วันนี้พี่น้องก็เลยจะมาแนะนำแนวทางการคิดพล็อต และองค์ประกอบต่างๆ ที่จำเป็นต่อการเขียนนิยายธีมนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้บ้านเรามีนิยายธีมนี้เกิดใหม่บ้าง และอีกส่วนก็เพื่อการประกวดเรื่องสั้นปลายปี ที่พวกเราจะใช้ธีมนี้เขียนเรื่องสั้นกัน
1. เข้าใจดิสโทเปีย
ดิสโทเปีย (Dystopia) มาจากคำว่า dys (ไม่) กับ topia (สถานที่สำหรับอาศัย) พอมารวมกันเลยเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอยู่อาศัย
มันไม่น่าอยู่เพราะอะไร?
- สภาพแวดล้อม (ขยะล้นโลก, สงคราม, คนไม่ดี, โรคระบาด ฯลฯ)
- ระบบการปกครอง (รัฐบาลเผด็จการ, จำกัดความคิด, จำกัดสิทธิเสรีภาพในการเลือก ฯล)
พูดแบบนี้แล้วอาจจะไม่เห็นภาพ พี่น้องจะยกตัวอย่างสังคมดิสโทเปียของเรื่อง The Giver นะคะ เรื่องนี้สมมติให้เป็นโลกในอนาคตค่ะ ผู้นำของชุมชนหนึ่งตัดสินใจว่าโลกเรามันมีความขัดแย้งเยอะนะ เดี๋ยวมีคนตาย เดี๋ยวมีความเจ็บป่วย เดี๋ยวมีความทุกข์ เรามาหาวิธีทำให้สิ่งเหล่านี้มันหายไปกันเถอะ
แล้วสิ่งที่ผู้นำของชุมชนทำก็คือ
- เอา "สี" ออก: ทำให้คนในชุมชนไม่เห็นสีสัน จะได้ไม่ต้องเกิดความแตกต่าง เราทุกคนผิวสีเดียวกัน มีบ้านสีเดียวกัน รถสีเดียวกัน ไม่มีสีที่ชอบ ไม่มีสีที่เกลียด ทุกคนลืม "สี" ไปจนหมด
- กำจัด "สัตว์" ทิ้ง: มีสัตว์อยู่ก็อาจทำให้คนบาดเจ็บ หรือคนอาจทำให้มันบาดเจ็บ มีแต่เสียกับเสีย ให้มีแค่มนุษย์เท่านั้นบนโลกนี้ดีกว่า
- เอา "ฤดูกาล" ออก: ไม่มีหิมะ ไม่มีฝน ไม่มีอากาศร้อนอบอ้าว เพื่อให้ปลูกพืชพรรณได้ตลอดปีและคนไม่เจ็บป่วย
- เอา "ดนตรี" ออก: เพราะดนตรีทำให้เกิดอารมณ์ ความรู้สึก ทั้งสุขและทุกข์
แต่คนเขียนก็จะทำให้เราเห็นว่าสังคมนี้มันไม่ได้มีดีจริงๆ หรอก อะไรที่เขาพยายามกำจัดออกไปมันคือส่วนหนึ่งในชีวิตของเราต่างหาก ถ้าไม่มีก็เหมือนใช้ชีวิตไม่เต็มร้อย
2. หาไอเดีย
พอจะเข้าใจภาพนิยายแนวนี้คร่าวๆ แล้ว ก็มาเริ่มวางแผนกันค่ะ ขั้นตอนนี้ห้ามข้ามนะ ถ้าไม่วางแผนจะเขียนไม่ได้เลย
ก่อนอื่นเราต้องดูว่ามีอะไรในสังคมที่เรารู้สึกขัดหูขัดตาบ้างไหม อะไรที่เราคิดว่ามันน่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น แต่ผลลัพธ์กลับแย่ลง พี่น้องจะลองยกตัวอย่างให้เป็นไอเดียว่าเราคิดถึงอะไรได้บ้าง
ข้อดี | ข้อเสีย | |
การใช้สมาร์ทโฟน | สะดวกรวดเร็ว | ทำให้เราเอาแต่ก้มหน้า ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง |
สอบวัดระดับคุณธรรม | ??? | ตัดสินคุณธรรมคนด้วยคะแนน อาจไม่ได้ผลลัพธ์จริง และเป็นการด่วนสรุปเกินไป |
ระบบสั่งการไฟฟ้าภายในบ้าน ด้วยคอมพิวเตอร์ |
สะดวกรวดเร็ว ประหยัดพลังงาน |
แพง ระบบรวนอาจเป็นอันตราย |
โซเชียล เน็ตเวิร์ค | รู้จักคนมากขึ้น รับข่าวสารไวขึ้น ติดต่อสื่อสารรวดเร็วขึ้น |
