น้องๆ ว่าไหมคะ ว่าโลกเรานี้ช่างกว้างใหญ่ เต็มไปด้วยหลากหลายประเทศ หลากหลายภาษา หลายหลากวัฒนธรรม ทำให้ประเพณีหรือแม้กระทั่งค่านิยมที่แต่ละพื้นที่ที่สืบทอดต่อกันมาก็แตกต่างกันไปด้วย บางอย่างก็ดีงาม น่าสานต่อไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานให้ได้ฟินกัน แต่บางกรณีนี่สิคะ เฮ้อ...พี่กวางก็ได้แต่คิดว่ายุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว ทำไมไม่ลองคิดใหม่ทำใหม่ดูบ้างนะ เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าค่านิยมไหนบ้างนะ ที่เข้าข่าย "ค่านิยม(เคย)ฮิต ที่เป็นพิษต่อสังคม!"
1. การโยนเด็ก (อินเดีย)
แค่ฟังชื่อก็น่าสะพรึงแล้วใช่มั้ยคะ ประเพณีนี้ทำกันในรัฐมหาราษฏระ และรัฐกรณาฏกะ ของประเทศอินเดียค่ะ ก็ตามชื่อหัวข้อเลย นั่นคือบรรดาพ่อแม่ที่มีลูกอายุไม่เกิน 2 ปีจะพาเหรดกันพาลูกตนเองมาที่มัสยิด เพื่อให้นักบวชร่ายคาถา ตามด้วยโยนเด็กลงมาจากระเบียงความสูงไม่ต่ำกว่า 30 ฟุต! (นี่ลูกคนหรือลูกนกกันแน่เนี่ย -_-) แต่ก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดจะปล่อยให้เด็กกางปีกบินเองหรอกนะคะ เพราะเบื้องล่างมีผู้กางผ้ารอรับอยู่เป็นสิบคน รวมถึงพ่อแม่เด็กด้วยค่ะ และถ้าจะถามว่าเขาทำเพื่ออะไรน้า...พี่กวางตอบให้ว่า เป็นความเชื่อของชาวบ้าน ที่เชื่อว่าเมื่อเด็กผ่านพีธีกรรมนี้แล้วจะเฮงๆ มีโชคลาภ และสุขภาพแข็งแรงไม่เจ็บป่วยนั่นเองค่ะ
ภาพพิธีโยนเด็กในชุมชนหนึ่งของอินเดีย ดูแล้วหวาดเสียวแทนน้องๆ เลยค่ะ
ขอบคุณคลิปจาก https://www.youtube.com/watch?v=mvwmJrtXpT8
แน่นอนว่าหวาดเสียวขนาดนี้ จึงถูกสั่งแบนจากรัฐบาลอินเดียอย่างเด็ดขาดในปี 2011 จนได้ แต่กฏหมายหรือจะสู้กฏหมู่ เพราะนับตั้งแต่วันที่รัฐบาลสั่งห้ามจนปัจจุบันนี้ ก็ยังมีชุมชนที่แอบทำกันอยู่เรื่อยๆ โดยให้เหตุผลว่า ประเพณีนี้พวกเขาทำกันมานานกว่า 500 ปีแล้ว และที่ผ่านๆ มาก็ไม่เคยมีเด็กบาดเจ็บอะไรสักหน่อย ห้ามทำไมกัน!
2. เท้าดอกบัว (จีน)
ไม่ว่าในยุคไหนๆ สังคมก็มักต้องเข้ามากะเกณฑ์มาตรฐานความงามของผู้หญิงเราอยู่เรื่อยเลยนะคะ อย่างเช่นเดี๋ยวนี้ก็จำเป็นต้องขาว ต้องผอม จั๊กแร้เรียบเนียน หลังหูห้ามมีขี้ไคล แต่ก็ไม่ใช่แค่ผู้หญิงสมัยนี้หรอกค่ะที่ลำบาก เพราะสาวจีนเขาลำบากกันมาก่อนตั้งแต่สมัยโบราณแล้วค่ะ
ค่านิยมการรัดเท้าให้เล็กเท่าดอกบัว ของสาวจีนโบราณนี่เป็นเหมือนภาพสะท้อนความทรมานเพื่อความงามของหญิงสาวในอดีตเลยค่ะ เพราะสมัยนั้นชาวจีนมีความเชื่อว่ายิ่งผู้หญิงมีเท้าเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งสวยเท่านั้น และความสวยบวกกับเท้าเล็กเท่าดอกบัวนี่แหละ ที่จะทำให้ผู้หญิงได้สามีที่ดี เด็กหญิงในสมัยนั้นจึงถูกรัดเท้าตั้งแต่เด็ก ซึ่งวีธีรัดเท้าก็แสนจะโหดร้ายทารุณค่ะ เพราะต้องถอดเล็บเท้าออก แล้วหักนิ้วเท้าทั้งสี่ (ยกเว้นนิ้วโป้ง) ไปซ่อนไว้ที่ใต้ฝ่าเท้า จากนั้นจึงจัดการห่อมัดเท้าให้ได้รูปที่ต้องการ ยิ่งเล็กได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี คิดสภาพสิคะว่าจะเจ็บปวดทรมานขนาดไหน และหลังจากนั้นจะใช้ชีวิตกันอย่างไร...
