Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

รีวิวการสอบเข้าแพทย์ มศว - Nottingham(โครงการร่วม ฯ) + สัมภาษณ์ Dilemma

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่
**กระทู้นี้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อการเตรียมตัวสำหรับนักเรียนที่มีความสนใจจะเรียนคณะแพทย์ศาสตร์ของ หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต (โครงการร่วม ฯ) มิได้มีเจตนานำข้อมูลใดๆมาเผยแพร่โดยมิชอบ หากมีอาจารย์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องท่านใด เล็งเห็นว่าเนื้อหา/ข้อมูลใดๆกระทู้นี้ให้โทษมากกว่าประโยชน์กับฝ่ายใดก็ตาม ขอให้ติดต่อมาเพื่อแก้ไขทันทีครับ** 

สืบเนื่องจากกระทู้ รีวิวการสอบเข้า แพทย์ ธรรมศาสตร์ อินเตอร์ [CICM] คราวนี้มาพูดถึงแพทย์อินเตอร์ฝั่ง มศว กันบ้าง

อัพเดท กันยายน 64 ตอนนี้เรียนปี 4 ที่ มธนะครับ อาจจจะตอบเรื่อง มศวมากไม่ได้

หากใช้คำผิด หรือ สะกดผิด หรือข้อมูลผิด ขอโทษด้วยครับบ
ข้อมูลทุกอย่างอ้างอิงจากเกณฑ์การรับเข้าปี 2561 อาจมีการเปลี่ยนแปลง

 
หลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต (โครงการร่วม ฯ) ระหว่างคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนอตติงแฮม สหราชอาณาจักร (The Joint Medical Programme – Srinakharinwirot University and the University of Nottingham, UK)

กระทู้นี้แบ่งเป็น 4 PART นะ 
(คลิ๊กไป Part ที่ต้องการได้เลย)
PART1 - ข้อมูลทั่วไป
PART 2 – BMAT (เนื้อหาเดียวกับกระทู้ CICM)
PART 3 - สัมภาษณ์สุดหิน
PART 4 - การสอบสัมภาษณ์ มศว ปีล่าสุด

 
PART1 - ข้อมูลทั่วไป
การเรียนการสอน แบ่งเป็น 3 ช่วง
  1. ปรับพื้นฐาน
เรียน Basic Sciences ที่ มศว
  1. Pre Clinic ปี 1 – 3
Nottingham และได้ปริญญา B.Med.Sci. B.Med.Sci.
  1. Clinic ปี 4-6
มศว องครักษ์

รับรอบไหน ใช้อะไรตัดสิน
ปี 61 รับรอบ 1 Portfolio โดยเกณฑ์การสมัครสามารถดูจากเว็บไซต์ของคณะเพราะอาจะเปลี่ยนแปลงทุกปี หลักๆแล้วก็คือ
  1. Transcript
  2. IELTS UKVI 7.0 +
  3. BMAT
อ้างอิง http://www.enttrong.com/3528/2
 
PART 2 – BMAT (เนื้อหาเดียวกับกระทู้ CICM)
 
BMAT คืออะไร?
น้องๆหลายคนที่สนใจจะเรียนแพทย์คงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว BMATย่อมากจาก BioMedical Admission Test ซึ่งเป็นข้อสอบของประเทศอังกฤษ ที่ใช้คัดเลือกนักเรียนแพทย์ในประเทศอังกฤษ แต่หลายๆประเทศก็นำมาใช้เช่นกัน อย่างเช่น ประเทศไทย ส่วนนี้พี่อาจจะเขียนไม่ลึกมากนะครับ คาดว่ามีหลายกระทู้เขียนเกี่ยวกับ BMAT ละ ไปหาอ่านกันดู
 