มีบุคคลอันตรายเยอะ ข่าวสารต้องกรองดีๆ ศาลเตี้ย |
เมื่อเราได้ประเด็นที่เราจะเอามาเป็นแก่นหลักของเรื่องแล้ว ได้ข้อดี ข้อเสียแล้ว ทีนี้ก็ไปขั้นตอนต่อไปกันค่ะ
3. ทำไอเดียให้กลายเป็นเรื่องราว
เลือกมาสักประเด็นหนึ่ง เอาประเด็นที่เรารู้ปัญหาของมันดีที่สุด มาขยายให้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะข้อเสียที่เราเห็นเหล่านี้มันยังเป็นอะไรที่คนทั่วไปในสังคมรับได้ (ไม่งั้นก็คงเลิกทำ เลิกใช้กันไปแล้ว) เราต้องทำให้มันเด็ดขาดกว่านี้
พี่น้องเลือกเลยแล้วกันว่าจะเอาประเด็นสอบวัดระดับคุณธรรมดานี่แหละ มาคิดดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าสังคมเราตัดสินใจวัดความดีความเลวของคนด้วยแบบทดสอบ และใช้มันเป็นเกณฑ์ในการจำกัดสิทธิคน
เริ่มเครียดกันแล้วใช่ไหมคะ เริ่มคิดกันแล้วใช่ไหมว่า "บ้าหรือเปล่า ระดับคุณธรรม จะเอาอะไรมาวัดได้"
เอาไอเดียนี้ไปเล่าให้เพื่อนฟัง ถ้าเพื่อนเริ่มเครียดแสดงว่ามาถูกทางแล้วค่ะ ไปข้อต่อไปเลย
เมื่อคนอ่านไม่รู้สึกแย่ไปกับโลกที่เราสร้าง มันก็ทำให้เขาชอบเรื่องเรายาก เวลาเลือกประเด็นจึงควรเลือกที่คนส่วนใหญ่คิดว่าไม่ดีกับเขาจริงๆ
4. เริ่มใส่รายละเอียด
พี่น้องจะเริ่มจากการสร้างสังคมใหม่ขึ้นมาก่อนค่ะ เป็นสังคมไทยในปีพ.ศ. 2600 แล้วกัน สังคมกำลังวุ่นวายเลย เพราะมีแต่คนไม่ดีแต่ดันหัวแหลมนัก ผู้ใหญ่ในบ้านเราก็เลยประชุมกันแล้วก็ตัดสินว่า "เพราะเราปล่อยให้คนไม่ดีได้รับการศึกษานี่สิ เหมือนติดอาวุธให้คนพวกนี้กลับมาทำร้ายเราเองเลย"
ร้อนไปถึงกระทรวงมันสมองแห่งชาติ (ขอตั้งชื่อใหม่ เดี๋ยวกระทบ) ต้องคิดหามาตรการควบคุมตามคำสั่งรัฐบาล เลยออกกฎใหม่สำหรับนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาเป็นต้นไป ทุกคนต้องเข้ารับการทดสอบระดับคุณธรรมทุกปีเพื่อนำมาใช้คู่กับผลการสอบวัดความรู้ทั่วไป
การทดสอบนั้นจะไม่ใช่แค่การตอบคำถามทางจิตวิทยาอย่างเดียวกัน นักเรียนทุกคนต้องเข้าห้อง "ทดสอบ" ซึ่งจะมีทั้งสอบข้อเขียนและสอบปฏิบัติ โดยรัฐบาลช่วยกันระดมสมองคัดแบบทดสอบมาให้แล้วว่าแบบนี้แหละ วัดความดีงามของแต่ละคนได้จริง (มั้ง)
คนที่สอบได้ระดับคุณธรรมต่ำเพียงครั้งเดียวจะถูกส่งไปยัง "เขตสีดำ" แม้ว่าคนๆ นั้นจะยังไม่เคยมีประวัติทำผิดเลยก็ตาม ไม่มีสิทธิเรียนต่อ ไม่มีสิทธิทำงานตำแหน่งสำคัญในสังคม
- เหตุการณ์ในเรื่องต้องเป็น "อนาคต" เราจะไม่เขียนถึงสังคมปัจจุบันหรือสังคมในอดีตค่ะ ไม่งั้นคนอ่านจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่สมจริง ก็สังคมปัจจุบันเราเป็นแบบนี้ที่ไหน เราต้องเขียนถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคม จากตอนนี้ไปอนาคตมันจะเป็นอย่างไร
