค่ะ
- ยิ้มเยอะๆ รอยยิ้มไม่ใช่แค่สร้างเพื่อน แต่ยังสร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับอาจารย์ด้วย
- เตรียมเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ให้ครบ
- พูดจาฉะฉาน
- สบตากรรมการ ปิ๊งๆ
- ปิดโทรศัพท์มือถือก่อนเข้าห้องสัมภาษณ์
- ทักทายด้วยการไหว้ทั้งตอนเข้าห้องและออกห้องสัมภาษณ์
- ตอบให้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องตอบแบบนางสาวไทย
- ติดตามข่าวสารบ้าง
Don't...
- ขณะตอบคำถามอย่ามองพื้นหรือหาจิ้งจก ทำให้เราดูเป็นคนขาดความมั่นใจ
- อย่าถามคำตอบคำ
- อย่า "แร๊ง" ใส่อาจารย์ ทั้งทางคำพูด หรือ กิริยาท่าทาง
- ร้องไห้ การร้องไห้โชว์ไม่ได้เรียกความน่าสงสารนะ อาจารย์อาจจะงงว่าเป็นอะไรมากปะ?? ดังนั้นอย่าร้องไห้เด็ดขาด
- ทำสีผมฉูดฉาด ถึงแม้ว่าเรียนในมหาลัยจะอิสระมากขึ้น แต่งตัวได้มากขึ้น แต่การนำแฟชั่นตั้งแต่สอบสัมภาษณ์ อาจถูกเพ่งเล็งตอนเปิดเทอมได้
คำถามชวนสงสัย
1) ในกำหนดการบอกรับแค่ 20 แต่เรียกสัมภาษณ์ 30 จะตัดออกมั้ย
ในรอบรับตรงมีตัดออกแน่นอน แต่ในรอบแอดมิชชั่น พี่มิ้นท์ ค่อนข้างมั่นใจ 99.99% ว่าไม่มีการตัดออกค่ะ เพราะตามสถิติแล้ว รอบแอดมิชชั่นกลางเป็นการคัดเลือกนักศึกษารอบใหญ่ที่สุด การแข่งขันจะสิ้นสุดในวันประกาศผลหากประกาศติดที่ไหนแล้ว ก็คือติดที่นั่น การสัมภาษณ์เป็นแค่การทำความรู้จักกัน ระหว่าง อาจารย์-ลูกศิษย์-รุ่นพี่ ไม่มีการคัดออกรอบสัมภาษณ์อีก นอกจากว่าจิตไม่ปกติค่ะ
ส่วนที่รับเกินมานั้น อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีการสละสิทธิ์ในรอบรับตรง แต่ทางมหาลัยอัพเดทในระเบียบการไม่ทัน จึงมีจำนวนน้อยกว่าที่รับจริง หรือ คะแนนของผู้สมัครเท่ากันหลายคน และศักยภาพการจัดการเรียนการสอนของมหาลัยรองรับได้ จึงรับหมด
2) ไม่ทำ Portfolio เป็นอะไรมั้ย
เป็นคำถามที่ พี่มิ้นท์ ตอบในทวิตเตอร์จนเมื่อยมือ หากถามในรอบรับตรงคงตอบว่า "เป็น" แต่สำหรับรอบแอดมิชชั่นกลาง ต้องตอบว่า "ไม่เป็นไร" อย่างที่บอกค่ะ ในรอบนี้เน้นที่การทำความรู้จักกัน ผ่านการพูดคุยมากกว่า ส่วน Portfolio เป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่เพิ่มออร่าให้ตัวเองโดดเด้งขึ้นมา แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้เสียหายอะไร ซึ่งสุดท้ายแล้วน้องๆ จะ "ทำ" หรือ "ไม่ทำ" ก็ได้ บางคนมีประกาศนียบัตร ชั่งกิโลขายได้หลายร้อยบาท ไม่ได้ทำพอร์ตไปก็สอบผ่านอยู่ดี ดังนั้น ย้ำอีกทีว่า ไม่ซีเรียสค่ะ
ร่ายยาวเป็นมหากาพย์เลย สำหรับบทความนี้ ก็หวังว่าน้องๆ น่าจะได้เคล็ดลับในการเตรียมตัวสอบสัมภาษณ์กันไปพอสมควร ซึ่งนอกจากที่พูดมาทั้งหมดนี้แล้ว น้องๆ ควรพกความมั่นใจเข้าไปเยอะๆ ด้วยนะคะ และก่อนวันสัมภาษณ์ก็พักผ่อนให้มากๆ หน้าตาจะได้แจ่มใส สดชื่นๆ
