"พี่เมย์" สาวน้อยใจแกร่ง เส้นเลือดสมองแตก ม.5 ปัจจุบันซีกซ้ายอ่อนแรงแต่ไม่หยุดทำกิจกรรมเพื่อสังคม


 
     สวัสดีน้องๆ ชาว Dek-D ค่ะ  TCAS IDOL วันนี้เป็นอีกครั้งที่พี่มิ้นท์ได้สัมภาษณ์แล้วหัวใจพองโต อยากให้น้องๆ ได้อ่านกัน เพื่อเติมกำลังใจเรียนและสอบ
     เพราะพี่เมย์คนนี้เคยประสบอุบัติเหตุไม่คาดฝัน(และไม่มีใครอยากให้เกิด) นั่นก็คือ เส้นเลือดในสมองแตก ตั้งแต่ช่วง ม.5 ผ่านการผ่าตัดสมองครั้งใหญ่ และเมื่อทุกอย่างผ่านมาได้ ชีวิตก็ต้องเปลี่ยนไปเพราะร่างกายท่อนบนขยับได้แค่ข้างเดียว แต่พี่เมย์ก็ยังตั้งใจจนสอบได้ทุนเพชรพระจอมเกล้าฯ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และยังกลับมาร้องเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เมย์รัก จนได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 3 จากเวที Thailand's Got Talent ไปทำความรู้จักพี่เมย์กันเลยค่ะ

 
เคราะห์ร้ายที่ไม่มีใครอยากให้เกิด... ไม่มีอาการบอกเหตุ
         กาญจนา นามะโส หรือ พี่เมย์ ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 4 ภาควิชาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี จบ ม.6 จากศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนหนองบัวลำภู
 
         เดิมทีพี่เมย์เป็นนักเรียน ม.ปลาย ธรรมดาคนนึงที่โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล แต่ที่ต้องย้ายไปเรียน กศน. เพราะเกิดอุบัติเหตุ ในวันรับตารางเรียน ม.5 พี่เมย์นั่งรถบัสกลับอุดรธานี-หนองบัวลำภูตามปกติ (นั่งเป็นประจำตั้งแต่ ม.1) ในวันนั้นทุกอย่างก็เหมือนปกติ จนมาถึง บขส.หนองบัวลำภู แต่ยังไม่ถึงบ้าน ก็รู้สึกปวดหัวมากแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ปวดจนปากเริ่มเบี้ยว เริ่มอ่อนแรง แล้วช็อกไปเลย เพื่อนก็พาไปส่งที่โรงพยาบาล ซึ่งจะต้องส่งต่อมาที่อุดรธานีอีก เพราะที่หนองบัวลำภูตอนนั้นไม่มีหมอเฉพาะทางด้านประสาท ทำสแกนคืนนั้น หมอบอกพ่อแม่ว่า มีเส้นเลือดในสมองที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มันขมวดกันเหมือนปมด้ายก้อนเล็กๆ จะโตตามอายุเรา พอมันโตเต็มที่ทำให้เลือดในสมองมันไหลเวียนไปไม่ได้จนแตก ทำให้ร่างกายซีกซ้ายอ่อนแรง ซึ่งขนาดก้อนวันนั้นประมาณ 2 นิ้ว หมอได้ถามที่บ้านว่าจะผ่ามั้ย ผลอาจ 50-50 ผ่าแล้วอาจได้แค่นั่งรถเข็นหรือกลับมาไม่ได้เลย แต่คุณแม่ก็เซ็นผ่าคืนนั้นเลย และทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
 
         หลังการรักษา พี่เมย์ต้องดรอปเรียนก่อนเพื่อฟื้นฟูรักษาร่างกาย แต่ว่าหายไม่ทัน ไม่สามารถกลับไปเรียนได้ จึงต้องลาออกมาสมัครเรียนต่อ กศน. เพราะไม่อยากทิ้งการเรียน และเพื่อให้จบพร้อมเพื่อนๆ


เปลี่ยนไปทั้งชีวิตและความฝัน
         ผลการรักษา พี่เมย์ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายท่อนบนซีกซ้ายได้ ความฝันก็ค่อยๆ หมดหวังลงไปเรื่อยๆ เพราะพี่เมย์ชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก แม่ชอบเล่าให้ฟังว่า พี่เมย์จะชอบออกมาเต้นเวลาได้ยินเสียงเพลง และเริ่มประกวดร้องเพลงในระดับโรงเรียน ตั้งแต่ ป.3 เรื่อยมาถึงระดับจังหวัด พอจบ ป.6 ก็สอบเข้าโรงเรียนอุดรพิทยาคมด้วยความสามารถพิเศษ

