ความฝันสองทางที่ต่างกันสุดขั้ว
พี่เจมส์ ประพัฒน์ธรณ์ จักขุจันทร์ ปัจจุบันอยู่ชั้นปีที่ 2 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง สาขาการผังเมือง
ย้อนกลับไปเมื่อตอน ม.ปลาย พี่เจมส์เคยเรียนพิเศษด้านสถาปัตย์และอยากเข้าคณะนี้อยู่แล้ว แต่มีจุดเปลี่ยนเพราะสถาปัตย์มีส่วนที่ต้องคำนวณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ ในขณะที่ตนเองชอบอ่านหนังสือมากกว่าคำนวณ จึงเริ่มเปลี่ยนใจและคิดว่าคณะนิติศาสตร์เข้าทางมากกว่า แน่นอนว่า ตอนนั้น พี่เจมส์ไม่ได้เลือกสอบ PAT4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ไว้เลย เพราะเตรียมตัวสอบนิติศาสตร์เต็มที่ และถ้าใครยังจำกันได้ พี่เจมส์เคยสมัครโครงการ Brand's Admission Reality หรือโครงการตามติดชีวิตเด็กแอดมิชชั่นปี 8 และได้เข้ารอบ 1 ใน 10 คนสุดท้าย ในตอนนั้นพี่เจมส์ก็ตั้งเป้าหมายอยากเข้าคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ไว้เช่นกัน
ผลออกมาไม่มีชื่อเรา ไม่เอาแล้วรับตรง
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยปี 2559 ยังเป็นระบบ Admission แบ่งการสอบกว้างๆ เป็นรับตรงและแอดมิชชั่น ม.ธรรมศาสตร์ จะเปิดสอบตรงรอบใหญ่ปีละ 1 ครั้ง เป็นสนามสอบที่มีคนมาเข้าสอบเยอะมากๆ โดยเฉพาะนิติศาสตร์ที่ยอดการสมัครสูงหลักหลายพัน สวนทางกับยอดรับที่รับเพียง 200 กว่าที่นั่งเท่านั้น
หลังจากที่พี่เจมส์ตั้งใจจะเข้านิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ก็เตรียมตัวแบบจริงจังมาก ไม่สอบรับตรงคณะหรือมหาวิทยาลัยอื่นเลย ทั้งๆ ที่มีรับตรงเปิดรับเยอะมากในตอนนั้น ในวันสอบก็ทำเต็มที่ พอถึงวันประกาศผล... ไม่มีชื่อเราอยู่ในนั้น มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกปนกับความเฟล ผิดหวัง ที่เราเตรียมตัวมาหลายเดือนแต่สอบไม่ติด ก็เลยคิดว่าไม่เอาแล้วรับตรง ไม่สอบที่อื่นด้วย ขอไปรอบแอดมิชชั่นเลยแล้วกัน
หลังจากที่เฟลกับผลสอบ ก็ได้กำลังใจจากเพื่อนๆ ตั้งใจไว้ว่าจะมุ่งไปที่รอบแอดมิชชั่นเลย เพราะยังมีเปิดรับคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ อีก แม้จะรับน้อยลงกว่าเดิมเกือบครึ่ง
นาทีนั้นก็ยังกลัวอยู่เหมือนกันว่าถ้าเลือกแอดมิชชั่นแบบเดิม คือ เลือกแค่คณะเดียวแล้วไม่ติดอีก จะกลายเป็นไม่มีที่เรียน จึงตัดสินใจเพิ่มคณะอื่นๆ เข้ามาอยู่ใน 4 อันดับที่จัดด้วย โดยดูคะแนนของตัวเองเป็นหลัก หาคณะที่ตรงใจ และคะแนนเราก็สู้ไหว แน่นอนว่าพี่เจมส์เลือกนิติศาสตร์ไว้อันดับ 1 อันดับอื่นๆ พี่เจมส์มีกฎว่าจะเลือกคณะที่คิดว่าเรียนแล้วจะโอเค
ก่อนจัด 4 อันดับแอดมิชชั่น พี่เจมส์ใช้เวลาหลายอาทิตย์เพื่อไปรื้อดูหลักสูตรของคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยต่างๆ ไล่ดูทีละหลักสูตรว่าอันไหนที่เหมาะกับเรา จนมาเจอสาขาวิชาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง ของ ม.ธรรมศาสตร์ พี่เจมส์เล่าให้ฟังว่าไม่รู้จักสาขานี้เลย และไม่คิดจะเลือกสถาปัตย์ในแอดมิชชั่นกลางอยู่แล้ว เพราะไม่ได้สอบ PAT4 ไว้ จนได้มาเจอสาขานี้แล้วรู้ว่าไม่ใช้ PAT4 ความคิดที่จะเข้าสถาปัตย์ก็กลับมาอยู่ในหัวอีกครั้ง ส่วนคณะอื่นๆ ก็ใช้วิธีหาจากคณะที่เราสนใจและดูรายละเอียดวิชาการสอนจากตัวหลักสูตร ในที่สุดก็ได้มา 4 สาขาคือ
อันดับ 1 นิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ เพราะเป็นคณะที่อยากเข้าอยู่แล้ว
