"หลายคนโชคดีที่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร แต่หลายคนโชคดีกว่า ที่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไรแล้วได้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการ" สวัสดีค่ะน้องๆ Dek-D พี่อีฟขอเริ่มต้นประโยคที่น้องๆ หลายคน น่าจะคิดเหมือนกันกับพี่อีฟ ว่าการที่เรารู้ว่าตัวเองเหมาะกับการเรียนอะไร คณะไหน นี่เป็นคนที่โชคดีจริงๆเลยนะคะ แต่ถ้าคนไหนที่นอกจากจะรู้ตัวแล้ว ยังสามารถได้เรียนอย่างที่ตัวเองต้องการได้ นี่ถือว่าเป็นคนที่โชคดีที่สุดเลยค่ะ
การที่ได้เรียนคณะที่เหมาะกับเราจริงๆ นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญนะคะ เพราะทักษะและความรู้ที่เราได้รับจากการเรียน ไม่ได้อยู่กับเราแค่ 4-6 ปีที่เรียน แต่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต หลายคนคงมีคำตอบในใจแล้วว่าจะมุ่งไปในทางไหน แต่มีอีกหลายคนที่ยังรู้สึกสับสน ไม่มีจุดมุ่งหมาย หาตัวเองยังไม่เจอ เวลาใครถาม ว่าอยากเรียนคณะไหน ก็ยังตอบไม่ได้สักที
การที่ได้เรียนคณะที่เหมาะกับเราจริงๆ นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญนะคะ เพราะทักษะและความรู้ที่เราได้รับจากการเรียน ไม่ได้อยู่กับเราแค่ 4-6 ปีที่เรียน แต่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต หลายคนคงมีคำตอบในใจแล้วว่าจะมุ่งไปในทางไหน แต่มีอีกหลายคนที่ยังรู้สึกสับสน ไม่มีจุดมุ่งหมาย หาตัวเองยังไม่เจอ เวลาใครถาม ว่าอยากเรียนคณะไหน ก็ยังตอบไม่ได้สักที
วันนี้พี่อีฟเลยมีเทคนิคในการค้นหาตัวเอง สำหรับน้องๆ อีกหลายคนที่ยังไม่มีคำตอบนี้ให้กับตัวเอง ว่าตัวเราเหมาะหรือไม่เหมาะกับคณะไหน เพราะถ้ารู้ตัวว่าเราเหมาะหรือไม่เหมาะ ก็จะได้ไม่เสียใจและเสียเวลานั่นเองค่ะ บางทีอาจจะต้องใช้เวลาในการค้นหาตัวเอง เริ่มทำตอนนี้ก็ยังไม่สายนะคะ ลองทำตามกันได้เลยค่ะ
1. เรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง
อย่างแรกที่พี่อีฟ อยากจะแนะนำน้องๆ ทุกคนเลยนะคะ คือการเป็นตัวของตัวเอง ชัดเจนในสิ่งที่เราชอบและไม่ชอบ และไม่ปฏิเสธสิ่งที่เป็นตัวเรา เพราะไม่ว่าทำอะไรก็ตาม หากได้ทำสิ่งที่ชอบและถนัดจะทำให้ทำสิ่งนั้นได้ดีเสมอ ความชอบและความสามารถพิเศษของเราสามารถต่อยอดได้ทั้งการเรียนและการทำงานเลยนะคะ บางอย่างที่คนอื่นมองว่าไร้สาระ แต่อาจช่วยให้คนๆ นั้นได้เรียนในสิ่งที่เค้าชอบและมีความสุข แถมยังได้ทำงานที่ตัวเองรักอีกด้วย พี่อีฟขอยกตัวอย่างให้ดูนะคะ เช่น
