คนรอบข้างคือแรงสนับสนุน! พูดคุยกับ 'น้องมินนี่' สาวน้อยอายุ 14 ปี เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า Purisa Glitzy

Spoil

  • น้องมินนี่  ด.ญ. ภูริศา เฮงตระกูลสิน  ปัจจุบันอายุ 14 ปี ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้า  Purisa Glitzy  ที่เริ่มตั้งแบรนด์มาตั้งแต่อายุ 7 ปีเท่านั้น
  • น้องมินนี่มีแรงบันดาลใจมากจากการไปซื้อหนังสือเล่มหนึ่งในงานสัปดาห์หนังสือ จึงเริ่มลงมือทำและใช้เงินเก็บที่ตัวเองมีนำมาลงทุนตั้งแต่แรก  
  • น้องมินนี่มีคุณพ่อคุณแม่ที่คอยให้กำลังใจ  ภายใต้แนวคิด “การทดลองทำที่เสมือนจริง”

สวัสดีค่ะน้องๆ ชาว Dek-D.com  ในปัจจุบันการมีธุรกิจเป็นของตัวเองเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝันใช่ไหมคะ?  จะดีแค่ไหนถ้าเราสามารถมีแบรนด์สินค้าเป็นของตัวเองได้ตั้งแต่เราอายุยังน้อย  บอกเลยว่าจริงๆ แล้วเราสามารถทำมันได้นะ! ขอแค่ตัวเราที่มีความมุ่งมั่นและมีคนรอบข้างที่คอยผลักดัน ความฝันนี้ก็ไม่ยากเกินไปอย่างแน่นอน

น้องมินนี่  ดีไซเนอร์วัยใส ปัจจุบันอายุเพียงอายุ 14 ปี แต่กลับมีเสื้อผ้าออกมามากกว่า 15 คอลเลคชันภายใต้แบรนด์ Purisa Glitzy  ที่น้องคิดและสร้างขึ้นมาด้วยตัวเองตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ทว่าแรงบันดาลใจทั้งหมดของน้องไม่ได้มาจากไหนไกลเลยค่ะ...มาจากการที่น้องไปงานสัปดาห์หนังสือนี่เอง และเงินทุนก้อนแรกที่น้องนำมาลงทุนทำแบรนด์ก็มาจากเงินเก็บของน้องเองทั้งหมดเลยด้วย!  อะไรที่ผลักดันให้สาวน้อยอายุ 14 ปีคนนี้ สามารถทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นจริงได้อย่างน่าทึ่ง  พี่ออมจะพาไปหาคำตอบนั้นกันค่ะ

 วันนี้พี่ออมเลยถือโอกาสเชิญ น้องมินนี่ ด.ญ. ภูริศา เฮงตระกูลสิน และคุณแม่ก้อย ทิศา เฮงตระกูลสิน  มาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเส้นทางการสร้างแบรนด์  Purisa Glitzy และมุมมองของคุณแม่ในฐานะผู้ที่คอยสนับสนุนและผลักดันให้น้องมินนี่ได้ทำตามความฝันจนถึงทุกวันนี้

น้องมินนี่ ด.ญ. ภูริศา เฮงตระกูลสิน  อายุ 14 ปี  เจ้าของแบรนด์ Purisa Glitzy
น้องมินนี่ ด.ญ. ภูริศา เฮงตระกูลสิน  อายุ 14 ปี  เจ้าของแบรนด์ Purisa Glitzy

จุดเริ่มต้นของแบรนด์ Purisa Glitzy 

“มินนี่ชอบไปงานสัปดาห์หนังสือมากๆ เลยค่ะ หม่ามี้จะพามินนี่ไปทุกปี ตอนนั้นมินนี่อายุ 7 ขวบค่ะ แล้วในงานจะมีแผนกหนังสือที่เกี่ยวกับบุคคลสำคัญ ปีนั้นมินนี่ไปเจอหนังสือที่ชื่อว่า กาเบรียล ชาแนล (เจ้าของแบรนด์ Coco Chanel) เป็นหนังสือภาษาไทยนี่แหละค่ะ อยู่ในชั้นหนังสือ มินนี่รู้สึกชอบก็เลยซื้อหนังสือมาอ่าน ในหนังสือเล่มนั้นเขียนถึงไลฟ์สไตล์ของคุณกาเบรียล ชาแนล ว่าเขาทำอะไรมาบ้างในชีวิต เริ่มทำแบรนด์ตั้งแต่เมื่อไหร่ เจออุปสรรคอะไรมาบ้าง  มินนี่อ่านแล้วพบว่าเขามีความชอบ-ไลฟ์สไตล์คล้ายๆ กับมินนี่เลยค่ะ”

