"เย้! สอบติดแล้ว...แต่ก็แอบกลุ้มใจอะ ตอนสอบสัมภาษณ์จะเจออะไรบ้างนะ อาจารย์จะโหดแค่ไหน คำถามจะชวนลุ้นจนหนาวเหน็บไปถึงไส้ติ่งรึเปล่า" เมื่อเร็วๆนี้พี่เมก้าก็แอบเห็นน้องๆ เด็กซิ่วไปสอบสัมภาษณ์มา ได้เจอทั้งคำถามที่ตอบง่ายบ้างยากบ้าง ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ กันไป


 
         วันนี้เลยขอพาน้องๆ มา เช็กลิสต์ 8 คำถามสัมภาษณ์ยอดฮิตที่เด็กซิ่วได้เจอแน่นอน! ดูซิว่าตอนสัมภาษณ์เราจะเจอกับคำถามอะไร แล้วตอบยังไงไม่ให้ถูกไล่ต้อนซะจนมุม เชื่อว่าถ้ารู้แนวคำถามก่อน น้องๆ จะเตรียมคำตอบที่พิชิตใจกรรมการได้แน่นอนค่ะ

1. ทำไมถึงซิ่ว?
         ด่านแรกของการสอบสัมภาษณ์ ร้อยทั้งร้อยกรรมการหรืออาจารย์ของเราก็จะให้น้องๆแนะนำตัวก่อนค่ะ ช่วงพรีเซ้นต์ตัวเองนี่แหละบางคนก็ตีเนียน อาศัยความหน้าเด็กเล่าชีวิตตัวเองไปเรื่อยๆ (ข้ามเรื่องซิ่วไป) ถ้าอาจารย์จับไม่ได้ว่าซิ่วมาก็แล้วไปค่ะ แต่ถ้าสอบประวัติไปๆ มาๆแล้วเกิดโชะเด๊ะ! ความลับแตก เรานี่แหละเด็กซิ่ว น้องๆจะตอบคำถามอาจารย์ว่ายังไงดี คำถามขั้นเบสิกสุดๆที่ใครๆต้องเจอก็คงหนีไม่พ้น "ทำไมถึงซิ่ว บอกมานะ!"

         น้องๆ ก็เตรียมตอบคำถามไว้ให้ดีเลยค่ะว่า เราซิ่วเพราะอะไร บางคนซิ่วเพราะคณะเดิมไม่ใช่แนว บางคนซิ่วเพราะบ้านไกล บางคนซิ่วเพราะเข้ากับสังคมไม่ได้ ฯลฯ เห็นมั้ยคะว่าเหตุผลในการซิ่วของแต่ละคนแตกต่างกันไป ถ้าน้องๆ ตั้งใจเล่าให้อาจารย์ฟังแล้วกลับได้รับสายตากดดันส่งมาแทน ก็อย่าเพิ่งน้ำตารื้นหรือลุกขึ้นมาจระเข้ฟาดหางใส่อาจารย์นะคะ พยายามทำใจสบายๆ ตอบคำถามให้เป็นธรรมชาติที่สุด อาจารย์แค่อยากจะทดสอบวุฒิภาวะทางอารมณ์เราเท่านั้นค่ะ


2. เหตุผลที่เลือกคณะนี้?
         จากคำถามข้อ 1 ก็นำมาสู่คำถามข้อ 2 ค่ะว่าทำไมเราถึงเลือกคณะนี้ ถ้าเหตุผลในการซิ่วของน้องๆ เป็นเพราะคณะเดิมไม่ใช่ทางของเรา ก็ต้องเตรียมคำตอบให้กระชากใจกรรมการเลยค่ะว่า แล้วที่นี่ตอบโจทย์เราตรงไหน! มีดีอะไร!! ทำไมถึงเป็นเป้าหมายที่ต้องการ!!! อย่างน้องบางคนที่ตัดสินใจซิ่วคณะเดิมแต่เปลี่ยนสถาบันก็อาจจะสร้างข้อสงสัยให้กับกรรมการได้ว่า แล้วคณะเก่าไม่ดีตรงไหน เราติดค่านิยมเรื่องชื่อเสียงมหาวิทยาลัยรึเปล่า? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงต้องรีบอธิบายให้เข้าใจถึงเหตุผลของเรา เช่น