สภาพเท้าที่ต้องถูกดัดเพื่อให้สามารถใส่รองเท้าแบบนี้ได้
โชคดีที่ปัจจุบันนี้ประเทศจีนให้สิทธิและเสรีภาพแก่สตรีมากขึ้น ทำให้ประเพณีนี้ถูกสั่งห้าม จึงไม่มีหญิงสาวคนไหนต้องทนเจ็บปวดอีก
3. ประเพณีสตี หรือประเพณีเผาเมีย (อินเดีย)
ถัดจากเรื่องรันทดของสาวๆ ชาวจีนแล้ว ต่อมาเราก็ยังอยู่กับเรื่องรันทดของสาวๆ อีก แต่คราวนี้เป็นสาวๆ ในประเทศอินเดียค่ะ
ประเพณีรันทดนี้เป็นพิธีที่เคยถือปฏิบัติกันในสมัยอินเดียโบราณ นั่นคือพิธีสตี หรือพิธีเผาเมีย โดยพิธีนี้กำหนดไว้ว่าเมื่อสามีเสียชีวิตแล้ว ภรรยาก็จำเป็นต้องตายตามไปด้วย (หา!) โดยต้องกระโดดเข้าไปในกองไฟที่กำลังเผาสามีอยู่นั่นละค่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่ภรรยาทุกคนจะเต็มใจหรอกนะคะ แต่ต่อให้ไม่เต็มใจอย่างไร สุดท้ายก็จะถูกโยนเข้าไปกองไฟอยู่ดีค่ะ ความพีคของพิธีนี้คือเล่ากันว่าครั้งหนึ่งเคยมีพระราชาเสียชีวิตลง ทำให้สนมทั้ง 500 คนต้องถูกเผาไปด้วย อื้อหือ คิดสภาพสิคะว่าจะเป็นเช่นไร นับว่าเป็นโศกนาฏกรรมที่หดหู่มากทีเดียวค่ะ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเห็นด้วยกับพิธีกรรมนี้หรอกนะคะ เพราะกษัตริย์หลายพระองค์ของอินเดียต่างก็พยายามห้ามปรามไม่ให้ประชาชนทำพิธีกรรมนี้ แต่ไม่สำเร็จ เพราะยังคงมีประชาชนลักลอบทำกันอยู่ดี จนมาหยุดได้จริงๆ ก็หลังจากอินเดียถูกยึดครองโดยอังกฤษแล้วถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำพิธีกรรมนี้อย่างเด็ดขาดนั่นละค่ะ เฮ้อ....ดีใจกับแม่หม้ายชาวอินเดียทุกคนด้วยนะคะ ที่ในที่สุดก็ได้โอกาสเริ่มชีวิตใหม่เช่นคนอื่นๆ สักที
4. การลอยโคม (ไทย)
และถ้าพูดถึงกระแสฮอตที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันในสังคม คงจะมองผ่านค่านิยมนี้ไปไม่ได้ค่ะ สำหรับ การลอยโคม ที่เชื่อกันว่าเป็นประเพณีดั้งเดิมมาตั้งแต่สมัยล้านนา
การลอยโคมนี้ ก็คือการนำโคมที่ทำด้วยกระดาษสา ติดเข้ากับโครงไม้ไผ่ แล้วจุดตะเกียงไฟตรงกลาง เพื่อให้ไอร้อนช่วยดันอากาศให้โคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เดิมทีประเพณีนี้มีไว้สำหรับให้ผู้ที่เกิดปีจอ ลอยกันในเทศกาลยี่เป็ง เพื่อสักการะบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณี ที่เชื่อกันว่าเป็นเจดีย์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ปัจจุบันนิยมแพร่หลายในหมู่คนทั่วไป แถมยังลอยกันทุกเทศกาลอีกต่างหากค่ะ อย่างเช่นปีใหม่ที่ผ่านมาใครไปเชียงใหม่คงจะได้เห็นโคมลอยเต็มน่านฟ้าไปหมด และความเชื่อก็ผิดเพี้ยนไปจากการลอยโคมเพื่อสักการะพระเกตุแก้วจุฬามณี กลายเป็นการลอยเพื่อปลดปล่อยความทุกข์ความโศกให้ลอยหายไปกับโคมแทนค่ะ
แน่นอนว่ายุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนตาม จากสมัยก่อนที่บ้านเรือนยังไม่หนาแน่น และยังไม่มีเครื่องบินบนท้องฟ้า มาสู่ยุคบ้านเรือนแน่นขนัด ท้องฟ้าก็มีเครื่องบินเต็มไปหมด ทำให้บ่อยครั้งที่โคมลอยเหล่านั้นตกลงบนหลังคาบ้านเรือน ก่อให้เกิดไฟไหม้เสียหาย หรืออย่างล่าสุดก็มีข่าวว่าพบโคมเข้าไปติดในเครื่องบิน จนต้องยกเลิกเที่ยวบินมาแล้ว อันตรายแบบนี้จึงทำให้ประเพณีลอยโคมถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างหนักว่าสมควรทำต่อหรือไม่
5. การยิงปืนขึ้นฟ้า (ไทย)
อันนี้จะเรียกว่าเป็นค่านิยมก็คงไม่เต็มปากเต็มคำนัก แต่ก็มีคนไทยจำนวนไม่น้อยเลยที่มีพฤติกรรมแบบนี้ค่ะ คือการยิงปืนขึ้นฟ้าเฉลิมฉลองในโอกาสต่างๆ นั่นเอง
ปกติแล้ว คนเราเวลาอยากเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง เราก็มักจะร้องไชโย ชนแก้ว หรืออลังการหน่อยก็จุดพลุเฉลิมฉลองใช่ไหมคะ แต่ก็มีคนบางประเภทค่ะ ที่ใช้วิธีเฉลิมฉลองด้วยการยิงปืนขึ้นฟ้า ปังปังปัง!! หนึ่งนัด สามนัด สิบนัด ว่ากันไป (พี่กวางก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันฟินตรงไหน) ความเชื่อผิดๆ ของคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้คือ หลายคนเข้าใจว่าเมื่อยิงปืนขึ้นฟ้าแล้ว ลูกปืนก็จะหายขึ้นไปบนฟ้าได้เอง ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดสุดๆเลยค่ะ เพราะตามหลักแรงโน้มถ่วงของโลก ลูกกระสุนต้องตกลงบนพื้นเสมอ อยู่ที่ว่าจะไปตกที่ไหน จะสร้างอันตรายต่อใครหรือเปล่าเท่านั้นล่ะ
แน่นอนว่าจากสถิติที่ผ่านมา มีหลายครั้งหลายหนที่พวกเราได้อ่านข่าวหน้าหนึ่งเรื่องประชาชนบริสุทธิ์ที่อยู่เฉยๆ ก็ถูกกระสุนลึกลับร่วงลงมาโดนตัวบ้าง โดนหัวบ้าง จนเป็นอันตรายไปหลายคนแล้ว ยิ่งเป็นข้อบ่งบอกว่าควรเลิกซะทีเถอะค่ะกับพฤติกรรมแบบนี้ หากน้องๆ มีเพื่อน พี่ น้อง หรือญาติคนไหนทำอยู่ก็อย่าลืมช่วยกันเตือนนะคะ ยิงปืนขึ้นฟ้า อันตรายน่าดูเลยค่ะ
เป็นไงบ้างคะ จากทั้ง 5 ค่านิยมที่พี่กวางยกตัวอย่างมา แสดงให้เห็นว่าต่อให้เป็นสิ่งที่ยึดปฏิบัติต่อๆ กันมาตั้งแต่อดีต แต่ถ้าหากมันไม่ใช่สิ่งที่ดี หรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เราก็จำเป็นต้องทบทวนกันแล้วละค่ะ ว่ายังจะคงยึดปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นไว้ดีหรือไม่