         ช่วงที่เรียนอยู่ที่อุดรฯ มีโอกาสขึ้นเวทีค่อนข้างบ่อยเพราะเป็นจังหวัดใหญ่ ก็ช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้านได้เยอะ ม.3 เป็นช่วงพีคมาก แข่งอะไรก็ชนะตลอด และได้ไปแข่งประกวดชิงโล่พระราชทานของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา ได้รับรางวัลชนะเลิศรุ่นยุวชนหญิงและเยาวชนหญิง หลังจบเวทีนั้นก็ได้รู้จักกับท่านอาจารย์ปรีชา อรัญวารี เป็นคนปั้นนักร้องลูกทุ่ง อาจารย์แนะนำให้อัดเดโม่เพื่อลองส่งไปบริษัท ตอนนั้นคิดว่าจะได้เป็นนักร้องแล้ว แต่ว่ายังไม่ทันเข้าห้องอัด ก็เส้นเลือดในสมองแตกก่อน และก็ต้องหายจากร้องเพลงไปเลย

กลับมาร้องเพลงอีกครั้งที่ Thailand's Got Talent
         หลังจากที่ไม่สบาย ก็อยู่ช่วยที่บ้าน รักษาตัว ก็ไม่กล้าร้องเพลงอีกเลย เพราะคิดว่าไม่น่าร้องได้แล้ว แต่ช่วงนั้นจะมีรายการ Thailand's got talent ปีแรกมีพี่คนนึงเล่นกีตาร์มือเดียว เพราะแขนอ่อนแรง พี่สาวพี่เมย์ได้ดูรายการนี้จึงมาเล่าให้ฟัง จึงเริ่มกลับมาร้องเพลง เพราะแม่อยากเห็นเรากลับมาร้องเพลง พี่เมย์จึงกลับมาคิดว่าเราก็ยังพูดได้ ทำไมถึงจะร้องเพลงไม่ได้ จึงพยายามหัดร้องเพลงอีกครั้ง แม้จะไม่เหมือนเดิม 100% แต่ก็พยายามฝึกซ้อมทุกวัน พอปีที่ 3 รายการมารับสมัครที่อุดรธานี จึงลองไปสมัครดู โดยไม่คาดหวังว่าจะได้รางวัลอะไร แต่โชคดีที่ได้เข้าถึงรอบไฟนอล และได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 3 มา
         ความรู้สึกหลังได้รับรางวัลจากเวที เหมือนตายแล้วได้เกิดใหม่ เพราะแค่ตอนไปออดิชั่นได้เห็นคนตบมือ ก็ดีใจ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง ไม่คิดว่าจะมีวันนี้อีกครั้ง เพราะไม่เคยคาดหวังว่าจะมีโอกาสกลับไปร้องเพลงอีก

เชื่อว่าสักวันต้องหาย.. วิธีให้กำลังใจในแบบฉบับของพี่เมย์
         ครอบครัวสำคัญมาก สำหรับกำลังใจที่ให้มาตลอด แต่พี่เมย์จะไม่ลืมให้กำลังใจตัวเองด้วย จะคิดถึงเสมอว่าสักวันต้องหาย จะต้องกลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ คิดแบบนี้ตั้งแต่วันแรกเลย หลังจากที่รู้ว่าเป็นหนัก ก็คิดว่าไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องหาย ปัจจุบันอาการของพี่เมย์ก็กลับมาดีขึ้น 80% แล้ว คุณหมอก็บอกว่าถือว่าเป็นปกติแล้ว


กลับมาเรียนต่อในโครงการทุนเพชรพระจอมเกล้า มจธ.
         หลังจากจบ ม.6พี่เมย์ได้มารักษาตัวต่อที่ รพ.ศิริราช วันว่างๆ ก็จะช่วยพี่สาวทำงานในมหาวิทยาลัย จนได้พบกับ รศ.ดร.กุลธิดา ธรรมวิภัชน์  รองคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษาและสารสนเทศ อาจารย์ทราบว่าพี่เมย์เคยได้รับรางวัลจากรายการ Thailand's Got Talent มา อาจารย์ได้แนะนำทุนนี้ให้รู้จัก และบังเอิญเพื่อนของพี่สาวพี่เมย์ก็ได้ทุนนี้มาก่อน พี่เมย์จึงหาข้อมูลและสมัครดู พี่เมย์ส่ง Portfolio ไปสมัครเหมือนเพื่อนๆ ปกติ ทั้งการคัดเลือกจากภาควิชา และสัมภาษณ์ โดยเข้ามาด้วยความสามารถด้านการร้องเพลง
         สำหรับโครงการทุนเพชรพระจอมเกล้า เป็นโครงการทุนการศึกษาให้เปล่าของมหาวิทยาลัย จะเรียกว่าทุนสูงสุด จะได้รับค่าครองชีพ 4,000 บาท/เดือน ค่าเทอมทั้งหมด และค่าใช้จ่ายแรกเข้าตอนปี 1 ทุนนี้จะได้ภาควิชาละ 1 คน แต่ถ้าภาคไหนไม่มีเด็กที่มีความสามารถถึงโควตานี้ก็จะทบให้สาขาอื่น


แรงบันดาลใจ.. อยากช่วยเหลือคนอื่น
         เป็นคนชอบพูดคุย ชอบสื่อสาร ชอบพบปะผู้คน มีความใฝ่ฝันแต่เด็กคือ ถ้ามีโอกาสได้มาเรียนที่ กทม. อยากเรียนในคณะที่เกี่ยวกับสายงานด้านสื่อสารมวลชนหรือวงการบันเทิง เพราะอยากเป็นนักร้องลูกทุ่งให้ได้ ทำแล้วได้มอบความสุขให้กับคนอื่นได้ รวมถึงเทคโนโลยีที่จำเป็นกับสมัยนี้มากๆ  จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เลือกสาขาวิชานี้เพราะได้เรียนด้านสื่อสารมวลชนอย่างที่เราอยากเรียนจริงๆ
 

 
         เป้าหมายในอนาคต อยากเป็นนักประชาสัมพันธ์ จากที่ได้เรียน ได้ทำกิจกรรม เราภาคภูมิใจที่ทำได้ และกิจกรรมที่พี่เมย์ทำส่วนมากตอนนี้ ตรงกับที่สอบเข้ามาคือ ด้านศิลปะวัฒนธรรม คือทั้งขับร้องและพิธีกร นอกจากนี้ยังไปช่วยเพื่อนทำกิจกรรมด้านอาสาด้วย เหมือนเราได้เป็นกระบอกเสียง ในการเผยแพร่ความรู้ และข่าวสารให้คนอื่นๆ ที่ไม่มีโอกาสได้มีโอกาสมากยิ่งขึ้น

ข้อจำกัด ทำให้ต้องมีระเบียบมากยิ่งขึ้น
         ด้วยกายภาพของพี่เมย์ก็อาจจะมีข้อจำกัด ทำให้ไม่รวดเร็วเหมือนคนปกติ การแบ่งเวลาระหว่างเรียนกับกิจกรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญ พี่เมย์จะพยายามเตรียมตัวล่วงหน้า และขอข้อมูลจากรุ่นพี่ที่เรียนผ่านมาแล้ว หรือถามข้อมูลว่าวิชานี้พี่ๆ เรียนอะไรบ้างและไปหาข้อมูลก่อน กิจกรรมก็เช่นเดียวกัน จะมีปฏิทินตารางเวลากิจกรรมของแต่ละชมรมว่าจะต้องให้งานอะไรบ้าง ต้องซ้อมเมื่อไหร่ เสาร์อาทิตย์ก็จะทบทวนเรื่องเรียน ทำการบ้านล่วงหน้า อะไรที่ทำก่อนได้ก็จะทำก่อน

ความภูมิใจสูงสุด ได้รับพิจารณารางวัลนักศึกษาพระราชทาน
         ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริจัดตั้งรางวัลนักศึกษาพระราชทานขึ้นมาให้กับนักศึกษาที่ประพฤติดี ปฏิบัติดี จากมหาวิทยาลัยต่างๆ แบ่งเป็นนักศึกษาปกติและนักศึกษาพิการ พี่เมย์ได้ยินรางวัลนี้ครั้งแรกตอนตอนเข้าค่ายทุนเพชรพระจอมเกล้าจากพี่มอส โชติวัฒน์ จันทรเกษม รุ่นพี่ที่ได้รับรางวัลนี้ และแนะนำให้เราเก็บผลงานไว้ ตอนนั้นรู้สึกว่ารางวัลนี้น่าภูมิใจมากเลย หลังจากนั้นก็เริ่มเก็บผลงานตั้งแต่ปี 1 เลย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้รางวัลนี้เท่านั้น เพราะกิจกรรมที่ทำ ก็เป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว ได้เจอเพื่อน เจอพี่ เจอคนใหม่ๆ และได้ทำกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น รู้สึกทำให้เรามีค่าขึ้นเวลาได้ทำกิจกรรมเยอะๆ พอปี 3 อาจารย์ที่ภาควิชาก็บอกว่า จะส่งชื่อเข้ารับเป็นตัวแทนของคณะเข้าพิจารณารางวัลนี้ ตอนนั้นดีใจมากเลย ว่าสิ่งที่เราทำมีคนอื่นเห็น


 
         ในวันสัมภาษณ์ จะต้องจัดนิทรรศการและสัมภาษณ์ทีละคน พี่เมย์ได้พรีเซนต์ผลงานทั้ง 5 ด้านและโครงการที่คิดขึ้นเอง ซึ่งโครงการที่คิดเอง ทำมาแล้วปีนี้ปีที่ 3 คือ โครงการดนตรีบำบัด สร้างแรงบันดาลใจ เพิ่มความมั่นใจให้คนพิการ เป็นโครงการที่สอนร้องเพลงให้กับพี่ๆ ผู้พิการในมหาวิทยาลัย เพื่อให้เขามั่นใจและกล้าแสดงออกมากขึ้น ซึ่งในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มีผู้พิการจำนวนมาก โดยจัดกิจกรรมดนตรีบำบัด 1 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง ในเวลาช่วงเย็น หลังพี่ๆ ฝึกอบรม ตั้งแต่ 5 โมงถึง 1 ทุ่ม
        ล่าสุด ผลประกาศออกมาแล้ว พี่เมย์ ได้รับรางวัลนักศึกษาพระราชทานด้วยค่ะ

 





พี่เมย์ทำได้.... น้องๆ ก็ต้องทำได้
         ฝากถึงน้องๆ ที่กำลังจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ตอนนี้อาจจะเรียนหนักและสอบเยอะ พี่เมย์ขอเป็นกำลังใจให้ พยายามแบ่งเวลาดีๆ ชอบอะไรก็ให้เลือกตรงนั้น เราจะมีความสุขมากๆ และเมื่อไหร่ที่่ท้อ ก็ให้คิดถึงพี่เมย์ ว่าน้องๆ ยังมีศักยภาพและร่างกายที่แข็งแรงกว่าพี่เยอะเลย ขนาดพี่เมย์ยังทำได้ทำไมน้องๆ จะทำไม่ได้ สู้ๆ
พี่มิ้นท์
พี่มิ้นท์ - Columnist พี่สาวใจเย็น ผู้เกิดมาในแอดมิชชั่นยุคแรก แต่เข้าใจ TCAS มากกว่า

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

คนดีสวรรค์ดูอยู่ 13 ก.ค. 62 10:23 น. 1

อ่านบทความไป น้ำตาซึมไปตลอดเลย สวรรค์มีตาความดีที่น้องมีสะสมมาคุ้มครองน้องตลอด โอกาสดีๆที่เปลี่ยนชีวิตมาถึงน้องด้วยความอดทนขยันหมั่นเพียรคิดดีคิดบวกเสมอ ได้ทำกิจกรรมสร้างสรค์สังคม การเรียนที่ใฝ่ฝันแล้ว ขอให้รักษาสิ่งดีๆไว้นะครับ หายจากโรคภัย อุปสรรคต่าง๐ พบความสุข ความเจริญตลอดไปนะครับ ต้นแบบเด็กยุคนี้เลยนะ

0
กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

คนดีสวรรค์ดูอยู่ 13 ก.ค. 62 10:23 น. 1

อ่านบทความไป น้ำตาซึมไปตลอดเลย สวรรค์มีตาความดีที่น้องมีสะสมมาคุ้มครองน้องตลอด โอกาสดีๆที่เปลี่ยนชีวิตมาถึงน้องด้วยความอดทนขยันหมั่นเพียรคิดดีคิดบวกเสมอ ได้ทำกิจกรรมสร้างสรค์สังคม การเรียนที่ใฝ่ฝันแล้ว ขอให้รักษาสิ่งดีๆไว้นะครับ หายจากโรคภัย อุปสรรคต่าง๐ พบความสุข ความเจริญตลอดไปนะครับ ต้นแบบเด็กยุคนี้เลยนะ