BMAT แบ่งเป็น 3 Section
 
Section1 - Aptitude Test (1ชม ประมาณ 40ข้อ)
ส่วนนี้จะมีคำถาม 3 แบบหลักๆ
 
  1. คำถามเชาว์แบบสั้นจบในข้อเดียว
  2. คำถามอ่านจับใจความสั้นจบในข้อเดียว
  3. Mix ของ 1&2 คำถามอาจจะยาวถึง 1 หน้า และ มีคำถามย่อย 4-5 ข้อ แนะนำให้น้องๆหา Past paper (ข้อสอบเก่า) มานั่งทำ ปัจจุบันมีประมาณ 10 กว่าชุด ค่อยๆทำสลับกับหนังสือเล่มอื่นเพื่อเก็บข้อสอบเก่าไว้ทดสอบตัวเองตอนมั่นใจดีกว่า
 
ความยากของเชาว์ section นี้คือ
  1. การ solve ปัญหาซึ่งยากอยู่แล้ว แต่ถ้ามีหัวด้านนี้ก็จะง่ายหน้า
  2. การตีโจทย์ เพราะเป็นภาษาอังกฤษ อาจะมีการใช้ศัพท์ที่เข้าใจยากในบางครั้ง
เพราะฉนั้นการทำ Section นี้ได้ จะต้องฝึกฝนทั้งภาษาและวิธีแก้ปัญหา
 
** TIP - เมื่อลองทำโจทย์แล้วลองดูว่าเราถนัดคำถามแบบไหนที่สุด ถ้าเจอแล้วเวลาทำข้อสอบให้ทำคำถามแบบนั้นให้หมดก่อน แล้วค่อยทำอันที่ไม่ถนัดเพราะสุดท้ายแล้วทุกข้อคะแนนเท่ากันอยู่ที่ว่าเราทำไปเยอะแค่ไหน **
 
Section 2 - Academic (30 นาที ประมาณ 35ข้อ)
ส่วนนี้จะประกอบด้วย 4 วิชา คละๆกัน
  1. Biology
  2. Chemistry
  3. Math
  4. Physic
ความยากของ Section นี้ไม่ใช่เนื้อหา แต่คือ ภาษา และ เวลาอันจำกัดมากๆ น้องๆที่เรียน ม ปลาย สายวิทย์มาน่าจะมีความรู้เพียงพอแต่ต้องฝึกภาษาเพิ่ม น้องรร นานาชาติถ้าเรียน A Level อยู่ เนื้อหาค่อนข้างเพียงพอ ฝึกทำให้เร็ว ให้แม่น จะได้ไม่ลังเล
 
TIP- เมื่อเข้าห้องสอบให้ทำวิชาที่ถนัดที่สุดให้หมดก่อนไม่ต้องไล่ข้อ แล้วค่อยๆทำวิชาที่ถนัดน้อยกว่า
 
Section 3 - Essay (30นาที)
การใช้ภาษาเขียนตรงนี้ไม่ต่างจาก IELTS แต่ยากตรงการคิด Content เพราะคำถามจะซับซ้อนกว่า จะหาคำตอบที่ เป็นกลางยากกว่าเพราะฉนั้นฝึกทำโจทย์เยอะๆ
 
TIP- ห้ามเว้นคำตอบว่าง เพราะไม่มีการหักคะแนน ถ้าเหลือ 10 วิสุดท้าย ให้ฝนคำตอบไปให้หมด อย่าเครียด จำไว้ว่า เค้าไม่ได้กะว่าเราจะทำเสร็จทุกข้อ แต่ทำให้มากที่สุด ปล. 10 วิสุดท้าย ก็ดิ่งเหมือนกัน 55555
 
PART 3 - สัมภาษณ์สุดหิน
 
ส่วนนี้จะเป็น50%  ของการตัดสินน้องๆเลยทีเดียว การสัมภาษณ์ของ มศว จะเป็นวิธี MMI ย่อมาจาก Multiple Mini Interview แปลตรงตัวคือการสอบ แบบ สัมภาษณ์หลายๆห้อง ห้องละสั้นๆ ซึ่งแต่ละมหาลัยก็จะแตกต่างกันไป เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด MMI เป็นการสอบสัมภาษณ์ที่โรงเรียนแพทย์ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศอังกฤษจะพบเห็นได้บ่อยมากๆ เพราะคณะกรรมการจะได้เห็นทัศนคดติของนักเรียนในหลายๆมุมมอง และสถานการณ์ หลักๆแล้วจะมีคำถามอยู่ 6 ประเภท

1. Dilemma
คำถามประเภทนี้ถือว่าโหดมากๆ โหดชนิดที่ว่าน้อองๆอาจจะไม่เคยพบเคยเห็นที่ไหนมาก่อน Dilemma เป็นสถานการณืที่ผู้สอบจะต้องตัดสินใจในสิ่งที่ไม่มีคำตอบตายตัว และใช้การคิดวิเคราะห์ในหลายๆมุม จะมีทั้งแบบเป็น Role play คือสมมุติว่าเราเป็นบุคคลในโจทย์ และ แบบอธิบายการคิดวิเคราะห์ของเรา Dilemma บางข้อเราอาจจะต้องถามอาจารย์ผู้คุมสอบเพิ่มเพื่อเก็บข้อมูลในการวิเคราะห์ สิ่งที่ผู้คุมสอบต้องการเห็นคือ วิธีคิดของเรา ว่าเราพิจารณาข้อมูอะไรบ้าง และตัดสินใจทำอะไรบ้าง เพราะฉนั้นคิดอะไร อยากรู้อะไร พูดไปให้หมด ให้เค้ารู้ว่าเราคิดแล้วนะ เรารอบคอบทุกรายละอียดและการแก้ปัญหา หรือการตัดสินใจของเราเป็นทางที่ดีที่สุดของทุกๆฝ่าย  พี่จะยกตัวอย่างคำถามและแนวการตอบ

โจทย์ : น้ำยาล้างมือ!!
Scenario นี้คือ เราเป็นแพทย์ในโรงพยาบาล แล้ววันนึงเราสังเกตุว่ามีผู้ชายคนนึงชอบมากินน้ำยาล้างมือที่โรงพยาบาลจัดหาไว้ให้คนไข้ ทำให้มันหมดและคนไข้ไม่มีใช้
เก็บข้อมูล
1.ผู้ชายคนนี้เสพติด Alcohol รึเปล่า? ถึงได้มากิน (น้ำยาล้างทอมีส่วนผสมของแอลกอฮอล)
2. ผู้ชายคนนี้มีปัญหาทางจิตหรือเปล่า?
3. ผู้ชายคนนี้เป็นคนไข้ของโรงพยาบาลหรือไม่?
4. การบริโภคแอลกอฮอล มีผลเสียอย่างไรบ้าง
5. ผู้ชายคนนี้มากินบ่อยแค่ไหน
ปัญหาคืออะไร?
ปัญหาในโจทย์นี้ คือ
1.ผู้ชายคนนี้มาบริโภคเจลล้างมือซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของเค้า
2.คนไข้ไม่มีน้ำยาล้างมือใช้ เพราะผู้ชายคนนี้บริโภคจนหมด
 
การแก้ปัญหา
เราจะต้องหาทางที่แก้ปัญหาได้ทั้ง 2 ข้อ และควรหาวิธีแก้มาอย่างน้อย 2-4 ข้อแล้วจึงบอกว่าเราจะเลือกวิธีไหน

1.ไม่ทำอะไร (แน่นอนว่าไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดและไม่ได้แก้ปัญหาเลย)
2.ห้ามผู้ชายคนนี้เข้าโรงพยาบาล (จะแก้ได้เพียงข้อเดียวเท่านั้น ไม่ได้ช่วยรักษาผู้ชายคนนี้)
3.ย้ายที่วางเจล (แก้ได้ทั้ง 2 ข้อแต่ไม่ยั่งยืน เพราวันนึงเค้าก็จะหาเจอและบริโภคมันต่อ)
4.ไปสอบถามผู้ชายคนนี้โดยตรงในฐานะที่เราเป็นหมอ หาว่าเค้าติดแอลกอฮอล หรือ มีปัญหาทางจิตกันแน่ และอธิบายให้เค้าเข้าใจว่าสิ่งที่เค้าทำ ส่งผลเสียต่อตัวเค้าเองและผู้อื่น จากนนั้นเสนอให้เค้าเข้ารับการรักษา หรือขอนุญาติติดต่อญาติเพื่อดำเนินการรักษา (ข้อนี้ฟังดูดีสุดและเป็นคำตอบสุดท้าย)
จากตัวอย่างนี้น้งจะเห็นได้ว่าจากโจทย์ที่มันงงๆดูไม่เป็นเรื่อง กลับมีมุมให้คิดได้อย่างมากมาย สิ่งสำคัญคือ ที่พิมพ์ไว้ทั้งหมดคือสิ่งที่ต้องเกิดในหัวน้องๆ ตอนตีโจทย์ และที่สำคัญคือต้องออกจากปากน้องๆให้คณะกรรมการทราบว่าน้องคิดอะไรอยู่ ตอบให้หมด ทั้งข้อที่ผิด และเหตุผลที่มันผิด และข้อที่ถูกพร้อมเหตุผลว่าทำไมถึงถูก

2. Role Play
โจทย์แบบนี้เราจะต้องเล่นละครจริงๆ มาได้หลายรูปแบบมากๆ ทั้ง เล่นกับเด็กออทิสติก, ช่วยเหลือคนพิการ ต่างๆนาๆ คณะกรรรมการจะดูความรอบคอบของเรา จงไตร่ตรองทุกการกระทำ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เช่น หากเราเป็นคนพิกากร เราอยากให้คนอื่นช่วยสักแค่ไหน อย่าไปล่วงเกินเพราะอาจะทำร้ายจิตใจ Treat เค้าให้เหมือนคนทั่วไปมากที่สุดและที่สำคัญที่สุดคือ ยิ้มมมมมมมม ยิ้มเค้าไว้

3. ตรงไปตรงมา
ก็คำถามยอดฮิตทั่วไป ทำไมอยากเป็นหมอ พ่อ แม่ ทำงานอะไร เรามีคุณสมบัติอะไร บลาๆๆๆ

4. วิชาการ
อันนี้สุดแลวแต่ความสามารถแต่ละคน BMAT ที่เตรียมตัวไว้ก็จะได้ใช้ในโจทย์แบบนี้แหละ

5. Puzzle
เป็นการต่อจิ๊กซอว์ หรืพวก Block ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าเครียด เพราะก็มีคนทำไม่ได้เหมือนเราแน่ๆ สิ่งสำคัญคือแสดงให้อาจารย์เห็นว่าเราวางแผนนะ เราคิดแล้วนะ เราพยายามแล้วนะ

6. Portfolio
ก็คำถามตรงๆจาก Port นั่นแหละ พวก ทำอะไรมาบ้าง จิตอาสา ประสบการณ์ อะไรพวกนี้
 
PART 4 - การสอบสัมภาษณ์ มศว ปีล่าสุด
อาจจะจำไม่ได้ 100% แต่พี่จะเล่าเท่าที่จำได้ มีทั้งหมด 7 ห้อง อาจารย์คนไทย 4 ห้อง อาจารย์ต่างชาติ 3 ห้อง แต่ตอบภาษาอังกฤษหมดนะ

ห้อง 1 Puzzle/ตรงไปตรงมา
มีกล่องสีเหลี่ยมวางไว้ให้เราประกอบ (ยากมาก และทำไม่ได้555555) ระหว่างเรากำลงัต่อ อาจารย์ก็จะถามคำถามตรงไปตรงมา ทำไมอยากเป็นหมอ
สุดแล้วแต่น้องๆนะ อันนี้ต้องหาคำตอบกันเอง
ทำไมต้องเป็นหมอ ไม่เป็นพยาบาลล่ะ ?
แนวการตอบในข้อนี้ให้คิดไว้ในใจเสมอว่า หมอ ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าพยาบาลนะ เพียงแต่มีคนละบทบาท หน้าที่และวิธีการทำงาน อย่างไรก็ตามทั้ง 2 อาชีพล้วนมุ่งหวังสิ่งที่ดีที่สุดพื่อคนไข้ หมอจะมีความสามารถในการ วินิจฉัยโรค และวางแผนการรักษา รวมถึงเป็นอาชีพที่ต้องการหาต้นเหตุของโรค ส่วนพยาบานั้นมีหน้าที่ ช่วย และ รักษาคนไข้เบื้องต้น รวมถึง Implement การรักษาที่หมอวางแผนไว้ และต้องยอมรับว่า ขาดพยาบาลไป หมอก็คงลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว
 