ธิดา ชอบร้องเพลงมาก ซึ่งตอนเด็กๆ เสียงก็ยังไม่เพราะ เพื่อนๆ ก็ไม่อยากฟัง และบอกให้เธอเลิกร้องเพลง แต่ด้วยความชอบ เธอจึงฝึกหัดและพัฒนาตนเองอยู่เสมอ สุดท้าย เธอรู้ว่า เธอมีความสุขกับเสียงเพลง และเหมาะที่จะเรียนในคณะดุริยางคศาสตร์ เพื่อจะได้จบมาเป็นนักร้องที่ตนเองชอบ
ถ้าเราเป็นตัวของตัวเอง ยืนยันในสิ่งที่ตัวเองรัก เอาคำพูด คำวิจารณ์ของคนอื่นมาเป็นแรงผลักดัน พี่อีฟเชื่อว่า น้องๆ จะเจอคณะที่เหมาะกับน้องๆ แน่นอนค่ะ
2. หาสิ่งที่ทำให้ตัวเองตื่นเต้น
สำหรับบางคนแค่ความชอบกับความถนัดอาจจะไม่เพียงพอ ที่จะทำให้รู้ว่าตัวเองอยากเข้าคณะไหน พี่อีฟขอแนะนำอีกวิธีคือ ควรหาสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ทำ ความตื่นเต้นที่พี่อีฟหมายถึง คือหาสิ่งที่ทำให้เรามีแรงกระตุ้นที่อยากจะเรียนหรืออยากจะทำ เช่น ตอนเรียนมัธยม รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เรียนวิชาพลศึกษา เพราะได้ทำอะไรใหม่ๆ ได้ทำกิจกรรมที่เคลื่อนไหวร่างกาย ได้เล่นกีฬา ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถบอกได้ว่าน้องๆ จะมีแรงกระตุ้นและมีความรู้สึกอยากที่จะทำสิ่งนั้นๆ ทุกครั้ง น้องๆ อาจจะพบว่าตัวเองเหมาะที่จะเข้าเรียน คณะที่เกี่ยวกับการได้ทำกิจกรรมหรืองานที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเหล่านี้ แต่ถ้าหากใครพบว่าตัวเองไม่มีความตื่นเต้นที่จะทำอะไรเลย ใช้ชีวิตเรื่อยๆ เหมือนเส้นตรง อาจจะเป็นเพราะว่าน้องๆ อยู่ในสิ่งเดิมๆ ถ้าหากลองเปลี่ยนชีวิตประจำวัน เช่น เปลี่ยนทางกลับบ้าน เปลี่ยนพาหนะการเดินทาง หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนงานอดิเรกที่ทำ ก็จะช่วยให้น้องๆ ค้นพบสิ่งแปลกใหม่ที่อาจสร้างแรงกระตุ้นได้ค่ะ
3. สำรวจตัวเอง
พี่โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ (บรรณาธิการนิตยสาร a day) เคยให้สัมภาษณ์ในงาน 'จบแล้วไปไหน' ที่ ม.สงขลานครินทร์ เกี่ยวกับการค้นหาตัวเองว่า พี่โหน่งค้นพบตัวเองโดยการนั่งคุยกับตัวเอง ว่าชอบ หรือไม่ชอบอะไร มีความฝันอะไร และนำกระดาษมาหนึ่งแผ่น ฝั่งซ้ายเขียนสิ่งที่ชอบ อยากทำ มีทักษะความสามารถ อยากอยู่กับมันไปนานๆ และฝั่งขวาเขียนสิ่งที่ตรงข้ามกัน เขียนสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่อยากทำ อ่อนทักษะความสามารถ หลังจากเขียนเต็มทั้งสองฝั่ง พี่โหน่งก็พบว่า ตนเองชอบอ่านและเขียนหนังสือ ชอบเดินทาง ชอบพบปะผู้คน ชอบอะไรที่สร้างสรรค์ ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ส่วนฝั่งขวาพบว่าตัวเองไม่ชอบงานประจำ ไม่ชอบงานที่แต่งตัวผูกไทใส่สูท และพบว่ามีสองอาชีพที่ทำได้คือ บรรณรักษ์ห้องสมุด และทำงานหนังสือ สุดท้ายพี่โหน่งเลือกทำงานหนังสือ เพราะตรงกับตัวตนมากกว่า จึงเขียนจดหมายไปสมัครงาน แล้วก็ได้ทำงานหนังสืออย่างที่ตั้งใจ และประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้
เห็นรึเปล่าคะ ถ้าน้องๆ ลองค้นหา มีเวลาสำรวจตัวเอง ก็จะทำให้เราเลือกได้ว่าอะไรเหมาะ หรือไม่เหมาะกับเรา เพราะถ้าได้ทำ ได้เรียนในสิ่งที่เราชอบ เหมาะกับเรา เราจะทำได้ดีแน่นอนค่ะ
4. เลิกตามใคร
อย่างที่พี่อีฟบอกนะคะว่า นี่เป็นการ "ค้นหาตัวเอง" ดังนั้นพี่อีฟอยากให้น้องๆ เชื่อในตัวเอง ไม่เลือกหรือตัดสินใจตามเพื่อนหรือตามใคร พี่อีฟเห็นหลายคนเลยนะคะ ที่เลือกคณะแค่เพราะว่า มีเพื่อนเรียน แต่ถามว่านั่น ใช่สิ่งที่น้องๆ ชอบจริงๆ รึเปล่า ถ้าไม่ใช่ แบบนั้นจะทำให้เราเสียดายทั้งเวลาที่ต้องเรียนในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ และเสียใจที่ไม่มีโอกาสได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบนะคะ ส่วนใครที่กลัวว่า เข้ามหาวิทยาลัยมาแล้วจะไม่มีเพื่อน ขอให้น้องๆ เลิกกังวลไปได้เลยนะคะ ในมหาวิทยาลัยเป็นการเริ่มต้นใหม่ สำหรับทุกคน เป็นโอกาสดีเลยนะคะ ที่เราจะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนคนอื่นๆ และกิจกรรมที่มีมากมายในมหาวิทยาลัย ก็จะทำให้น้องๆ ได้มีส่วนร่วมในการทำงานหรือพูดคุยกับเพื่อนคนอื่นๆ แน่นอนค่ะ
5. ทำแบบทดสอบ
น้องๆ หลายคนคงเคยเล่นแบบทดสอบทายใจของ Dek-d เป็นประจำเลยใช่ไหมคะ เป็นยังไงกันบ้าง แม่นมากเลยใช่ไหมคะ แบบทดสอบส่วนมาก จะทำนายลักษณะนิสัยหรือบุคลิกภาพของเราได้ ซึ่งบุคลิกของน้องๆ สามารถทำนายได้ว่า น้องๆ เหมาะหรือไม่เหมาะกับอาชีพอะไร เช่น บุคลิกเงียบขรึมหรือร่าเริง บุคลิกที่มีความเป็นผู้นำ เป็นต้น โดยจะมีแบบวัดที่สามารถเชื่อถือได้มากมาย เช่น แบบวัดความถนัดทางอาชีพ ของกรมแรงงาน , แบบสังเกตบุคลิกภาพ ตามทฤษฎีการเลือกอาชีพของฮอลแลนด์ (John L. Holland) เป็นต้น ซึ่งน้องๆ สามารถใช้ผลแบบทดสอบเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเลือกคณะที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับน้องๆ ได้ค่ะ
6. ศึกษาวิชาเรียนของแต่ละคณะ
อีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการที่จะรู้ว่าตัวเราเหมาะหรือไม่เหมาะกับคณะไหนนั้น คือเราควรศึกษาวิชาเรียนของคณะที่เราสนใจ ว่ามีวิชาเรียนอะไรบ้าง เราชอบรึเปล่า แต่ละมหาวิทยาลัยมีวิชาเรียนแตกต่างกันยังไง พี่อีฟจะขอยกตัวอย่างนะคะ เช่น ถ้าน้องๆ สนใจเรียนเกี่ยวกับอาหาร แล้วพบว่าตนเองสนใจสองคณะ ระหว่างคณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สาขาเทคโนโลยีอาหาร