ถ้าพูดถึง ‘วิชาพระพุทธศาสนา’ เชื่อว่าเรื่องที่น้องๆ ชาว Dek-D นึกถึงเป็นอันดับต้นๆ คงเป็น ‘หลักธรรมคำสอน’ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งในหลักสูตรมีมาตรฐานการเรียนรู้ว่า น้องๆ จะต้องวิเคราะห์หลักธรรม คติธรรม ที่เกี่ยวข้องกับวันสำคัญของศาสนา และปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้อง ทั้งนี้ หลักธรรมต่างๆ ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
ในวันนี้คอลัมน์ ‘รู้ไว้เผื่อออกสอบ’ ได้รวบรวมและสรุป 10 หลักธรรมสำคัญที่ออกสอบบ่อยมาให้ทุกคน โดยบทความนี้เราจะเน้นกันที่หลักธรรมที่สอดคล้องกับ ‘หลักอริยสัจ 4’ กันค่ะ อ่านจบกันแล้วอย่าลืมทำแบบทดสอบความรู้จากข้อสอบเข้ามหา’ลัยจริงด้านล่างกันด้วยนะคะ
ความสำคัญของหลักธรรมทางพระพุทธศานา
หลักธรรมคำสอนเป็นสิ่งสำคัญของแต่ละศาสนา สำหรับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบและนำมาเผยแผ่ เพื่อให้เกิดความสงบสุข ดังนั้น การศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงถือเป็นสิ่งสำคัญของพุทธศาสนิกชน เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องและราบรื่น
จริงๆ แล้วหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากมายหลายคำสอน แต่เชื่อว่าน้องๆ ทุกคนคงจะคุ้นเคยหรือได้ยิน “อริยสัจ 4” กันบ่อยๆ ซึ่งชาวพุทธหลายคนก็มีความเชื่อว่า อริยสัจ 4 คือ หัวใจสำคัญของพระพุทธศานา เพราะเป็นหลักธรรมที่ครอบคลุมของพระธรรมคำสอนทั้งหมดเอาไว้
อริยสัจ 4 หลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของพระพุทธศานา
อริยสัจ 4 คือ หลักความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ เป็นหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ (วันวิสาขบูชา) และแสดงไว้ในวันที่ประกาศศาสนาครั้งแรก (วันอาสาฬหบูชา) ซึ่งถือเป็นหลักธรรมแห่งการดับทุกข์ ที่สามารถนำไปปรับใช้ และเป็นวิธีแก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ ประกอบด้วย…
- ทุกข์ - การมีอยู่ของทุกข์ คือ การสำรวจความไม่สบายกาย สบายใจของตนเอง
- สมุทัย - เหตุแห่งทุกข์ คือ การค้นหาสาเหตุของทุกข์ว่าเกิดจากอะไร
- นิโรธ - การดับทุกข์ คือ เป้าหมายของการดับทุกข์
- มรรค - หนทางนำไปสู่การดับทุกข์ คือ วิธีการแก้ไขปัญหา
ตัวอย่าง การนำหลักอริยสัจ 4 ไปปรับใช้กับการเรียน
- ทุกข์ (ผล) อยากสอบได้เกรดดีๆ แต่ไม่เป็นอย่างที่หวัง
- สมุทัย (เหตุ) ไม่เข้าใจบทเรียน ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือ
- นิโรธ (ผล) สอบได้คะแนนดีขึ้น
- มรรค (เหตุ) ทบทวนบทเรียน อ่านหนังสือ
อริยสัจ 4 ถือเป็นศูนย์รวมหลักธรรมคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้า ถ้าเราเปรียบอริยสัจ 4 เป็นต้นไม้ หลักธรรมนี้ก็เป็นลำต้นที่ยังมีกิ่งก้านสาขาแตกแยกย่อยออกไปอีก ซึ่งกิ่งเหล่านั้นก็เปรียบเสมือนหลักธรรมอื่นๆ ที่สอดคล้องกับหลักอริยสัจ 4 นั่นเอง จะมีอะไรบ้าง มาดูกันค่ะ
