5 นิยายที่เกิดจากความฝัน

 

5 นิยายที่เกิดจากความฝัน

รู้ไหมว่า นักเขียนบางคน ก็ได้พล็อตนิยายตอนหลับ!
 
สวัสดีชาวนักเขียนเด็กดีค่ะ เวลาเขียนนิยาย แอดมินเชื่อว่าทุกคนมีเทคนิคส่วนตัวที่จะช่วยให้งานเขียนคืบหน้า หนึ่งในเทคนิคที่แอดมินค้นพบคือ การเอาความฝันมาเขียน! ที่พูดมานี่ หมายถึง ‘ความฝัน’ ตรงตัวนะคะ นั่นคือ นอนหลับแล้วฝันไป ไม่ใช่ ‘ความฝัน’ ในความหมายอื่น ตอนแรก แอดมินคิดว่าตัวเองทำอยู่คนเดียว แต่พอไปอ่านบทความของบล็อกเกอร์คนเก่ง Alexei Maxim Russell เข้า ก็เลยรู้ว่า ไม่ใช่เราคนเดียวที่ทำแบบนี้ แต่มีนักเขียนอีกหลายคนเลยละ ที่เขาทำเหมือนๆ กัน แอดมินเห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยรวบรวมนิยายทั้ง 5 เรื่องนั้นมาฝากกันค่ะ
 
ไปดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้าง และแต่ละเรื่องน่าสนใจแค่ไหนอย่างไร เผื่อยังไง จะได้เก็บเอาเทคนิคนี้มาใช้กับนิยายของเราได้บ้างเนอะ 
 

 

แดร็กคูล่า

เครดิตภาพ : laurabirdsall.tumblr.com
 
นักเขียนเรื่อง แดร็กคูล่า คือ บราม สโตกเกอร์ (Bram Stoker) ซึ่งเป็นชาวไอริช เขาเขียนเรื่องนี้ในปี ค.ศ. 1897 และนิยายเรื่องนี้ ก็กลายเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของเขา มีคนรู้จักทั่วโลก นอกจากเป็นนักเขียน สโตกเกอร์ยังเป็นผู้จัดการโรงละคร นักวิจารณ์หนัง และผู้ช่วยส่วนตัวของนักแสดงชื่อดัง เฮนรี่ ไอร์วิ่ง ความที่ใกล้ชิดกับวงการละคร และยังเคยประกอบอาชีพนักข่าวมา ทำให้สโตกเกอร์ได้ศึกษาวรรณกรรมและนิทานพื้นบ้านเยอะมาก รวมถึงรู้จักสถานที่แปลกๆ อย่างเช่น ทรานซิลวาเนีย อันเป็นบ้านเกิดของแดร็กคูล่านั่นเอง
 
จุดเริ่มต้นของแดร็กคูล่า เกิดจากการที่สโตกเกอร์ได้ศึกษาตำนานพื้นบ้านเก่าๆ ของชาวโรมาเนี่ยนและฮังกาเรี่ยน และได้สัมผัสบรรยากาศของเมืองเล็กๆ อย่าง Whitby ในอังกฤษ ซึ่งเป็นเมืองที่เชื่อกันว่าเป็นที่อยู่ของพวกแวมไพร์ สโตกเกอร์อาจดูเหมือนเป็นผู้ริเริ่มไอเดียเรื่องผีดูดเลือด แต่ความจริงแล้ว มีนักเขียนอื่นๆ อีกหลายคนที่เขียนถึงเรื่องนี้ เช่น เรื่อง "Carmilla" โดย Joseph La Fanu เรื่อง "The Family of the Vourdalak" โดย Tolstoy และเรื่อง "The Vampyre" โดย John William Polidori ทุกเรื่องเขียนในช่วง ค.ศ. 1700 แต่ผู้ที่ทำให้ผีดูดเลือดเป็นที่รู้จัก กลับเป็นตัวสโตกเกอร์นี่เอง
 
