Dek-D.com ใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของ
ผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น เรียนรู้เพิ่มเติมที่นี่
ยอมรับ

เล่าประสบการณ์ การเรียนในสำนักวิชานิติศาสตร์ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

ตั้งกระทู้ใหม่
ตั้งกระทู้ใหม่





     สวัสดีครับ กระทู้นี้พี่จะมาบอกเล่าประสบการณ์ในการเรียนในสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงนะครับ


     เนื่องด้วยจากที่ผ่านๆมา เราจะไม่ค่อยพบกระทู้ที่บอกเล่าเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงสักเท่าไหร่ วันนี้เลยอยากจะมาเล่าถึงประสบการณ์การเรียน และ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยตลอด 4 ปี ที่พี่ได้ผ่านมา เพื่อบอกเล่าเป็นวิทยาทานให้แก่น้องๆทุกคนที่กำลังศึกษา หรือกำลังลังเลใจว่าจะมาศึกษาที่นี้ดีไหม


     ต้องบอกก่อนว่า ตอนแรกพี่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะเข้ามาเรียนที่นี้เป็นอันดับแรก แต่พี่มีความต้องการที่จะเรียนในคณะนิติศาสตร์อยู่แล้ว ซึ่งในตอนนั้นต้องบอกก่อนว่าการเรียนในสมัยมัธยมพี่ก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่ สอบตรงหลายๆที่ก็ไม่ติด จะติดก็ติดที่เดียวก็คือแม่ฟ้าหลวงที่นี่นั้นแหละ แล้วตอนนั้นพี่ก็ตัดสินใจยืนยันสิทธิที่นี่เลย เพราะถ้ายื่นแอด ยังไงก็คงไม่ติดในกรุงเทพแน่ๆ ไหนๆจะไปต่างจังหวัดแล้ว ก็ไปให้เหนือสุดของประเทศไทยไปเลยแล้วกัน

     พี่ยอมรับเลยว่าตอนที่เลือกมาเรียน ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยเลย จะรู้ก็ตอนมาสัมภาษณ์นั่นแหละว่าที่นี่มีการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก แต่ยังโชคดี ที่การเรียนกฎหมายยังเป็นภาษาไทย แต่พี่ก็ยังกังวลกับวิชาอื่นๆอยู่ เพราะภาษาอังกฤษพี่นี่ระดับแบบ snake snake fish fish มาก แต่น้องๆไม่ต้องห่วงนะ เพราะถ้าได้เข้ามาเรียน ก่อนเปิดเทอม ทางมหาวิทยาลัยจะมีการปรับพื้นฐานให้น้องๆทุกคน พี่ก็อาศัยโอกาสตรงนั้นแหละในการอัพเกรดสกิลของตัวเอง (แต่ก็ยังไม่ดีเท่าไหร่)

การเรียน

     ในตอนที่พี่เข้ามาเรียนที่นี่ ด้วยความที่พี่มาไกลเนอะ แล้วก็ได้ยินข่าวว่าที่นี่จบยาก พี่ก็ไม่อยากให้เสียเที่ยว ไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง พี่เลยตั้งเป้ากับตัวเองไว้ว่า พี่จะเรียนยังไงก็ได้ให้ไม่ติด F แล้วเรียนจบภายใน 4 ปี เพื่อทำให้พ่อแม่ภูมิใจ ในตอนแรกพี่เริ่มด้วยเป้าหมายเล็กๆแบบนี้แหละ ไม่ได้ตั้งเป้าเลิศเลอว่า ฉันต้องจบเกียรตินิยมนะ อะไรแบบนั้นหรอก

     ด้วยความที่กลัว พอเปิดเทอมปี 1 เทอม 1 จะมีเรียนกฎหมายแค่ตัวเดียว คือวิชากฎหมายเบื้องต้น ที่เหลือจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษหมด แต่ยังโชคดีที่มีวิชา Thai Language skill ที่เป็นภาษาไทย พี่เลยคิดว่า เอาวะ ในเมื่อเราไม่เก่งอังกฤษ ก็เต็มที่กับวิชาที่เป็นภาษาไทยไปเลย ช่วงแรกๆเวลาว่างพี่นี่อ่านหนังสือตลอด เข้าห้องสมุด กลับหอก็อ่าน แต่ไม่ใช่ว่าจะอ่านทั้งวันทั้งคืนนะ เพราะถ้าฝืนตัวเองมากไป ร่างกายเราจะรับไม่ไหว สุดท้ายสมองเราก็จะไม่รับข้อมูลอะไรเลย พี่ก็หาเวลาผ่อนคลายไปเล่นไปทำกิจกรรมกับเพื่อนบ้าง เหมือนเด็กมหาลัยปกติทั่วไปนั่นแหละ


     ซึ่งสำหรับการเรียนในวิชากฎหมาย พี่อยากจะแนะนำว่า การอ่านหนังสือเยอะๆ ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้คะแนนดี เพราะพี่คิดว่าการเรียนกฎหมายต้องอาศัยความเข้าใจ บางทีเราอ่านเอง เราไม่เข้าใจ เราไม่รู้จะถามใคร ถามหนังสือหนังสือก็ตอบเราไม่ได้

     พี่แนะนำว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนกฎหมาย คือการเข้าเรียน ถ้าอาจารย์สอน แล้วเราไม่เข้าใจตรงไหน ก็ให้ยกมือถามอาจารย์ได้เลย ไม่ต้องอาย ไม่ต้องคิดว่าเพื่อนจะหาว่าเราโง่ พี่ถือคติที่ว่า คนที่ยกมือถามอะ โง่แค่แปบเดียว แต่คนที่ไม่เข้าใจแล้วไม่ถามจะโง่ตลอดไป ไม่ได้แปลว่าคนที่ไม่ยกมือจะไม่เก่งหรือไม่ฉลาดนะ แต่พี่เพียงอยากจะสื่อว่า ถ้าเราไม่เข้าใจ ให้ถาม อย่าอาย แม้มันจะเป็นคำถามที่ดูง่ายสำหรับคนอื่นก็ตาม ถ้าในห้องไม่กล้าถาม หลังคาบเข้าไปถามอาจารย์ก็ได้ อย่าปล่อยให้ความสงสัยอยู่กับเราไปตลอด พอถึงเวลาสอบ เราจะทำไม่ได้ พี่ใช้วิธีการเรียนแบบนี้ตั้งแต่ปี 1 ถึง ปี 4


     พอผ่านเทอม 1 มาได้ ในที่สุด เกรด A ตัวแรกในชีวิตมหาวิทยาลัยของพี่ก็มา ใช่แล้ว พี่ได้ A วิชากฎหมายเบื้องต้น (ส่วนวิชาที่เป็นภาษาอังกฤษก็คาบเส้นกันไปเลยจ้า) พอเราพยายาม และ เป็นการพยายามอย่างถูกวิธี แล้วทำให้เราได้ผลตอบแทนความพยายามตามที่เราตั้งใจไว้ มันทำให้พี่ตั้งเป้าหมายใหม่ให้กับตัวเองว่า เอาว้า จากเดิมที่ขอแค่ไม่ F ตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็นว่า ตั้งใจให้ได้ A วิชากฎหมายเลยแล้วกัน เพราะพี่คิดว่า การที่เราตั้งเป้าหมายไว้สูงๆ ความพยายามของเราก็จะสูงขึ้นไปด้วย เป็นการผลักดันตัวเองไม่ให้ขี้เกียจ เพราะถึงเราจะไม่ได้ผลตามที่ตั้งไว้ แต่อย่างน้อยผลที่ได้มันก็คงต่ำไปกว่านั้นมากหรอก แต่กลับกัน ถ้าเราตั้งเป้าหมายไว้แค่ว่า เรียนยังไงก็ได้ขอแค่ไม่ติด F พอ ความพยายามของเราในการเรียน ก็จะมีแค่ว่าไม่ติด F ถ้าพลาดขึ้นมา ผลที่ได้มันก็ต้องต่ำกว่านั้นแน่ๆ อันนี้เป็นวิธีการคิดของพี่นะ ถ้าใครมีวิธีการผลักดันตัวเองยังไงที่ต่างกันออกไป ก็ไม่ว่ากัน หาวิธีที่เข้ากับเราได้มากที่สุด