ตั้งสติให้ดี อย่ายอมแพ้กับการต่อ Block และอย่าลืมตอบคำถามควบคู่ไปด้วย
 
ห้อง 2 Role play
ห้องนี้เราจะต้องไปช่วยเพื่อนอิทิสติกในการต่อจิ๊กซอว์ หากต่อเสร็จจะได้เล่น จิ๊กซอว์ชุดต่อไปที่ยากขึ้น สิ่งสำคัญคือเราจะต้องสื่อสารกับเค้าให้เค้ารู้สึกไม่แปลกแยก และรู้สึกสบายใจเมื่อเล่นกับเรา ห้ามบังคับ หรือ ต่อจิ๊กซอว์ให้เป็นอันขาด และจมีอาจารย์คอยดูให้คะแนนอยู่ สิ่งแรกคือสังเหตุสิ่งรอบๆตัว บนโต๊ะมีอะไรบ้างตอนนั้นพี่เห็นกล่องจิ๊กซอว์ ซึ่งมันมีแบบที่ต่อเสร็จแล้วเป็นตัวอย่างหดูอยู่ ก็แอบดู และค่อยๆใบ้ ค่อยๆ แนะให้เพื่อนของเราต่อ ซึ่งแน่นอนว่าเค้าก็จะแกล้งต่อมั่วๆ ไม่สำเร็จ ก็ยิ้มเค้าไว้ และพยายามที่สุด อย่าลืมยิ้มมมมม
 
ห้อง 3 Dilemma กึ่งจรรยาบรรณ
Scenario คือเราเป็นนักเรียนแพทย์ชั้นปีที่ 4 เรากับเพื่อนรับตัวอย่างเลือดของคนไข้คนนึงมา และเพื่อนเผลอทำ Lebel หาย ทำให้ไม่รู้ว่าเลือดอันไหนเป็นของคนไข้คนนี้กันแน่ ทำให้ต้องขอคนไข้เจาะเลือดอีกรอบ เราจะอธิบายกับคนไข้อย่างไรให้เค้าสบายใจ เราจะทำยังไง
พิจารณา
  1. ห้ามโกหกคนไข้ ทำหายก็ต้องยอมรับ แต่พอดีเพื่อนเราเป็นคนทำเนี่ยสี แต่รับตัวอย่างเลือดมาพร้อมด้วยกัน ทำยังไงดี
  2. ทำยังไงให้เพื่อนโดนลงโทษน้อย หรือ สมเหตุสมผลที่สุด
  3. ตกลงเราผิดไหม?
  4. คิดไปถึงว่าเพื่อนเราอยู่ปี 4 แล้ว ไม่น่าทำผิดพลาดที่ sensitive ขนาดนี้ และเค้าจะมีปัญหาในอนาคตเมื่อจบไปเป็นแพทย์หรือไม่
ปัญหา
  1. จะพูดกับคนไข้ยังไง ให้คนไข้ไม่เข้าใจผิดว่าผลเลือดของเค้าไม่ได้มีปัญหา และเราเป็นฝ่ายผิดในวิธีที่อ่อนน้อมที่สุด
  2. จะพูดกับอาจารย์ยังไงให้เพื่อนโดนโทษไม่หนัก
การแก้ปัญหา Step – by – step
  1.  ปรึกษาอาจารย์ทันที บอกให้หมดว่าเกิดอะไรขึ้น และแสดงความรับผิดชอบของเราด้วยถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นคนทำหาย แต่ตัวอย่างเลือดนี้ก็อยู่ในการดูแล ของเรา เราก็มีหน้าที่ต้องเช็คให้ดี จะรับผิดร่วมกันกับเพื่อน
  2. บอกคนไข้ไปตามตรงว่าเกิดเหตุแบบนี้ และเราจะไม่เสี่ยงตามหาผลเลือด การเจาะให้เป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด รวมถึงไม่ได้มีเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของผลเลือดแต่อย่างใด
**ข้อนี้ยอมรับว่าไม่ชัวร์คำตอบตัวเองเหมือนกัน ไม่รู้ว่ามีทางที่ดีกว่านี้ไหม น้องๆลองกลับไปคิดกันดู
 
ห้อง 4 Dilemma
Scenario นี้คือเราเป็นแพทย์ และมีผู้หญิงท้องคนนึงมาตรวจเลือด และ พบว่าเป็น HIV เค้าต้องการให้เราเก็บเป็นความลับ และโกหกสามีเค้าว่าเค่าไม่ได้เป็น เราจะมีวิธีการรับทอ และบอกผลเลือดกับเค้ายังไง
เก็บข้อมูล
  1. คนไข้รู้จัก HIV ดีแค่ไหน รู้ไหมว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดและผู้ติดเชื้อสามารถ ใช้ชีวิตตามปกติได้หากได้รับการรักษา และทานยาตามกำหนด
  2. ทำไมถึงไม่อยากให้บอกสามี
  3. คิดว่าตนเองเสี่ยงได้รับเชื้อมาเมื่อไหร่ ก่อนมีเพศสัมพันธ์กับสามีหรือไม่
  4. จะมีผลกับลูกในครร หรือไม่?
ปัญหา
  1. คนไข้ต้องการให้เราโกหกสามี
  2. เราจะใช้วิธีบอกผลเลือดกับคนไข้อย่างไรให้ดีที่สุด
การแก้ปัญหา
  1. บอกคนไข้ และ โกหกตามที่ขอ (แก้ปัญหาไม่หมด และผิดจรรยาบรรณ)
  2. จะต้องบอกผลเลือดคนไข้ตามความเป็นจริงรวมถึงอธิบายว่า มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดและเค้ายังใช้ชีวิตได้ตามปกติ จากนั้นแนะนำให้คนไข้บอกกับสามีเรื่องผลเลือดพร้อมทั้งอธิบายเหตุผลว่า กำลังใจจากคนใกล้ตัวมีความสำคัญมากๆ รวมถึงการบอกสามีจะสามารถระมัดระวังการติดเชื้อไปสามีได้ รวมถึงวางแผนการรักษา และบอกคนไข้ว่า เราคงจะโกหกไม่ได้ แต่หากสามีมาถาม เราจะขออนุญาติจากเค้าก่อนจะบอกผลเลือด และหากเค้าไม่อนุญาติราจะไมม่โกหกแต่จะไม่บอกผลเลือดกับสามี(เคารพการตัดสินใจ) รวมถึงแนะนำต่อว่า อยากให้พาสามีมาคุยได้ เราจะช่วยอธิบายให้ (แบบนี้จะแก้ปัญหาได้ทั้ง 2 ข้อ อย่างดีที่สุด)
ห้อง 5 Roleplay/Dilemma
Scenario นี้ เราเป็นแพทย์จะของไข้ของผู้ป่วยมะเร็งระยะที่ 3 ที่อยากจะใช้ เห็ด (แพทย์ทางเลือก) ในการรักษา เพรามีญาติใช้แล้วหาย โดยมีใบปลิวมาให้เราอ่านเกี่ยวกับเห็ด และการรักษาด้วยคีโม จะทำให้คนไข้อยู่ได้นานขึ้น 4-5 ปี
เก็บข้อมูล
  1. คนไข้รู้จักมะเร็งดีแค่ไหน
  2. ทำไมถึงไม่อยากทำ คีโม
  3. คนไข้รู้จักแพทย์ทางเลือกดีแค่ไหน
  4. คนไข้รู้จักคีโมดีแค่ไหน
  5. การทำคีโม จะเพิ่มโอกาสให้คนไข้มีชีวิตอยู่ได้นานขึ้น
ปัญหา
  1. คนไข้อยากใช้เห็ดในการรักษา
  2. เราอยากให้คนไข้คีโม
  3. แพทย์ทางเลือกไม่มีงานวิจัยทางการแพทย์รับรองว่าได้ผล
การแก้ปัญหา
  1. ที่พี่ตอบไปคือเริ่มจากแจ้งผลว่าคนไข้เป็นมะรัง ตามด้วยอธิบายว่า มะเร็งมีทั้งหมด 4 ระยะ คนไข้อยู่ที่ 3 และไม่ว่าจะระไหนก็มีสิทธิ์หายทั้งนั้น
  2. คนไข้รู้จักแพทย์ทางเลือกหรือไม่ และทราบใช้ไหมว่าแพทย์ทางเลือก ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศษสตร์รับรอง
  3. ถามเหตุผลว่าทำไมถึงไม่อยากทำคีโม พร้อมยกตัวอย่างหลายๆเคสที่ใช้คีโม รักษาจนหายขาด พร้อมทั้งอธิบายว่า คีโมเป็นวธีการรักษาที่มีหลักฐานทางวิทาศาสตร์รองรับว่าได้ผล และหากใช้คีโม เรา Expect ว่าคนไข้จะใช้ชีวิตได้นานขึ้น 4-5 ปี (อันนี้โจทย์ให้)
  4. อย่างไรก็ตามเรายินดีที่จะทำตามสิง่ที่คนไข้ต่องการมากที่สุด แต่ความรู้จากใบปลิวที่ให้มานั้น อาจไม่เพียงพอที่หมอจะให้คนไข้ใช้เห็ดในการรักษา เพราะฉนั้น หมออยากให้คนไข้กลับไปศึกษาเรื่องคีโมมาเพิ่มเติม ส่วนหมอเองจะไปศึกษาเรื่อองเห็ดที่คนไข้นาเสนอและขอนัด Follow up ในสัปดาห์ถัดไป
  5. จกานั้นเมื่อคนไข้กลับมาแล้วยังคงยืนยันที่จะใช้เห็ด ก็จะอนุญาติ (Respect patient autonomy) แต่จะขอดูอาการเป็นระยะๆ หากไม่มีอาการดีขึ้น หมอจะเสนอให้ใช้เห็ดควบคุ๋ไปกับการทำคีโม
** การตอบ Dilemma ทุกข้อที่ยกมา เป็นเพียงคำตอบที่ พี่คิดว่าดีที่สุด แต่มันก็ย่อมมีคำตอบที่ดีกว่านี้ อย่าลืมว่าอาจารย์คงไม่ได้คาดหวังว่าน้องจะต้องคิดได้อย่างแพทย์ที่มีประสบการณ์จริงๆ เพียงแต่ น้องต้องแสดงให้เห็นว่า เอา จรรยาบรรณแพทย์ที่อ่านมา เข้ามา  Apply ในการตอบได้ด้วย รวมถึงหลักคิดแบบรอบคอบ

ปล. Dilemma หากเป็นการตอบแบบอธิบายพี่แนะนำว่าให้ตอบในแบบอื่นๆด้วย เช่น ให้คนไข้ใช้เห็ดรักษา (แบบนี้จะไม่แก้ปัญหาทุกข้อ) คือพูดคำตอบในทุกๆด้านไปให้หมด เพื่อให้รู้ว่าเราพิจารณาทุกทางออกแล้ว จึงเลือกข้อที่ดีที่สุด เพราะเหตุผลอะไรก็ว่าไป ส่วนถ้าเป็นการตอบแบบ Roleplay ก็ตอบข้อที่เราคิดไว้ในใจว่าดีทั่สุดเพียงข้อเดียวว
ห้อง 6 วิชาการ

จำโจทย์ข้อนี้ไม่ได้จริงๆ จำได้แค่ว่าเกี่ยวกับหลอดลม
 
ห้อง 7 Portfolio/ตรงไปตรงมา
ห้องนี้จะเป็นอาจารย์ชาวต่างชาติอ่าน Port เรา คำถามกก็จะมี ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเหมาะกับหลักสูตรนี้ และ เคยทำกิจกกรมจิตอาสาสอะไรมาบ้าง อย่าลืมว่าหลักสูตรนี้ เราจะต้องไปใช้ชีวิตในต่างประเทศ มีความสามารถอะไรในตัวที่คุณว่าเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และคณะก็บอกไปเลยย
 
สรุป
การสอบก็จะมีประมานนี้จะเห็นว่า มศว ออก Dilemma ค่อนข้างเยอะ และข้อสอบสามารถเป็นเหตุการอะไรก็ได้ ดังนั้นต้องฝึกวิธีคิดเยอะๆ แล้วจะพอจับทางได้ว่าถ้าได้โจทย์แบบนี้ ต้องเก็บข้อมูลอะไรบ้าง ต้องพิจารณาอะไรบ้าง แล้วมีทางออกแบบไหนบ้าง
 
ค่าเทอม
คอร์สปรับพื้นฐานก่อนเรียน (เมษา- กันยา) 300,000 บาท
ปี 1-2 ปีละประมาณ 21,120 ปอนด์ (925,000 บาท)ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ปีละประมาณ 10,000 ปอนด์ (440,000 บาท)
ปี 3 ปีละประมาณ 10500 ปอนด์ (460,000 บาท) ค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นๆ 5000 ปอนด์ (220,000 บาท)
ปี 4-6 ที่ องครักษ์ ปีละ 300,000 บาท
 
รวมค่าเรียนทั้งหมด ไม่รวมค่าที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะอยู่ที่ ประมาณ 3,500,000 บาท หากรวมที่พักและค่าใช้จ่ายอื่นๆจะอยู่ที่ประมาณ 4,600,000 บาท

หากมีข้อสงสัย ก็ถามมาด้านล่างได้เลยนะครับ หรือที่ IG : papapalmlee

แสดงความคิดเห็น

>

4 ความคิดเห็น

PinK Strawberry38 22 เม.ย. 61 เวลา 08:16 น. 1

เป็นประโยชน์สำหรับน้องๆที่สนใจจริงๆค่ะ


ดีใจที่จะได้มาเป็นรุ่นน้องร่วมคณะและมหาลัยเดียวกันนะคะ


พี่อยู่ภาคปกติ กสพท กำลังจะขึ้นปี 4 ค่ะ ^^

0
แพงอะแงง 22 เม.ย. 61 เวลา 16:03 น. 2

ชอบวิธีตอบDilemma ของจขกทมากเลยเราว่าตอบได้ตรงโจทย์มากถึงบ้างข้อเราว่าจะมีวิธีดีกว่านี้แต่เราว่าจขกทตอบด้วยแนวคิดของแพทย์คนหนึ่งจริงๆ อยากเรียนเหมือนกันแต่เห็นค่าเทอมแล้วร้องไห้หนักมากTT

0
ชนะ 3 ส.ค. 63 เวลา 16:12 น. 3

ขอสอบถามว่าคุณสมบัติเด็กที่จบจากนิวซีแลนด์เรียนระบบ nzea ไม่เป็นแบบ A level ของอังกฤษที่เป็นระบบเกรด จะต้องสอบ SAT II เพื่อยื่นใน pirtfolio แทนไหมครับ

0
มีน111 27 พ.ย. 63 เวลา 00:27 น. 4

สวัสดีครับ พอดีมีคำถามคำ ถ้าเราป่านการคัดเลือกแล้ว ถ้าจะไปเรียนที่อังกฤษนอตติงแฮมอ่ะครับ ค่าตั๋วเครื่องบินต้องจ่ายเองไหมครับ

0