         "ที่หนูตัดสินใจเลือกคณะ A มหา'ลัย B เพราะมีหลักสูตรและแนวการเรียนการสอนตามที่เคยตั้งเป้าหมายไว้ ยิ่งถ้าได้เรียนในสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง หนูมองเห็นภาพว่าอนาคตการทำงานน่าจะไปได้ไกลและมั่นคงมากกว่า...ความจริงที่นี่ใกล้บ้านด้วยค่ะ หนูช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของครอบครัวได้เยอะ สังคมก็ขึ้นชื่อเรื่องความอบอุ่นระหว่างพี่น้อง การได้เรียนในบรรยากาศที่ใช่ก็น่าจะทำให้มีความสุขนะคะ"

         เราไม่ได้ตอบคำถามเพื่อเอาใจคณะกรรมการแต่ตอบตามสิ่งที่คิด แล้วสร้างทัศนคติเชิงบวกเพื่อให้เกียรติคณะและมหาวิทยาลัยที่เราเลือกและเลือกเราค่ะ ยิ่งถ้าน้องๆ มีเหตุผลที่ลึกซึ้งมาประกอบก็จะแสดงให้เห็นว่าเราจริงจังและรักที่จะเรียนที่นี่จริงๆ ช่วยเรียกคะแนนจากท่านคณะกรรมการได้แน่นอน


3. รู้มั้ยว่าที่นี่เรียนอะไร?
         ตายไปเลย! หลังเจอคำถามนี้ ขนาดคนที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดียังมีเสียวสันหลังวาบเลยค่ะ ตอบผิดตอบถูกตอบไม่ชัวร์เจอกรรมการถามกลับมาคำเดียวว่า "แน่ใจเหรอ?" นี่ก็เงิบ กลับบ้านไม่เป็นแล้วนะคะ ถ้าน้องๆ ไม่อยากนั่งอึ้งหลังจากถูกอาจารย์ไล่ต้อนให้จนมุมก็ได้โปรดเตรียมตัวไปดีๆ เถอะค่ะ เปิดเว็บคณะขึ้นมาดูหลักสูตรเลยว่าที่นี่เรียนอะไร มีวิชาไหนที่เราสนใจบ้าง แนวการเรียนการสอนเป็นยังไง มีกิจกรรมอะไรให้ทำ พยายามเก็บข้อมูลไว้ให้มากที่สุด รู้เพียงนิดก็ยังมีอะไรไปคุยกับกรรมการ ดีกว่าไม่รู้อะไรเลยนะคะ


 
         ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าถึงสถานการณ์จริงแล้วเราตอบคำถามกรรมการไม่ได้จริงๆ ให้น้องๆสารภาพไปตามตรงเลยค่ะว่า "ตอนนี้หนูยังไม่ทราบข้อมูลการเรียนในคณะอย่างลึกซึ้งนะคะ แต่หนูจะพยายามและตั้งใจทำความรู้จักคณะให้มากขึ้น หลังจากที่หนูได้ลงไปเรียนรู้และสัมผัสวิชาต่างๆด้วยประสบการณ์ของตัวเองค่ะ" ถึงเวลานั้นพี่เมก้าเชื่อว่า น้องๆน่าจะมีคำตอบที่พร้อมและ
ชัดเจนมามอบให้อาจารย์อย่างแน่นอน!


4. เรียนหนักนะ ไหวเหรอ?
         จากคำถามข้อ 3 ถ้าน้องๆ ตอบได้ฉะฉานก็จะเกิดคำถามนี้ตามมาค่ะ "ก็รู้นี่ว่าที่นี่เรียนอะไร แต่เรียนหนักขนาดนี้ เธอจะไหวเหรอ? จะซิ่วหนีไปอีกรึเปล่า?" กอดอกพร้อมหรี่ตามองอย่างหยั่งเชิง "โอ้โหๆ ขึ้นเลย แบบนี้ดูถูกกันนี่คะ" อย่าเพิ่งขึ้นค่ะน้องๆ เคยได้ยินมั้ย? คำถามลองใจอะ แต่ละคนพอได้ยินแบบนี้ก็ถึงกับอารมณ์สองขั้ว คนหนึ่งโกรธจนหน้าดำหน้าแดง "ทำไมถึงไม่ไหวคะ หนูสู้ตายค่ะ" ส่วนอีกคนก็หน้าซีดตัวสั่นกลัวหัวหด "ไม่ทันเริ่มเรียนยังกดดันขนาดนี้ หนูชิงลาออกซะตั้งแต่วันนี้เลยดีมั้ยคะ?"

         อยากบอกว่าคำถามนี้เจอกันมาทุกคน อยากให้น้องๆ ตั้งสติแล้วตอบตามใจสั่งมาเลยค่ะว่า "ไหว!!!" หลายๆ คนสรรหาประโยคเด็ดมาขยายความเพิ่มเติมนะคะ เช่น "หนูคิดว่าไหวค่ะ ความจริงเจอเรื่องหนักๆ มาตั้งแต่สอบเข้าแล้ว กว่าจะได้เรียนในสิ่งที่รักไม่ใช่ง่ายๆ เลย ต่อจากนี้เจอเรื่องหนักแค่ไหนก็พร้อมสู้ค่ะ" หรือ "ผมเชื่อว่าชีวิตคนเราต้องเหนื่อยก่อนถึงจะสบาย ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เราก็ต้องลองสู้ดูก่อนครับ" ไม่ต้องเตรียมคำตอบที่เว่อร์วังแค่ออกมาจากใจก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วค่ะ
     

5. เคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง?
         เอาล่ะสิ เด็กซิ่วจะเคยทำกิจกรรมอะไรมาบ้าง? ความจริงแล้วน้องๆ เด็กซิ่วที่เรียนไปด้วยทำกิจกรรมไปด้วย เตรียมตัวซิ่วไปด้วยมีอยู่เยอะเลยนะคะ ส่วนใหญ่น้องๆ ก็จะตอบคำถามนี้ได้สบายเลย เพราะขนาดเจอภารกิจทับถมขนาดนี้ยังแบ่งเวลามาพิชิตคณะในฝันได้ถึงขนาดนี้ นับว่าน่าชื่นชมเลยล่ะค่ะ แต่สำหรับน้องๆ เด็กซิ่วที่ซิ่วอยู่บ้านก็ไม่ต้องเสียอกเสียใจไป ไม่ได้แปลว่าเราไม่เก่ง ไม่แกร่ง หรือพยายามน้อยกว่าเพื่อนๆคนอื่นๆ เราก็ผ่านช่วงเวลาที่แสนหนักหน่วงมามากมายเช่นกัน เพราะฉะนั้นน้องๆ ก็ตอบไปตามตรงเลยค่ะว่า

         "ตอนเตรียมตัวซิ่ว หนูซิ่วแบบอยู่บ้านอ่านหนังสือเต็มที่ไปเลย อาจจะไม่เคยได้เข้าร่วมกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัย แต่ย้อนอดีตไปตอนมัธยมฯ หนูเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงเลย
นะคะ (งัดพอร์ตโฟลิโอขึ้นมาโชว์ แล้วเล่าให้กรรมการฟังยาวๆ)"


         คำถามนี้เหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อให้อาจารย์ได้รู้จักตัวตนของเราว่า เราเป็นเด็กที่มีไลฟ์สไตล์ มีมุมมองในชีวิตที่น่าสนใจ และเหมาะกับคณะมากแค่ไหน แม้ว่าน้องๆอาจจะไม่ใช่เด็กกิจกรรมแบบสุดโต่ง แต่แค่เราแสดงให้เห็นว่าพร้อมที่จะให้ความร่วมมือและช่วยเหลือคณะ/มหาวิทยาลัยในทุกๆ กิจกรรม นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเรามีใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับสถาบันแล้วนะคะ สร้างคุณค่าให้กับตัวเองด้วยความเป็นเด็กมีจิตสาธารณะแบบนี้ ประทับใจและเข้าตากรรมการแน่นอน


