สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com แม้ว่าจะเข้าสู่ช่วงเตรียมตัวเลือกคณะในแอดมิชชั่นของรุ่น 59 พี่ๆ เด็กดียังมองว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่เด็ก ม.5 (ที่กำลังจะขึ้น ม.6) ก็ควรเตรียมตัวเพื่อสอบในรุ่นปี 60 เช่นกัน ในขณะที่หลายคนกำลังเที่ยวช่วงปิดเทอมสนุกสนานเต็มที่ แต่ถ้าเราฟิตตั้งแต่วันนี้ ก็นำเพื่อนได้หลายก้าวเลยค่ะ
ปกติเวลาที่พี่มิ้นท์ได้คุยกับรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย หลายๆ คนพููดเป็นเสียงเดียวกันว่า เสียดายช่วงเวลาตอน ม.5-ม.6 มาก ถ้าตั้งใจและเตรียมตัวมาดีตั้งแต่แรก ก็คงได้เรียนในคณะและมหาวิทยาลัยที่ต้องการแล้ว วันนี้พี่มิ้นท์ก็เลยจะมาพูดถึงเหตุผลที่น้องๆ ม.5 ควรเริ่มเตรียมตัวแอดมิชชั่นกันตั้งแต่วันนี้
1. เปิดเทอมมา รับตรงก็มา
ใครที่กำลังนึกภาพว่า รับตรง-แอดมิชชั่นกว่าจะเริ่มต้องรอข้ามปี ขอให้คิดใหม่ค่ะ เพราะกระบวนการแอดมิชชั่น เริ่มต้นจริงๆ ตั้งแต่น้องๆ เปิดเทอมเลย เปิดเทอมมายังไม่ทันจำชื่ออาจารย์ได้ รับตรงก็เริ่มทยอยมาแล้ว คาดการณ์ว่าช่วงประมาณ มิ.ย.-ก.ค. รับตรงแพทย์/ทันตะ ม.ขอนแก่น จะมาเป็นที่แรกค่ะ อีกไม่ทันข้ามเดือน รับตรง กสพท. ก็มาอีก การเตรียมตัวตอนเปิดเทอมอาจจะไม่ทันการนะคะ (จริงๆ น้องที่สอบหมอ อาจเตรียมตัวกันมาตั้งแต่ ม.4-5 แล้วนะ)
2. กิจกรรมถาโถมอย่างกับพายุ
นี่นับคร่าวๆ ก็มีทั้งวันไหว้ครู กีฬาสี คริสต์มาส ปีใหม่ แห่เทียน เลือกตั้งชั้นปี และอีกสารพัดที่เด็ก ม.6 ต้องเข้าร่วม จริงๆ แล้วเรียนชั้นอื่นก็ต้องเข้าร่วมค่ะ เพียงแต่ความพีคอยู่ที่ เด็ก ม.6 ต้องเตรียมตัวสอบ เมื่อมีกิจกรรมร้อยแปดพันเก้าเข้ามา ทำให้เวลาที่น้อยอยู่แล้วยิ่งน้อยลงไปอีก ก็จะเตรียมตัวกันไม่ทันค่ะ ซึ่งการอ่านหนังสือไม่ทันเป็นปัญหาที่น่ากลัวมากๆ สำหรับเด็กเตรียมแอดฯ เลยก็ว่าได้
3. เกรดก็ต้องทำให้ดี
นอกจากกิจกรรมแล้ว เรายังต้องตั้งใจเรียนอีกค่ะ จะเรียนทิ้งๆ ขว้างๆ เข้าเรียนบ้าง โดดเรียนบ้างอาจจะเกิดผลเสียกับตัวเองได้นะ โดยเฉพาะกับระบบการสอบของไทย ที่ใช้เกรด (GPAX) เป็นส่วนประกอบในการเข้าเรียน พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งได้เกรดมากเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มโอกาสในการสอบติดนั่นเอง ซึ่งหนทางที่จะทำให้เราได้เกรดดีๆ ก็ต้องตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมสอบในโรงเรียน ทำงานให้ครบ รายงานให้เป๊ะ เกรดก็จะสวยงาม ถ้าสุดท้าย เราพะวงทั้งเรื่องเกรดที่โรงเรียนและเรื่องอ่านหนังสือเตรียมแอดมิชชั่น เราอาจจะทำได้ไม่ดีทั้งสองอย่างค่ะ
4. รับตรงหลายที่ใช้คะแนน GAT PAT รอบแรกเท่านั้น
ความจริงที่อยากบอกน้องๆ อีกข้อนึงก็คือ แม้ว่ารับตรงจะทยอยเปิดรับตลอดปี แต่รับตรงหลายๆ โครงการใช้ GAT PAT เฉพาะรอบแรกเท่านั้น น้องเข้าสอบ 1 ครั้ง คะแนนนี้จะอยู่กับน้องและสามารถใช้สอบเข้าได้หลายมหาวิทยาลัย ซึ่งรับตรงแทบทั้งหมดจะใช้ GAT PAT แค่รอบแรกเท่านั้นค่ะ ดังนั้นหมายความว่า GAT PAT รอบแรกสำคัญมากๆ สำหรับคนที่สอบรับตรง และการสอบ GAT PAT รอบแรกจะสอบกันในเดือนตุลาคม นับดูดีๆ มีเวลาแค่ 6 เดือนเท่านั้นนะ โอ้โห... 6 เดือนนี้ ชี้อนาคตของน้องๆ ได้เลย
5. เนื้อหาออกทั้ง 3 ปีที่เรียน
ข้อสอบที่น้องๆ ใช้สอบ ทั้ง GAT PAT, O-NET และวิชาสามัญ รวมถึงข้อสอบข้อเขียนของมหาวิทยาลัยต่างๆ จะออกเนื้อหาครอบคลุม ม.ปลาย 4-6 ครบทั้ง 3 ปีนะคะ จะทบทวนเนื้อหา 5 วิชาหลักทั้ง 3 ปี ภายในเวลาไม่กี่เดือน ไม่ทันแน่นอนค่ะ เอาแค่วิชาเดียว ไล่เนื้อหา 3 ปีก็ปาเข้าไปเป็นหน้ากระดาษเอสี่แล้วค่ะ ฉะนั้น ณ ตอนนี้ที่เริ่มได้ก็คือ การทบทวนวิชาในชั้น ม.4-5 อาจจะเริ่มต้นจากวิชาที่ถนัดที่สุดก่อน เก็บพื้นฐานให้แม่น พื้นฐานจะช่วยให้น้องๆ อ่านวิชาที่ยากให้ง่ายขึ้นได้ ที่สำคัญจะอ่านได้เร็วขึ้นด้วย เหมาะกับช่วงเวลาอันน้อยนิดของเราสุดๆ
6. เตรียมตัวเนิ่นๆ ได้รู้ว่าเราอ่อนตรงไหน
ถ้าน้องๆ ได้อ่านหนังสือทุกวัน สลับกันไปทุกวิชา และไล่อ่านตั้งแต่พื้นฐาน ม.4 ค่อยๆ เริ่มความยากมา ม.5 และเตรียมเรียนเนื้อหาของ ม.6 น้องๆ จะค่อยๆ รู้ตัวเองค่ะ ว่าเราอ่อนเรื่องอะไร แม่นเรื่องอะไร เมื่อรู้แบบนี้จะประโยชน์มากๆ สำหรับน้องที่วางแผนจะเรียนพิเศษ เราไม่ต้องเรียนพิเศษหว่านแห่ให้เปลืองสตางค์คุณพ่อคุณแม่ ได้เรียนในวิชาที่อ่อนจริง รวมถึงเราจะรู้ตัวเองว่าควรเอาเวลาไปทุ่มเทกับวิชาไหนมากกว่า การอ่านหนังสือของเราก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
7. โอกาสมาได้ตลอด จะ "หยิบ" หรือจะ "ทิ้ง"
บอกเลยค่ะว่า ในแต่ละปีรับตรงมาเป็นพันๆ โครงการ โครงการพิเศษก็เยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรียนดี มีความสามารถ เก่งกีฬา เก่งดนตรี ฯลฯ บางทีก็มีโครงการใหม่ๆ มาไม่รู้ตัว ถ้าเตรียมตัวจนพร้อมอยู่ตลอดเวลา ถึงวันที่โครงการมาก็ยื่นใบสมัครได้เลย ไม่มีอะไรให้กังวล ต่างกับคนที่ไม่เคยแตะหนังสือ จะสมัครทีไรก็หวั่นใจอยู่ตลอด ดังนั้น อยู่ที่เราตัดสินใจว่าถ้าโอกาสมาถึง เราพร้อมจะหยิบโอกาสตรงนั้น หรือ ทิ้งมันไปเพราะเหตุผลว่าเราไม่พร้อม ลองเลือกดูแล้วกันนะคะ
ถ้าถามว่า เตรียมตัววันนี้ทันมั้ย เดือนหน้าทันมั้ย พี่มิ้นท์ก็คงตอบว่า แค่ได้เริ่มต้นก็ไม่มีคำว่าสายหรอกค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับศักยภาพและความรับผิดชอบของน้องๆ ด้วย บางคนเริ่มต้น 3 เดือนสุดท้ายก่อนสอบแต่อ่านทุกวัน วันละหลายชั่วโมง ก็คงดีกว่าเริ่มวันนี้ แต่อ่านๆ หยุดๆ สุดท้าย คนที่จะรู้ผลลัพธ์ก็คือ ตัวของน้องๆ เอง แต่สำหรับพี่มิ้นท์ เหตุผลเดียวที่อยากให้เริ่มตั้งแต่ตอนนี้ก็คือ กลัวจะ "อ่านไม่ทัน" ค่ะ
16 ความคิดเห็น
ที่จริงเด็กม.6 ควรจะหยุดทำกิจกรรมกีฬาสี
เพื่ออ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย
น่าจะส่งต่อให้เด็กม.4-ม.5 เป็นคนทำหน้าที่แทน
เห้ออ เริ้มจะท้อแล้วว
ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว
เด็ก ๆ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ พอใกล้เข้ามาจริง ๆ ก็เริ่มตันคิดไม่ออก
อยากเรียนคณะไหน TT แต่ก็พร้อมจะสู้กะมัน (ถึงจะเริ่มท้อ)
สู้ๆ เด็ก 60 และรุ่นต่อๆไป
ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดี ... #Dek60
ของเราอีก 2 ปีสินะ... พี่ๆม.5-6 สู้ๆนะคะ
ตอนนี้มีหลายอย่างที่อยากเรียนเยอะมากๆๆๆๆ
ผมเก่งชีววะ เคมี สังคม แต่อ่อนคณิตสุดๆ ช่วยแนะนำคณะหน่อยครับ
เข้ามาอ่านเพราะใกล้จะต้องเริ่มเตรียมตัวละ (ขึ้นม.3ค่ะ) ทำไมมันอยู่ยากจัง
สวัสดี เพื่อนๆเด็ก 60 ผู้จะแบกอนาคตไปพร้อมๆกัน แต่ทำไมไอ่เราคนนี้ยังไม่พร้อมเลย
เครียดมากเลยค่ะ จะขึ้นมอหกอีก 2 วันข้างหน้า ตอนนี้พยายามเขียนนิยาย-เรื่องสั้น ให้ทันเสร็จภายในเดือนนี้ แล้วจะส่งสำนักพิมพ์ รออย่างน้อยอีก 2 เดือนก็เข้าช่วงเปิดรับตรงพอดี ตอนนี้ลุ้นอย่างเดียวว่าขอให้นิยายผ่านเถอะ