“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!

. . . . . . . . .

หลาย ๆ คนที่ได้ติตามรายการ Masterchef Thailand คงจะไม่มีใครไม่รู้จัก สตังค์ วสุรัตน์ เด็กหนุ่มมากความสามารถที่อายุน้อยที่สุดในซีซัน 6 ที่ไปได้ไกลถึงรอบ 3 คนสุดท้ายของการแข่งขัน 

วันนี้พี่ปอ พี่รวี SparkD จะขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ สตังค์ วสุรัตน์ ถึงการเริ่มต้นในการก้าวเข้าสู่วงการแข่งขันทำอาหาร สู่การพิสูจน์ตัวเองจนเป็นเชฟแบบเต็มตัว ตามมาดูกันเลย!

“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!
“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!

. . . . . . . . .

Come Back.. ที่ไม่ได้มาเล่น ๆ!

พี่ปอ SparkD: จาก MasterChef Junior อะไรทำให้เราตัดสินใจ Come back กลับมาแข่งอีกรอบใน MasterChef ผู้ใหญ่

สตังค์: จริง ๆ ผมห่างหายกับอาหารไปช่วงหนึ่งเลยครับ พอจบการแข่งขัน MasterChef Junior ผมก็แข่งอยู่หลายรายการเหมือนกัน พอแข่งเสร็จมันก็ไม่มีรายการเข้ามา ผมก็ทำอยู่บ้านเล่นไปเรื่อยๆ รอหาแข่งไปเรื่อยๆ ทีนี้พอรู้ว่ามี  MasterChef Thailand Season 6 และมันเป็นอาหารไทยซึ่งตอบโจทย์กับทางบ้านผมอยู่แล้ว เลยคิดว่าน่าจะลองเพราะว่าก็หมั่นฝึกมาตั้งนานก็อยากให้แบบรู้ว่าผมยังไม่ได้หายไปนะ ผมยังอยู่ในเส้นทางนี้

พี่รวี SparkD: การที่เราเป็นผู้เข้าแข่งขันที่อายุน้อยที่สุดใน Season ที่ 6 มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขันครั้งนี้อย่างไรบ้าง

สตังค์: ผมว่าข้อดีข้อเสียมันก็มีอยู่เยอะนะครับแต่หลัก ๆ ข้อเสียก็น่าจะเป็นเรื่องของประสบการณ์ เพราะว่าประสบการณ์ของผมอาจจะยังไม่เท่าพี่เขา หรือ ความรู้บางเรื่องมันอาจจะยังไม่เท่าพวกพี่เขา แต่ถ้าข้อได้เปรียบผมรู้สึกว่าเป็นด้านร่างกาย ด้วยวัยของผมมันเป็นวัยแบบกำลังจำ กำลังทำ กำลังพัฒนา ก็จะเรียนรู้ได้มากกว่า

พี่ปอ SparkD: ก่อนที่จะเริ่มแข่งขัน เราตั้งเป้าหมายอย่างไรบ้าง และรู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้เป็น Top 3 ของรายการ

สตังค์: จริง ๆ เป้าหมายของผมตอนแรกก็คือหวังแชมป์นี่แหละครับ หวังทำให้เต็มที่ไปให้ได้ไกลที่สุดเลยครับไม่ได้กดดันตัวเองมากขนาดนั้น แต่พอเข้ามาเรื่อย ๆ ก็อย่างที่ผมพูดเลยพอเข้ามามันมีคนคาดหวัง จากตอนแรกรอบ 10 คนก็น่าจะโอเค ก็มารอบ 5 คน จนมาถึงรอบ 3 คนสุดท้าย 

พอมันมีคนคาดหวังว่าผมจะได้ มีคนคอยเชียร์อยู่ เราจะทำไม่ดีออกไปมันก็ไม่ได้แล้วพอเข้ามาถึง Top 3 จริง ๆ ผมภูมิใจในตัวเองมากนะครับ เพราะรู้สึกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้มันไม่ได้ไม่ได้ง่ายเลย มันเหนื่อยมันต้องซ้อมมันมีหลายอย่างมากกว่าที่คนทั่วไปเห็น

