ตัวตนอีกด้าน "พี่บิวกิ้น" ขยันเรียนไม่แพ้ทำงานกับความตั้งใจจะเรียนจบบริหารฯ ใน 3 ปีครึ่ง!

ในนาทีนี้ คงจะไม่มีใครไม่รู้จักกับ บท หมอเต่า จากเรื่อง “My Ambulance รักฉุดใจนายฉุกเฉิน” หรือ บท เต๋ จากเรื่อง "แปลรักฉันด้วยใจเธอ" ตามมาด้วยผลงานเพลงเพราะๆ เช่น You are my everything กีดกัน แปลไม่ออก โคตรพิเศษ  ฯ  และพิเศษสุดๆ กับผลงานเพลงร่วมกับ Disney+ Hotstar Thailand ที่พี่บิวกิ้นได้ฝากผลงานไว้  เรียกได้ว่า พี่บิวกิ้นมีความสามารถที่ครบเครื่องจริงๆ ค่ะ ทั้งร้องเพลงที่สุดแสนจะเพราะ นอกจากนั้นผลงานการแสดงยังดีอีกด้วย 

และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่พิเศษสุดๆ เช่นเคยค่ะ  เพราะเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ พี่บิวกิ้น พุฒิพงศ์ ในมุมของชีวิตการเรียนให้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว ไปกันเลย ><

เผยตัวตนอีกด้าน "พี่บิวกิ้น" กับการเรียนคณะในฝันเพื่อพิชิต3ปีครึ่ง ที่ทุ่มเทและตั้งใจไม่แพ้การทำงาน!!
เผยตัวตนอีกด้าน "พี่บิวกิ้น" กับการเรียนคณะในฝันเพื่อพิชิต3ปีครึ่ง ที่ทุ่มเทและตั้งใจไม่แพ้การทำงาน!!

เผยตัวตนอีกด้าน "พี่บิวกิ้น" กับการเรียนพิชิตคณะในฝัน 3 ปีครึ่ง 
ทุ่มเทและตั้งใจไม่แพ้การทำงาน!!

ก่อนอื่น อยากให้พี่บิวกิ้น ช่วยแนะนำตัวให้เพื่อนๆ ชาว Dek-D ของเรารู้จักกันหน่อย

สวัสดีครับ ผม บิวกิ้น พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล นะครับ ตอนนี้ก็กำลังเรียนที่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ. ท่าพระจันทร์ และปัจจุบันเป็นนักร้อง นักแสดงครับ  

อยากให้พูดถึงชีวิตวัยเรียนของพี่บิวกิ้นสักเล็กน้อย ชีวิตสมัยมัธยมที่เซนต์คาเบรียล และชีวิตมหาวิทยาลัยที่ ม.ธรรมศาสตร์ เปลี่ยนไปเยอะมั้ย รวมถึงต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง

จริงๆ ค่อนข้างแตกต่างเลยครับ อย่างตอนมัธยม ผมเรียนที่ โรงเรียน เซนต์คาเบรียล ชีวิตเด็กมัธยมจริงๆ ค่อนข้างมีกรอบหรือกฎต่างๆ ค่อนข้างเยอะ แต่มันก็เป็นความสนุกอีกแบบที่เรามีทั้งเพื่อนและมีกิจกรรมให้ทำตลอดครับ แต่พอเข้ามหาลัย เรามีอิสระมากขึ้น เรียกได้ว่า ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองมากขึ้นครับ แถมต้องมีการจัดการชีวิตตัวเอง พร้อมกับต้องเลือกเส้นทางชีวิตตัวเอง เพราะเรื่องเรียนอาจารย์ก็ไม่ได้มาเคร่งครัดให้เราเรียนเลย เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองและทำงานเองมากขึ้นครับ 

รวมถึงพอขึ้นมหา'ลัย เราก็โตขึ้น ทำให้เราเองมีเวลาในการไปเรียนรู้ชีวิตจากนอกห้องเรียนมากขึ้น อย่างของผมก็จะเป็นการทำงาน ซึ่งพอเข้ามหาลัยก็มีโอกาสในการทำงานมากขึ้นนั่นเองครับ ส่วนเรื่องการปรับตัว ผมคิดว่า เราต้องมาดูว่าเราต้องรับผิดชอบอะไรบ้างและต้องจัดการอะไรบ้างครับ ส่วนเวลาที่เหลือ เราก็สามารถเอาไปพัฒนาตัวเอง หรือว่าเรียนรู้ด้านอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นครับ  