“อีกอย่างคือมินนี่ชอบแต่งตัวตั้งแต่จำความได้เลย ชอบแต่งตัวของตัวเองไม่ยอมให้หม่ามี้แต่งตัวให้ค่ะ” น้องมินนี่ยิ้มแล้วพูดต่อ “ตอนเด็กๆ มินนี่ชอบแต่งตัวแนวเจ้าหญิงค่ะ ใส่สุ่มมาเลย ไม่สนว่าใครจะมองเพราะเรามีสไตล์เป็นของตัวเองค่ะ”

ชีวิตคลุกคลีกับการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก 

“เรื่องการค้าขายเป็นประสบการณ์ของมินนี่มากกว่าค่ะ จึงนำมาใช้ในการสร้างแบรนด์ของมินนี่ด้วย ตั้งแต่เด็กๆ เลยวันตรุษจีนมินนี่ก็จะได้แต๊ะเอียมา หม่ามี้จะสอนให้แบ่งเป็นสามส่วน คือ แบ่งใช้ แบ่งเก็บ แล้วก็แบ่งลงทุนค่ะ แบ่งใช้มินนี่จะเอาไปซื้อของเล่นเพราะบ้านอยู่ตรงข้ามสะพานเหล็ก แบ่งเก็บก็คือเก็บเข้าธนาคาร ส่วนลงทุนคือ เนื่องจากเทศกาลตรุษจีนมันใกล้กับวาเลนไทน์ใช่ไหมคะ มินนี่ก็จะเอาไปซื้อดอกไม้วันวาเลนไทน์มาขายที่หน้าหมู่บ้านแล้วก็ขายในราคาที่แพงขึ้นนี้ดดหน่อย (น้องมินนี่เน้นเสียง) แล้วก็เก็บกำไรจากที่ขายได้ค่ะ”

สร้างแบรนด์จนมาถึงวันนี้ ระยะเวลา 7 ปีแล้ว

“มินนี่เริ่มสร้างแบรนด์ตอนอายุ 7 ขวบ แล้วปล่อยพับลิค (ออกสู่สาธารณะ) ตอน 8 ขวบ ความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนเลยก็น่าจะเป็นสไตล์ค่ะ ตอนเด็กมินนี่ก็จะชอบเสื้อผ้าฟูฟ่องเลย เป็นแนวชุดเจ้าหญิง แต่ว่าพอโตขึ้นมินนี่ก็จะให้เสื้อผ้ามีความมินิมอลมากยิ่งขึ้นค่ะ จะไม่ได้ดูหวือหวาจนเกินไป ใส่ได้ใน Everyday life มากขึ้น เพื่อที่จะให้ตรงตามสไตล์ของเด็กวัยรุ่นสามารถขายได้ในวงกว้าง เด็กใส่ได้ผู้ใหญ่ก็ใส่ได้ให้สามารถเข้าได้กับหลายๆ สถานการณ์ค่ะ”

อุปสรรคที่เจอระหว่างทาง

“จริงๆ อุปสรรคที่มินนี่เจอไม่ได้มีปัญหาอะไรที่ใหญ่มากหรอกค่ะ เพราะว่าทุกคนรอบตัวมินนี่ใจดีมากเลย คอยช่วยสนับสนุนแล้วก็คอยให้กำลังใจ” น้องมินนี่ยิ้มพร้อมพูดต่อ “มินนี่ก็เลยไม่ได้รู้สึกท้อหรือรู้สึกว่ามีอะไรที่มาขัดขวางให้ไม่สามารถทำได้ ส่วนใหญ่ความเครียดหรือความกดดันที่มินนี่เจอ คือการที่ต้องคิดไอเดียใหม่ในแต่ละคอลเลคชันแล้วก็พยายามหา Inspiration (แรงบันดาลใจ) ให้ได้มากขึ้น เพราะช่วงนี้สถานการณ์โควิดมินนี่ก็ไม่ได้ออกไปไหน ไม่ได้เจออะไรมากด้วยทำให้ไม่ค่อยเกิดไอเดียในหัว ไม่สามารถต่อยอดมันไปได้ต่อไป ประมาณนี้ค่ะ”