- คนในสังคมจะไม่รู้ว่ามันไม่ดี ไม่ว่าจะไม่รู้เพราะไม่รู้จริงๆ หรือไม่รู้เพราะหูตามืดบอด โดนรัฐบาลใช้โฆษณาชวนเชื่อ ใช้ยา หรือใช้กำลัง ฯลฯ ทำให้คนในสังคมเชื่อว่าการวัดระดับคุณธรรมนี่ควรมีไว้จริงๆ และแบบทดสอบที่เอามาใช้ก็น่าเชื่อถือยิ่ง
5. เลือกตัวละคร
ตัวเอกของนิยายธีมดิสโทเปียมักเป็นคนพิเศษค่ะ พิเศษตรงที่เขาจะเป็นคนเดียวที่รู้ว่าสังคมนี้มันผิดปกติ แล้วลุกขึ้นมาต่อต้าน หรือสถานการณ์บีบให้ต้องต่อต้าน บางเรื่องอาจให้ตัวเอกมีพลังพิเศษไปเลยก็ได้
ตัวเอกอาจเป็นได้ทั้งประชาชนทั่วไปที่ไม่มีอำนาจอะไรในสังคม กับเป็นคนที่มีอำนาจ เช่น เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบ คนที่คิดแบบทดสอบวัดระดับคุณธรรมขึ้นมา
ทว่านายเจตนายังเด็ก ก็เลยไม่รู้ว่า "ความชั่ว" แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร เนื่องจากตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็อยู่ใน "เขตสีขาว" มาตลอด คนในเขตนี้ก็ได้รับการรับรองจากรัฐบาลแล้วว่าเป็นคนดีแน่นอน พอเข้าไปในเขตนั้นตอนแรกก็กลัว แต่กลับได้พบกับคนที่เขารู้สึกว่าไม่ต่างอะไรกับเขตสีขาวเลยสักนิด
พี่น้องจะวางตัวละครสำคัญเพิ่มอีกตัวด้วย คือเจ้าหน้าที่รัฐที่แม้จะเชื่อในคำพูดของรัฐบาลกับผู้บังคับบัญชา แต่ตลอดเวลาที่คอยควบคุมคนในเขตสีดำและทำบันทึกพฤติกรรม เขากลับพบว่าหลายคนในนี้ไม่แสดงท่าทีว่าจะมีอันตรายใดๆ เลย
6. แต่งเลย
อย่ามัวแต่รอให้รายละเอียดสมบูรณ์ แต่งเลย!
สังเกตว่านิยายธีมดิสโทเปียมันจะผสมไซไฟหรือแฟนตาซีนิดๆ ดังนั้นมันจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับโลกใหม่ สังคมใหม่อยู่เยอะมาก อย่าพยายามทำให้มันสมบูรณ์ ค่อยๆ แต่งไปแล้วเติมช่องว่างทีละนิดดีกว่า
เมื่อแต่งไปเรื่อยๆ ฐานมันจะเริ่มแน่น ทีนี้เราก็แต่งยาวไปได้สบายๆ ที่เหลือก็เหมือนนิยายทั่วไปเลยค่ะ มีปมขัดแย้ง มีเหตุการณ์ให้ลุ้นระทึก มีไคลแมกซ์ และมีตอนจบ
แต่ว่า...จะทำแบบนั้นได้เราต้องวางพล็อตมาดีมาก เพราะมันยากที่คนๆ เดียวจะโค่นอำนาจรัฐบาลได้ (ยกเว้นแต่มีพลังพิเศษ ปล่อยคลื่นเต่าสะท้านฟ้าได้ อะไรแบบนี้) ดังนั้น นิยายธีมนี้หลายเรื่องก็มักจบไม่สวย หรือจบแค่ตัวเอกหลุดออกไปจากสังคมนี้ได้ อาจเนรเทศตัวเองหรือถูกเนรเทศก็ตาม อาจมีบางคนตาสว่าง หรือยังงมงายยึดติด แต่สุดท้ายสังคมนี้ก็ยังอยู่ต่อไป และทิ้งท้ายเป็นคำถามให้กับคนอ่านว่าถ้าเป็นคุณจะจัดการอย่างไรกับสังคมแบบนี้
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่สังคมดิสโทเปีย
แต่เป็นการที่เราอยู่ในสังคมแบบนี้แต่เราไม่รู้ตัวมากกว่า
ทั้ง 6 ขั้นตอนนี้อาจฟังดูยาก แต่พี่น้องเชื่อว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถพวกเรานักเขียนชาวเด็กดีอยู่แล้ว