น้องๆ ชาว Dek-D ล่ะคะ มีความเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง ค่านิยมหรือประเพณีไหนอีกบ้างนะที่น้องๆ มีความเห็นว่าควรปรับปรุง หรือยกเลิก หรือหากน้องๆ มีประสบการณ์เกี่ยวกับประเพณีไหนที่พี่กวางเล่ามา จะเอามาเล่าต่อให้เพื่อนๆ คนอื่นฟังเป็นอุทธาหรณ์ก็ได้เลยนะคะ พี่กวางรออ่านอยู่ค่ะ
ภาพและข้อมูลจาก
http://www.freeimages.com/
http://www.apnaahangout.com/baby-tossing-ritual-india/
http://www.timesfreepress.com/news/local/story/2009/jul/31/indian-rights-activists-blast-baby-dropping-ritual/228977/
http://www.m-culture.go.th/ilovethaiculture/index.php/2013-09-03-09-34-32/km-travel/item/ประเพณีลอยโคม
http://en.wikipedia.org/wiki/Sati_(practice)
http://academic.mu.edu/meissnerd/wagner.html
http://www.laits.utexas.edu/solvyns-project/Satiart.rft.html
25 ความคิดเห็น
ของจีนนี่สยองสุดละ
โคมลอยจริงๆสวยมากเลย แต่เห็นข่าวที่เข้าไปติดเครื่องบินแล้ว เอิ่มมมม ยกเลิกเถ๊อะะะ
ยิงปืนขึ้นฟ้านี่เกียดที่สุด เพชรบุรี ปีใหม่นี่ยิ่ง กันอย่างกะจุดปะทัด ชั่วเทียงคืนนี่นอนกันแทบไม่ได้ ขอร้อง มันอาจจะไปตกใส่หัว ใครก็ได้ ทำอะไร อย่าให้คนอื่นมารับเคราะห์สิคะ
โชคดี 2,3 โดนเลิกไปนานแล้ว
1,5 เลิกได้ละนะ
4 : 1 นาทีพอ ลงมาได้ละลูก
ที่จว.เราก็ลอยโคมมาตลอดนะ ไม่เห็นมีปัญหาเลย มันเป็นแค่เฉพาะที่แค่นั้นแหละ
เพราะฉะนั้นเราว่ามันควรห้ามแค่บ้างที่เท่านั้นพอ ไม่ใช่ให้เลิกประเพณีนี้ไปเลย
เราว่าเยอะไป
ประเพณีอันงดงามสวยงาม อ่าาาาาห์ ใครตายใครเดือดร้อนก็ช่างไม่ใช่กรูก็พอแล้วแจ้ :v
แม่เราบอกนะว่าเท้าดอกบัวจีนน่ะทำแค่เฉพาะคนที่รวยจริงๆเท่านั้น่ะค่ะ
ไม่ได้ทำทุกคน คนที่จนๆหน่อยก็โชคดีเพราะไม่ต้องทำ
แล้วที่ทำได้เฉพาะคนรวยเพราะว่าไม่ต้องทำงานอย่างคนจนจึงทำกัน
แล้วคนจนไม่ทำเพราะหากทำเท้าดอกบัวจะทำให้ไม่สะดวกในการทำงานหนักๆน่ะค่ะ
ข้อสุดท้ายนี่โดนมากับตัวเลยค่ะ นอนหลับตื่นเช้ามาเดินออกจากห้อง เจอหัวกระสุนบี้ติดพื้น พอเงยหน้าไปก็เห็นเพดานเป็นรูโหว่เล็กๆ คิดว่ากระสุนคงตกมาตั้งแต่เมื่อคืน ที่น่าตกใจคือมันตกใกล้ห้องนอนเรามากอ่ะ ห่างไปไม่ถึงสามเมตรก็เป็นเตียงนอนเราแล้ว ไม่อยากนึกเลยว่าถ้ามันตกใส่เตียงจะเป็นยังไง
หื้มมม.. สยองตรงรัดเท้านี่แหละ!!!
เราว่าโคมลอยไม่ควรยกเลิกนะ
ถามว่าทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ? ก็เพราะเราว่ามันสวยงามอ่ะ แล้วเป็นประเทศไทยประเทศเดียวที่เป็นเจ้าของโคมลอยด้วย(ช่ะ?55) แล้วแบบชอบสุดๆเลยคือตอนดูราพันเซลมีโคมลอยด้วย><
แต่...ลอยแค่ประเพณีลอยกระทงก็พอแล้วนะ เพราะทุกคนยอมรับในข้อนี้อยู่แล้ว มากไปก็ไม่ดีU_Uมันเดือดร้อนคนอื่นเขา
1-3 ยกเลิกไปแล้วชั่งมัน
4.ควรยกเลิก เพราะ ถ้าไม่เลิกไปเลย ต่างคนต่างลอย มันก็เต็มฟ้า อย่าบอกว่ามันสวยครับเพราะมันกินไม่ได้ แถมเดือดร้อนคนด้วยครับ เครื่องบินนั้นก็ข่าวนึง แต่แถวบ้านผมไฟใหม่เพราะโคมลอยลอยตกใส่บ้านคนครับ อย่าเล่นกันเลยครับมันไม่ใช่ของเล่น ไฟมันเอาแน่นอนอะไรไม่ได้ลมพัดแรงๆ มันก็ไหม้โคมตกแล้วครับ เลิกเถอะครับ อย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนเลยครับ เพราะแค่มันยังไม่ได้ตกใส่บ้านคุณหรือทำให้เครื่องบินคุณตก ไม่ใช่ว่ามันจะตกใส่ไม่ได้ครับ แล้วคนที่บอกยอมไม่ได้นะ สมัยนี้กับสมัยก่อนมันไม่เหมือนกันนะ ทั้งบ้านคนที่ไม่เยอะเป็นดอกเห็ดเหมือนสมัยนี้ ทั้งเครื่องบินที่เมื่อก่อนมันไม่มี ที่ให้เลิกไปเลยเพราะถ้ามีลอยที่นึง ที่อื่นก็จะบอกว่า เอ็งลอยได้ตูก็ลอยได้ มันไม่จบครับ วัฒนธรรมบางอย่างต้องปรับเปลี่ยนตามยุคสมัยครับ ไม่ใช่สักแต่ว่ารักษาวัฒนธรรมแต่ไม่ดูโลกว่าเขาเป็นยังไง คุณไม่เดือดร้อนคุณพูดได้ครับ ถึงจะบอกว่าวันเดียว แต่ลอยกันเป็นล้านๆ (ทั้งประเทศ) ขยะก็ไม่เคยเก็บเดือดร้อนคนอื่น บ้านคนอื่นไฟใหม่ก็แค่บอกว่าไม่รู้อาจจะไม่ใช่โคมตูก็ได้ ก็แค่ผลักความรับผิดชอบไม่ยอมรับความจริงครับ จะลอยโคมแต่ไม่เคย รับผิดชอบว่าลอยไปแล้วมันจะเป็นยังไง ลอยแล้วก็แล้วกัน มันก็เท่านั้น ควรมีสามัญสำนึกบ้างนะครับ ถ้าอยากลอยจงเอาเชือกผูกมันไว้ครับให้มันตกแถวๆ บ้านคุณ ไฟไหม้ก็ไหม้บ้านคุณครับอย่าให้ไปเดือดร้อนที่อื่น อันนี้ผมไม่ว่าอยากลอยลอยไป
5.อันนี้ขอบอกแค่ว่าเลวครับ อยากอวดสักดา ไม่เกี่ยวกับประเพณีอะไรเลย แค่อยากยิงปืน แค่นั้น โดนจับไปให้หมดเหอะ
"ลูกปืนจะหายขึ้นไปบนท้องฟ้าได้เอง"
...มันยังไงวะเนี่ย? มัน...คิดจากหลักการอะไรวะ? หืมมมม~ลูกปืนนะ! ฝังไว้ในดินเป็นสิบปีมันยังไม่ผุเลย แล้วมันจะหายไปได้ยังไงวะ? เรื่องไม่เลิกนี้เข้าใจว่าบางคนมันก็ไม่ฟัง แต่-คนที่คิดว่าลูกปืนมันจะหายไปเนี่ย...อยากเรียกมาสัมภาษณ์จริงๆ
เรื่องโคมลอย มันเป็นประเพณีที่มีมานาน แล้วมันเป็นส่วนหนึ่งกับคนไทย จะให้จู่ๆยกเลิกไปเลยก็ต้องมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจอยู่แล้ว เพราะเป็นประเพณี เป็นจุดขายภาคเหนือด้วย แต่อยากให้มองอีกด้านด้วย "โคมน่ะ พอปล่อยลอยไปแล้วจะไปตกที่ไหน" ดูดีๆมันไม่ได้แตกต่างจากเรื่องยิงปืนขึ้นฟ้าเลย เพียงแต่โคมไม่รุนแรงเท่าปืน แต่อย่าลืมว่ามีข่าวโคมไปตกที่บ้านคนแล้วไฟไหม้ก็มีนะ แล้วไปตกที่อื่นเป็นภาระคนอื่น เป็นขยะ คนลอยก็พูดได้สิเพราะตัวเองไม่ได้เป็นคนเก็บ ลอยแล้วก็จบ คืออยากให้คิดทั้งสองด้าน ทั้งด้านบวกด้านลบ อย่าเอะอะๆก็อ้างประเพณี บางอย่างถ้ามันทำให้คนอื่นเดือดร้อนก็ควรจะงดหรือเลิก แต่สำหรับคนไทยอนุรักษ์นิยมส่วนหนึ่งเขาไม่ยอมแน่ เพราะงั้นคิดว่าเรื่องโคมเป็นเรื่องที่ซับซ้อนแก้ไขยากพอสมควร ดูกันต่อไปล่ะนะ จะแก้กันยังไง
วัฒนธรรมดีงามบางอย่างจะให้ยกเลิกง่ายๆมันก็ยากนะ เช่น การลอยโคม คือการจุดโคมให้ลอยสู่ท้องฟ้าเพื่อเป็นพุทธบูชาหรืออะไรก็ตามซึ่งเขาก็ทำกันมาก่อนที่เครื่องบินจะบินไปทั่วน่านฟ้าเหมือนทุกวันนี้ จำกัดพื้นที่การจุดน่ะได้แต่จะไปยกเลิกนี่คงยาก
เรื่อง สาวจีนเท้าดอกบัว นี่เคยไปสัมภาษณ์จ้อ(แม่ของตา)มาค่ะ ท่านบอกว่าพี่สาวท่านสมัยเด็กๆตอนอยู่ที่จีน ก็โดนทำแบบนี้ คือ เอาผ้า เอาอะไรต่อมิอะไรมามัดๆๆให้แน่น แล้วทรมานมาก ต้องคอยตามเช็ดเลือดเช็ดน้ำหนอง ไปไหนมาไหนต้องให้พี่ชายแบกไป แต่พออพยพมาไทย ท่านเลยไม่โดนมัดเท้าแบบนี้
โชคดีปายย ย ~
ประเพณีของไทย เราไม่เห็นด้วยกับการยิงปืนขึ้นฟ้านะ เราว่ามันอันตราย ผลเสียก็มาก ควรจะยกเลิก
ส่วนโคมลอย เป็นประเพณีที่ดีงาม ควรสืบทอดต่อ เเต่ว่า เราควรกำหนดกฏหมาย เเละขอบเขตการปล่อยให้ชัดเจน เช่น อนุญาติให้ปล่อยโคมลอยได้ที่ เชียงใหม่ ในประเพณียี่เป็งเท่านั้น ห้ามจังหวัดอื่นๆ และบุคคลทั่วไปปล่อยเด็ดขาด โดยเฉพาะ จังหวัดที่สายการบินบินผ่าน บินขึ้นลง ในฤดูหนาว หรือ ไม่ให้ปล่อยเลยน่าจะดีที่สุด ใครฝ่าฝืน ก็ให้มีโทษอย่างไรก็ว่ากันไป ส่วนทางเชียงใหม่ ในช่วงประเพณี่ยี่เป็ง ก็ให้มีกำหนดช่วงเวลา และวันปล่อยโคมที่เเน่ชัด ให้ปล่อยโคมได้ หลังจากสายการบินเที่ยวสุดท้ายบินกลับกรุงเทพแล้ว จนถึงช่วงเวาลไหนก็ว่ากันไป หากใครฝ่าฝืน ก็ให้มีโทษอย่างไรก็ว่ากันไป