หลักธรรมที่สอดคล้องกับ “ทุกข์” ตามหลักอริยสัจ 4
ทุกข์ (ธรรมที่ควรรู้) คือ ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็มีความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งหลักธรรมที่สอดคล้องกับทุกข์ มีดังนี้
ขันธ์ 5 - องค์ประกอบของชีวิต
หรือเบญจขันธ์ หมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมทั้ง 5 ที่ทำให้เกิดเป็นชีวิต ถ้าพูดให้เข้าใจได้ง่ายๆ ก็คือ ส่วนประกอบ 5 อย่าง ที่รวมกันแล้วก่อให้เกิดเป็นคนและสัตว์ขึ้นมา เน้นสอนในเรื่องสังขารเป็นหลัก โดยให้มองเห็นความเป็นจริงว่าสังขารเป็นสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมา ไม่มีความเที่ยง และก่อให้เกิดทุกข์หลายอย่าง ขันธ์ 5 ประกอบด้วยรูปธรรมและนามธรรม แยกเป็น 1 รูป 4 นาม ได้แก่
- รูปขันธ์ คือ ส่วนที่เป็นรูปร่าง รูปธรรมทั้งหมดที่ต้องสลายไป เพราะเหตุปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ส่วนประกอบของชีวิตที่เป็นร่างกาย และพฤติกรรมทั้งหมด
- เวทนาขันธ์ คือ ความรู้สึกของกายและใจที่เกิดขึ้นจากประสาทสัมผัสและการรับรู้ มี 3 อย่าง คือ ความสุขกายสุขใจ, ความทุกข์กายทุกข์ใจ และความรู้สึกเฉยๆ
- สัญญาขันธ์ คือ ความจำได้ (จำรูป จำรส จำกลิ่น จำเสียง จำสัมผัส) ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม เช่น รู้ว่าผงสีขาว รสเค็ม เรียกว่า เกลือ
- สังขารขันธ์ คือ การที่จิตของเราคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดี ชั่ว หรือเป็นกลาง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมทั้งทางดีและทางชั่ว หรือเป็นแรงจูงใจ แรงผลักดันให้เรากระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง
- วิญญาณขันธ์ คือ การรับรู้อารมณ์ ความรู้สึกของใจ ผ่านประสาทสัมผัส 6 อย่าง หรืออาตยนะ 6 คือ
- จักขุวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางตา (เห็น)
- โสตวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางหู (ได้ยิน)
- ฆานวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางจมูก (ได้กลิ่น)
- ชิวหาวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางลิ้น (รู้รส)
- กายวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางกาย (รู้สิ่งต้องกาย)
- มโนวิญญาณ หรือ ความรู้อารมณ์ทางใจ (รู้เรื่องในใจ)
Note : อายตนะ แปลว่า สิ่งที่เชื่อมต่อให้เกิดการรับรู้ เช่น ตาบอดจะมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ เมื่อมองไม่เห็น ความรู้ที่เกิดการจากมองไม่เห็นก็จะไม่มี แต่ก็มีข้อดี คือ ความทุกข์ที่เกิดจากทางตาที่ได้เห็นก็จะไม่มี
หลักธรรมที่สอดคล้องกับ “สมุทัย” ตามหลักอริยสัจ 4