และคณะอุตสาหกรรมเกษตร ภาควิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางอาหาร มันแตกต่างกันยังไง? จะเลือกอะไรดีคะ? เห็นไหมคะ ว่าการที่จะช่วยให้เราจะตัดสินใจได้ว่าเราเหมาะหรือไม่เหมาะกับคณะไหน การศึกษาวิชาเรียนของแต่ละคณะ สามารถช่วยน้องๆ ได้มากเลยค่ะ น้องๆ จะได้รู้ว่าคณะที่เราสนใจ มีวิชาที่เราอยากเรียนรู้จริงๆ รึเปล่า เข้าไปแล้วจะได้มีความสุขกับคณะและวิชาที่ตัวเองชอบค่ะ
เป็นไงกันบ้างคะกับ 6 เทคนิคที่พี่อีฟนำมาฝาก ไม่ยากเกินไปสำหรับน้องๆ ทุกคนเลยใช่ไหมคะ นอกจากนี้น้องๆ ยังสามารถปรึกษาพ่อแม่ คุณครูแนะแนวที่โรงเรียนได้นะคะ หรือนี่เลยค่ะ ! น้องๆ สามารถหาข้อมูลจากเว็บไซต์ Dek-D.com ของเราได้เลย
การค้นหาตัวเองว่าเหมาะสมกับคณะไหน ไม่ใช่สิ่งสุดท้ายในชีวิตของน้องๆ นะคะ ถ้าเรียนไปแล้วไม่ใช่ เริ่มต้นใหม่ก็ยังไม่สายค่ะ แต่ถ้าเรียนไปแล้วมีความสุข ไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นใหม่ ก็ดีกว่าใช่ไหมคะ ขอให้น้องๆ ทุกคน ค้นหาตัวเองให้เจอนะคะ เพราะพี่อีฟเชื่อว่า "คนที่โชคดีคือที่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไร แต่คนโชคดีกว่า คือคนที่รู้ว่าตัวเองเหมาะกับอะไรแล้วได้ทำอย่างที่ตัวเองต้องการ" สวัสดีค่ะ
23 ความคิดเห็น
ขอบคุณนะคะ จะลองไปปรับใช้ดู ^^
เราชอบเต้นอ่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียนคณะไหนดี ใครรู้ตอบที่
แนะนำอีกอย่างให้ลองไปค่ายคณะที่เพื่อนๆสนใจนะคะ เราคิดมาตลอดว่าอยากเรียนวิศวะ แต่พอมาค่ายจริงๆ รู้ว่าเค้าเรียนยังไง ทำอะไรบ้าง เราก็รู้สึกได้เลยว่าไม่ใช่ตัวเราเลย T_T ดีนะคะที่ตัดสินใจมาค่าย
ถึงจะค้นพบว่าตัวเองชอบอะไร แต่ถ้าครอบครัวไม่ยอมรับ ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี:(
ชอบอะไรยังไม่รู้เลย เครียดเลยเรา นี่ก็ม.5แล้ว
อยากไปทางสายศิลป์มากเลยอ่าคะ แต่เหมือนทางบ้านไม่ค่อยสนับสนุน เครียดจนจุกเหมือนจะร้องไห้ทุกครั้งที่คิดมันตันไปหมด ใจเราไม่อยากจะเข้าใกล้คณิตกับอังกฤษ เราชอบวาดๆเขียนๆ มันทำให้เราสงบอ่ะไม่รู้ใครเป็นเหมือนเราไหมนะ? 555555 แค่ได้วาดอะไรสักอย่างลงไปมันโอเคทุกอย่าง ม.6 มันเครียดมันกดดันมากค่ะ เรากลัวว่าเราเลือกศิลปกรรมสาขาออกแบบนิเทศศิลป์แล้วเราจะไม่รอดเรากลัวไปหมดกลัวซิ่วกลัวเรียนไม่ไหวกลัวสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ เราก็แค่อยากเรียนเราอยากไปทางนี้ถึงแม้ว่าการวาดรูปของเราจะมองรูปของคนอื่นมาอีกทีก็เถอะค่ะ
อยากเรียนคณะนิติศาสตร์ การเมืองการปกครอง
ไม่อยากเรียนคณะรัฐศาสตร์ การบริหารระหว่างประเทศ