จริงๆ พี่บิวกิ้นสอบติดมหาวิทยาลัยตั้งแต่ ม.5 แล้ว แต่อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจที่เลือกเรียนต่อจนจบ ม.6 

สำหรับผม  มันคือการได้มีชีวิตมัธยมอย่างสมบูรณ์แบบมากกว่าครับ ผมว่า จริงๆ แล้วปีสุดท้ายในการเป็นเด็กมัธยม เป็นปีที่เรามีความสนุกแบบที่ไม่เหมือนกับที่เคยมีในช่วงเวลาที่ผ่านมากับการเป็นเด็กมัธยมอะไรประมาณนี้ครับ อีกอย่างที่โรงเรียนของผมมีการทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งการทำสโมสรนักเรียน หรือเรื่องกีฬาสี ซึ่งผมเองก็เหมือนกับหัวเรือใหญ่ที่นำน้องๆ หรือกำหนดทิศทางต่างๆ แล้วผมเองก็รู้สึกว่า เรามีความสุขไปกับมัน และตอนนั้นเราเองก็รู้สึกว่าช่วงนั้นก็ยังสนุกกับชีวิตมัธยมอยู่ เราก็ยังอยากอยู่กับเพื่อนๆ กลุ่มนี้จนถึงวันสุดท้ายที่เราจบ ซึ่งหลักๆ ของผมคือ การที่เรารู้สึกว่าเราอยากใช้ชีวิตมัธยมให้คุ้มและให้มันสมบูรณ์แบบจนจบ ม.6 มากกว่าครับ

ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.om.tbs.tu.ac.th/contact.html
ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.om.tbs.tu.ac.th/contact.html

ทราบมาว่า พี่บิวกิ้นกำลังเรียนอยู่ที่ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มธ. ท่าพระจันทร์ (หลักสูตรนานาชาติ) อะไรคือจุดเริ่มต้นหรือแรงบันดาลให้พี่บิวกิ้นเลือกเรียนคณะนี้

ถ้าย้อนไปถึงการเลือกเรียนคณะและสาขานี้ อาจจะมาจากการที่ผมโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจครับ ซึ่งครอบครัวผมก็เรียนอยู่ในด้านการทำธุรกิจด้วย แล้วการที่เราโตมากับการที่ป่าป๊าทำธุรกิจ เขาก็พาเราไปดูนั่นดูนี่และพาเราไปเรียนรู้งาน ซึ่งนอกจากด้านการแสดงและเรื่องเพลง พาร์ทของการทำธุรกิจก็เป็นสิ่งที่ถูก ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เป็นอีกหนึ่งความฝันของเรา ที่เรารู้สึกว่า เรามี passion กับมันและเติบโตมากับมัน เลยทำให้เราอยากที่จะลุยกับมันต่อครับ ซึ่งตัวผมเองสนุกมากที่ได้ทำสิ่งนี้ แล้วก็สนุกที่จะมีพัฒนาตัวเอง สนุกที่จะมีเป้าหมายและบรรลุเป้าหมายด้วยครับ แต่ความฝันของผมก็ไม่ได้คิดว่า ฉันจะต้องเป็นเศรษฐีรวยแสนล้านนะครับ!!  แต่เราแค่รู้สึกว่า เรามีพัฒนาการเป็นของตัวเองไปเรื่อยๆ ทีละขั้นดีกว่า มองไปทีละก้าว ว่า วันนี้เราอยู่ตรงไหนแล้ว และอยากจะเดินไปสู่จุดไหนที่มันเป็นไปได้บ้าง แล้วค่อยๆ มองไปว่า สุดท้ายถ้าเราเต็มที่กับมันและทำมันดีที่สุดแล้ว ผมรู้สึกว่าจริงๆ เราก็จะไปถึงสู่จุดที่ดีที่สุดของเราแล้วครับ  

เล่าถึงตอนที่เราเตรียมตัวสอบ  มีการเตรียมตัวสอบอย่างไรบ้าง และการเตรียมตัวสอบเข้าภาคปกติกับภาคอินเตอร์ ต่างกันหรือไม่ อย่างไร

สำหรับการเตรียมตัวสอบของผม ก็จะมีเรียนพิเศษบ้าง แต่ผมว่า ข้อสำคัญอีกเรื่อง คือการที่เราต้องอยากบรรลุเป้าหมายครับ เพราะสุดท้ายเราจะทำทุกอย่าง เพื่อที่จะไปสู่ปลายทางของเรา ทำให้เราจะต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบหรือศึกษาเกี่ยวกับมันครับ 

ซึ่งจริงๆ สำหรับผม คือการมีเป้าหมายแล้วก็เรียนรู้มันในทุกๆ ทาง จากนั้นก็ต้องจัดการเวลาและบริหารชีวิตให้ดีครับ ส่วนความแตกต่างของภาคปกติกับภาคอินเตอร์ ผมว่ามันก็ต่างนะครับ อย่างภาคปกติก็ต้องรอ ม.6 แล้วก็ไปสอบ 9 วิชาสามัญ และ GATPAT แต่ของผมมีระบบที่ต่างออกไป โดยของผมใช้คะแนน SAT เป็นหลัก แต่ก็จะยื่นได้เฉพาะคณะอินเตอร์ แต่ข้อดีของมันคือ เราสามารถมีโอกาสได้สอบก่อนหรือได้เรียนรู้ก่อน แต่พอพูดถึงความยากง่าย ผมว่าจริงๆ ทุกอย่างก็มีความยากต่างกันครับ    

ตอนนี้น้องๆ หลายคนกำลังค้นหาตัวเองอยู่ อยากให้พี่บิวกิ้นช่วยแนะนำน้องๆ หน่อยว่า สายบริหาร/บัญชี/การตลาด เหมาะกับคนแบบไหน หรือ ถ้าอยากเรียน ต้องมีคุณสมบัติแบบไหน

ผมว่าทุกคนสามารถเรียนได้หมดถ้าเกิดอยากจะเรียนรู้หรือศึกษาในศาสตร์ ศาสตร์นี้จริงๆ เพราะมันไม่มีกำแพงหรือระบุขนาดนั้นว่า ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะเหมาะหรือต้องมีคุณสมบัติแบบไหน แต่มันก็จะมีความยากและความท้าทายของมัน ที่ถ้าใครอินหรือชอบจริงๆ  ก็จะรู้สึกว่า มันสนุก แล้วจะเรียนไปด้วย passion ประมาณนี้ครับ 

ส่วนเรื่องของการค้นหาตัวเอง ผมว่าวิธีการที่จะทำให้รู้ว่าชอบอะไร คือ การลองเอาตัวเองไปทำอะไรใหม่ๆ เยอะๆครับ เพราะถ้าเราอยากรู้ว่าเราชอบอะไรหรือเราสามารถไปกับมันได้ไหม เราก็แค่ลงไปศึกษามัน ลงไปเรียนรู้กับมัน แล้วเราจะรู้ได้เองว่า จริงๆ แล้วเราชอบมันหรือเปล่า เราทำมันได้ดีไหม หรือมันจะไปกับเราได้ไหมประมาณนี้ครับ  

พี่บิวกิ้น มาพร้อมทั้งความสามารถและความตั้งใจ!!
พี่บิวกิ้น มาพร้อมทั้งความสามารถและความตั้งใจ!!

พี่บิวกิ้นต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องเรียนและทำงาน มีเทคนิคในการแบ่งเวลาอย่างไรบ้าง

ผมว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือการ prioritize (จัดลำดับความสำคัญ) ครับ แต่สำหรับผม ผมไม่ได้บอกว่า สุดท้ายแล้วการเรียนสำคัญกว่าการทำงาน หรือการทำงานสำคัญกว่าการเรียน หรือชีวิตครอบครัวสำคัญกว่าการเรียน หรือเพื่อนสำคัญกว่านะ แต่ผมว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างมีความสำคัญหมด มันจะมีความเร่งด่วนของมันที่แตกต่างกัน อย่างเช่น ตารางเรียน มันเป็นอะไรที่มันเลื่อนไม่ได้ แล้วมีความสำคัญ เราจะต้องทำมันเพื่อให้เราเรียนจบหรือบรรลุเป้าหมาย ผมเลยรู้สึกว่า ถ้าอันนี้สำคัญที่สุด เราก็ต้องทำไปก่อน แต่ถ้าเกิด สุดท้ายเรามีงานที่สำคัญจริงๆ เป็นโอกาสที่ดีของเรา แล้วเราสามารถหยุดเรียนได้ ซึ่งงานนี้อาจจะไม่วนกลับมาหาเราอีกแล้ว เราก็อาจจะเลือกที่จะหยุดเรียน แล้วไปทำงาน แต่กลับมาตามงานทีหลังครับ  

ผมรู้สึกว่า แม้งานนี้จะทำให้เราไม่ได้เจอเพื่อน แต่มันสร้างโอกาสและสร้างสิ่งดีๆ กลับมาให้เราเช่นกัน เราก็ควรจะเลือกทำมันให้ดีครับ แม้เราไม่จำเป็นต้องเลือกขนาดนั้นตลอดเวลา แต่เราอาจจะต้องเลือกบ้างระหว่างทาง สุดท้ายมันก็ไม่จำเป็นว่าถ้าเราเรียน จะทำงานไม่ได้ หรือถ้าเราทำงาน เราจะเรียนไม่ได้อะไรประมาณนี้ครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่า จริงๆ แล้ว พอเรามา Weight Opportunity Costs (ชั่งน้ำหนักต้นทุนค่าเสียโอกาสทางเศรษฐศาสตร์) เราต้องเลือก choice ที่ดีที่สุดของเวลานั้นให้เราอยู่แล้ว ซึ่งมันทำได้หมดครับ อยู่ที่ว่าเราจะให้ความสำคัญกับอะไร หรือว่าจะบริหารชีวิตของเรายังไงมากกว่าครับ

ทางเราแอบทราบมาว่า พี่บิวกิ้นมีแผนจะเรียนให้จบ 3 ปีครึ่ง แบบนี้พี่บิวกิ้นมีการวางแผนในเรื่องเรียนอย่างไรบ้าง

ก่อนอื่น ผมก็จะมาดูว่า ในการเรียนหลักสูตรนี้จะต้องเรียนอะไรบ้าง เช่น เรียนวิชาพื้นฐานกี่วิชา หรือวิชาเอกกี่วิชา จากนั้นก็มาวางแผนและบริหารให้ดีครับ ว่า เทอมไหนเปิดสอนวิชาอะไรบ้าง และแต่ละเทอมเราจะต้องเรียนวิชาไหนบ้างประมาณนี้ครับ นอกจากนั้นที่มหาลัยผมยังมี Study Plan ให้เราดู เราเลยสามารถเข้าใจได้ว่า ในการเรียนทั้งหมดของเราเป็นยังไงบ้าง และยังมีพี่ๆ ที่มหาลัยที่จะคอยช่วยเหลือในการจัดตารางด้วยครับ ซึ่งเราก็สามารถไปปรึกษากับเขาได้ว่า ถ้าจะเรียนจบ 3 ปีครึ่งจะต้องทำยังไงบ้าง และที่สำคัญสำหรับผมจริงๆ ผมว่ามันคือการบริหารชีวิตตัวเองครับ เพราะในหนึ่งวันเรามีสิ่งที่ต้องทำเต็มไปหมด ดังนั้นเราจึงควรที่จะวางแผนเพื่อบริหารชีวิตของเราให้ดีครับ  

"พี่บิวกิ้น" กับบทบาทการทำงานนอกห้องเรียน
"พี่บิวกิ้น" กับบทบาทการทำงานนอกห้องเรียน

แล้วในช่วงที่พี่บิวกิ้นเจอกับความเหนื่อย ความท้อ ทั้งจากเรื่องเรียนและเรื่องงาน มีวิธีในการผ่านพ้นช่วงนั้นไปได้อย่างไร

สำหรับผม ถ้าเราเหนื่อยกาย ผมรู้สึกว่าเราก็แค่นอนพักมันก็ดีขึ้นครับ แต่ถ้าเราเหนื่อยใจ ผมว่าเหมือนกับการที่เราลองถอยออกมาจากสิ่งที่เราอยู่สัก 2 ก้าวครับ แล้วเราจะเห็นอะไรที่กว้างขึ้น และเห็นว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่เราเจออยู่ มันกำลังอยู่กับอะไรหรือจะพาเราไปสู่จุดไหน และเป้าหมายแท้จริงของเราคืออะไร สุดท้ายมันก็จะทำให้เราสู้หรือรู้สึกว่าเรามีกำลังใจที่จะทำมันมากขึ้นประมาณนี้ครับ มันอาจจะยากแค่ตรงนี้ เพราะว่าถ้าเกิดเราลองมองภาพให้มันกว้างขึ้น มองชีวิตให้มันไกลขึ้น เราอาจจะเห็นว่า จริงๆ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่  มันกำลังจะให้อะไรกับเราในอนาคต ผมว่าสิ่งนี้จะทำให้เราแข็งแกร่ง เติบโตขึ้น และเป็นคนที่ดีขึ้นครับ 

เพราะฉะนั้น มันจะทำให้เราเรียนรู้ว่า ถ้าเราอยากจะพัฒนาตัวเอง เราอยากจะเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีที่สุด เราจะไม่อยากให้เวลามันผ่านไปโดยที่เราไม่ทำอะไรครับ ซึ่งส่วนตัว ผมรู้สึกว่าสำหรับผมเวลามันมีค่ามาก ผมจะพยายามบริหารเวลาของผมในทุกช่วงชีวิตของผมให้เกิดประโยชน์สูงสุดในทุกๆ ด้านครับ  

 สุดท้ายนี้  อยากให้พี่บิวกิ้นฝากถึงน้องๆ ม.6 ที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหน่อย

ผมว่าจริงๆ แล้วจากชีวิตมัธยมมาเป็นมหาลัย มันก็เป็นจุดเปลี่ยนยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยครับ ผมเลยรู้สึกว่า จริงๆ แล้วสำหรับน้องๆ ก็ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ พยายามศึกษา พยายามลงมือทำความเข้าใจว่าจริงๆ แล้ว แต่ละคณะมันคืออะไร เรียนอะไรบ้าง แต่ละสาขาต่างกันยังไง อินเตอร์กับภาคไทยมันต่างกันตรงไหน มหาวิทยาลัยแต่ละที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันยังไง ที่ไหนเราชอบหรือเราไม่ชอบ 

ผมว่าแค่เรียนรู้ ศึกษาและทำความเข้าใจมันให้มากที่สุด สุดท้ายเราจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเองครับ อีกอย่างยิ่งเรารู้เยอะ เรายิ่งตัดสินใจได้ดีนะ เรียนรู้ให้เยอะ เลือกสิ่งที่ดีที่มันไปกับตัวเองได้ครับ บางอย่างเราอาจจะชอบแต่ว่าเราไม่ได้ทำมันได้ดี สุดท้ายเราอาจจะต้องเลือกสิ่งที่ทำได้ดีก็ได้นะ หรือรู้สึกว่าถ้าเราชอบ แล้วอยากจะทำ เราก็อาจจะเลือกสิ่งที่ชอบก็ได้ ซึ่งผมไม่รู้นะ มันไม่มีสูตรตายตัวว่า จริงๆ แล้วเราจะต้องใช้ชีวิตยังไง หรือว่าต้องเลือกคณะยังไง ผมแค่อยากจะบอกกับน้องๆ ว่า ยิ่งเรารู้เยอะ มันยิ่งเป็นผลดีต่อการตัดสินใจของเรา และผมเชื่อว่าทุกคนจะเลือกสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้กับตัวเองครับ เป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนครับ 

 

พี่บิวกิ้น เป็นอีกหนึ่งไอดอลคนเก่งของพวกเราจริงๆ ค่ะ เพราะนอกจากผลงานการแสดงและเพลง พี่บิวกิ้นยังทุ่มเทและวางแผนสำหรับการเรียนอีกด้วย เรียกได้ว่าแม้งานจะหนักแค่ไหน พี่บิวกิ้นก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียนเลยค่ะ รู้แบบนี้แล้ว!! 

น้องๆ อย่ายอมแพ้กันนะคะ พี่นุกนิกขอเป็นอีกหนึ่งกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนค่ะ 

ขอบคุณภาพจาก http://www.om.tbs.tu.ac.th/contact.html
พี่นุกนิก
พี่นุกนิก - Columnist คอลัมนิสต์

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

กำลังโหลด

2 ความคิดเห็น

ความคิดเห็นนี้ถูกลบเนื่องจาก

ถูกลบโดยทีมงาน เนื่องจากงดตั้งกระทู้วิจัย โครงงาน หรือใช้พื้นที่เว็บบอร์ดเพื่อการส่งการบ้าน เนื่องจากเป็นการรบกวนผู้ใช้บอร์ดท่านอื่นๆ ขออภัยในความไม่สะดวก

กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด