Spoil
- Misophonia คือภาวะเกลียดเสียง ถ้าได้ยินเสียงที่เกลียด ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้อัตโนมัติขั้นรุนแรง
- เสียงส่วนใหญ่ที่กระตุ้นอาการนี้ คือเสียงเคี้ยวอาหาร เสียงลมหายใจ และเสียงต่างๆ ที่ออกมาจากริมฝีปาก
- บางคนแค่เห็นคนตักข้าวเข้าปาก ก็ผวาแล้ว
______________
ใครไม่ชอบเสียงอะไรบ้าง?
เสียงคนเคี้ยวจ๊อบแจ๊บ เสียงลมหายใจฟืดฟาด เสียงคนเคาะเท้ากับพื้น เสียงเด็กร้องไห้ไม่หยุด ฯลฯ เสียงเหล่านี้บางคนอาจรู้สึกรำคาญ แต่ทนได้ บางคนรู้สึกว่าอยากให้หายไป หรืออาจมีบางคนที่รู้สึกถึงขั้นขนลุก แพนิก อยากวิ่งหนีไปไกลๆ เมื่อได้ยินเสียง
ใครเคยมีอาการแบบนี้ ต้องระวังให้ดี เพราะอาจเข้าข่าย Misophonia หรือ โรคเกลียดเสียง ได้ค่ะ
ภาพจาก unsplash.com
Misophonia หรือ โรคเกลียดเสียง คืออาการไวต่อเสียงที่คนทั่วไปแทบไม่ได้ให้ความสนใจ เช่น เสียงลมหายใจ เสียงหาว หรือเสียงเคี้ยว เป็นต้น ซึ่งจริงๆ เสียงเหล่านี้ก็สามารถสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้คนทั่วไปได้เช่นกัน แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเรามีอาการ Misophonia? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า
Misophonia ไม่ใช่อาการ :
- เกลียดเสียงดังๆ (Hyperacusis)
- การกลัวเสียงต่างๆ เช่น เวลาเด็กกลัวเสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงชักโครก (Phonophobia)
- การรำคาญเสียงที่ดังติดต่อกันเป็นเวลานาน (Highly Sensitive Person)
- การรำคาญเสียงที่คนทั่วๆ ไปก็รำคาญเหมือนกัน
แต่ผู้ที่มีภาวะ Misophonia คือ
- การได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเสียงกระตุ้น (Trigger) ให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติ
- มีภาวะตอบสนองโดยไม่ได้ตั้งใจ
- เสียงเบาๆ ก็ทำให้เกิดอาการได้
- เสียงกระตุ้นให้เกิดอารมณ์รุนแรง เช่น เกลียด โมโห หงุดหงิด ขยะแขยง เป็นต้น
Misophonia ไม่ใช่อาการ :
- เกลียดเสียงดังๆ (Hyperacusis)
- การกลัวเสียงต่างๆ เช่น เวลาเด็กกลัวเสียงเครื่องดูดฝุ่น เสียงชักโครก (Phonophobia)
- การรำคาญเสียงที่ดังติดต่อกันเป็นเวลานาน (Highly Sensitive Person)
- การรำคาญเสียงที่คนทั่วๆ ไปก็รำคาญเหมือนกัน
แต่ผู้ที่มีภาวะ Misophonia คือ
- การได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเสียงกระตุ้น (Trigger) ให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับอัตโนมัติ
- มีภาวะตอบสนองโดยไม่ได้ตั้งใจ
- เสียงเบาๆ ก็ทำให้เกิดอาการได้
- เสียงกระตุ้นให้เกิดอารมณ์รุนแรง เช่น เกลียด โมโห หงุดหงิด ขยะแขยง เป็นต้น
ภาพจาก unsplash.com
ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับ Misophonia มากนัก แต่ครั้งหนึ่งนักวิจัยชาวอังกฤษเคยศึกษาด้วยการจัดกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างคนมีอาการ Misophonia และคนทั่วไป แล้วให้คะแนนความรำคาญต่อเสียงต่างๆ ได้แก่ กลุ่มเสียงกระตุ้น (เช่น เสียงกิน เสียงหายใจ) กลุ่มเสียงน่ารำคาญ (เช่น เสียงเด็กร้อง เสียงคนกรี๊ด) และกลุ่มเสียงทั่วไป (เช่น เสียงฝน) จึงพบว่า ในกลุ่มผู้มีอาการ Misophonia จะรู้สึกหงุดหงิดรำคาญกลุ่มเสียงกระตุ้นมากกว่าคนทั่วไปอย่างชัดเจน ในขณะที่กลุ่มเสียงอื่นๆ มีคะแนนความรำคาญไม่ต่างจากคนทั่วไปมากนัก
การศึกษานี้ยังพบอีกว่า เมื่อผู้เป็น Misophonia ได้ยินเสียงกระตุ้น นอกจากทำให้อารมณ์รุนแรงแล้ว ยังมีปฏิกิริยาทางร่างกายร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกและอัตราหัวใจเต้นผิดปกติ โดยเสียงที่สามารถกระตุ้นคนเป็น Misophonia ได้มากที่สุดคือเสียงเคี้ยวอาหาร รองลงมาเป็นเสียงหายใจ จึงเป็นที่สังเกตว่าส่วนใหญ่ เสียงที่กระตุ้นภาวะ Misophonia ได้ มักเป็นเสียงที่เกิดจากริมฝีปากมนุษย์
นอกจากเสียง ในบางรายที่เป็น Misophonia ยังสามารถถูกกระตุ้นผ่านการมองเห็น (Visual Trigger) เช่น คนที่ถูกกระตุ้นด้วยเสียงเคี้ยวอาหาร แค่เห็นคนตักอาหารเข้าปาก ก็สามารถเกิดอาการได้ หรือบางคนที่กลัวเสียงลูกโป่ง แค่เห็นคนเป่าลูกโป่งก็เกิดอาการแล้ว เป็นต้น
การศึกษานี้ยังพบอีกว่า เมื่อผู้เป็น Misophonia ได้ยินเสียงกระตุ้น นอกจากทำให้อารมณ์รุนแรงแล้ว ยังมีปฏิกิริยาทางร่างกายร่วมด้วย เช่น เหงื่อออกและอัตราหัวใจเต้นผิดปกติ โดยเสียงที่สามารถกระตุ้นคนเป็น Misophonia ได้มากที่สุดคือเสียงเคี้ยวอาหาร รองลงมาเป็นเสียงหายใจ จึงเป็นที่สังเกตว่าส่วนใหญ่ เสียงที่กระตุ้นภาวะ Misophonia ได้ มักเป็นเสียงที่เกิดจากริมฝีปากมนุษย์
นอกจากเสียง ในบางรายที่เป็น Misophonia ยังสามารถถูกกระตุ้นผ่านการมองเห็น (Visual Trigger) เช่น คนที่ถูกกระตุ้นด้วยเสียงเคี้ยวอาหาร แค่เห็นคนตักอาหารเข้าปาก ก็สามารถเกิดอาการได้ หรือบางคนที่กลัวเสียงลูกโป่ง แค่เห็นคนเป่าลูกโป่งก็เกิดอาการแล้ว เป็นต้น
ภาพจาก unsplash.com
คนส่วนใหญ่จะรู้ตัวว่าเป็น Misophonia ตอนช่วงอายุ 9-13 ปี และเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด ที่แน่ๆ คืออาการ Misophonia ไม่สามารถหายได้เองตามอายุ หรือกาลเวลา และยังมีแนวโน้มว่าอาการจะแย่ลงเรื่อยๆ โดยอาการที่เกิดขึ้นมีทั้งขั้นรุนแรง และไม่รุนแรง ในขั้นไม่รุนแรงนั้นจะสร้างความรู้สึกกลัว ไม่สบายใจ อยากหนีไป ส่วนในขั้นรุนแรงจะรู้สึกเกลียด โมโห แตกตื่น และส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ ผู้มีภาวะ Misophonia หลายคนจึงได้รับผลกระทบด้านการเข้าสังคม เพราะจะพยายามหลีกเลี่ยงสถานการณ์หรือสถานที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดเสียงกระตุ้น ทำให้หลายรายไม่ออกไปกินข้าวนอกบ้าน หลีกเลี่ยงการพบผู้คน และไม่อยากอยู่ร่วมกับใคร
วิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อเป็น Misophonia คือการพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลตนเองไม่ให้เครียด และใช้ ear plug เพื่อหลีกเลี่ยงการได้ยินเสียงที่ไม่อยากได้ยิน รวมถึงการสร้างพื้นที่เงียบๆ ภายในบ้านไว้สักมุมหนึ่ง เพื่อให้ได้ผ่อนคลาย แต่ทั้งนี้ก็ควรพบแพทย์หรือนักโสตสัมผัสวิทยา เพื่อเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ
วิธีการดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อเป็น Misophonia คือการพักผ่อนให้เพียงพอ ดูแลตนเองไม่ให้เครียด และใช้ ear plug เพื่อหลีกเลี่ยงการได้ยินเสียงที่ไม่อยากได้ยิน รวมถึงการสร้างพื้นที่เงียบๆ ภายในบ้านไว้สักมุมหนึ่ง เพื่อให้ได้ผ่อนคลาย แต่ทั้งนี้ก็ควรพบแพทย์หรือนักโสตสัมผัสวิทยา เพื่อเข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้วยค่ะ
ภาพจาก unsplash.com
น้องๆ ชาว Dek-D ล่ะ มีเสียงไหนที่ไม่ชอบกันบ้าง ลองสำรวจตัวเองดูว่าไม่ชอบถึงขั้นไหน กระทบชีวิตประจำวันไหม และเรียกว่า Misophonia ได้หรือยัง หากพบว่าตนเองมีอาการที่พี่กวางว่ามา อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์ค่ะ
ที่มา
5 ความคิดเห็น
ไม่ชอบเสียงเคี้ยวข้าวในคนเคี้ยวไม่ปิดปากน่ะ รำคาญมากอยากหนีให้ห่าง
เกลียดเสียงนกร้อง,เสียงยายหาว ขอโทษนะแต่ผมเกลียดเสียงหาวทุกเสียงผมเกลียดเสียงตนเองด้วย ไม่ชอบเลย
เกลียดเสียงเคี้ยวและเสียงหายใจข้างหูค่ะ ไม่ชอบเลยเวลาได้ยินจะพูดให้คนๆนั้นออกไปไกลๆเลยค่ะ
ไม่เคยมีคนมาหายใจข้างหู เลยไม่รุ้ว่าเกลียดรึเปล่า แต่ที่ไม่ชอบคือเสียงเคี้ยวข้าวค่ะ ต้องบอกว่าแบบเคี้ยวเบาๆได้ไหมทั้งๆที่มันไม่ได้ดัง (ฮา) นอกจากนีเก็เสียงกรีดมั้งคะ..
ไม่ชอบเสียงที่เวลาคลอในเมสเสจแล้วสายจะหลุดอ่ะ แล้วตอนนั้นจะรู้สึกอึดอัดอะไรไม่รู้แล้วก็จะโมโหใส่คนรอบข้าง จนแทบจะไม่กล้าคุยกับใครแล้้ว
╥﹏╥