ด้วยความที่ที่บ้านของ สตังค์ ทำร้านอาหารอยู่แล้ว และคุณแม่ของสตังค์ (เชฟตุ๊กตา) ก็เป็นเชฟอยู่แล้วด้วย ทำให้ สตังค์ ผูกพันกับการทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก

เราเห็นมันตั้งแต่เด็ก ได้ทำตั้งแต่เด็ก มันก็เรียกว่าเป็นรสมือก็ว่าได้สมมุติว่าเราทำเมนูนั้นบ่อย ๆ คุ้นชินกับมัน ได้กลิ่น เห็นเขาทำ พอถึงเวลาทำจริง ๆ เราก็สามารถทำได้

"สตังค์" และคุณแม่ "เชฟตุ๊กตา" เจ้าของร้านอาหารบ้านยี่สาร และ YouTube/Facebook กับข้าวกับตา
"สตังค์" และคุณแม่ "เชฟตุ๊กตา" เจ้าของร้านอาหารบ้านยี่สาร และ YouTube/Facebook กับข้าวกับตา
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook กับข้าวกับตา)

หนทางจาก “เด็กในครัว” และ “ความเข้มข้นสายเลือดเชฟ” สู่รายการ MasterChef 

พี่ปอ SparkD: ทำไมตอนนั้นถึงตัดสินใจมาแข่ง MasterChef Junior

สตังค์: ด้วยความที่ทำอาหารมาอยู่แล้วด้วย แล้วก็ช่วงนั้นก็เคยมีแพลนที่อยากจะแข่งขันหลายรายการแต่พอเห็นรายการ MasterChef Junior รู้สึกว่ามันตอบโจทย์ผมกว่า ก็อยากลองอยากรู้ว่าฝีมือทำอาหารของเรามันจะไปได้ถึงขนาดไหน

พี่ปอ SparkD: ในตอนที่แข่ง MasterChef Junior เราคาดหวังอะไร แล้วเราได้อะไรจากรายการนี้บ้าง

สตังค์: ถ้าถามความคาดหวังผมรู้สึกว่า ผมคาดหวังการเป็นแชมป์นะครับ แต่ถามว่าตรงตามความคาดหวังไหม ก็ไม่ตรงตามความคาดหวัง แต่ว่ามันได้หลายอย่างมากกว่านั้น ทั้งประสบการณ์ และฝีมือการทำอาหาร แบบมันมีหลายอย่างที่ผมไม่เคยลอง ไม่เคยทำ ก็ได้ลองได้ทำ ได้เจอเพื่อน ๆ มากมาย

พี่ปอ SparkD: ย้อนกลับไปในวัยเด็ก คุณแม่ให้สตังค์ทำอะไรในครัวบ้าง

สตังค์: ตอนเด็ก ๆ เมื่อก่อนร้านอาหารก็จะเป็นร้านแบบบ้าน ๆ ผมจะมีหน้าที่จดบิลใส่กระดาษส่งเข้าครัวผมก็จะแบบส่งบิลก่อน เดินบิลเข้าครัว แล้วก็จะแวะไปตลาด ส่วนใหญ่จะเป็นแวะไปตลาดกับแม่ไปซื้อวัตถุดิบ ก็ซื้อมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่อยขยับมาเข้าครัว ช่วงประมาณ ป.3 - ป.4 เริ่มจัดอาหารจานแรก

พี่ปอ SparkD: อะไรคือสิ่งที่ทำให้สตังค์มีความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นเชฟแบบคุณแม่

สตังค์: จริง ๆ ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะสายเลือดอะไรประมาณนั้น ช่วงเด็กๆ ผมก็เคยคิดนะว่าผมก็ไม่ได้ชอบมากขนาดนั้น แต่พอได้ทำมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่เด็ก พอถึงช่วงประมาณ ป.5 - ป.6 มันเริ่มรู้สึกชอบ เริ่มรู้สึกสนุก เลยคิดว่าควรทำมันต่อ

จาก MasterChef Junior ปี 61 สู่ MasterChef อาหารไทย ปี 66
จาก MasterChef Junior ปี 61 สู่ MasterChef อาหารไทย ปี 66
(ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand)

. . . . . . . . .