     พอจบปี 1 วิชากฎหมายที่เราเรียนก็จะมากขึ้น ไม่ใช่แค่ 1 วิชาเหมือนเทอมแรกที่เจอแล้ว เนื่องด้วยพี่เป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือเท่าไหร่ การเรียนตั้งแต่ปี 2 เป็นต้นไป พี่เลยเน้นที่จะเข้าเรียนกับอาจารย์มากกว่า ถ้ามีอาจารย์คนไหนสอนแล้วพี่รู้สึกว่าไม่เข้ากับสไตล์การเรียนของพี่ พี่ก็จะลองหาเซคชั่นของอาจารย์คนอื่นเข้าฟังเพิ่ม จนเจออาจารย์ที่สอนแล้วตรงกับสไตล์การเรียนของพี่มากที่สุด ส่วนการอ่านหนังสือของพี่ก็จะเน้นอ่านช่วงใกล้สอบประมาณ อาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ส่วนมากจะเน้นจำตัวบท กับดูเนื้อหาที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เพราะพี่คิดว่าความเข้าใจของพี่ส่วนมาก พี่ได้จากการเรียนในห้องมากพอแล้ว แล้วการที่เราถามคำถามอาจารย์ มันเป็นการย้ำให้เราจดจำในสิ่งที่อาจารย์ตอบได้ดีด้วย เพราะเราเป็นคนถามเอง

     แต่ถ้าใครเป็นคนที่อ่านหนังสือเองแล้วเข้าใจมากกว่าการเข้าฟัง ก็ไม่ว่ากัน ลองวางแผนจัดการการเรียนของตัวเองดูนะ พี่คิดว่า เราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบคนอื่นทุกอย่าง ลองเอาแนวทางของคนอื่นมาปรับให้เข้ากับตัวเองก็น่าจะดี

การฝึกงาน

     สำหรับการเรียนพี่ก็ได้แนะนำไปพอสมควรแล้ว ต่อมาพี่อยากจะแนะนำในเรื่องของการฝึกงาน ซึ่งสำนักวิชานิติศาสตร์ไม่บังคับว่านักศึกษาต้องฝึกงานเหมือนกับสำนักวิชาอื่นๆ แต่ถ้าน้องๆอยากจะฝึกงานก็สามารถฝึกได้ โดยจะฝึกในช่วงปี 3 ซัมเมอร์ ซึ่งพี่แนะนำว่าถ้าน้องๆไม่ติดอะไรก็ฝึกเถอะ เราจะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆนอกจากความรู้ที่เราได้ในห้องเรียน รวมถึงการปรับตัวเมื่อเราต้องไปอยู่ในสถานที่ทำงานจริงด้วย

     การฝึกงานนั้นน้องๆสามารถเลือกที่ฝึกงานได้เองโดยไปติดต่อกับหน่วยงานหรือบริษัทได้เลย ซึ่ง น้องๆอาจจะเลือกไปฝึกงานที่ศาล สำนักงานอัยการ หน่วยงานของราชการ กระทรวงต่างๆ สำนักงานทนายความ หรือบริษัท Law Firm ก็ได้ตามความต้องการของน้องๆเลย

     สำหรับพี่ พี่ตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าพี่อยากทำงานด้านเอกชน ตอนฝึกงานพี่เลยยื่นเรซูเม่ไปตามบริษัท Law Firm เองเลย แล้วก็ได้โอกาสเข้าไปฝึกงานใน Law Firm แห่งหนึ่ง ถือว่ามหาวิทยาลัยเราเริ่มเป็นที่รู้จักแล้ว ตามบริษัทต่างๆจึงให้โอกาสเด็กจากมหาวิทยาลัยของเราได้ลองเข้าไปฝึกงานบ้าง ซึ่งพี่ก็ได้ประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างจากที่นั้น และมันสามารถนำมาปรับใช้กับการเรียนของเราได้ด้วย เพราะเราได้เห็นการปฏิบัติงานของจริงมาแล้ว

การสอบ Exit Exam

     อีกหนึ่งสิ่งที่ถือเป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยแห่งนี้เลยก็คือ การสอบออก หรือ Exit Exam น้องๆอาจคิดว่า เห้ย เรียนมาตั้ง 4 ปี ยังต้องมาสอบออกอีกหรอ ใช่ครับ พี่ก็คิดแบบน้องๆ 555 ซึ่งถ้าเราสอบไม่ผ่าน เราจะไม่มีสิทธิได้รับปริญญาในปีนั้น

     โดยการสอบจะแบ่งเป็น 6 รอบ เทอมละ 2 รอบ น้องๆจะได้สอบในเทอมสุดท้ายที่ลงเรียนครบตามโครงสร้างหลักสูตรแล้ว ซึ่งสำหรับสำนักวิชานิติศาสตร์ก็จะได้สอบในเทอมที่ 2 น้องๆอาจได้สอบน้อยกว่าเพื่อนๆสำนักอื่นที่ฝึกงานตอนปี 4 เทอม 2 เพราะเขาจะได้สอบตั้งแต่เทอม 1

     การสอบจะแบ่งออกเป็น 4 วิชา คือ ภาษาอังกฤษ ไอที โลกาภิวัฒน์ และ เมเจอร์ ก็คือกฎหมาย

     สำหรับวิชา3วิชาแรก จะสอบเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ซึ่งแนวข้อสอบปีเก่าๆ น้องๆสามารถหาอ่านได้ตามร้านถ่ายเอกสารใน ม.นะครับ

     ส่วนวิชากฎหมาย จะมี 6 ข้อ ให้น้องๆ เลือกทำ 3 ข้อ ซึ่งปกติในแต่ละข้อนั้น ก็แทบจะล็อควิชาที่ออกเอาไว้แล้ว

     โดย ข้อ1.จะเป็นกฎหมายเบื้องต้น (แต่บางครั้งก็อาจจะเป็นกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)

     ข้อ2.กฎหมายแพ่งและพาณิชย์

     ข้อ3.กฎหมายอาญา

     ข้อ4.กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง+กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

     ข้อ5.กฎหมายมหาชน

     ข้อ6.กฎหมายระหว่างประเทศ

     ซึ่งเนื้อหาพี่ไม่สามารถบอกได้ เพราะอาจารย์สามารถหยิบยกทุกเรื่องที่เราเรียนมาตลอด 4 ปี มาออกข้อสอบได้ทั้งหมด แต่ข้อสอบก็จะไม่ได้ลึกมากเหมือนตอนเราสอบมิดเทอม หรือไฟนอลหรอก

     ซึ่งทั้งหมด 4 วิชา น้องๆจะต้องได้คะแนน ร้อยละ 60 ขึ้นไป ถึงจะสอบผ่าน ถ้าวิชาไหนไม่ผ่าน น้องๆก็จะต้องสอบใหม่จนกว่าจะผ่านครบทั้ง 4 วิชา ถึงจะจบการศึกษาได้ ถ้าน้องๆสอบไม่ผ่านภายใน 6 รอบที่มหาวิทยาลัยจะให้ จะมีผลให้น้องๆไม่สามารถจบการศึกษาในปีการศึกษาดังกล่าวได้

     ยังไงก็อยากให้น้องๆทุกคนอย่าพึ่งไปกังวล เอาการเรียนตรงหน้าเราก่อนเนอะ ไปถึงตอนนั้นค่อยเครียดกัน 555 แต่พี่ว่าไม่ยากเกินความสามารถของน้องๆ แน่นอน

กิจกรรมในมหาวิทยาลัย

     นอกจากการเรียนที่พี่อยากจะมาแนะนำน้องๆ อีกสิ่งที่พี่อยากจะบอกเล่าคือการทำกิจกรรมควบคู่กับการเรียนไปด้วย

หลายๆคนอาจจะมองว่า กิจกรรมจะทำให้การเรียนเสีย แต่สำหรับพี่ พี่คิดว่า ถ้าเราสามารถจัดการเวลาได้ เราจะสามารถเรียนไปด้วยและทำกิจกรรมไปด้วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การทำกิจกรรมยังทำให้เราได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆอยู่เสมอ ทั้งในและนอกสำนักวิชา

     สำหรับการทำกิจกรรมของพี่ พี่เริ่มจากความคิดที่ว่า เรียนอย่างเดียวเครียดตายเลย อยากมีเพื่อน อยากหาอะไรผ่อนคลายทำ พี่ก็เริ่มจากเข้ากิจกรรมในสำนักวิชานั้นแหละ กิจกรรมรับน้อง เปิดสำนักวิชา ซึ่งสำนักวิชานิติศาสตร์ของเรา จะมีองค์กรให้น้องๆเลือกเข้าตามความชอบของน้องๆเลย พี่ก็ลองทำมาเกือบหมดแล้ว สุดท้ายก็มาตายรังกับ วงดนตรีประจำสำนักวิชานิติศาตร์(Libra) กับ พี่ติว ซึ่งพี่ว่าการเล่นดนตรีมันก็ผ่อนคลายดีนะ น้องๆคนไหนสนใจก็ลองไปสมัครออดิชั่นกันได้นะครับ ส่วนพี่ติว ถ้าน้องๆคนไหนรู้สึกว่า ตัวเองเรียนพอเข้าใจ รู้เรื่อง สามารถถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นได้หรืออยากลองถ่ายทอดดู ลองไปปรึกษาอาจารย์ได้นะ พี่ว่า การที่เราติวให้คนอื่น ก็ถือเป็นการทบทวนตัวเองอย่างหนึ่ง บางครั้งสิ่งที่เราติวเพื่อนๆ หรือน้องๆ ก็จะย้อนกลับมาช่วยเราในยามที่เราลำบาก พี่เจอมาแล้ว

     นอกจากนี้สำนักวิชายังมีการแข่งขันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันตอบกฎหมาย การแข่งขันแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นศาลอุทธรณ์(คล้ายๆว่าความนะ แต่จะไม่มีการสืบพยาน) ทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย ถ้าน้องๆคนไหนสนใจ ก็ลองไปติดต่อสอบถามได้ที่อาจารย์ในสำนักวิชาได้เลยนะครับ

     นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยอีก ทั้งกีฬา ชมรมต่างๆ แต่ที่พี่อยากแนะนำน้องๆเลยก็คือ "ค่าย" สักครั้งในชีวิตนักศึกษาอะ อยากให้น้องๆได้ลองไปค่ายดูสักค่าย น้องๆอาจจะคิดนะว่าการไปค่ายมันเหนื่อย แต่พี่อยากจะบอกว่า การที่เราอยู่ในมหาวิทยาลัย เราว่าเราลำบากแล้ว แต่ยังมีคนที่ลำบากกว่าเราเยอะนะน้อง เราไปช่วยเหลือเขา สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้เขาแค่ ประมาณ 1 อาทิตย์ ตอนแรกเราคิดว่าเราไปให้เขา แต่สุดท้าย เราจะรู้เลยว่าสิ่งที่เราได้กลับมาจากการไปค่าย มันมีค่ามากกว่าเวลาและแรงกายที่เราเสียไปสะอีก

     ถ้ามีโอกาส อยากให้น้องๆไปสัมผัสดูนะ พี่เองก็ไปมาหลายค่าย ทุกค่ายให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกัน แต่ที่ได้เหมือนกันจากทุกค่าย คือมิตรภาพจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆในค่าย ที่จะคอยช่วยเหลือเรา ทักทายเราเสมอไม่ว่าเราจะไปไหน น้องๆจะไม่รู้สึกเหงาอีกต่อไป

สรุป

     จนถึงตอนนี้ พี่ก็บอกเล่าประสบการณ์ทั้งหมดของพี่ 4 ปี ในมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงแห่งนี้ไปแทบจะครอบคลุมทุกเรื่องแล้ว ถ้ามีเรื่องไหนขาดตกบกพร่องไปพี่ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ

     อย่างที่บอกไป จากทั้งหมดที่พี่ได้เล่ามา น้องๆไม่ต้องเครียดนะ พี่เองก็ไม่ใช่คนเรียนเก่ง ออกจะหนักไปทางทำกิจกรรมเยอะด้วยซ้ำ แต่พี่ก็พยายามแบ่งเวลาให้สามารถทำพร้อมๆกันไปได้ ถ้าเราทำกิจกรรมแล้วการเรียนแย่ มันไม่ใช่เพราะกิจกรรมทำเราแย่นะ แต่ตัวเราเองต่างหากที่ทำตัวเองแย่ เพราะไม่สามารถจัดการเวลาในชีวิตเราได้ ถึงอย่างนั้นพี่ก็ไม่ได้บอกว่าน้องๆทุกคนต้องทำกิจกรรมนะ แต่น้องครับ ชีวิตมหาวิทยาลัยปริญญาตรีของเรา มีครั้งเดียวนะ (ถ้าน้องไม่ได้เรียนมากกว่า1ใบ) ลองออกไปทำกิจกรรมดูก็ไม่เสียหาย มันจะช่วยให้น้องใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมากขึ้น


     จากวันนั้นที่เข้ามาในมหาวิทยาลัย จากเด็กที่กลัวเรียนไม่รอด พี่สามารถทำกิจกรรมไปด้วยและเรียนไปด้วยได้ โดยที่พี่จบภายใน 4 ปี ก็ภูมิใจเล็กๆที่ตัวเองทำได้ แต่คนที่ภูมิใจที่สุด ก็คือพ่อแม่ของเรานะน้อง ทุกครั้งที่เราเหนื่อย เราท้อ อยากให้เราลองคิดถึงคนข้างหลัง ว่าเราเหนื่อยขนาดนี้ เขาจะเหนื่อยขนาดไหน เขาจะเป็นห่วงเราแค่ไหน คนที่คอยส่งเราเรียน คนที่ยอมเหนื่อยส่งเงินมาให้เราใช้ พี่อยากให้น้องๆทุกคน พยายามแล้วเรียนจบภายใน 4 ปี ตามที่หวังทุกคนนะครับ แล้วหวังว่า น้องๆจะได้มาใส่ครุยสีแดง-ทอง เหมือนกับพี่ๆนะ (จริงๆพี่ก็ยังไม่ได้ใส่หรอก เพราะรับปีหน้า 55)


     สุดท้าย พี่อยากจะบอกน้องๆว่า การเรียนเก่ง ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าน้องจะประสบความสำเร็จในชีวิต
     "อย่าตั้งเป้าที่จะเป็นนักศึกษาที่เก่งที่สุด แต่จงตั้งเป้าว่าจะเป็นนักศึกษาที่มีความสุขที่สุดใน 4 ปีของการใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในประเทศไทยแห่งนี้"

     หวังว่าเรื่องที่พี่เอามาบอกเล่า จะสร้างแรงบันดาลใน หรือเป็นแนวทางในการเรียนในสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง แห่งนี้นะครับ

     ขอให้น้องๆทุกคนโชคดีครับ

แสดงความคิดเห็น

>

8 ความคิดเห็น

ยูคอน 23 ก.ค. 62 เวลา 07:10 น. 1

คณะนี้ ม. นี้ยังใหม่และไม่เก๋าเท่าพวก ฬ มธ. ยังไม่มีConnection ในวงการ ถ้าจะเรียนทางกฎหมาย อย่างน้อยลงรามจะดีกว่าถ้าสอบสองสถาบันข้างบนไม่ได้ ถ้ำจบที่อื่นถึงคะแนนจะดีก้อเหนื่อยกว่ากลุ่มทีตั้ง มานานกว่า และมีรุ่นพี่รุ่นน้องในวงการที่มากกว่า มองกันแบบจริงไม่เอาโลกสวย

1
tote2540 23 ก.ค. 62 เวลา 11:16 น. 1-1

ไม่เถียงเรื่องนี้นะครับ แต่คนเราทางเลือกมันไม่เหมือนกัน ยอมรับครับ ชื่อเสียงอาจไม่ได้ดีไปกว่า แต่ศักยภาพคนเรามันพัฒนากันได้ครับ ผมไม่อยากให้แปะป้ายว่าคนนี้เด็กจุฬา คนนี้เด็กมธ คนนี้เด็กรามหรือคนนี้เด็กแม่ฟ้าหลวง รู้ครับว่าในสังคมยังมองกันเรื่องสถาบัน แต่ผมว่าเราเปลี่ยนความคิดได้ครับ เริ่มจากตัวเราเอง

รู้ครับว่ามันเหนื่อย คอนเน็คชั่นยังไม่มี แต่ไม่มีก็สร้างได้ครับ

นักกฎหมายเหมือนกัน ผมว่าศักดิ์ศรีในความเป็นนักกฎหมายมีเท่ากันนะ

0
เป็นทางฝัน 30 ก.ค. 62 เวลา 10:36 น. 2

เคยเจอเด็กจบนิติมฟล.แล้วไปต่อป.โทอังกฤษ จบแล้วมาสมัครงานบริษัทแต่เขาไม่รับ เพราะเขามองว่าไปเรียนต่อป.โทยูไม่ดังเพื่อชุบตัว(แต่จริงๆอาจไปเรียนเพิ่มเติมความรู้ให้ตัวเองก็ได้) สุดท้ายบริษัทไม่รับคนนี้ ไปรับเด็กจบม.ท็อป2ที่ได้ภาษาแทน

#แค่บอกเล่าเฉยๆเหมือนกัน

0
Stay 30 ก.ค. 62 เวลา 23:12 น. 3

เราก็เรียนนิติที่นี่ (รุ่นเดียวกับเธอและอยู่ในภาพด้วย) 55555 มันเจ็บปวดนะเวลามีคนมาตัดสินเราเพียงเพราะเราเรียนแม่ฟ้าหลวง กลับกัน ทำไมไม่คิดบ้างว่า ก็ถ้ามันไม่มีคนเริ่ม มันจะไปยิ่งใหญ่เท่าม.อื่นๆได้ยังไง ถ้าไม่มี 1 มันจะมี 2 3 4 ตามมาได้ยังไง มันน่าแปลกที่สังคมทุกวันนี้เรียกร้องถึงความเท่าเทียม แต่ยังมองแค่ชื่อมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับเรา ที่นี่ให้ความรู้และสิ่งดีๆไม่ด้อยไปกว่าที่อื่น อาจารย์ที่มาสอนมีคุณวุฒิที่พร้อมสรรพทั้งสิ้น และรุ่นพี่ที่เรารู้จักก็มีงานที่ดีทำ ช่วงจังหวะชีวิตของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันอะ เปิดใจกว้างๆกันนะ ^^

0
Iamsakana 1 ส.ค. 62 เวลา 14:22 น. 4

รุ่นพี่ผมจบนิติ มฟล. แต่ไม่มีใครทำงานด้านกฎหมายเลย มีไปเรียนต่อเน หรือ เรียนต่อโทบ้าง นอกนั้นจะไปทำงานข้ามสายไปเลย เช่น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน โรงแรม หรือ ไกด์ยังมีเลย ก็สุดแท้แต่คนละครับ ว่าจะไปทางไหน

(ย้ำ!! เฉพาะที่ผมรู้จักก็ 5 คน)

1
tote2540 1 ส.ค. 62 เวลา 15:06 น. 4-1

ใช่ครับ เฉพาะ5คนที่คุณรู้จัก เพราะที่ผมรู้ มันมีมากกว่านั้นที่ทำงานตรงสายและประสบความสำเร็จ อย่างที่โพสบนบอกนั้นแหละ ถ้าไม่เริ่มนับ1 จะมี 2 3 4 ได้ยังไง

แต่ละคนก็มีความฝันต่างกัน บางคนอาจจะเรียนแล้วไม่ชอบ เขาก็เลยอาจจะเปลี่ยนใจไปทำอย่างอื่นที่เขาชอบก็ได้ มันมีแบบนี้ทุกที่แหละครับ

0
Squirrelffffff 5 ส.ค. 62 เวลา 23:34 น. 5

เป็นการบอกเล่าที่ดีมากค่ะ คนประสบความสำเร็จทางด้านกฎหมายก็ยินดีด้วยค่ะ เราก็มีรุ่นพี่นิตินะคะ ก็ไม่ได้ทำงานด้านกฎหมายนะ เรารู้จักก็เป็น Marketing , Duty Manager,สจ๊วต และ ช่างแต่งหน้า(ตอนนี้กำลังเรียนอยู่) อันนี้จะสื่อว่า จบนิติไม่จำเป็นเสมอไปที่จะทำงานกฎหมาย

แน่นอนว่าความฝันคนเรามันต่างกัน บางคนเรียนเพราะถูกบังคับเรียน บางคนลองมาเรียนเพื่อค้นหาตัวเอง หรือ เหตุผลอะไรก็ตาม สู้ๆค่ะ ทำเต็มที่

ปล. พึ่งทราบว่าวงดนตรี Libra เป็นของนิติศาสตร์ 555

1
tote2540 6 ส.ค. 62 เวลา 02:19 น. 5-1

คนเข้าใจผิดกันเยอะครับเรื่อง Libra เนี่ย 55

0
Nimit 6 ส.ค. 62 เวลา 11:00 น. 6

การเรียนกฎหมาย คือ การเรียนการตีความตัวบทในประมวลกฎหมายและพรบ.อื่นๆ ที่บังคับใช้ในราชอาณาจักรไทย จึงเท่ากับว่า นักกฎหมายทุกคนต้องเรียนในประมวล เล่มเดียวกัน ใช้เลขมาตราเดียวกัน แต่อะไรที่ทำให้นักกฎหมายโดยทั่วไปแตกต่างกัน นั้นคือ ค่านิยมของสังคมเกี่ยวกับสถาบันการศึกษา เรายังแยกกันไม่ออกว่า รร.ดี กับ รร.ดัง แตกต่างกันอย่างไร

1
tote2540 6 ส.ค. 62 เวลา 12:30 น. 6-1

ส่วนหนึ่งอาจเป็นที่บุคลากรทางการศึกษาครับ อาจารย์ที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่าอาจอยู่ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากกว่า

แต่ก็ขึ้นอยู่กับนักศึกษาด้วยว่าจะขวนขวายไหม

และในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง นักศึกษาที่เข้าไปอาจมีความต้องการจะเรียนในด้านนี้จริงๆ สังคมก็อาจจะมีการแข่งขันมากกว่า ประมาณนี้ครับ

0
ppppo 7 พ.ค. 63 เวลา 16:51 น. 7

สำหรัหนูนิติมฟล น่าสนใจมากเพราะมันใส่ใจด้านภาษาอังกฤษด้วย ปีนี้หนูก็เลือกนิติมฟลไว้ แล้วหนูก็ติด หนูก็พยายามหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดเพื่อเตรียมตัว กระทู้ของพี่ดีมากค่ะ หนูรู้แล้วว่าจะเจออะไรบ้าง แต่พออ่านก็ทำให้เครียดมาก มันดูยาก ภาษาอังกฤษหนูก็พอได้แต่ไม่เก่งมาก ไปเจอกระทู้หนึ่ง เขาบอกก่อนเปิดเทอมต้องติวอิ้งก่อน แต่ตอนนี้มันมีโควิด แล้วมันจะทำยังไง หนูอยากรู้มันจะมีผลกระทบไหมอีก 3 ปี ไหม ถ้าเกิดปี 1 เรียนออนไลน์ไม่เข้าใจ

3
aaa 7 พ.ค. 63 เวลา 19:20 น. 7-1

เทอ เราก็ติด ขอเฟสเธอติดต่อได้มั้ยคะ

0
tote2540 13 พ.ค. 63 เวลา 23:02 น. 7-2

มันเป็นสถาการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนอะ แต่พี่ว่าคนเราพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลานะ ถามว่าเป็นอุปสรรค์ในการเรียนอีก3ปีไหม ถ้าให้พี่ตอบตรงๆ สำหรับพี่คงไม่ เพราะนิติเราเรียนเป็นไทย(ตอนพี่เรียนนะ) แต่ก็มีสอดแทรกภาษาอังกฤษด้วย แต่สำหรับพี่ พี่คิดว่าวิชานอกเมเจอร์ที่เป็นภาษาอังกฤษ มันจะผลักดันให้เราต้องเอาสกิลการเอาตัวรอดออกมา พี่ก็ใช้ช่วงเวลาที่เรียนวิชาพวกนั้นแหละ กระตุ้นตัวเอง พัฒนาตัวเอง จนถูไถรอดมาได้ แต่ก็ไม่อยากแนะนำวิธีพี่สักเท่าไหร่ ถ้าเรามีโอกาส ฝึกฝนภาษาไว้ มันสำคัญนะ ทั้งในด้านการใช้ชีวิตและการทำงานสำหรับยุคสมัยของเรา

และ ถ้าเราเรียนออนไลน์แล้วไม่เข้าใจ พี่คิดว่าเอามาเป็นเครื่องกระตุ้นตัวเองก็ได้ คิดเอาไว้ ฉันต้องรอด ตั้งเป้าหมายไว้แล้วไปให้ถึงนะ ในทุกวิกฤต มันมีโอกาสอยู่นะครับ ️

เป็นกำลังใจให้ ยินดีต้อนรับสู่รั้วแดงทอง และยินดีมากๆที่มีน้องมาเป็นรุ่นน้องพี่อีกคน อย่าหยุดพัฒนาตัวเองนะครับ

0
ซอนญ่า 11 ก.พ. 64 เวลา 22:06 น. 7-3

หนูเด็ก 64 ก็จะตามไปเรียนนิติ เเม่ฟ้าหลวงเหมือนกันคะพี่ หนูคิดว่านิติศาสตร์ที่เเม่ฟ้าหลวง เป็นอะไรที่ใช่มาก นอกจากหนูจะได้เรียนคณะที่ตัวเองชอบเเล้ว หนูยังสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษได้อีกด้วย

ปล. ขอบคุณสำหรับคำเเนะนำจากรุ่นพี่นะค่ะ

หนูยื่นรอบ 1 ไป ประกาศวันที่ 22 ก.พ.นี้ ตื่นเต้นมาก

0
rp2545 31 ก.ค. 64 เวลา 10:53 น. 8

ขอบคุณค่าาาที่มาเล่าประสบการณ์ ตอนนี้หนูก็เรียนนิติศาสตร์ มฟล รุ่นที่19ค้าบ

0