ถามว่า แล้ว ‘ความฝัน’ เกี่ยวข้องตรงไหน แอดมินกำลังจะเล่านี่เองค่ะ วันดีคืนดี สโตกเกอร์ก็ฝันถึงชายคนหนึ่ง ผู้นอบน้อม ตระกูลดี และชอบเก็บตัว เขาคนนั้นเป็นท่านเคานท์ และต่อมา ก็กลายเป็นบุคคลที่ทุกคนจดจำได้ในชื่อของ ท่านเคานท์แดร็กคูล่า ลูกชายของสโตกเกอร์เป็นผู้ออกมาบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ในเวลาต่อมา เขาเล่าว่า พ่อ (สโตกเกอร์) กลัวความฝันนี้มาก จนต้องจับปากกาเพื่อที่จะเขียนนิยาย ระหว่างเขียน พ่อบอกว่า ความฝันนั้นชัดเจนและน่ากลัวมาก และเขาเชื่อว่า มันเป็นความจริง สโตกเกอร์ ได้รวมเรื่องราวของเขาเข้ากับความจริง โดยเชื่อมโยงแดร็กคูล่าเข้ากับเจ้าชายแห่งเพนซิลวาเนีย ชื่อว่า Vlad Tepes (หรือ Vlad the Impaler) เจ้าชายองค์นี้ ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย หลังพระองค์เสียชีวิต ผู้คนเชื่อว่า พระองค์ได้กลายเป็นผีดูดเลือด คอยทำร้ายคน โดยเฉพาะผู้หญิงสาวๆ สวยๆ
 
สรุปก็คือ ไอเดียเรื่องแดร็กคูล่านี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความฝันของสโตกเกอร์ด้วย ตำนานด้วย เรื่องจริงด้วย เมื่อนำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน สุดท้าย ก็เลยกลายเป็นนิยายที่น่าอ่าน นับว่าสโตกเกอร์เป็นนักเขียนที่ใช้ประโยชน์จากเรื่องราวรอบๆ ตัวได้อย่างน่าสนใจ และฉลาดที่จะนำไอเดียต่างๆ มารวมเข้าด้วยกัน น้องๆ สามารถเอาเทคนิคของเขาไปใช้กับนิยายของตัวเองได้นะ
 

 

แฟรงเก้นสไตน์

เครดิตภาพ : fantasyfaceoff.proboards.com
 
นิยายสุดหลอนในตำนาน ผลงานของนักเขียนชาวอังกฤษ แมรี่ โวลล์สโตนคราฟ เชลลี่ (Mary Wolstonecraft Shelley) นิยายเรื่องนี้ออกวางแผงในปี ค.ศ. 1817 ตัวนักเขียนบอกว่า ได้ไอเดียมาจากความฝันในคืนที่หนาวเหน็ดของฤดูหนาว เธอระบุเวลาได้ด้วยว่า มันคือตีสองถึงตีสามในคืนนั้น
 
“ฉันฝันเห็นคนหน้าซีด อวัยวะของเขาถูกนำมาเย็บติดเข้าด้วยกัน ด้วยเครื่องมืออันทรงพลัง ทั้งน่ากลัวและหลอกหลอนจนบอกไม่ถูก เขาคือมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ ถูกสร้างขึ้นจากความหวาดผวา เป็นปีศาจที่ทุกคนต้องหวาดกลัว”  
 
ดูเหมือนว่าภาพที่นักเขียนฝันเห็น ก็คือต้นกำเนิดของแฟรงเก้นสไตน์นั่นเอง แค่ภาพภาพเดียวในความฝัน เชลลี่สามารถนำภาพนั้นมาปะติดปะต่อ และขยายพล็อตจนกลายเป็นนิยายที่ตรึงใจผู้คนทั่วโลก เชลลี่เล่าว่า หลังจากฝันร้าย เรื่องราวนั้นติดอยู่ในใจของเธอ จนกระทั่งเธอและเพื่อน ได้ไปเที่ยวที่สวิตเซอร์แลนด์ และได้อ่านตำนานผีของเยอรมัน และนั่นแหละ ปัง! พล็อตกระจายในหัวของเธอ ภาพของแฟรงเก้นสไตน์เริ่มชัดเจนขึ้นมาทีละนิด ไอเดียมาทีละส่วน และสุดท้าย เธอก็ได้คอนเซ็ปท์ของเรื่อง ที่จะว่าไปแล้ว... ก็เหมือนเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้าถึงเรื่องของ สเต็มเซลล์, การปลูกถ่ายอวัยวะ และจีเอ็มโอ ในปัจจุบัน นับว่านักเขียนมีไอเดียน่าสนใจ และฉลาดมากทีเดียว
 