6. ถ้าได้เรียนจะทำอะไรเพื่อคณะ?
         อื้อหือ! เป็นคำถามที่ดูเหมือนจะง่ายแต่ตอบได้ยากมากเลยค่ะ ตัวพี่เมก้าเองก็พลาดกับเรื่องนี้มา TT__TT จำได้ว่าตอนนั้นอาจารย์ถามว่า "ถ้าได้เข้าไปเรียนจะทำอะไรเพื่อคณะบ้าง?" ความจริงคำตอบมีอยู่ร้อยแปดพันเก้า แต่พี่เองตื่นเต้นเกินจนพลั้งปากตอบไปแบบไม่ทันคิดว่า "ทำได้ทุกอย่างที่อาจารย์มอบหมายเลยค่ะ" เข้าทางเลยสิ "งั้นถ้าครูให้เธอไปกวาดพื้น ถูพื้น เก็บขยะ เธอก็จะทำงั้นสิ" เงิบไปเลย ความจริงไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ทำได้นะคะ แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่หน้าที่หลักๆของศึกษาเนอะ


 
         อาจารย์คงอยากได้คำตอบที่ชัดเจนมากกว่าคำตอบที่เอาใจคนฟังน่ะค่ะ พี่เมก้าคิดว่าถ้าเป็นไปได้น้องๆ เตรียมคิดไปเลยดีกว่าว่า ถ้าเราได้เข้าเรียน เราตั้งใจจะทำอะไรเพื่อคณะบ้าง อาจจะไม่ต้องวางเป้าหมายถึงขั้นที่ว่าจะเป็นนักศึกษาดีเด่นช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับคณะ เราเริ่มจากจุดหมายเล็กๆ ไปจุดหมายใหญ่ๆก็ได้นะคะ เช่น เป็นตัวอย่างที่ดีให้รุ่นน้อง เป็นนักศึกษาที่ปฏิบัติตนตามระเบียบ ยึดมั่นในอุดมการณ์ของมหา'ลัย ทำประโยชน์เพื่อสังคมส่วนรวม ฯลฯ อย่าแสดงท่าทางลังเล ไม่มั่นใจ ไม่รู้เด็ดขาด คะแนนติดลบแน่นอนค่ะ

7. ต้องการอะไรจากที่นี่?
         "ต้องการเรียนที่นี่ไงคะ?" เฮ้อออ! ถ้าตอบไปแค่นี้อาจารย์ได้กรอกตามองบนแน่เลยค่ะ น้องๆ ควรตอบอะไรที่แสดงให้เห็นว่า เราใส่ใจและมองเห็นความสำคัญของทุกสิ่งรอบตัวนะคะ ในเมื่อคณะต้องการให้เราทำสิ่งดีๆ เราก็ย่อมมีความคาดหวังอยู่แล้วว่า "คณะจะมอบอะไรให้กับเราบ้าง?" ดังนั้นให้น้องๆ เตรียมคิดไว้เลยค่ะว่า "เราต้องการอะไรจากที่นี่!" บางคนรีบตอบใหญ่เลย "ต้องการมีความรักกับใครสักคน ต้องการเรียนแบบง่ายๆ สบายๆ รายงานน้อยๆ ค่ะ ฯลฯ" เดี๋ยวๆๆ สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ตัวเองนิดนึง ฮ่าๆ

         คำตอบเล่นๆ เก็บไว้คุยกับมายเฟรนด์ได้นะคะ แต่นาทีนี้ต้องจริงจังก่อน เลือกคำตอบที่ทำให้กรรมการเกิดความประทับใจในตัวเราดีกว่าค่ะ อย่างบางคนก็จะเลือกตอบไปทางเรื่องเรียนเรื่องทำงาน เช่น "หนูต้องการเก็บเกี่ยวความรู้ให้เต็มที่ จะได้นำไปใช้สำหรับการเรียนและทำงานในอนาคตค่ะ" บางคนก็เน้นๆ เรื่องกิจกรรมเลยว่า "ผมเป็นเด็กกิจกรรมเลยอยากสร้างประสบการณ์และความทรงจำดีๆร่วมกันกับ เพื่อนๆ รุ่นพี่ และอาจารย์หลายๆ ท่านครับ ถ้าคณะมีกิจกรรมให้ทำเยอะก็ตอบโจทย์เลย" นี่ไง ตอบไปตามที่ใจคิด แถมยังดูน่ารักครุคริด้วย       

 
8. ถ้าตกสัมภาษณ์จะทำยังไง?

         สำหรับน้องๆ เด็กซิ่ว การสอบสัมภาษณ์นับเป็นบททดสอบวัดใจเลยค่ะ เหมือนกับว่าขาเราก้าวไปข้างหนึ่งแล้ว อีกข้างเดียวก็จะเข้าไปยืนยิ้มกริ่มอยู่ที่คณะในฝัน ไม่มีใครอยากพลาดมาตกสัมภาษณ์ในรอบนี้หรอกเนอะ แต่ถ้าเราโดนกรรมการจี้มาล่ะ โอย เจ็บปวด! เป็นคำถามที่ค่อนข้างทำร้ายจิตใจคนฟังพอสมควรเลยค่ะ พี่เมก้าเลยอยากให้น้องๆ ลองคิดหาคำตอบไว้ล่วงหน้าเลย สมมติเราตกสัมภาษณ์จะทำยังไงต่อไป? ไม่ได้ให้มองโลกในแง่ร้ายนะคะ แค่ให้เตรียมหาทางออกไว้ก่อนจะได้ไม่กริบหรือปล่อยโฮในห้องสอบสัมภาษณ์

         อย่างน้องบางคนถ้าสัมภาษณ์รอบรับตรงก็ยังมีโอกาสในรอบแอดมิชชั่นอยู่ สามารถบอกอาจารย์ได้ว่า "ถ้าตกสัมภาษณ์ในรอบนี้ หนูก็จะกลับมาพบกับอาจารย์อีกครั้งหนึ่งในรอบแอดมิชชั่นค่ะ" แต่ถ้ายังโดนถามต่ออีกว่า "ตกสัมภาษณ์ในรอบแอดมิชชั่น" ให้คิดไว้เลยว่านี่เป็นคำถามวัดใจว่าเราทนต่อแรงกดดันได้มากแค่ไหน การสอบสัมภาษณ์ในรอบแอดฯ กลาง ถ้าคุณสมบัติน้องๆ ถูกต้องตามเกณฑ์ ไม่ได้เสียสติ จิตวิปริต การันตีได้ว่าผ่านทุกคน! ตอบอาจารย์ไปอย่างมั่นใจเลยค่ะว่า "ถ้าตกสัมภาษณ์จริงๆ หนูคงต้องรอรับตรงหลังแอดฯ ไม่ก็หา ม.เอกชน ที่สายการเรียนใกล้กันเรียนไปก่อน แล้วกลับมาลุยใหม่ปีหน้าค่ะ เพราะหนูรักที่นี่จริงๆ" สวยๆ มีอุดมการณ์

         คำถามที่หลายๆคนอาจจะได้เจอบ้างก่อนโดนปล่อยออกจากห้องเย็น ก็คงเป็น "มีข้อสงสัยอยากจะถามกลับมั้ย?" บางคนอยากจะสั่นหัวแล้วตอบไปเลยว่า "ไม่มีค่ะ/ครับ" แต่ก็ต้องฝืนยิ้มแล้วตั้งคำถามส่งไป เช่น คณะมีทุนสนับสนุนมั้ยคะ? มีกิจกรรมอะไรที่น่าลองมั้ยครับ? ถามอะไรก็ได้ค่ะ ถามไปเถอะ อาจารย์ท่านอยากคุยกับเราแค่นั้นเอง ^W^


 
         สิ่งที่พี่เมก้าอยากให้น้องๆ มีติดตัวไว้ก็คือดวงตาและรอยยิ้มที่จริงใจค่ะ ต่อให้อาจารย์ปล่อยหมัดฮุกเป็นคำถามที่ยากจนเราแทบปาดเหงื่อแค่ไหนก็สบตาและยิ้มกว้างๆ ไว้ก่อน อย่าไปแสดงท่าทีว่ากลัวนะคะ อาจารย์จะยิ่งแกล้งเราค่ะ เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด สอบผ่านแน่นอน!
 
พี่เมก้า
พี่เมก้า - Columnist นักข่าวสายการศึกษา ที่มีความสุขกับการแต่งฟิค อ่านฟิค เพ้อถึงยัมมี่ฟู้ดไปวันๆ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

1 ความคิดเห็น

ลูกแก้ว 12 ก.ค. 59 19:56 น. 1
ขอบคุณมากๆนะคะ พอได้เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกมีความพร้อมมากขึ้น รู้วิธีการสอบสัมภาษณ์ด้วย #เด็ก60 เยี่ยมว้ายชูสองนิ้ว
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด