สวัสดีครับ "ถ้ายังรัก ก็ต้องยังไหว" เพราะพี่คนนี้รักที่จะเรียนในคณะแพทยศาสตร์จริงๆ เลยยังไหวในการตามฝัน จากเด็กบ้านนอก ถีบตัวเองจนเรียนจบ ป.โท แต่ยอมหยุดเส้นทางอนาคต ป.โท ของตัวเอง เพื่อมาเริ่มนับ 1 ใหม่ เพื่อตามฝันสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์
พี่ลาเต้ กำลังพูดถึง "พี่โอ๋" ว่าที่นักศึกษาแพทย์ปี 1 ที่เพิ่งสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สดๆ ร้อนๆ เรื่องราวของพี่เขาน่าติดตามมาก ไปรู้จักกันเลยครับ
พี่ลาเต้ กำลังพูดถึง "พี่โอ๋" ว่าที่นักศึกษาแพทย์ปี 1 ที่เพิ่งสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี สดๆ ร้อนๆ เรื่องราวของพี่เขาน่าติดตามมาก ไปรู้จักกันเลยครับ
จากเด็กบ้านนอก สู่ความคิดอยากเป็นหมอ
ผมเรียนโรงเรียนที่บอกได้เลยว่า ห่างไกลมาก ห่างไกลทั้งความเจริญ และโอกาสด้านการศึกษา นักเรียนทุกคนเรียนเพื่อให้ได้เรียน แต่ไม่รู้ว่าเรียนจบไปทำอะไร เป็นอะไร อย่างตอนจบประถมใหม่ๆ ผมไม่เคยรู้หรอกครับว่าจะไปเรียนไหน ทำอะไร พอดีที่ ร.ร.มีเปิดขยายโอกาสถึง ม.3 ก็พากันเรียนต่อ แล้วมาเจอครูสอนวิทย์ท่านนึง คำว่า "อยากเป็นหมอ" ก็เริ่มเข้ามาในหัวผมครับ ครูท่านนี้อยากให้นักเรียนเป็นหมอ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่รู้อะไรมากเกี่ยวกับอาชีพนี้ รู้ว่าฉีดยา ใครที่ฉีดยาได้ ชาวบ้านก็เรียกหมอหมดล่ะครับ ประกอบกับปีนี้มีรุ่นพี่ติดเภสัช มันก็ยิ่งทำให้เรามีแรงในการเรียนเพื่อเป็นหมอมากขึ้น
พอขึ้น ม.ปลาย (โรงรียนผมเล็กๆ ครับ ม.6 มีไม่ถึง 100 คน) พอได้มาเรียนลงลึกในสายวิทย์-คณิตจริงๆ ผมไม่เคยคิดจะติดแพทย์เลยครับ ด้วยที่เราประเมินตัวเองแล้วว่าสู้ไม่ไหวแน่ๆ สมัยก่อนการเข้าหาข้อมูลด้านการเรียนยังมีน้อย ด้วยเทคโนโลยี ความยากจน ความรู้ทางด้านคอม เข้าเน็ตไม่เป็นเหมือนสมัยนี้ มีแค่หนังสือจากโรงเรียนและก็เรียนตามนั้น ไม่รู้เลยว่าโรงเรียนอื่นเขาเรียนกันยังไง
แค่คณะที่สอบติด มีคำว่าแพทย์ ก็ดีใจ
จนกระทั้งจบ ม.6 ความคิดเรื่องเรียนแพทย์เริ่มจางไป เพราะเหตุผลเดียวคือสู้เขาไม่ไหวแน่ๆ แต่ก็มีโควตาโรงเรียนมาครับ ก็ลองสอบเป็นของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ ก็สมัครผ่านครูแนะแนวครับ โควตาเลือกได้ 3 อันดับ และต้องสอบ 8 วิชา ผมเลือกลง 3 สาขา คืออันดับ 1 ทันตแพทยฯ อันดับ 2 จุลชีววิทยา และอันดับ 3 วิศวะไฟฟ้า พอผลออกคะแนนผมผ่านทั้งจุลชีววิทยา และวิศวะไฟฟ้าครับ นั้นก็แปลว่าผมสอบติดสาขาจุลชีววิทยานั้นเอง ตอนนั้นดีใจมาก เพราะคณะที่ผมติด คือคณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ คือมีคำว่าแพทย์ๆ ติดมาก็ดีใจแล้ว
ชีวิตมหาวิทยาลัยปี 1 ที่ความรู้พื้นฐานมีไม่เท่าเพื่อน
พอเข้าไปเรียนปี 1 ทำให้รู้ว่าของจริงอยู่ตรงนี้ครับ เนื้อหา ม.ปลาย ที่เรียนมาสู้เขาไม่ได้เลย มีอุปสรรคมาก พื้นฐานเราสู้เพื่อนๆ ไม่ได้เลย แต่ก็พยายามอ่าน พยายามถาม อันไหนไม่รู้จะท่องและหาคำตอบจนกว่าจะรู้ เหนื่อยมากครับ อีกอย่างผมไม่ได้ขอเงินพ่อแม่ด้วย เพราะครอบครัวผมเป็นชาวนายากจน กู้ กยศ.ได้ค่าใช้จ่ายเดือนละ 721 บาท และก็ทำงานพาร์ทไทม์เช่นเด็กเสริฟ์ร้านอาหารตอนเย็นๆ ต้องทำแบบนั้นทุกวันครับ พยุงทั้งเรื่องเรียนและเรื่องเงิน เพราะหากไม่ทำก็จะโดนไทล์ จนปี 2 เริ่มปรับตัวได้ครับ ความพยายามที่ทำมันได้ผล มันตอบแทนเรา จากที่เรียนไม่ทันเพื่อน กลายเป็นเด็กเริ่ม Top วิชาต่างๆ จากนั้นปี 2 ถึง 4 เป็นการเรียนที่มีความสุขมากๆ สนุกกับเนื้อหาที่เรียน กับคณะที่อยู่ ลืมไปเลยว่าเคยอยากเป็นแพทย์
เรียนไปเรื่อยๆ จนถึงปี 4 ครับ ผมมีโอกาสฝึกงานที่ โรงพยาบาลศิริราช พี่ staff ก็แนะนำว่าหากเรียนจบให้เรียนต่อโท ผมก็คิดว่าจะเรียน แต่เงินอยู่ไหนล่ะ ก็เลยไปสมัครทุนพัฒนาอาจารย์ ซึ่งมีข้อกำหนดว่าหากเรียนจบแล้วต้องมาเป็นอาจารย์ (ตอนนี้ความคิดอยากเป็นหมอที่เคยตั้งมาถูกลืมหายไปเลยครับ) อาจารย์ที่ปรึกษาก็ให้ความมั่นใจว่าผมได้แหละเพราะเกรดจบ ป.ตรี 3.58 ซึ่งทุนนี้ให้ทั้งค่าเทอม และเงินเดือนด้วย ซึ่งในที่สุดผมได้ทุนเรียนต่อ ปริญญาโท ในสาขาภูมิคุ้มกันวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล จบแล้วมาเป็น อาจารย์มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ในภาคเหนือครับ
ไฟที่จะเป็นหมอ กลับมาลุกโชนอีกครั้ง
พอมาเป็นอาจารย์นี่แหละครับ ความฝันในการอยากเป็นหมอกลับมาอีกครั้ง! ซึ่งปีแรกที่ผมเริ่มสอน ได้มีส่วนร่วมในการเตรียมสอนและได้สอนนักศึกษาแพทย์ ชั้นปรีคลีนิกในปีถัดไป ซึ่งนักศึกษา แพทย์ ส่วนใหญ่จะอายุเกือบๆ 30 กันทั้งนั้น (เป็นนักศึกษาแพทย์ newtrack ที่รับคนจบ ป.ตรี ในสาขาที่เกี่ยวข้องมาเรียน) ผมเห็นความตั้งใจ ความยากลำบาก ความอดทน ของคนที่ตั้งใจจะเรียนแพทย์ ซึ่งอายุไม่เป็นอุปสรรคเลย เลยนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง รวมๆ เวลาที่ได้สอนทั้งหมด 3 รุ่น คลุกคลี ทำความรู้จักกับวิชาชีพนี้มากขึ้น เข้าใจว่าต้องเสียสละอดทน อึดว่างั้นเถอะ แต่ที่สำคัญมันคงมีความสุขน่าดูที่ได้ช่วยเหลือคน จากนั้นมาก็ตั้งปณิธานว่าถ้าไม่ได้เป็นแพทย์ คงนอนตายตาไม่หลับแน่ๆ
ช่วงที่เป็นอาจารย์ได้สมัคร newtrack ไป 1 ครั้ง เกือบติดได้ 56.2 มั้งครับ ถ้าจำไม่ผิด หลังจากนั้นเราก็อายุเกิน หลังจากนั้นเราก็ทำงานไปจนครบการใช้ทุนคือ 4 ปี ก็เกิดการตัดสินใจครั้งใหญ่ครับ คือ ลาออกมาอ่านหนังสืออยู่บ้านเพื่อสอบหมอ การตัดสินใจครั้งนั้นนำมาซึ่งเสียงต่างๆ นานา เช่น แก่แล้วหัวสมองสู้เด็กไม่ได้หรอก ถ้าสอบได้จริงจะไปรอดไหม ไม่ติดหรอก ลาออกจริงหรอ โดนไล่ออกรึเปล่า เงินที่เคยได้ทุกเดือน ไม่มีแล้วครับ กดดันมาก
วินาทีสำคัญ ทิ้งอาชีพที่มั่นคง เพื่อมาเสี่ยงตามฝัน
ณ ช่วงนี้ครอบครัวสำคัญมาก เป็นช่วงที่บอบบางมาก น้ำตาก็มีไหลมาตลอด แต่มันคือความฝันเรา เราถามใจตัวเองแล้ว มันบอกว่าใช่ เราต้องทำให้ได้ จากนั้นก็หยุดฟังเสียงวิจารณ์เลยครับ มาเข้าโหมดเตรียมตัวโดยมีเป้าหมายเดียวคือ "เราต้องติดแพทย์ให้ได้" ตอนนั้นผมคิดและพูดกับตัวเองว่า ช่วงที่เราสอนเนื้อหายากๆ ทำไมเราถึงจำได้ โดยไม่เปลือง memmory ของสมองเลย นั่นก็คือเราเป็น อาจารย์ไง ก็เลยนำ แนวคิดนี้มาเป็นแนวในการอ่านหนังสือ
การเตรียมตัวสอบหมอ เมื่ออายุ 30
ผมแบ่งช่วงเป็น 3 ช่วง 8.00-12.00 13.00-17.00 และ 20.00-23.00 (ช่วงเช้า เย็น ก็เข้าครัวทำอาหาร งานบ้านนะครับ ไม่ได้อยู่เฉยๆ ที่บ้านไม่ยอมให้สบายขนาดไม่ต้องทำไรเลย แล้วเราก็ไม่สบายใจแน่ เพราะพ่อแม่ แก่มากแล้ว ไม่ได้ทำงานอะไรแล้ว) ช่วง 4 เดือนแรกจะทำเอกสารประกอบการสอนโดยการอ่านหนังสือหลายๆ เล่ม รวบรวมเป็นแผนอ่านของตัวเอง
โดย ช่วงเช้า ช่วงบ่าย จะเป็นวิชาหนัก คือ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ตอนกลางคืนจะเน้น ภาษาอังกฤษ เป็นพิเศษ (ถึงจะจบโท ใช่จะเก่งอังกฤษ) ที่ต้องอ่านอังกฤษเกือบทุกวันเพราะ วิชานี้ต้องใช้เวลา จะมาท่องจำทำก่อน ไม่กี่เดือน สำหรับผมคงไม่ไหว ก็จะมี ไทย สังคม ความถนัดแพทย์ แทรกมาบ้าง
บัตรคำศัพท์ ให้แม่ชูป้าย ลูกก็ตอบ