ความต่างช่วงก่อน-หลังโควิด-19 

“เปลี่ยนไปเยอะมากๆ เลยเหมือนกันค่ะ ช่วงก่อนโควิดมินนี่ใช้เวลาไปกับการออกไปนอกบ้าน มีความสุขที่ได้ออกไปเที่ยว ออกไปดูนู่นดูนี่ ไปใช้ชีวิตนอกบ้านกับเพื่อนๆ น้องๆ ของมินนี่ เราก็จะได้แรงบันดาลใจจาก ณ เวลานั้น ณ จุดๆ นั้นที่เรากำลังมีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเราค่ะ”

“แต่พอเจอกับสถานการณ์โควิดชีวิตมันเปลี่ยนไปหมดเลยค่ะ มินนี่ต้องเรียนออนไลน์ก็จะเริ่มเกิดความเครียด  แรกๆ มินนี่สับสนมากๆ เลย ไม่สามารถแยกอะไรออกได้ ดังนั้นการหาแรงบันดาลใจช่วงหลังมานี้ก็จะเป็นสิ่งที่ใช้ได้ง่ายๆ ในบ้านหรือทางอินเตอร์เน็ต หันมาใช้สื่อออนไลน์มากขึ้นค่ะ” 

 วิธีจัดการความเครียด-ความกดดันแบบมินนี่

“มินนี่โชคดีมากๆ เลยค่ะ ที่มีพ่อแม่แล้วก็มีเพื่อนที่คอยสนับสนุนมินนี่ น้องมินนี่พูดพร้อมหันไปยิ้มให้คุณแม่ “เวลาที่มินนี่เครียดเพื่อนก็จะเครียดไปกับมินนี่ด้วย พวกเราก็จะมาคอลคุยกันแล้วก็กรีดร้องไปด้วยกัน” น้องมินนี่หัวเราะแล้วพูดต่่อ “มันก็เหมือนเป็นการปลดปล่อยอย่างหนึ่ง พวกเราก็รู้สึกมีความสุขจากการปลดปล่อยนั้นนะคะ  โล่งขึ้นเลยเพราะมันเหมือนเป็นการแชร์สิ่งที่เราเครียดหรือรู้สึกกดดันร่วมกัน”

อนาคตของแบรนด์ Purisa Glitzy 

“ไม่มีใครสามารถรู้อนาคตกันได้จริงๆ อย่างเช่นตอนนี้ไม่มีใครจะมารู้หรอกค่ะว่าสุดท้ายเราต้องมานั่งเรียนออนไลน์แล้วก็ติดโควิดถูกไหมคะ” น้องมินนี่หัวเราะแล้วพูดต่อ “แต่ว่าที่คิดไว้คือ มินนี่อยากไป London Fashion Week ค่ะ อยากพาแบรนด์ของมินนี่ออกสู่สายตาผู้คนทั่วโลก ทำให้ผู้คนจากหลายๆ ประเทศสามารถเข้าถึงได้และเข้ามาทำความรู้จักมากยิ่งขึ้น หรือนอกโลกเลยก็ได้นะคะ ให้เอเลี่ยนรู้จักเลยก็ได้ค่ะ! ”

เทคนิคการแบ่งเวลาเรียนและทำงาน

“มินนี่ไม่เรียกมันว่าเป็นการทำงานค่ะ มินนี่เรียกมันว่าเป็นงานอดิเรก เป็นการเล่นที่เหมือนทำงาน เพราะได้ลงมือทำจริงๆ ซึ่งมินนี่คิดว่าบทบาทสมมติที่ไม่สมมติ ที่เรากำลังเล่นกับมันอยู่นี้ทำให้มินนี่มีความสุขเลยทำให้มินนี่สามารถทำได้ตลอดเวลาได้ แล้วก็ไม่ต้องแบ่งว่าเวลานี้เฉพาะการเรียน-เวลานี้เฉพาะการทำงาน สมมติว่าพรุ่งนี้มีสอบมินนี่ก็จะติวสอบอ่านหนังสือก่อน แล้วบางทีมินนี่อาจจะได้แรงบันดาลใจมาจากการสอบนั้นก็ได้”

สิ่งที่อยากลองทำในอนาคต

น้องมินนี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “มินนี่อยากทำหลายอย่างค่ะ มินนี่ชอบร้องเพลงด้วย แต่ตอนนี้กำลังลองทำ NFT อยู่ค่ะ ดูน่าสนุกดี เราสามารถวาดรูปสิ่งที่ตัวเองเพิ่งเห็นมาแล้วนำไปใส่เป็นภาพทำให้ขยับได้ด้วย  แล้วสิ่งที่มันวิเศษไปมากกว่านั้นคือสามารถนำไปขายในโลกออนไลน์ได้ เป็นสิ่งที่ใหม่กับทุกคนมากๆ มินนี่ก็เลยรู้สึกว่าอยากลองทำดูค่ะ”

 

น้อมินนี่และคุณพ่อ-คุณแม่
น้อมินนี่และคุณพ่อ-คุณแม่

นอกจากที่พี่ออมได้มีโอกาสได้คุยน้องมินนี่แล้ว  ยังได้รับเกียรติจากแม่ของน้องมินนี่ คุณแม่ก้อย  มาให้สัมภาษณ์ในฐานะผู้ปกครองที่คอยสนับสนุนและผลักดันให้น้องมินนี่ทำแบรนด์เสื้อผ้าของตัวเองจนประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ค่ะ 

เมื่อลูกสาวมาบอกว่า "อยากขายเสื้อผ้า"

“น้องเขามาบอกแม่เอง เราไม่ได้ไปรู้เรื่องอะไรกับมินนี่เลย” คุณแม่พูดไปขำไป (น้องมินนี่กล่าวเสริม: มินนี่ลองคุยกับเพื่อนก่อนค่ะ) “น้องมาบอกว่า ‘หนูอยากขายเสื้อผ้า อยากมีแบรนด์ให้เหมือน Coco Chanel มินนี่เห็นคนเขาเดินใส่แบรนด์นี้กัน แม่ว่าคนทั่วๆ ไปจะมาซื้อของมินนี่เหมือนซื้อของ Chanel ได้ไหม? ’ “พอแม่ได้ยินแม่ก็บอกว่า อืม...ก็ได้นะ เราก็ต้องสร้าง-ผลิตแล้วก็ขาย มันคือการทำแบรนด์”

คุณแม่ก้อยพูดต่อ “น้องมินนี่ก็เข้าใจ อ๋อ โอเค งั้นทำ! แม่ก็เสนอว่า เงินลงทุนก็ออกเองเลยแล้วกันจะได้เป็นของมินนี่ ...มินนี่ก็บอกว่า ‘ โอเคอะไรก็ยอม ขอให้ได้ทำ’ ตอนนั้นน้องมินนี่มีแต๊ะเอียที่เก็บสะสมไว้ น้องก็ค่อยๆ เบิกออกไปแล้วก็ไปจ่ายพวกค่าผ้า,ค่าช่าง แรกๆ พวกเราก็ทำเท่าที่มี ลองทำเล่นออกมาก่อนสัก 7 ตัว พอขายหมดแล้วค่อยนำเงินที่ได้ไปทำคอลเลคชันต่อไปค่ะ”