แหล่งพลังงานสำคัญสำหรับความทะเยอทะยานสู่เส้นทาง “เชฟ” ในวัยเรียน

พี่รวี SparkD: ชีวิตการเรียนของสตังค์ในช่วงประถม มัธยมที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง สามารถอยู่ควบคู่กับการที่เราชอบทำอาหารได้อย่างไรบ้าง

สตังค์: จริง ๆ ช่วงประถมอาจจะยังไม่ได้เด่นเรื่องอาหารขนาดนั้น ก็ทำงานเสาร์อาทิตย์ช่วยแม่มากกว่า แต่ถ้าเกิดเริ่มเข้าสู่ช่วงมัธยมวันเสาร์อาทิตย์ก็จะมีทำงานที่ร้านอาหาร ถ้าเป็นช่วง ม.2 ก็จะเป็นร้านอาหารอิตาลีซึ่งผมไปช่วยเขาทำ เป็นพี่รู้จักกัน ผมก็ได้เรียนรู้ทำการทำสเต็ก แต่ถ้าเกิดว่าที่เหลือก็จะเป็นอาหารไทยเลยครับ ทุกวันเสาร์อาทิตย์ก็จะทำแต่อาหารไทยอยู่ในครัว ช่วยพ่อแม่เตรียมวัตถุดิบ ส่วนเรื่องเรียนก็เหมือนเดิม

พี่รวี SparkD: ในช่วงที่ต้องมาแข่ง MasterChef เราแบ่งเวลามาแข่ง มาฝึกซ้อมยังไง ให้ยังควบคู่ไปกับการเรียนได้

สตังค์: จริง ๆ ตอน MasterChef Junior ผมยังไม่ได้ซ้อมหนักมาก แต่พอมาเป็น MasterChef Season 6 ผมรู้สึกว่าจริงๆ ผมก็แบ่งเวลาไม่ค่อยได้ดีขนาดนั้น เพราะว่ารู้สึกว่ามันก็หนักเหมือนกัน ยิ่งพออยู่ ม. 6 มันก็มีเรื่องสอบเรื่องเรียนเข้ามาด้วย ก็สมมุติว่าผมไปเรียนวันธรรมดาเลิกเรียนปุ๊บปกติผมก็มักจะไปเตะบอลกับเพื่อน ๆ แต่พอเป็นช่วงแข่ง ผมก็ต้องกลับมาบ้านเลย เพื่อฝึกซ้อมจนถึง 4 ทุ่ม แล้วก็อาบน้ำนอน อีกวันนึงก็ไปโรงเรียนตามปกติ แต่พอวันเสาร์อาทิตย์ผมก็เริ่มซ้อมตั้งแต่ 7 โมงถึง 4 ทุ่ม วนอยู่อย่างนี้ก็หลายเดือน

พี่รวี SparkD: แล้วเราแฮปปี้ไหมกับการที่เราต้องทำทั้ง 2 อย่างควบคู่กัน แทนที่เราจะได้มีเวลาพักผ่อน หรือไปเที่ยวเล่นกับเพื่อน ๆ 

สตังค์: มีช่วงนึงแอบคิดเหมือนกันนะ ว่าอยากไปเที่ยวกับเพื่อนเนาะ เสาร์อาทิตย์เพื่อน ๆ ไปเที่ยวกัน แต่ทำไมเราต้องมาซ้อม มาทำงาน แต่ส่วนตัวผมก็รู้สึกว่า การได้เริ่มก่อนคนอื่นมันก็สตาร์ทไปก่อนคนอื่นไงครับ มีก่อนคนอื่นได้ทำก่อนคนอื่น

“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!
“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!