การจำภาษาอังกฤษ นอกจากทำเอกสาร PPT แล้วยังมีบัตรคำศัพท์ ให้แม่ชูป้าย แล้วผมก็บอกความหมาย (แม่ช่วยลูกเต็มที่) จนในระยเวลา 4 เดือนนี้ ผมจะทำเอกสารประกอบการสอนหรือ PPT ครบหมดแล้ว ซึ่งการอ่านนี้ผมไม่เน้นจำนวนวิชาใน 1 วันให้มาก ไม่มีการแพลนล่วงหน้านานเกินไป เพราะส่วนมากไม่ตามเป้าที่ตั้งไว้ คือไม่ทัน พอผมทำ ppt เสร็จ ผมก็ทำการแปลงไฟล์เป็น PDF นำลงมือถือแล้วก็อ่านทุกที่ที่มีโอกาส
เข้าสู่การตะลุยโจทย์ จะแบ่งเป็น 2 ช่วงคือตะลุยตามบทสัก 3 เดือน ถ้าหลุดเนื้อหาส่วนไหนก็จะแคปหน้าจอลงเฟส ตอบคอมเม้นตัวเองไปเลย ส่วนอีก 2 เดือนก็จะตะลุยโจทย์ แบบรวมและจับเวลาซึ่งตอนจับเวลามันทำให้ผมท้อมาก ทำไม่ทันตลอดเลย ผมเลยเลิกจับเวลาไปเลย ทำๆ ทำไปเรื่อยๆ ไม่ยอมดูเฉลยกว่าจะคิดออก การเตรียมตัวครั้งนี้ ส่วนตัวคิดว่ายังไม่ได้ตามเป้าคือพร้อมแค่ 70% เท่านั้น
โหมดเดินสายสอบหมอสนามต่างๆ
เริ่มสนามแรก คือ ม.บูรพา ช่วงนั้นตะลุยโจทย์ตามบทยังไม่จบดีเลย โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ผลการสอบได้ 60.48 ติดสำรองไกลมาก 174 คณิตก็ง่อยมาก ได้อังกฤษที่ดูดีมากๆ ไม่คิดว่าจะทำได้ดีขนาดนี้แต่ยังไงมันเป็นกำลังใจสุดๆ เลย สนามต่อไป GAT PAT PAT 1 ยังง่อยได้ 104 คะแนน ส่วน PAT 2 150 คะแนนน รับตรงแพทย์ ทอ. ก็ตกไปแน่นอน ถ้าได้แค่นี้ สนามที่ 3 วันที่ 14 พ.ย. 2558 ม.สุรนารี คิดว่าไปชิวๆ เพราะคนสมัครเยอะมาก เอาแค่ 12 คน ไปสอบช่วงเช้ามี คณิต เคมี อังกฤษ ออกห้องสอบมา เฮ้ยทำได้ ตอนบ่ายวิชาถนัดทั้งนั้น เจอฟิสิกส์ 40 ข้อทำเสร็จก่อนครึ่งชั่วโมง ชีวะลึกมากแต่สบายเรา แล้วค่าน้ำหนักวิชาชีววิทยามีถึง 25% ตอนนั้นก็แอบคิดในใจว่าน่าจะติดแล้วล่ะ แล้วในที่สุดก็ติดจริงๆ กอดพ่อกอดแม่เลยครับ มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจมาก รอมานานมาก
เส้นทางสอบหมอยังไม่จบครบ เพราะยังมีอีกสนามที่สมัครไว้ คือ 7 วิชาสามัญ วันแรกที่ไปสอบยิ้มออกเลยครับ ฟิสิกส์ ชีวะไปได้สวย ตรวจข้อสอบฟิสิกส์ ตามเพจต่างๆ ได้ 80 แต่พอคะแนนออกมาก็ลดลงเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้ไปขอดูอะไร พอมาวันที่ 2 คณิตทำได้ไม่ถึง 20 ข้อ ที่เหลือมั่ว แต่พอไปตรวจคำตอบอันที่เราทำ ถูกหมดเลย เคมีก็ยากพิเศษทำไม่ทัน อังกฤษก็ทำไม่ทัน พอจบวันที่ 2 เริ่มท้อๆ ประเมินด้วยตนเองแล้ว น่าจะได้มากสุด 65 ต่ำสุด 61 แล้ว 4 อันดับ กสพท. เราเลือกไว้เป็น อันดับ 1 รามาฯ อันดับ 2 มศว อันดับ 3 ม.ขอนแก่น และอัน 4 ม.นเรศวร ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้เทียบกับคะแนนปีที่แล้วมีโอกาสพลาดได้ ตอนนั้นเลยตกลงยืนยันสิทธิ์กับ ม. สุรนารี ที่ติดไว้