การตอบสัมภาษณ์ไม่มีถูกไม่มีผิดนะคะ น้องๆ อาจจะไม่ต้องตอบแบบนี้ทุกคนก็ได้ ขอแค่คำตอบเหล่านั้นแสดงความเป็นตัวของตัวเอง จริงใจ และให้เค้าเห็นว่าเราภูมิใจที่ได้เป็นลูกศิษย์ของที่นั่น แค่นี้ก็สร้างความประทับใจให้กับกรรมการสุดๆ แล้ว พี่มิ้นท์ เชื่อว่าน้องๆ หลายคนน่าจะมีวาทศิลป์ดีกว่าพี่มิ้นท์อีกนะ :) ขอให้วันสอบสัมภาษณ์เป็นวันดีๆ สำหรับทุกคนเลยนะ สู้ๆ
แล้วอย่าลืม! พบกับ แอดมิชชั่น เดลิเวอรี่ ได้ใหม่พรุ่งนี้ ที่เว็บเด็กดีแห่งนี้ครับ ^_^
69 ความคิดเห็น
ช่วงสอบสัมภาษณ์หลายคนอาจกดดันพูดผิดพูดถูก ในความจริงแล้วแค่พูดคุยในระดับปกติก็พอแล้วครับ คิดซะว่าคุยกับผู้ใหญ่ที่เพิ่งรู้จักกัน
ขอบคุณมากๆค่ะ พี่คะเค้าจะมีถามความรู้ม.ปลายมั๊ยอ่ะ แบบติดทางวิทย์วุขภาพก็จะถามชีวะไรงี้มั๊ยอ่ะคะ
บางมหาลัยจะไม่ชอบให้บอกว่าเพราะมหาลัยบรรยากาศดีนะคะ เช่นมหาลัยแม่ฟ้าหลวงค่ะ เพื่อนเราไปสัมภาษณ์มา #เด็ก58
ไปสอบสัมภาษณ์รับตรงมา มาบอกเลยว่า "เราเอาแฟ้มสะสมงานไปเพื่อใคร" เงิบเลยอาจารย์ไม่สนใจสักนิดเลย 555+![หวาา](/assets/article/images/sticker/bb-07.png)
ขอบคุนสำหรับคำแนะนำนะค่ะ พร้อมแล้วค่ะ พร้อมแล้ววว
เกือบทุกคำถามเราเจอมาหมดค่ะ เราไปสัมภาษณ์มาทั้งหมด 4ที่ 4มหาลัยค่ะ เเต่ละมหาลัย คำถามจะไกล้เคียงกัน ตอนนี้เราติด ม.สงขลา นคริทร์ คณะ มนุษย์ เอก ญี่ปุ่น ถามเเนวนี้หมดเลย เราสัมภาษณ์มา 4ที่ ติดทุกที่ บางคนคิดว่า สอบติดเเล้ว สัมภาษณ์ยังไงก็ติด คิดผิดมาก ทุกการสอบเราอย่าชะล่าใจค่ะ มหาลัยไม่ได้รับหมด เราหาข้อมูลจากเด็กดี ทำให้เราได้รู้ทักษะการตอบคำถาม เวลาสอบสัมภาษณ์เราไม่เกร็ง ไม่ตื่นเต้นเลยค่ะ พูดกับอาจารย์เหมือนคนรู้จักกันเลย เพื่อนๆคนไหนที่เห็น ที่อ่านคอมเม้นนี้ เราอยากให้เพื่อนๆ อ่านเนื้อหาข้างบนให้จบนะคะ มีประโยชน์มาก จากเด็ก58
ขอบคุณค่ะ![เยี่ยม](/assets/article/images/sticker/bb-01.png)
คือการเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่วัยทำงาน เมือเรียนจบ แล้วหางานทำกับบริษัท ก็ราว ๆ นี้แหละ ปล. แต่ไม่ค่อยที่ต้องตอบแบบไม่ตรงตามใจจริงที่คิดนะ ต้องตอบให้ถูกใจคนสัมภาษณ์
ของเราไปสัมภาษณ์รอบรับตรงมาบอกเลยความมั่นใจในตัวเองต้องมีสูงมากๆบวกกับความกล้าแสดงออก ตอนเราเดินเข้าห้องไปเราก็ยกมือไหว้ อ. ถามว่า 'นี่เข้ามาทำไม' เงิบจ๊ะ.. สตั้นสิบวิก่อนจะพูดว่า มาสอบสัมภาษณ์ค่ะ แต่บรรยากาศไม่เครียดนะ เพราะหลังจากตอบอาจารย์ให้เราแสดงความสามารถพิเศษเลย แฟ้มผลงานนี่เปิดแบบผ่านๆสุดๆ ที่เราคิดเราว่าสอบสัมภาษณ์เขาต้องการดูความเป็นตัวเรา แล้วก็ความมั่นใจ
ปล.อาจเป็นเพราะของเราเป็นสายอาร์ตเลยไม่เครียดเท่าไหร่มั้ง
ไปสัมภาษณ์เอกวรรณคดีมก.มาค่ะ เจออาจารย์ถามว่า เคยอ่านวรรณคดีอะไรมาบ้าง คือ ณ จุดนั้นอยากบอกอาจารย์มากว่า หนูอ่านเท่าที่หนังสือเรียนมีมาให้ค่ะ แต่รู้ว่าตอบแบนั้นไม่ได้ก็เลยหลุดปากไปว่า "สามก๊กค่ะ" // นอนตาย ขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ คือที่อ่านก็อ่านค่ะ แต่อ่านแบบฉบับการ์ตูนนะคะ