เรียนรู้การสร้างแบรนด์ไปพร้อมๆ กัน

“ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเลยเนอะมินนี่” (คุณแม่หันไปถามน้องมินนี่) “ใช่ค่ะ...พวกเราไม่รู้เลย น้องอยากทำ ก็เหมือนให้เขาได้เรียนรู้ว่าการค้าขายมีต้นทุน มีขั้นตอนแบบนี้ๆ แค่นั้นเลย เพื่อให้เขาเหมือนได้ทำกิจกรรมจริงๆ ค่ะ เป็นเหตุการณ์จำลองที่เสมือนจริง ถ้าขายหมดก็เอาเงินไปทำคอลเลคชันที่สองต่อได้ ถ้าไม่หมดก็อดทำนะ...ให้เขาได้เรียนรู้ไปด้วยเล่นไปด้วยในตัว น่าทึ่งเหมือนกันค่ะที่สามารถเติบโตมาถึงทุกวันนี้ได้”

เกือบไม่ทันรู้ตัวว่าลูกจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ

“มันเป็นการที่ค่อยๆ ดำเนินไปมากกว่าค่ะ ค่อยๆ เติบโตขึ้น จริงๆ แล้วตัวน้องมินนี่เองนี่แหละ เริ่มมีสเต็ปต่อไปว่า ‘หนูอยากมีร้าน ที่หน้าตาเป็นแบบนี้ มีมุมแบบนี้ ทำได้ไหม’ พวกเราก็เลยวางแผนกันแล้วไปเสนอทางห้าง The Emporium สุดท้ายก็ได้ไปเปิด Pop-up Store ที่นั่น ทำให้แบรนด์ Purisa Glitzy ค่อยๆ เติบโตขึ้น งานมันก็ค่อยๆ ดำเนินไปอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้คิดว่า...เราต้องจริงจังแล้วนะ...” 

“มีจุดบางจุดที่แม่กับพ่อเองก็ไม่รู้ด้วยว่าน้องมินนี่เขาจริงจังไปแล้ว ใช่ค่ะ เรายังคิดว่าเราทำกิจกรรม ทดลองทำเล่นกันอยู่ บางทีก็เลยบอกไปว่า....ช่วงนี้งานป๊าม้ายุ่งนะ....เราก็จะขอชะลอไว้ก่อน แต่น้องก็บอกว่าหนูมีคอลเลคชันต่อไปแล้วนะ จะเริ่มทำแล้ว น้องบอกว่า ‘ไม่ให้เลิกทำ ทำมาขนาดนี้แล้ว จะเลิกทำ สิ่งที่ทำมาจะพังครืนลงไปเลยนะ’ แม่กับพ่อก็มานั่งคิดกันว่า จริงด้วย...นี่น้องมินนี่จริงจังเเล้วนะ”

แบรนด์ Purisa Glitzy มีวันนี้ได้เพราะมินนี่ไม่เคยพัก

 “น้องมินนี่สอนเราด้วยค่ะ ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่างานเราก็ยุ่งต้องมาช่วยน้องเขาด้วย ทำให้เราเหนื่อยขึ้นมากๆ น้องมินนี่ก็พูดอย่างจริงจังเลยว่า ‘เราต้องทำต่อ! ห้ามเลิก ห้ามหยุด’ แม่ก็เลยกลับมานั่งคิดว่าตอนนั้นน้องก็เพิ่ง 8-9 ขวบเอง แต่น้องมีความมุ่งมั่นไม่เคยท้อเลย ‘แต่เราเป็นผู้ใหญ่ ยิ่งในฐานะพ่อกับแม่ด้วย กลับมานั่งคิดว่าหยุดพักหรือเลิกไปก่อนเถอะ แบบนี้ไม่ได้นะ’ เราก็เลยรู้สึกว่าเราได้เรียนรู้จากเขา”

อยากให้สังคมไทยเปิดโอกาสสำหรับเด็กที่ต้องการทำตามความฝัน

“คงจะเป็นเรื่อง Mindset (กรอบความคิด) ของเด็กค่ะ ที่คิดว่าพ่อแม่น่าจะสร้างได้ อย่างเช่น เขามาขอว่าจะทำเสื้อผ้าไปขายนะอยากเป็นเจ้าของเอง ถ้าเราคิดว่า เออเนี่ย...อย่าไปทำเลย ทำเล่นๆ ไปก่อนเนอะ ไปตั้งใจเรียนไปติวสอบดีกว่า ก็คงจะไม่มีแบรนด์ Purisa Glitzy มาถึงทุกวันนี้ค่ะ อีกอย่างคือเป็นที่ Mindset ของตัวน้องมินนี่ด้วยค่ะ ว่า ‘เราจะทำ ต้องทำให้ได้ ’ ตอนนั้นที่น้องเขามีแพสชันมามากๆ  แล้วถ้าตัวแม่เองบอกว่า ไม่มีทางหรือชะลอไป น้องก็อาจจะรู้สึกหมดไฟ ไม่มั่นใจแล้วก็ปิดกั้นตัวเอง ฝังความคิดไปเลยว่า ‘อ๋อ เราทำอะไร ก็ไม่ได้เนอะแบบนี้’ น้องอาจจะโดนคำที่แม่ปฏิเสธ ฉุดเอาไว้ เป็นสิ่งเหนี่ยวรั้งตัวน้องค่ะ”

จังหวะนี้คุณพ่อน้องมินนี่เข้ามาช่วยเสริม: 

 “อยากให้พ่อแม่ยุคใหม่มองว่า เด็กสมัยนี้เขาเก่งนะ เขาสามารถคิดในสิ่งที่เราคิดได้มากกว่าสมัยที่พวกเราอายุเท่านี้ อาจจะเก่งกว่าพวกเราอีก เพราะว่าเทคโนโลยีมันต่างกับยุคเราไปแล้วจริงๆ ครับ”

ถ้ามีความฝัน ก็ควรจะลงมือทำเลย

“อยากจะบอกเด็กๆ ทุกคนที่อยู่ในวัยมินนี่ ใครก็ตาม วัยไหนก็ได้ เพศไหนก็ได้ จะบอกว่าถ้าเกิดคุณมีความฝันหรือว่าชอบอะไร เราควรที่จะลงมือทำมันเลย ยิ่งทำเร็วยิ่งได้เปรียบ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรแค่อย่างเดียว เราสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันได้ ในวันที่เราออกไปทำงานจริงๆ เราควรคำนึงถึงเรื่องประสบการณ์และความสนุกด้วยนะคะ ถ้าเราคิดแบบนี้แล้วเงินที่เราได้จากการทำงานนั้นอาจจะเป็นโบนัสที่เข้ามาในชีวิตเราก็ได้ค่ะ”

“ก่อนจะไปมินนี่ขอฝากแบรนด์  Purisa Glitzy ด้วยนะคะ  คอลเลคชันล่าสุดของมินนี่ Put a BOW on it ออกมาแล้วสามารถไปดูหรือสั่งซื้อได้ที่ Facebook:  Purisa Glitzy  หรือทาง Instagram Purisaglitzy _official บอกเลยว่าบริษัทนี้มีพนักงานสามคนค่ะคือมีพ่อแม่แล้วก็มินนี่ ตั้งแต่ตอบข้อความจนไปถึงการแพ็คของส่งลูกค้าเลยค่ะ แล้วประมาณกลางปีนี้จะมีงาน Collab กับแบรนด์ใหญ่ด้วยค่ะอยากให้ทุกคนคอยติดตามมินนี่ด้วยนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ :)  ”

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ พี่ออมว่าทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังบวกจากน้องมินนี่และครอบครัวกันได้อย่างแน่นอน...ส่วนตัวที่พี่ออมได้คุยกับน้องมินนี่และคุณแม่ในวันนี้ รู้สึกเลยค่ะว่าน้องน่ารัก เป็นกันเองมาก มีความคิดที่มองการณ์ไกลแบบผู้ใหญ่ แต่ยังคงมีความสดใส-เฮฮาตามสไตล์เด็กวัยรุ่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยม  ทุกคำที่น้องพูดเต็มไปด้วยแพสชัน อีกทั้งครอบครัวก็ให้การสนับสนุนน้องมินนี่อย่างเต็มที่ มีแนวคิดที่ดีทันสมัยมากๆ เด็กเก่งและน่ารักแบบนี้น่่าให้การสนับสนุนเนอะ! 

 

 

พี่ออม
พี่ออม - Columnist สาวตาหยี ผู้คลั่งไคล้ในน้องหมา เฮฮา รักธรรมชาติ

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น