วินาทีคะแนน 7 วิชาสามัญประกาศผล
พอมาถึงวันคะแนนวิชาสามัญออก ปรากฏว่าคะแนนผมเฉลี่ยประมาณ 60 เกินครึ่งทุกวิชาครับ ที่เยอะสุดก็ภาษาไทย ชีวะ ฟิสิกส์ น้อยสุดก็คงเป็นคณิตศาสตร์ (เป็นวิชาที่อ่าน ทำแบบฝึกหัดเยอะสุด 555) สำหรับวิธีรับมือกับวิชาที่ไม่ถนัด อย่างคณิตศาสตร์นะครับ การทำข้อสอบพี่จะเลือกบทถนัดก่อน เช่น สถิติ เมทริก แคล เป็นต้น พอมาวันที่ 10 มีนาคม ก็มานั่งลุ้น กสพท. ครับ ผลปรากฏว่า.... หากผมรอ กสพท. ก็จะติด มศว ที่ได้เลือกไว้อันดับ 2 ครับ
การเดินสายสอบหรือเก็บประสบการณ์การลงสนาม สำคัญอย่างยิ่ง ถึงแม้แต่ละที่ จะเน้นการออกข้อสอบต่างกัน แต่เราจะรู้วิธีการจัดการกับข้อสอบ เวลา และอะไรต่างๆ ที่เราจะปรับในสนามสอบถัดไป แต่สอบบ่อยก็มีข้อเสีย คือเสียเวลาเดินทาง ส่วนตัวต้องขับรถเอง ไปสอบเอง และมีพ่อแม่ไปให้กำลังใจ ส่วนตัวจะเหนื่อยกับการขับรถมากๆ อ้อ เรื่องโรคภัยด้วย น้องๆ ต้องออกกำลังกายด้วยนะ ส่วนตัวจะมีวิตามินซี กับออกกำลังกายบ้าง ถ้ารู้สึกร่างกายเนือยๆ หนักๆ ไม่สบายตัวจะไปออกกำลังกายทันที
กำลังใจสำคัญมาก กับเด็กซิ่ว
การที่ใครสักคนจะยืนได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางพายุ ต้องเป็นอะไรที่เข้มแข้งมากๆ ถ้าจะให้ดีมีพ่อแม่คอยพยุงจะดีกว่าครับ สำหรับคนที่จะซิ่วอยู่บ้านน่าจะมีประโยชน์สำหรับเคสนี้มากๆ แนะนำให้เข้มแข็ง ขยัน มีระเบียบ มองความสำเร็จ กำลังใจหมั่นเติมบ่อยๆ ที่สำคัญคุยกับผู้ปกครองให้ดีๆ ไม่ต้องกลัวล้มเหลว ไม่มีใครไม่เคยล้มเหลว อย่าเอาคำนินทา มาเป็นทำให้ท้อ ให้เอามาเพื่อเป็นเชื้อไฟให้เราสู้มากยิ่งขึ้น และต้องคิดเผื่อด้วยถ้าไม่ติดภายใน 1 ปี จะสู้ต่อไหม ถ้ามั่นใจอย่างผมไม่ได้เป็นแพทย์คงนอนตายตาไม่หลับ หรือตายไปวิญญานยังวนเวียนไปสอบหมออยู่เนี่ย ก็สู้ให้เต็มกำลัง ผมเชื่อว่าความพยายามของคนเรามีพลังทุกคนครับ
สุดยอดแห่งความพยายามเลยครับ ตั้งแต่เด็กบ้านนอกที่ขาดโอกาส พยายามเรียนรู้หาข้อมูลเองจนสอบติดมหาวิทยาลัย จนมาสู่การตัดสินใจครั้งใหญ่ สุดท้ายนี้ พี่ลาเต้ ต้องขอขอบคุณ "พี่โอ๋" ที่สละเวลามาเล่าประสบการณ์เพื่อเป็นกำลังใจให้กับชาว Dek-D ในครั้งนี้ด้วยครับ
22 ความคิดเห็น
ดีใจกับความสำเร็จของพี่โอ๋ ด้วยนะครับ พี่เก่งมากๆ มีความพยายาม ไม่ทิ้งความฝัน เป็นตัวอย่างให้รุ่นน้องๆ ได้สู้ให้เหมือนที่พี่ได้ต่อสู้ ขอบคุณสำหรับบทความและกำลังใจดีๆ นะครับ
เบียร์ แอดมินกลุ่ม "ติวสอบกสพท.และ7 วิชาสามัญ"
เย้ๆๆ ดีใจด้วยนะค่ะอาจารย์ ขอบคุณที่คอยสอนพวกหนูมา หนูเชื่อว่าอาจารย์ต้องเป็นหมอที่ดีค่ะ แล้วก็จะเป็นหมดที่เก่งด้วย
เก่งมากๆเลยไม่ทิ้งความฝันและพยายามจนทำสำเร็จ
เฮ้อ ... สังคมไทยนี่ก็ ทำไมถึงต้องไป ยึดติด หมกมุ่น กับการเป็นแพทย์ เป็นหมอ
อาชีพดีๆ มีเกียรติ คนนับถือ และ รายได้ดี ก็มีให้ทำกันถมถื่นไป
พี่สุดยอดมากเลยค่ะ หนูเองก็พลาดหวังจากแพทย์มาเรียนพยาบาล เป็นลูกชาวนาจนๆ มาเรียนพยาบาลก็มีค่าใช้จ่ายเยอะ พ่อแม่ก็แก่แล้วด้วย บางทีก็คิดอยากเรียนพยาบาลให้จบแล้วค่อยต่อแพทย์newtrackแต่ในใจตอนนี้ก็อยากไปสอบแพทย์สารคามเพราะใกล้บ้านด้วย อยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ ดีใจกับพี่ด้วยนะ หนูก็จะไม่ทิ้งความฝันเหมือนกัน ปล.อยากได้เฟซบุ๊กพี่จังเลยค่ะ
สอบถามค่ะ อายุ 37 แล้วตั้งใจจะสอบแพทย์ กสพท.แต่ง่อยกะระบบการศึกษาใหม่ รบกวนและนำทีค่ะ ว่าจะต้องไปสอบอะไรบ้าง
กสพท ไม่ดูเกรด ไม่สนว่าจบจากสายวิทย์หรือสายศิลป์ ถ้าไม่ใช่เด็ก ม.6 ก็ไม่พิจารณา onet ด้วยค่ะ
สมัครได้ทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย
ใช้คะแนนวิชาเฉพาะแพทย์ 30% (พาร์ทเชาว์/พาร์ทจริยธรรม/พาร์ทเชื่อมโยง) รอติดตามประกาศและสมัครในเว็บ http://www9.si.mahidol.ac.th ค่ะ
ใช้คะแนน 9 วิชาสามัญ 70% (แต่เราเลือกสอบแค่ 7 วิชาพอนะคะ) (ฟิสิกส์/เคมี/ชีวะ/คณิต1/ไทย/อังกฤษ/สังคม)(ไม่ต้องเลือก คณิต2/วิทย์ทั่วไปนะคะ มันเป็นวิชาสายศิลป์ ใช้ยื่นกสพท ไม่ได้ค่ะ แบะเวลาสอบอาจตรงกับวิชาอื่นที่ต้องใช้)
ติดตามประกาศและรับสมัครจากเว็บไซต์ของ สทศ เลยค่ะ
ปีการศึกษาหน้ามีการเปลี่ยนระบบการสอบนิดหน่อย น่าจะสอบช่วงเดือนมีนานะคะ หนูว่าลองติดตามเว็บหรือเพจอัพเดตข่าวสารเกี่ยวกับการรับตรง/แอดมิชชั่นไว้ก็ดีค่ะจะได้ไม่พลาดว่าอะไรสมัครช่วงไหน ติดตามจากเว็บเด็กดีก็ได้ค่ะ เพราะเราคงไม่ได้ตามไปดูทุกเว็บได้ทุกวัน กลัวจะสมัครไม่ทันค่ะ
ขอให้โชคดีนะคะ