ใครมีคำถามหรือมีอะไรจะมาแลกเปลี่ยนก็จัดไปที่กล่องคอมเม้นต์ด้านล่างเลย
ส่วนคนที่สนใจประกวดเรื่องสั้นปลายปี เดี๋ยวรอฟังประกาศอีกทีช่วงต้นเดือนธันวาคมนะว่ากติกามีอะไรยังไง ตอนนี้ศึกษานิยายธีมนี้ให้แตกฉานไปก่อน
21 ความคิดเห็น
สุดยอดครัพ
กำลังเล็งๆว่าอาจจะแต่งดิสโทเปียสักเรื่อง พอดีเคยอ่านเจอบทความเกี่ยวกับโลกอนาคตที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ในอีกหลาย10ปีข้างหน้า สิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปมาก ขอบคุณมากค่ะ:)
สาระมากๆครัช....ได้ไอเดียเยอะจะไปเขียนนิยายเเนวนี้เยอะเลย ขอบคุณครัช^^
อยากลองแต่งแนวนี้ค่ะ ขอบคุณข้อมูลนะคะ^_^
โหห ยุดยอดอ่ะ ได้ไอเดียเขียนนิยายเยอะมากเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ
เป็นพวกมีความคิดแนวนี้อยู่แล้วค่ะ ชอบที่จะแต่งแนวนี้ ถ้าเก้บรวบรวมข้อมูลได้มากพอ ก็จะลงมือแล้ว ขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ ><
ประโยคนี้แหละที่ทำให้เราอยากแต่งนิยายแนวนี้ขึ้นมาเลย
แอบคิดเหมือนกันว่าเราอาจจะอยู่ในสังคมดิสโทเปียโดยที่เราไม่รู้ตัวอยู่ก็ได้
รู้สึกยอมแพ้แก่แนวนี้แต่โดยดี ยากจริงๆ 5555
เริ่มรู้สึกอยากเขียนแนวนี้ขึ้นมาบ้างแล้วสิ
ชอบมากๆ เลย ได้ความรู้เยอะมากๆ ขอบคุณน๊าาา
ดิสโทเปียเป็นอย่างนี้นี่เอง
อืม...แนวนี้อาจจะเหมาะกับนักเขียนที่มองโลกในแง่ร้ายดีนะเนี่ย
เก็บไว้เป็นข้อมูลก่อนดีกว่า
สุดยอดดด
เราชอบมากกกก ขอบคุณค่ีะ
นวนิยายเรื่อง "เก้าอี้ว่าง" ของ เจ.เค โรวลิ่ง ก็เป็นแนวดิสโทเปียหรือเปล่าคะ
เรื่องแนว Dystopia ที่ดีมากๆ อีกเรื่องชื่อว่า Fahrenheit 451 ค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตที่หนังสือเป็นสิ่งต้องห้าม รัฐบาลปกปิดความจริงทุกอย่างกับประชาชน และประชาชนทุกคนก็ถูกสื่อบันเทิงครอบงำจนคิดไม่เป็น ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือ ภรรยาของตัวเอกใช้ชีวิตอยู่กับสื่อบันเทิงทุกวินาทีของชีวิตจนทำให้กลายเป็นคนว่างเปล่าไปค่ะ อ่านแล้วคล้ายๆ กับสังคมสมัยนี้ (50 กว่าปีแล้วมั้งเรื่องนี้)
อีกเรื่องก็ There will come soft rain เป็นเรื่องสั้น ถ้ามนุษย์หายไปจะเกิดอะไรขึ้น
เรื่องที่น่าจะรู้จักมากกว่าก็ Shinsekai Yori (From the New World) ลักษณะเป็นบันทึกที่จะส่งต่อไปยังคนอีกพันปีข้างหน้า ตอนแรกคิดว่าอยู่ในสังคมแบบยูโทเปีย แต่พอไปเรื่อยๆ สังคมของนางเอกกลับเผยธาตุแท้ออกมา มีแบบอนิเมะด้วยน้า (เรื่องนี้วางปมวางอะไรได้สุดยอดมากจริงๆ)
แล้วก็ Harrison Bergeron เรื่องสั้นแค่ 2 หน้าเอง ถ้าทุกคนบนโลกเท่าเทียมกันจะเกิดอะไรขึ้น? อันนี้เข้าใจง่ายมาก ลองหาเวลาอ่านดูนะคะ :D
เห็นแล้วอยากลองแต่งดู ขอบคุณมากนะคะสำหรับข้อมูล :D