 

มิเซอรี่

เครดิตภาพ : stephenking.wikia.com
 
Misery เป็นผลงานของนักเขียนสืบสวนฆาตกรรมคนดัง สตีเฟ่น คิง เคยทำเป็นหนังมาแล้ว โดยมีชื่อไทยว่า “มิเซอรี่ อ่านแล้วคลั่ง” คิงสารภาพว่า ไอเดียของนิยายเรื่องนี้ มาจากความฝันของเขา เจ้าตัวบอกว่า ชอบฝันร้ายบ่อยๆ และมักจะหยิบเอาความฝันเหล่านั้นมาต่อยอด ใส่คอนเซ็ปท์ต่างๆ เพิ่มบรรยากาศ ผสมความคิดสร้างสรรค์ จนกลายเป็นนิยายในแบบฉบับของคิง (เขาใช้คำว่า “ความฝันอันสร้างสรรค์”) คิงยังเพิ่มเติมด้วยว่า การนำความฝันมาสร้างเป็นผลงาน คือคุณสมบัติสำคัญที่นักเขียนแนวนี้ทุกคนควรจะมี
 
ไอเดียของเรื่อง มิเซอรี่ เกิดขึ้นในช่วงที่คิงแอบงีบบนเครื่องบิน ระหว่างไฟลท์จากนิวยอร์กถึงลอนดอน ก่อนจะหลับ คิงอ่านเรื่องสั้น ชื่อ "The Man who Loved Dickens” ผลงานของ Evelynn Waugh เนื้อหาเกี่ยวกับชายผู้โชคร้ายในอัฟริกาใต้ ระหว่างที่หลับ คิงฝันเห็นพล็อตเรื่องเป็นฉากๆ เมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็เริ่มต้นร่างพล็อตนิยายทันที เรื่องราวของนักเขียนชื่อดัง ผู้สร้างตัวละครหญิงสาว “มิเซอรี่” จนกระทั่งวันหนึ่ง ระหว่างที่ปั่นต้นฉบับที่บ้านบนเขา พอลตกลงใจว่าจะจบชีวิตของ “มิเซอรี่” และเขียนนิยายเรื่องใหม่ โชคร้าย ขณะขับรถลงเขา รถเกิดพลิกคว่ำ พอลตื่นมาอีกครั้ง พบว่าตัวเองอยู่ในบ้านของแฟนคลับนิยายจอมโหด จากนั้น ชีวิตของเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป 
 
และนั่นคืออีกหนึ่งผลงานที่เกิดจากความฝันของผู้เขียน
 

 

ดร. แจ็คเคิล กับ มิสเตอร์ไฮด์   

เครดิตภาพ : en.wikipedia.org
 
ผลงานสุดสยองของ โรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน เนื้อเรื่องย่อๆ สรุปสั้นๆ ด้วยคำว่า “สองคนในร่างเดียว” สตีเวนสันสร้างผลงานชิ้นนี้ในปี ค.ศ. 1885 ช่วงเวลานั้นเขาป่วยหนัก และมีความตั้งใจจะเปลี่ยนสไตล์งานเขียน ครั้งหนึ่ง เขาไข้ขึ้นสูงมาก จนฝันร้ายเป็นฉากๆ ยิ่งนานวัน ฝันร้ายยิ่งหลอกหลอนมากขึ้น แถมเขายังพบว่าตัวเองฝันแบบเดิมซ้ำๆ วนไปวนมา วันหนึ่ง ภรรยาได้ยินเสียงเขาร้องอย่างเสียขวัญ จึงรีบวิ่งมาปลุก แทนที่จะขอบคุณ สตีเวนสันกลับตวาดใส่ภรรยาว่า “มาปลุกทำไม คนกำลังจะได้พล็อต” และต่อมา ฉากนี้ได้กลายเป็นฉากเปิดในนิยายเรื่อง ดร. แจ็คเคิล กับ มิสเตอร์ไฮด์ ที่มีชื่อเสียงมาก
 
สตีเวนสันใช้เวลาร่างพล็อตเรื่องเพียงแค่สามวัน เจ้าตัวบอกว่าจดจำฉากในความฝันได้แม่นยำ เขาจดทุกสิ่งทุกอย่างในความทรงจำลงในกระดาษ จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้มาสร้างคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่โดดเด่น นั่นคือ ดร. แจ็คเคิล กับ มิสเตอร์ไฮด์ คนสองบุคลิก ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย น่าแปลกที่อาการป่วยยิ่งหนักมากขึ้นเท่าไหร่ นักเขียนผู้นี้ก็ยิ่งกระตือรือร้นและมีพลังในการสร้างสรรค์งานเขียน ท้ายที่สุด เมื่อเขียนนิยายเรื่องนี้จบ เขาก็หายป่วยและใช้ชีวิตต่อมาจนถึงปี ค.ศ. 1894 เป็นนักเขียนโชคดีมาก แม้จะป่วยหนักแต่ก็ได้พล็อตนิยายมาเขียน แถมสุดท้าย ยังหายดีอีกต่างหาก
 

 

งานเขียนหลายๆ ชิ้นของเอ็ดการ์ อัลลัน โพ

เครดิตภาพ : alteredlit.wordpress.com
 
โพได้ชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อสายนิยายสยองขวัญ เขาเขียนเรื่องได้หลอนและน่ากลัวมาก ครั้งหนึ่ง เมื่อถูกถามว่า เขาได้แรงบันดาลใจในการเขียนจากไหน เจ้าตัวก็ตอบง่ายๆ ว่า แหล่งข้อมูลของเขาคือ “ความฝัน” คนใกล้ชิดทั้งเพื่อนๆ และครอบครัว ระบุว่าโพมักเล่าเรื่องฝันร้ายของตนให้คนอื่นๆ ฟังเสมอ ทุกคนเห็นตรงกันว่า คงเป็นเพราะเขาดื่มหนักเกินไป ก็เลยฝันร้าย อย่างไรก็ตาม โพได้ใช้ประโยชน์จากฝันร้ายของตน ด้วยการนำมาเขียนเป็นนิยายขายดี
 
เราขอยกตัวอย่างนิยายสยองขวัญขายดีที่โพบอกว่าได้พล็อตมาจากความฝัน นิยายเรื่องนั้นมีชื่อว่า "The Tell-Tale Heart" เรื่องราวของชายผู้ได้ยินเสียงจากหัวใจของคนตาย หรือเรื่อง The Cask of Amontillado” เรื่องของชายผู้ถูกขังไว้ในผนัง และสุดท้าย เรื่อง "The Premature Burial" เรื่องของชายผู้ถูกฝังทั้งเป็น ทุกเรื่อง โพบอกว่าได้มาจากฝันร้ายของเขาทั้งหมด
 
ทำบทความนี้จบแล้ว แอดมินขอสรุปว่า ทุกคนที่เรายกตัวอย่างมานี้ ช่างมีความสามารถและมีคุณสมบัติของนักเขียนอย่างแท้จริง ขนาดนอนหลับ ฝันไป ก็ยังเอาเรื่องราวในความฝันมาเขียนเป็นเรื่องได้อีก นับถือเลย...
 
คืนนี้ ถ้าฝันร้าย แอดมินว่าจะลองเอามาเขียนนิยายดูบ้างดีกว่า...
เป็นเทคนิคที่น่าสนใจเหมือนกันนะ    

 
ทีมงานนักเขียนเด็กดี
 
ขอบคุณบทความ
ทีมงาน writer

แสดงความคิดเห็น

ถูกเลือกโดยทีมงาน

ยอดถูกใจสูงสุด

มัณทนา Member 31 มี.ค. 59 15:57 น. 1

ปัญหาก็คือ เราดองเค็มอยู่นี่แหละ

หาพล็อตได้แล้วจาก "ฝันร้าย" ของตัวเอง

แต่ยังไม่ได้เขียน

0
กำลังโหลด
ฌลินนนนนนนน Member 3 มิ.ย. 60 06:53 น. 16

ครูให้เราอ่าน the tell-tale heart เตรียมสอบวิชา literature อื้อหืออออ น่ากลัวมากค่ะ อ่านตอนดึกๆขนลุกเป็นกลียวต้องอ่านต้องกลางวันแทน5555

0
กำลังโหลด

16 ความคิดเห็น

มัณทนา Member 31 มี.ค. 59 15:57 น. 1

ปัญหาก็คือ เราดองเค็มอยู่นี่แหละ

หาพล็อตได้แล้วจาก "ฝันร้าย" ของตัวเอง

แต่ยังไม่ได้เขียน

0
กำลังโหลด
Moraply Member 3 เม.ย. 59 20:59 น. 2

ตอนนี้กำลังแต่นิยาย(แฟนตาซี)จากฝันอยู่ค่ะ พวกสิ่งมีชีวิตแปลกๆมันมาจากฝันเราทั้งนั้นเลย5555

0
กำลังโหลด
easternwind Member 4 เม.ย. 59 19:18 น. 3

หลายครั้งก็ปะติดปะต่อพล็อตจากความฝันค่ะ แต่ก็ฝันทุกวัน...ฝันเยอะไป 555 เลยได้แต่พล็อต ไม่ได้เขียนสักที 

0
กำลังโหลด
Natacia Member 4 เม.ย. 59 19:40 น. 4
เราเคยมีความฝันประหลาดๆอยู่เหมือนกัน ฝันว่าเห็นตัวเองในความฝัน อะไรงี้ เดี๋ยวจะลองมาเขียนพล็อตดูอิๆ
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Nimitr 21 เม.ย. 59 16:34 น. 7
ฝากนิยายหน่อยจ้า http://www.tunwalai.com/story/98751/%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%99
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
immienmk27 Member 1 มิ.ย. 59 21:55 น. 9

ที่จริงมีนักเขียนอีกคนนะคะที่แต่งนิยายโดยใช้พล็อตที่ตัวเองฝัน เธอคนนั้นคือ สเตฟานี เมเยอร์ เห็นเจ้าตัวบอกฝันถึงชายที่เป็นแวมไพร์กับหญิงสาวที่เป็นมนุษย์ เลยได้ไอเดียในการเขียนนิยายเรื่องทไวไลท์

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
เดียร์รี่ เดอะ เพอร์เพิล [COS] Member 12 ก.ค. 59 08:34 น. 11

เคยอ่านอยู่เรื่องเดียวคือ The tell-tale heart ออกแนวโรคจิตมากค่ะ คนเขียนต้องฝันร้ายมากแน่ๆ เลย...

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
Patricia Lacie Member 4 ม.ค. 60 12:06 น. 13
เราชอบฝันร้ายมากๆ เพราะมันตื่นเต้นแล้วเราก็สนุก แต่เดี๋ยวนี้เริ่มไม่ชอบ...มันไม่ได้ฝันเหมือนเมื่อก่อนที่สามารถเอามาเป็นพล็อตได้... ฝันเห็นปมตัวเองน่ะ...ถูกต่อว่า ถูกทำให้อับอาย โดนปฏิเสธ โดนทิ้ง ทุกคนรังเกียจ เดี๋ยวนี้ชอบฝันแนวนี้ ...ฝันเห็นผียังดีกว่าอีก!
0
กำลังโหลด
กำลังโหลด
แรม รติรมย์ (Ram Ratirom) Member 21 ก.พ. 60 04:56 น. 15

ได้นิยายจากความฝันเหมือนกัน

นิยายแนวพีเรียดไทยซะด้วย เขียนใกล้จบแย้ว

เป็นเรื่องเป็นราวไปอีก 5555

0
กำลังโหลด
ฌลินนนนนนนน Member 3 มิ.ย. 60 06:53 น. 16

ครูให้เราอ่าน the tell-tale heart เตรียมสอบวิชา literature อื้อหืออออ น่ากลัวมากค่ะ อ่านตอนดึกๆขนลุกเป็นกลียวต้องอ่านต้องกลางวันแทน5555

0
กำลังโหลด
กำลังโหลด