สมุทัย (ธรรมที่ควรละ) คือ เหตุแห่งความทุกข์ หรือสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะความทุกข์หรือปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนมีสาเหตุเกิดจากอะไรบางอย่าง โดยหลักธรรมที่ควรละ เพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ต่างๆ มีดังนี้
นิวรณ์ 5 - สิ่งปิดกั้นความดี
หมายถึง สิ่งที่ปิดกั้นขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี หรือปิดกั้นความดีไม่ให้เข้าถึงจิตใจของเรา ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้ หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป ถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่ปิดกั้นขัดขวางเราไม่ให้มีสมาธิทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้สำเร็จ จนก่อให้เกิดความทุกข์ แบ่งเป็น 5 อย่าง ได้แก่
- กามฉันทะ - ความพอใจในกาม หมายถึง กลุ่มอารมณ์ประเภทความลุ่มหลง ความรักใคร่ ความต้องการทางเพศ การติดใจ ความต้องการ ความปรารถนา ความหลงใหลใฝ่ฝัน
- พยาบาท - ความปองร้าย หมายถึง กลุ่มอารมณ์ประเภทความโกรธ ความเกลียด ความแค้น ความริษยา ความดูหมิ่น ความผูกใจเจ็บ ความขัดเคืองใจ
- ถีนมิทธะ - ความง่วงเหงาหดหู่ หมายถึง กลุ่มอารมณ์ประเภทความขี้เกียจ ท้อแท้ เศร้าซึม หมดหวัง เสียใจ ไร้กำลังใจ ไม่ฮึกเหิม เบื่อ เซ็ง
- อุทธัจจะกุกกุจจะ - ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ หมายถึง กลุ่มอารมณ์ประเภทวิตกกังวล ระแวง กลัว คิดมาก
- วิจิกิจฉา - ความลังเลสงสัย หมายถึง กลุ่มอารมณ์ประเภทความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล ไม่มั่นใจ
วิบัติ 4 - ความบกพร่อง 4 ประการ
มีอีกชื่อเรียกว่า หลักกรรม หรือกฎแห่งกรรม หมายถึง ความบกพร่องขององค์ประกอบต่างๆ ที่ไม่อำนวยให้กรรมปรากฏผลดี แต่กลับทำให้ปรากฏผลชั่ว ถ้าอธิบายสั้นๆ ง่ายๆ เลยก็คือ หว่านพืชเช่นใดได้ผลเช่นนั้น หรือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นเอง แบ่งออกเป็น 4 อย่าง
- คติวิบัติ คือ สถานที่หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม ไม่เกื้อกูล แก่การทำให้เราเกิดความดี เช่น เกิดในภพ หรือประเทศที่ไม่เจริญ หรือมีแต่ตัวอย่างที่ไม่ดีให้เราเห็น
- อุปธวิบัติ คือ การมีบุคลิกบกพร่อง เช่น ร่างกายพิการ อ่อนแอ ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสดีๆ บางอย่างไป
- กาลวิบัติ คือ การกระทำที่ไม่ถูกเวลา ไม่ถูกจังหวะ เช่น เกิดในยุคที่ไม่ดี ยกย่องคนชั่ว ไร้ศีลธรรม หรือทำอะไรไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลาก็อาจจะทำให้เจอสิ่งที่ไม่ดีได้
- ปโยควิบัติ คือ เรื่องที่ทำบกพร่อง เช่น การทำงานไม่ครบถ้วนไม่ต่อเนื่อง ทำครึ่งๆ กลางๆ ไม่ตรงกับความถนัดหรือความสามารถของตน
อกุศลกรรมบถ 10 - ทางแห่งความชั่ว
หมายถึง ทางทำความชั่ว หรือกรรมชั่ว ที่เป็นทางนำไปสู่ความทุกข์และความเดือดร้อน แก่ตนเอง ผู้อื่น และสังคม ซึ่งมีทั้งหมด 10 ประการ โดยจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม
กายกรรม - การทำชั่วทางกาย
- ปาณาติปาตา - ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต
- อทินนาทานา - ลักขโมย
- กาเมสุมิจฉาจาร - ประพฤติผิดในกาม
วจีกรรม - การทำชั่วทางวาจา
- มุสาวาท - พูดโกหก หลอกลวง
- ปิสุณาวาจา - พูดส่อเสียด เหน็บแนม
- ผรุสาวาจา - พูดหยาบคาย
- สัมผัปปลาปะ - พูดเพ้อเจ้อ ไร้สาระ
มโนกรรม - การทำชั่วทางใจ
- อภิชฌา - คิดอยากได้ของผู้อื่น
- พยาบาท- คิดร้ายกับผู้อื่น
- มิจฉาทิฐิ - เห็นผิดจากคลองธรรม เช่น ไม่เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
อบายมุข 6 - ทางแห่งความเสื่อม
หมายถึง หนทางหรือช่องทางแห่งความเสื่อม และความพินาศของทรัพย์สมบัติและตนเอง มี 6 ประการ ดังนี้
- ติดสุราและของมึนเมาทุกชนิด รวมถึงบุหรี่
- โทษ : เสียทรัพย์ เกิดการทะเลาะวิวาท เสียสุขภาพ เสียชื่อเสียง บั่นทอนสติ
- ชอบเที่ยวกลางคืน เป็นนักท่องราตรี เช่น ร้านคาราโอเกะ ร้านเหล้า ผับ บาร์
- โทษ : ไม่รักษาตัวเอง ครอบครัว และทรัพย์ เป็นเป้าหมายโดนใส่ความ คนรอบตัวไม่ไว้ใจ
- ชอบเที่ยวดูการละเล่น เช่น การแสดง งานบันเทิง คอนเสิร์ต
- โทษ : ใจจดจ่ออยู่กับการเที่ยว ไม่เป็นอันทำมาหากิจ เสียเวลา เสียเงิน คนเชื่อถือน้อยลง ถูกมองว่าเป็นคนไม่เอาการเอางาน
- ติดการพนัน เช่น เล่นไพ่ เล่นหวย พนันบอล
- โทษ : กลายเป็นคนลุ่มหลงเล่นแล้วไม่อยากหยุด เสียทรัพย์ ไม่มีใครเชื่อถือ คนรอบตัวดูหมิ่น ไม่มีใครอยากคบด้วย
- ขี้เกียจ ไม่ทำงาน
- โทษ : ชีวิตตกต่ำไม่เจริญก้าวหน้า มีแต่ความอยากลำบาก ขัดสนในชีวิต
- คบคนชั่ว
- โทษ : กลายเป็นคนชั่วตามคนที่คบ ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนตามไปด้วย
หลักธรรมที่สอดคล้องกับ “นิโรธ” ตามหลักอริยสัจ 4
นิโรธ (ธรรมที่ควรบรรลุ) คือ การดับทุกข์หรือดับปัญหาต่างๆ เพื่อให้เกิดความสุข ในพุทธศาสนามีหลักคำสอนเกี่ยวกับเรื่องความสุขมากมาย โดยจุดหมายสูงสุด คือ นิพพาน ซึ่งมีหลักธรรมที่สอดคล้อง ดังนี้
นิโรธ 5 - ภาวะไร้กิเลส
หมายถึง ความดับกิเลส ภาวะไร้กิเลสและไม่มีทุกข์เกิดขึ้น เป็นหลักธรรมที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ซึ่งมี 5 ประการ ได้แก่
- วิกขัมภนนิโรธ - ดับทุกข์ด้วยการข่มไว้
- ตทังคนิโรธ - ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับ หรือธรรมที่ตรงข้าม
- สมุจเฉทนิโรธ - ดับทุกข์ด้วยการตัดขาด
- ปฏิปัสสัทธินิโรธ - ดับด้วยการระงับ
- นิสสรณนิโรธ - ดับด้วยปลอดโปร่งไป ดำรงอยู่ในภาวะที่ดับกิเลสยั่งยืน
Note : นิโรธ 5 ยังมีชื่อเรียกอย่างอื่นอีก เช่น
- ปหาน 5 (การละกิเลส 5 ประการ)
- วิมุตติ 5 (ความหลุดพ้น 5 ประการ)
- วิเวก 5 (ความสงัด ความปลีกออก 5 ประการ)
- วิราคะ 5 (ความคลายกำหนัด ความสำรอกได้ 5 ประการ)
- โวสสัคคะ 5 (ความสละ ความปล่อย 5 ประการ)
สุข 2 - ความสบายกาย ความใจ
แบ่งออกเป็น 2 ประการ ได้แก่
1.สามิสสุข - ความสุขทางกาย
หมายถึง ความสุขทางกายที่เกิดจากวัตถุภายนอก เรียกว่า กามสุข คือ ความสุขที่เกิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) ทำให้เกิดความพอใจ เป็นความสุขของคนทั่วไป ที่เกิดจากการกระทำความดีในด้านต่างๆ ที่สำคัญ ได้แก่
- อัตถิสุข - สุขจากการมีทรัพย์
- โภคสุข - สุขจากการจ่ายทรัพย์
- อนณสุข - สุขจากการไม่มีหนี้
- อนวัชชสุข - สุขจากการประพฤติสุจริต
- สามิสสุข เป็นความสุขที่ไม่แน่นอน เพราะความทุกข์อาจเกิดขึ้นได้เสมอถ้าประมาท
2.นิรามิสสุข - ความสุขทางใจ
หมายถึง ความสุขที่ไม่อิงอาศัยวัตถุภายนอก เรียกว่า ความสุขทางใจ ความสุขประเภทนี้มีตั้งแต่ขั้นต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด ได้แก่
- นิรามิสสุขขั้นต่ำ คือ การได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ ไม่มีศัตรู ไม่มีผู้เกลียดชัง ไม่คิดร้ายต่อใคร ไม่กังวล ไม่หวาดระแวง ไม่คิดฟุ้งซ่าน
- นิรามิสสุขขั้นกลาง คือ ความอิ่มใจที่ได้เสียสละ การมีจิตใจที่สงบ
- นิรามิสสุขขั้นสูงสุด คือ นิพพาน
หลักธรรมที่สอดคล้องกับ “มรรค” ตามหลักอริยสัจ 4
มรรค (หลักธรรมที่ควรเจริญ) หมายถึง หนทางที่ไม่ต้องพบความทุกข์อีก มีหลักธรรมที่สอดคล้อง ดังนี้
มรรค 8 - ข้อปฏิบัติเพื่อหมดทุกข์
พระพุทธเจ้าตรัสว่า มรรค 8 เป็น ‘ทางสายกลาง’ หรือ ‘มัชฌิมาปฏิปทา’ คือเป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่การหลุดพ้น ประกอบด้วย
- สัมมาทิฏฐิ - ความเห็นชอบ เช่น เห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว แยกแยะสิ่งที่ดีและไม่ดีได้
- สัมมาสังกัปปะ - ความคิดชอบ เช่น คิดในทางดี ไม่หลงใหลกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่คิดร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่น
- สัมมาวาจา - การพูดชอบ เช่น ไม่พูดโกหก ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดเพ้อเจ้อ
- สัมมากัมมันตะ - การกระทำชอบ เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม หรือการเว้นจากการกิจกรรมทางเพศ
- สัมมาอาชีวะ - การเลี้ยงชีพชอบ เช่น ทำงานสุจริต ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรม
- สัมมาวายามะ - ความพยายามชอบ เช่น มีความพยายามและตั้งใจลงมือทำสิ่งต่างๆ ให้ดี
- สัมมาสติ - ระลึกชอบ เช่น ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน
- สัมมาสมาธิ - ตั้งจิตชอบ เช่น ควบคุมจิต สมาธิ และอารมณ์ของตัวเองให้ได้
มรรค 8 สามารถเทียบเคียง หรือจัดอยู่ในหมวดหมู่ของ “ไตรสิกขา” ได้อีกด้วย
ไตรสิกขา - หลักการพัฒนามนุษย์
หมายถึง พัฒนาตนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาการที่จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้ จะต้องพัฒนาให้ครบทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา โดยสามารถจัด มรรค 8 ให้อยู่ในหลักไตรสิกขาได้ ดังนี้
- สีลสิกขา (ศีล) - การประพฤติที่ดี ทั้งกายและวาจา
- สัมมาวาจา/สัมมากัมมันตะ/สัมมาอาชีวะ
- จิตตสิกขา (สมาธิ) - การฝึกจิตที่ดี
- สัมมาสติ/สัมมาสมาธิ/สัมมาวายามะ
- ปัญญาสิกขา (ปัญญา) - การคิดและมีปัญญาที่ดี
- สัมมาทิฏฐิ (เห็น)/สัมมาสังกัปปะ (คิด)
สติปัฏฐาน 4 - ข้อปฏิบัติอันเป็นที่ตั้งแห่งสติ
หมายถึง การตั้งสติพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามความจริง โดยที่รู้เท่าทัน เพื่อให้มีสติปัญญาที่สมบูรณ์ และทำให้ไม่ประมาทในการดำเนินชีวิต แบ่งออกเป็น 4 ประการ
- กายานุปัสสนา - พิจารณากาย เป็นเพียงกาย ไม่ใช่ของเราหรือของใคร ต้องมีแก่ เจ็บ ตาย ตามกาลเวลา
- เวทนานุปัสสนา - พิจารณาความสุข ความทุกข์ และความรู้สึกเฉยๆ ที่เกิดขึ้นอย่างรู้เท่าทันว่าเป็นอย่างไร
- จิตตานุปัสสนา - พิจารณาจิต เพื่อให้รู้เท่าทันว่า จิตใจขณะนั้นเป็นอย่างไร เช่น หดหู่ ฟุ้งซ่าน ขี้เกียจ หรือขยัน
- ธัมมานุปัสสนา - พิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรือเป็นอกุศลที่เกิดขึ้นกับใจว่า สาเหตุมาจากอะไรบ้าง และจัดการด้วยวิธีไหน
สรุป 10 หลักธรรมออกสอบบ่อย
หลักธรรมที่สอดคล้องกับ ‘หลักอริยสัจ 4’ มีดังนี้
- ทุกข์ ได้แก่ ขันธ์ 5
- สมุทัย ได้แก่ นิวรณ์ 5, วิบัติ 4, อกุศลกรรมบถ 10 และอบายมุข 6
- นิโรธ ได้แก่ นิโรธ 5 และสุข 2
- มรรค ได้แก่ มรรค 8, ไตรสิกขา และสติปัฏฐาน 4
มาทดสอบความรู้กัน!
เป็นยังไงกันบ้างคะกับหลักธรรมที่คัดเลือกมากันในบทความนี้ เชื่อว่าน่าจะมีหลายหลักธรรมที่น้องๆ คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คราวนี้ถึงเวลาทดสอบความรู้ ความเข้าใจเรื่องหลักธรรมแล้วค่ะ สำหรับแบบทดสอบวันนี้เป็นข้อสอบ O-NET วิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ปีการศึกษา 2560
ข้อใดแสดงกระบวนการและผลของการศึกษาได้ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา
1. สีลสิกขา นำไปสู่ผลคือปัญญาที่พัฒนาแล้ว
2. จิตตสิกขา นำไปสู่ผลคือกายที่พัฒนาแล้ว
3. ปัญญาสิกขา นำไปสู่ผลคือ จิตที่พัฒนาแล้ว
4. สีลสิกขา นำไปสู่ผลคือกายและความประพฤติที่พัฒนาแล้ว
5. ปัญญาสิกขา นำไปสู่ผลคือจิตและปัญญาที่พัฒนาแล้ว
น้องๆ คิดว่าข้อไหนคือคำตอบที่ถูกต้อง คอมเมนต์ด้านล่างได้เลย
สำหรับคอลัมน์ รู้ไว้เผื่อออกสอบ บทความต่อไปจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ฝากติดตามกันด้วยนะคะ หรือถ้าน้องๆ มีเรื่องราวน่าสนใจเรื่องไหน ที่อยากให้นำมาเล่า หรือแจกทริคการจำ ก็สามารถคอมเมนต์เอาไว้ด้านล่างได้เลย!
0 ความคิดเห็น