พี่รวี SparkD: สตังค์ที่กำลังอยู่ในช่วงที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านเข้าสู่การเป็นวัยนักศึกษา วางแพลนไว้ว่าอยากเข้าคณะอะไร มหาวิทยาลัยไหน

สตังค์: ตอนแรกผมสนใจ ม.สวนดุสิต แต่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นทาง ม.กรุงเทพ มากกว่าครับ เพราะเหมือนว่า ม. กรุงเทพ จะมีคณะที่ผมอยากเรียนเกี่ยวกับการบริหารด้วยอาหารนานาชาติด้วย อะไรแบบนี้ครับ แบบว่ามันครอบคลุมมากกว่าสำหรับคนที่ต้องการเปิดร้านอาหารแบบผมครับ ด้วยความที่ ม.กรุงเทพ เปิดอิสระอยู่แล้ว ผมสามารถมีเวลาไปทำร้านอาหารของผมได้ มีเวลาไปทำงานของผมได้ ส่วนมหาลัยอื่นก็จะเคร่งเครียดกว่านิดนึงครับ แล้วก็ด้วยหลักสูตรที่ผมสนใจ มันครอบคลุม มีฝึกอาหารนานาชาติก็คือเรื่องภาษาเรื่องอาหาร มี Work and Travel ที่ผมอยากไป มีเรียนเรื่องบริหารธุรกิจ มีเรื่องโครงสร้างร้านอาหารเลยครับ มันครบในหลักสูตรเดียวมากกว่า

พี่รวี SparkD: เชฟตุ๊กตา หรือก็คือคุณแม่ของสตังค์ มีส่วนสำคัญอย่างไรบ้างในความสำเร็จต่าง ๆ ของสตังค์

สตังค์: จริง ๆ แม่มีส่วนในทุกความสำเร็จของผมเลยครับ ไม่ว่าการแข่งไหนหรือว่าการทำอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับอาหาร แม่ก็จะอยู่ข้างหลังตลอด ยิ่งเป็นสายอาหารแล้วด้วย ก็จะเป็นแม่ที่สอนเองตลอด ตั้งแต่  MasterChef Junior ถึงไม่ได้แข่งแม่ก็ผลักดันมาเรื่อย ๆ ถึงเวลาที่ต้องตื่นมาซ้อม ก็จะมีเสียงแม่เรียกตลอด เวลาแข่งเลยทำให้เวลาได้ยินเสียงแม่แล้วก็มีสะดุ้งนิดนึง

พี่รวี SparkD: ถ้าในวันนี้ สตังค์ไม่ได้เข้า MasterChef ทั้งสองรายการเลย คิดว่าสตังค์ในวันนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง

สตังค์: ผมคิดว่าในวันนี้ผมไม่ได้เข้า MasterChef  ก็คงจะเรียนปกติ ช่วยที่ร้านบ้างครับ ด้านมหาวิทยาลัยก็อาจจะเป็นด้านอื่น อาจจะโฟกัสกับชีวิตตัวเองมากขึ้นทำ YouTube ไลฟ์สไตล์ รู้สึกว่าชีวิตผมมีคอนเทนต์ตลอดเวลา

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand

ด้วยความที่เราเป็นเด็กสวนสวนอยู่ต่างจังหวัดมาก่อน พอมาอยู่กรุงเทพฯ ที่ย่านพุทธมณฑล สาย 3 มันก็ยังเป็นสวน สภาพแวดล้อมก็จะเป็นนา ด้วยความที่เป็นเด็กวัยรุ่นมันไม่มีอะไรให้ออกไปทำอะไรหลาย ๆ อย่างตอนนั้นก็ยังไม่มีรถ ยังไม่ได้ซ้อม MasterChef  ก็จะอยู่กับกลุ่มเพื่อนปั่นจักรยานกันตกปลาบ้าง แต่หนัก ๆ ก็คือขโมยเบ็ดตกปลา ที่แบบเค้าปักเบ็ดไว้ตกปลาช่อนไว้ ด้วยความสงสารไปกับน้องประมาณ ป. 1 ไปกับเพื่อนอีกสามคนทีนี้ก็ไปขโมยเบ็ดใส่ถังปลาช่อนเพราะว่าสงสารปลาช่อนจะเอากลับไปปล่อยบ้านตัวเอง พอโดนจับได้ก็พากันวิ่งหนี โดยที่น้องถือถึงปลาช่อนอยู่ แล้วพอถึงคลองทีนี้ผมก็กระโดดลงน้ำเลย ว่ายข้ามฝั่งกับเพื่อน โดยที่น้อง ป.1 ก็ยืนร้องให้โยนถังปลาช่อนลงพื้น แล้วน้องก็วิ่งหนี ส่วนปลาช่อนก็นอนตายอยู่ตรงนั้น

พี่รวี SparkD: นอกจากอาหารแล้ว สตังค์ยังสนใจในด้านอีกบ้างมั้ย

สตังค์: สนใจเป็นเรื่องดนตรี กับสเก็ตบอร์ดครับ ผมคิดว่าดนตรีกับอาหารมันไปด้วยกันได้ ผมคิดว่าผมเป็นคนมีอารมณ์ติสท์ ๆ นิดนึง เวลาคิดอะไรไม่ออกหรือเครียดก็จะเงียบ ๆ ฟังเพลง ไปโรงเรียนก็ใส่หูฟัง ที่ผมสนใจดนตรีเพราะผมอยู่ในกลุ่มพี่ ๆ ที่ทำฮิปฮอปกันอยู่แล้ว อาจจะมีอัดกับเขาบ้างแต่ไม่ได้ลงไปทำดนตรี พี่ ๆ ที่รู้จักก็จะมี 4ourYou และหลาย ๆ คนใน soundcloud ครับ แต่ผมรักษาเกรดนะครับ จะรักษาให้คงอยู่ที่มาตรฐาน เกรดก็จะอยู่ 3.3 - 3.5 แต่ถ้าวิชาไหนผมไม่เอา ก็จะใส่ฮู้ดและหูฟังนอน ครูที่โรงเรียนเขาก็จะเข้าใจผมครับ จริงๆ ฟุตบอลผมก็ชอบนะ มีพี่ ๆ ที่เค้าดูบอล ผมก็ดูด้วยประมาณนั้นครับ ดูบอล เล่นบอล เล่นกีฬา ครับ

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand

. . . . . . . . .

ผ่านความท้าทายสู่หมุดหมายแห่งใหม่

พี่รวี SparkD: การรักการทำอาหาร อาจไม่เท่ากับการเป็นเชฟ หรือเจ้าของร้านอาหาร ที่ต้องบริหารงานครัว บริหารธุรกิจ แล้วในมุมมองของสตังค์ สตังค์อยากเป็นใคร อยู่ส่วนไหนของวงการอาหาร อยากสานต่อร้านอาหารของคุณแม่ หรือเปิดร้านอาหารใหม่

สตังค์: ผมอยากเอาร้านอาหารของแม่ไปยกระดับอาจจะทำเป็น Fine dining หรือแนวโมเดิร์นผสมผสาน ผมอยากให้มีหลายสาขามากกว่านี้ ระบบการจัดการดีกว่านี้ ในอนาคตผมมองว่าอยากจะเป็นเจ้าของร้านอาหารที่มีสาขาอยู่หลากหลายที่ เรื่องการบริหารเป็นสิ่งที่จำเป็นไม่น้อยไปกว่าการทำอาหารเลย ยกตัวอย่างเช่น ร้านของแม่ผม การบริหารไม่ค่อยดี ผมก็คิดว่าผมไปเรียนทำอาหาร หาประสบการณ์ เรียนทำอาหารมาด้วย ก็จะเอามาพัฒนาร้านต่อไป ผมอยากทำร้านอาหารที่ตัวเองไม่ต้องเป็นเชฟที่ต้องทำงานในครัวทุกวัน ผมมองว่าอยากให้เป็นวิธีการเซ็ตเมนูในแต่ละวันให้ อาจจะเป็นในรูปแบบเซ็ตเป็นคอร์สไป ใน 1 อาทิตย์อาจจะเข้าประมาณ 3-4 วันเพื่อเข้าไปชิมอาหาร ทดลอง อยู่ดูแลร้าน ที่เหลือก็อาจจะไปงานคุกกิ้งโชว์อะไรแบบนี้มากกว่าครับ ทุกวันนี้ก็จะมีงานเยอะ ว้าวุ่นเลยครับ ก็จะมีงานที่ติดต่อมาเรื่อย ๆ ผ่าน MasterChef  ไปถ่ายรายการบ้างแต่ยังพูดไม่ได้ว่ารายการไหน ประมาณ 2 รายการ มีติดต่อให้ไปคุกกิ้งโชว์ มีติดต่อให้ไปเป็นพิธีกรก็มีครับ ผมเลยรู้สึกว่าตอนนี้ผมยังต้องเรียน แล้วพอเจองานที่ยุ่ง ๆ เข้าไป เจอชีวิตคนทำงานจริง ๆ ก็หนักอยู่เหมือนกันครับ

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand

พี่รวี SparkD: ความท้าทายที่สตังค์กำลังเผชิญอยู่ในการที่จะไปถึงจุดหมายนั้นได้ คืออะไร แล้วเราจัดการกับความท้าทายนี้อย่างไร

สตังค์: ความท้าทายมีเยอะเลยครับ หนึ่งเลยเรื่องเรียน ความรู้ด้านอาหารอีก ผมคิดว่ายังไม่ถึงจุดนั้น รวมไปถึงประสบการณ์ ผมคงจะต้องสะสมประสบการณ์มากกว่านี้ การที่เราไม่มีประสบการณ์และไปเปิดร้านเลย พนักงานที่ร้านก็คงจะไม่อยู่ในการบริหารงานของเราสักเท่าไหร่

พี่รวี SparkD: สตังค์มองว่าสายงานอาหารในไทย ตอบโจทย์แพชชั่นการทำธุรกิจอาหารของคนรุ่นใหม่แล้วหรือยัง

สตังค์: ผมรู้สึกว่าอยากให้มีการสนับสนุนเกี่ยวกับอาหารให้มากกว่านี้ครับ เผื่อบางคนมีความชอบด้านอาหารแต่ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน อย่าง MasterChef อาจจะไม่ใช่เวทีแรกของเขาเพราะมันอาจจะยากเกินไป ถ้าออดิชันไม่สำเร็จเขาก็จะไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน ผมอยากให้มีการสนับสนุน และการแข่งขันให้มากกว่านี้ครับ ผมรู้สึกว่าถ้าเรียนจบมา มีความชอบ และเชื่อมั่นจริง ๆ ผมรู้สึกว่าลองเปิดได้เลยครับ แต่ผมรู้สึกว่าถ้าจะทำก็คงต้องศึกษาให้ดีก่อน เพราะว่าช่วงนี้ผมเห็นคนที่แพลนมาก็จะเปิดร้านอาหารเลยโดยที่ยังไม่ได้ศึกษาอะไรให้ดีก่อน

“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!
“สตังค์ วสุรัตน์” จากเด็กที่โตมากับครัว สู่ Top 3 MasterChef และจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นเชฟ!

. . . . . . . . .

การสืบทอด และปรับใช้วัตถุดิบโบราณในอาหารไทยในสมัยใหม่

พี่รวี SparkD: เมนูอาหารไทยอะไรที่บ่งบอกถึงความเป็นสตังค์มากที่สุด

สตังค์: ผมคิดว่าเป็นเมนูที่ผมเพิ่งแข่งไปเลยครับซึ่งก็คือ “กุ้งพราวเดือน” เป็นเขียวหวานแห้ง คือเมนูโบราณ จากบ้านผมที่มีความเป็นไทยมาอยู่แล้ว มาบวกกับตัวผมที่เป็นเด็กสมัยใหม่ จึงเกิดความผสมผสานระหว่างความเป็นไทย และโมเดิร์น ผมคิดว่าอยากพัฒนาเมนูอาหารไทยให้ไปไกลได้มากกว่านี้ครับ รู้สึกว่าเมนูนี้เป็นการบ่งบอกถึงตัวผมที่ชัดเจนดี เมนูนี้ยังไม่มีขายที่ร้าน แต่ว่าถ้าผมมีแพลนเปิดร้านเป็นของตัวเองก็จะเพิ่มเมนูนี้เข้าไป จริง ๆ ถ้าไปเยี่ยมที่ร้าน “บ้านยี่สาร” แล้วผมอยู่รีเควสเมนูนี้ได้ครับ ต้องโทรไปก่อนครับ”

พี่ปอ SparkD: คิดว่าเสน่ห์ของการทำอาหารสำหรับสตังค์คืออะไร

สตังค์: เสน่ห์ของการทำอาหารสำหรับผม ผมรู้สึกว่าคือ รสชาติ ขั้นตอน และวัตถุดิบครับ รสชาติของอาหารไทยมันจะมีเอกลักษณ์ของมัน มีความแปลกใหม่ และจัดจ้าน ส่วนขั้นตอนในอาหารไทยเราจะมีขั้นตอนเฉพาะที่ไม่มีให้เห็นในต่างชาติสักเท่าไหร่ เช่น การตำ หรือการโขลก หรือการใช้น้ำล้างครก เพราะมันจะมีที่มาที่ไป ที่คนโบราณเขาคิดไว้แล้วซึ่งดีมาก ๆ และลงมีความลงตัว ส่วนเรื่องวัตุดิบมีหลาย ๆ อย่างที่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก เช่น เม็ดมะแขว่น ของภาคเหนือ การหาวัตุดิบที่มาใช้ มาจากวัตุดิบพื้นถิ่นที่มาจากของไทยโดยแท้

พี่ปอ SparkD: อยากบอกอะไรกับตัวเองใน 10 ปีที่แล้ว และอยากถามอะไรกับตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้า

สตังค์: คำถามนี้ผมคิดยังไงก็คิดไม่ออก จริง ๆ ผมอยากบอกตัวเองใน 10 ปีที่แล้วว่าไม่ต้องคิดเยอะ โฟกัสลงมือทำสิ่งที่อยากทำไปเลย ส่วนสิ่งที่ผมอยากถามตัวเองใน 10 ปีข้างหน้า แค่ถามจริง ๆ ผมอยากถามตัวเองในอนาคตเกี่ยวกับปัญหาครับ 10 ปีระยะทางมันก็ไกล ทั้ง 10 ปีผมว่ามันต้องมีปัญหาเข้ามา ซึ่งตัวผมในตอนนั้นถ้าผ่านไปได้แล้ว ผมอยากรู้ว่ามันมีวิธียังไงถึงก้าวข้ามปัญหาให้ก้าวไปถึงจุดนั้นได้

ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand
ขอขอบคุณรูปภาพจาก Facebook  MasterChef Thailand

พี่ปอ SparkD: อยากบอกอะไรกับเพื่อน ๆ ที่สนใจสายงานด้านอาหาร แต่อาจไม่ได้มีที่บ้านซัปพอร์ต

สตังค์: บางคนอาจจะเริ่มเลยแบบผมไม่ได้ แต่อย่างน้อยผมอยากให้ลองศึกษา ลองดู ลองทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ต้องมากเท่ากับผมก็ได้เดี๋ยวสักวันนึงมันจะถึงจุดนั้นเองครับ อาจจะเริ่มจากสลัดซึ่งทำไม่ยาก ให้ลองหัดทำหัดแต่งดูก่อน จริง ๆ ผมอยากจะบอกทุกคนนะครับที่รักในการทำอาหารเหมือนผม ชอบในการทำอาหาร

ต่อให้เค้าจะไม่ซัปพอร์ต เราลองทำออกมาให้เขาเห็น ให้เค้ารู้ว่าเรารักเราชอบมันจริง ๆ ไม่ใช่แค่จะทำเล่น ๆ 

พี่ปอ SparkD: ได้ข่าวว่าตอนนี้มาทำ YouTube ด้วย ฝากผลงานกันหน่อย

สตังค์: จริง ๆ YouTube ของก็ผมคือคอนเทนท์สุด ๆ หลาย ๆ คอมเมนต์ก็อาจจะบอกว่าไม่ค่อยมีสาระนะครับ จะไม่ค่อยได้ความรู้เรื่องอาหาร ก็อยากจะบอกเขาว่าผมจะพยายามใส่สาระมากขึ้นครับ แต่ผมพูดเกริ่นไปแล้วว่า YouTube ผมก็จะเป็นเน้นที่ไลฟ์สไตล์ ที่มีอาหารเข้ามาเกี่ยวกับชีวิตของผมในแต่ละวัน ก็อยากจะฝากผลงานนะครับ YouTube “เฮงกะตังค์” ครับ เป็น YouTube เล่น ๆ สนุกสนาน ยังไงลองเข้ามาดูมาติดตามได้ครับ จริง ๆ YouTube ที่ผมทำกับพี่เฮง ต้องย้อนกลับไปตอน MasterChef  ด้วยความที่ผมติสท์ ฟังเพลงใส่หูฟัง มันจะมีเกมในไอแพดที่เล่นได้ 4 คน ผมก็นั่งเล่นอยู่คนเดียว เล่นสองฝั่ง พี่เฮงก็มาเล่นด้วย คุยกันถูกคอ ตอนแข่งก็จะคุยกันตลอด ตอนพักบ้าง ชวนไปเที่ยว ยิ่งพี่เฮงเป็นยืนเดี่ยว ยิ่งผมเป็นคนเส้นตื้น พี่เฮงพูด เล่นมุก ผมก็ขำแล้ว ก็เลยสนิทกัน เพราะว่าเป็นคนแนวเดียวกันไม่ค่อยมีสาระ ก็เลยมาทำยูทูปด้วยกัน แล้วก็ผมมีแพลนจะทำร้านอาหารนะครับเร็ว ๆ นี้ จริง ๆ เป็นร้านอาหารกับพี่ ยังไม่ใช่ร้านอาหารของผมเอง ยังไงก็ถ้าเปิดตัวก็ฝากติดตามครับ Instragram ผม deksatxng_  ยังไงก็ติดตามข่าวสารผ่านทาง Instragram ครับ

สตังค์เริ่มต้นทำอาหารตั้งแต่เด็ก ๆ เข้าครัวในวัยเรียน แม้ว่าต้องจัดการเวลาระหว่างการแข่งขันและการเรียนอย่างลำบากอยู่บ้าง แต่ความมุ่งมั่นและความทุ่มเทในการทำอาหารยังคงเป็นแรงผลักดันสู่ความสำเร็จของสตังค์ สตังค์มองหาวิธีในการปรับใช้แนวคิดในการบริหารร้านแบบใหม่และการทำอาหารไทยโบราณให้ก้าวไกลไปได้มากขึ้น เขาเชื่อในความสำคัญของรสชาติที่มีเอกลักษณ์ของอาหารไทย และความแปลกใหม่ในขั้นตอนการทำอาหารที่ไม่มีในต่างชาติ

. . . . . . . . .

จากบทสัมภาษณ์นี้หลาย ๆ คนต้องได้รับพลังงานที่ดีจากสตังค์ไปไม่มากก็น้อย หวังว่าจะได้ประโยชน์หรือแนวคิดดี ๆ ไปปรับใช้ และเติมเชื้อเพลิงไฟวัยรุ่นให้ลุกโชนกันไปเลย! ถ้าอย่างนั้นก็ได้เวลาลุกไปล่าฝันกันแล้วแหละ วันนี้.. พี่ปอ พี่รวี และพี่พิซซ่า SparkD คงต้องขอตัวลาไปล่าฝันแบบสตังค์บ้างแล้ว ติดตามกันต่อใน EP. หน้า เจอกันวัยรุ่น!

. . . . . . . . .

พี่ปอ พี่รวี SparkD สัมภาษณ์
พี่พิซซ่า SparkD ถ่ายภาพ
พี่เต้ย SparkD กราฟิกดีไซน์
พี่ฟิวส์ พี่แอล SparkD บรรณาธิการ
ขอขอบคุณ  Heliconia H Group
เอื้อเฟื้อสถานที่ สยามสแควร์
 

SparkD
SparkD - Columnist พื้นที่แรงบันดาลใจที่จะช่วยให้ Young Gen ค้นหาตัวเอง

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

0 ความคิดเห็น