อันดับ 2 สถาปัตย์ การผังเมือง ม.ธรรมศาสตร์ เพราะเป็นคณะที่ชอบและมีพื้นฐานมาบ้าง
อันดับ 3 โลจิสติกส์ (นานาชาติ) ม.พระนครเหนือ เพราะเป็นคณะที่กำลังมาแรง มีงานรองรับ ที่สำคัญได้เรียนแบบนานาชาติด้วย
อันดับ 4 เศรษฐศาสตร์เกษตร ม.เกษตรศาสตร์ เพราะที่บ้านอยากให้เรียนและเราก็โอเค
ประกาศผลออกมา ติดอันดับ 2 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง สาขาการผังเมือง หลังรู้ผลก็ดีใจมากๆ
วิชาที่ได้เรียนในคณะนี้ในปีแรก ก็จะได้เรียนวิชาของมหาวิทยาลัยก่อน โดยเทอมแรกๆ จะเป็นการปูพื้นฐานทฤษฎีต่างๆ เมื่อเริ่มเทอม 2 จะเริ่มมีเนื้อหาของสาขาเข้ามาแล้ว จากนั้นพอขึ้นปี 2 ก็จะได้เรียนเนื้อหาของสาขาแบบเต็มๆ แต่ก็จะมีเรียนวิชาของคณะอื่นๆ ด้วย เช่น เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย และได้ลงพื้นที่สำรวจเพื่อทำเวิร์คช็อปต่างๆ โดยนำเอาความรู้ที่เรียนทฤษฎีก่อนหน้านี้มาใช้ ส่วนในปีสูงๆ ก็จะได้เรียนในเรื่องของกฎหมายการวางผังเมือง การจัดการสิ่งแวดล้อม การขนส่ง การปรับภูมิทัศน์ เป็นต้น
จุดที่สาขาการผังเมืองต่างจากสถาปัตย์อื่นๆ คือ เราไม่ได้เน้นออกแบบ แต่เน้นการแก้ปัญหาสิ่งที่มีอยู่ เมื่อจบไปแล้วสามารถทำงานในกรมโยธาธิการและผังเมืองหรือหน่วยงานอื่นๆ ในส่วนของนักจัดสรรที่ดิน วางผังเมือง
น้องๆ คงเห็นแล้วว่า พี่เจมส์เองก็ผ่านความผิดหวังจากการสอบมาเหมือนกัน พี่เจมส์ให้คำแนะนำมาว่า สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปกี่ระบบก็คือ "กำลังใจ" และถึงจะมีหลายรอบ เราจะต้องไม่ประมาท ถ้าสมมติเราผิดหวังจากรอบนั้นมา ให้คิดในแง่ดีว่ายังมีรอบอื่นๆ ต่อ อย่าเอาความผิดหวังมากดดันตัวเองจนจมดิ่งกับความเสียใจ แต่ให้เอามาผลักดันตัวเองดีกว่า ค่อยๆ นั่งคิดว่ามีอะไรที่เหมาะกับเรา
4 ความคิดเห็น
มันตรงใจที่สุด มีกำลังใจฮึบสู้ หาตัวตน หาคณะที่เป็นตัวเอง และมีโอกาสเป็นไปได้เลยครับ เพราะก่อนหน้านี้ ผมก็ยื่นสมัครไป และติด ผมดีใจมาก แต่ต้องมาพลาดรอบสัมภาษณ์ บอกตามตรงเลยครับ เครียด เศร้า จิตตก วิตกกังวล ต่างๆนานาเข้ามาในหัวหนักมากๆ เพราะผมเอาความผิดหวังมากดดันตัวเอง รู้สึกว่าความทุ่มเทของผมมันไร้ค่า เปล่าประโยชน์ รู้สึกว่าผมทำให้พ่อแม่ต้องมาเสียเวลาพาผมไปสอบสัมภาษณ์ รู้สึกว่าหรือความฝันที่เราตั้งไว้มันไม่ใช่ตัวผม ผมควรจะทำอย่างไงต่อ ควรสู้ต่อ หรือถอยออกมาหาสิ่งอื่น แต่เมื่อได้มาอ่านบทความนี้ ผมก็อยากจะบอกว่าขอบคุณจริงๆครับ บทความนี้ทำให้ผมรู้ว่า มีคนที่เจอปัญหาคล้ายผม และก็ผ่านมันมาได้ แถมยังทำให้ได้ค้นพบตัวเองขึ้นไปอีก ผมก็จะนำมาปรับใช้ ผมจะยังมุ่งมั่นในความฝันให้เป็นอันดับแรกต่อ และคณะอื่นๆก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ยื่นแล้วต้องติด คิดว่าตัวเองเรียนไหว และยิ้มสู้ต่อไปครับ เหตุการณ์ครั้งนั้นจะเป็นประสบการณ์ และบทเรียนอีกหนึ่งอย่างในชีวิตผมครับ จริงที่สุดครับ กำลังใจสำคัญที่สุด หลังจากผมล้มครั้งนั้น ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมยังมีคนที่คอยเป็นห่วง คอยให้กำลังใจอยู่นะ ไม่ได้สู้เพียงลำพัง และนั้นได้ทำให้ผมลุกสู้ต่อไปครับ ผมก็อยากขอบคุณทุกๆกำลังใจ และเป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ ทุกคนนะครับ สู้ไปด้วยกันนะครับ
สู้ๆค่ะ เป็นกำลังใจให้ ม.6 ปีนี้ทุกๆคนนะ
สู้ๆ ครับบบบบบ