0
กำลังโหลด
เกย์อักษรฯเอกปรัชญา 14 ก.ค. 62 23:40 น. 2

อ่านบทความไป เฉยๆไป ไม่ยินดียินร้ายอะไร เพราะเราผ่านโลกมามาก เจอคนที่ป่วยติดเตียงเจ็บปวดทรมาน ไม่มีใครมาเหลียวแล คนที่ประสบอุบัติเหตุ นิสิตสัตวแพทย์ฯจุฬาฯเดินตกบ่อบำบัดน้ำเสียเสียชีวิต นิสิตแพทย์จุฬาฯนั่งรถตู้เกิดแก๊สระเบิดกลายเป็นศพย่างสด น้องอิน ณัฐณิชา เชิดชูบุพการี ที่ร้องเพลงว่า “เก๊กฮวยถ้วยใหญ่ๆ แช่เอาไว้อยู่ในตู้เย็น สีม่วงเขาผ่านมาเห็น แอบเปิดตู้เย็นกินน้ำเก๊กฮวย ชักแหงกๆๆๆๆ”เกิดประสบอุบัติเหตุขับรถเก๋งบีเอ็มชนต้นไม้จนเป็นเหตุให้เสียชีวิต นายจตุรภัทร เข็มนาค หรือ ‘เซนติเมตร’ พิธีกรรายการ ‘ล้นตู้ ก็เสียชีวิตจากรถชน เสี่ยวิชัย จุ๋ม นุสรา และนักบินล้วนเสียชีวิตทั้งหมดจากเฮลิคอปเตอร์ตก จะเด็กจุฬาฯจะรวยจะประสบความสำเร็จแค่ไหน ความตายมันก็ไม่ยอมละเว้นให้หรอก เรื่องเลวร้ายอย่างที่ว่าก็เห็นมาแล้ว แค่กรณีน้องเมย์เป็นแค่นี้นี่จิ๊บๆ

และต้นทุนชีวิตน้องเขาก็สูงกว่าคนอื่นๆที่แย่กว่าอยู่ดี

น้องเมย์ "ตั้งแต่ช่วง ม.5 ผ่านการผ่าตัดสมองครั้งใหญ่" คุณๆลองเทียบน้องเมย์กับคนที่ไม่มีเงินหรือผ่าตัดแล้วโชคร้ายไม่หายดูสิ

น้องเมย์ยอมรับว่า"ครอบครัวสำคัญมาก สำหรับกำลังใจที่ให้มาตลอด" คุณๆลองเทียบกับคนที่พ่อแม่จากไปแล้ว หรือพ่อแม่ไม่ได้ให้กำลังใจ แต่คอยซ้ำเติมดูสิ

แล้วน้องเมย์ยังโชคดีอีกอย่างที่กล้ามเนื้อแค่อ่อนแรง แต่ไม่เจ็บตลอดเวลา คุณคิดว่าคนที่ร่างกายเจ็บปวดตลอดเวลาน่ะ มันแย่กว่ามากเลยไหม มันแย่ขนาดที่ว่าประเทศโลกที่หนึ่งยอมอนุญาตให้ใช้การช่วยฆ่าตัวตาย(assisted suicide)หรือกระทั่งการุณยฆาต(euthanasia)สำหรับคนที่เจ็บร่างกายเรื้อรังกันไปแล้ว

ที่กล่าวมานี้ ไม่ใช่เป็นการคิดลบ แต่เป็นการมองโลกตามความเป็นจริงที่ความเจ็บปวดทรมานยังไงก็มีมากมายล้นพ้นกว่าความสุขพัดผ่าน ทุกคนคงรู้จักคำว่าโรคเรื้อรังกันดี แต่คงไม่เคยได้ยินคำว่าความสุขเรื้อรังหรอกนะ

อีกทั้งเรื่องการตีตราว่าอะไรเป็นการคิดบวก อะไรเป็นการคิดลบนั้น ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์แน่ชัดแต่อย่างใด เห็นมีแต่ว่าความคิดนั้นถูกใจตนเองหรือไม่ ถูกใจก็จัดให้เป็นบวก ไม่ถูกใจก็ให้เป็นลบ เต็มไปด้วยอคติ ไม่อยู่บนพื้นฐานของการพิจารณารอบคอบรอบด้าน

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด