EN09 Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
จากเอกภพที่'ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์'อยู่ เอกภพ'มากิอาร์' ที่การใช้เวทย์มนตร์เป็นเรื่องปกติ เอกภพที่เขาใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ ในที่สุดทั้งสองเอกภพนี้ก็ได้เชื่อมเข้าหากันอย่างเป็นทางการแล้ว!
บทที่ 2: เอกภพมากิอาร์ (Magiska)
ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์: เหมือนหลุดมาในหนังสือประวัติศาตร์หน้าที่154เลยล่ะ
ฤดูหนาวของเยอรมนีเป็นสิ่งที่ไมเคิลสาบานว่าจะไม่ออกจากบ้านเป็นครั้งที่สองของวันนี้ ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนโซฟาขณะที่เอื้อมมือไปหยิบกองจดหมายที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นอย่างเบื่อหน่าย
“หืม?” นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทาเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อเห็นซองจดหมายจ่าหน้าซองถึงตัวเอง พอพลิกซองก็เห็นตราสัญลักษณ์สีเลือดหมูน่าเกรงขาม ไมเคิลแกะซองอย่างรวดเร็ว
เรียน คุณ ไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์
ทางเรามีความยินดีที่จะแจ้งให้ทราบว่าคุณเป็นผู้ได้รับเลือกให้เข้าไปศึกษาต่อในสถาบันวิชาการทหารชั้นสูงแห่งมาร์กิออส อาร์มี่ โดยทางกระทรวงศึกษาธิการและการพัฒนาศักยภาพได้ให้การสนับสนุนเป็นทุนการศึกษาเต็มจำนวน เราจึงส่งจดหมายนี้เพื่อแจ้งให้คุณทราบ
สิ่งที่แนบมาด้วย
1.ตั๋วรถไฟโมโนเรลรูหนอน วันที่23 มกราคม A.E.3020
2.พาสปอร์ตและใบอนุญาตเข้าเขตแดน
3.เข็มกลัดแสดงตัว
ด้วยความเคารพ
สถาบันวิชาการทหารชั้นสูงแห่งมาร์กิออส อาร์มี่(Military University of Magiskos Army)
ลงนาม
ผู้บัญชาการทหารสูงสุดธอร์รอนกีล เกริค
(อธิการบดีสูงสุด)
ชายหนุ่มรู้แค่ว่ากล้ามเนื้อทุกส่วนเกร็งขึ้นมา มือเขาสั่นน้อยๆอย่างห้ามไม่อยู่
“ไมเคิล ทำอะไรอยู่” เสียงของมาร์กาเร็ตดังขึ้นจากหน้าประตูห้องนั่งเล่น
ไมเคิลเพิ่งรู้ตัวว่าอ้าปากค้างอยู่จึงรีบหุบ ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทาจะหันขวับไปมองที่แม่ของเขาอย่างรวดเร็ว
“แม่” เขารู้แค่ว่ามือสั่นตอนยื่นจดหมายให้แม่ดู
“จ้ะ” หญิงสาวหลบตาระหว่างที่พูดประโยคนั้นออกมา หากพอสายตาของเธอก้มมองส่งที่ลูกชายส่งมา “นี่มัน…” มารดาของเขาตีหน้าเครียดขึ้นมา
“ครับ” ไมเคิลพูด “แบบเดียวกับที่เมลิกเคยได้”
เมลิกคือน้องชายแท้ๆของไมเคิลที่จากบ้านหลังนี้ไปเมื่อสามปีก่อน เมลิกได้รับจดหมายฉบับนั้นในตอนที่เจ้าตัวอายุ13ปี ส่วนไมเคิล15ปี ในจดหมายนั้นบอกเล่าเพียงว่าเมลิกได้รับเลือกให้เข้าไปเรียนในโรงเรียน‘มาร์กิออส อาร์มี’ โรงเรียนทหารที่มีชื่อเสียงที่สุด
ในวันที่ได้รับจดหมายฉบับนั้น ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ตามหลังมาเข้าไปคุยกับแม่ของเขาตามลำพังอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นแม่ก็สั่งให้เมลิกไปจัดกระเป๋าโดยที่ไม่อธิบายอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มคนนั้นบอกพวกเขาเลย
“งั้นเหรอ” มาร์กาเร็ตทิ้งตัวนั่งลงข้างๆลูกชายของตน สีหน้าแฝงแววเศร้าสร้อยอย่างปิดไม่มิด “ในที่สุดก็ถึงตาของลูกแล้วสินะ”
ไมเคิลไม่พูดตอบอะไร แต่ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้เขายังคิดอะไรไม่ออก แต่รู้แค่ว่าเวลาของเขาในโลกไพ ไดแมนชั่นเหลืออีกไม่มาก
….
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าแต่ก็รวดเร็วอย่างอธิบายไม่ถูกตามความรู้สึกของไมเคิล พอนึกถึงการไปเรียนในครั้งนี้ ชายหนุ่มก็อดหยิบจดหมายของน้องชายขึ้นมาอ่านไม่ได้ แม้จะเป็นข้อความสั้นๆ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีข่าวคราวอะไร
แม่มาส่งเขาที่สถานีโมโนเรลในวันออกเดินทาง ไมเคิลลากกระเป๋าใบโตไปตามทางเดินหินอ่อนที่ทอดลากยาวไปจนถึงตัวสถานี เขามีแค่กระเป๋าลากใบใหญ่นี้กับกระเป๋าสะพายใบย่อมที่ใส่ของจิปาถะ
“ไม่ลืมอะไรแล้วนะลูก?” หญิงสาวหันมาถามเขาหลังจากที่มองไปรอบๆอย่างสนใจอยู่พักหนึ่ง
เอาตามความจริงสถานีรถไฟแห่งนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนให้เห็นสักเท่าไร ทางมากิอาร์จำกัดคนเข้าพิภพในแต่ละครั้ง สูงสุดครั้งละร้อยคน และจะอนุญาตให้เข้าก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นเดินทางกับทัวร์ที่ทางฝ่ายนั้นจัดเตรียมไว้ให้เท่านั้น
“ครับแม่” ไมเคิลกระชับกระเป๋าแน่นขึ้น นาฬิกาที่ตอนนี้บอกเวลา8:39นาฬิกา
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทาเห็นรถไฟโมโนเรลเคลื่อนมาจอดเทียบชานชะลา รถไฟโมโนเรลรูหนอนเป็นยานพาหนะที่สองเอกภพได้จับมือกันสร้างขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการเดินทาง รถไฟเป็นหัวกระสุนไรเฟิลความเร็วสูง ด้านรางรถเป็นท่อแก้วใสทรงรูหนอน เวลาเคลื่อนที่จะต้องใช้พลังงานสูงมากจนเหมือนว่ารถไฟโดนดูดเข้าไปในรูหนอนหากแต่ผู้โดยสารจะไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาลนั่น
"รถไฟโมโนเรลรูหนอนจะออกเดินทางในอีก10นาที ขอท่านผู้โดยสารทุกท่านโปรดแสดงตั๋วที่นายสถานีได้ครับ" เสียงนายสถานีดังผ่านลำโพงดึงความสนใจของสองแม่ลูก
มาการ์เรตสบตากับบุตรชาย "ถึงเวลาของลูกแล้ว"
ไมเคิลยิ้มใหัมารดา ก่อนร่างสูงจะสวมกอดแน่น "ผมไปก่อนนะครับ"
"จ้ะ ฝากความคิดถึงถึงน้องด้วยนะลูก"
ร่างสูงพยักหน้า "ครับแม่"
ไมเคิลก้าวเท้าขึ้นรถไฟพร้อมกับผู้โดยสายภายในตัวรถไฟ เขาทิ้งตัวลงเบาะนุ่มๆริมหน้าต่างแต่ยังไม่ทันจะได้หลับตาเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“หวัดดี” ไมเคิลหันกลับไปพบกับเด็กหนุ่มผมดำสนิท มีแว่นไร้กรอบอยู่บนหน้า
“เอ่อ หวัดดี” คนถูกทักพยักหน้าตอบไปแกนๆอย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร
“นายเองก็เป็นนักเรียนทุนที่กำลังจะไปเรียนต่อที่นั่นเหมือนกันใช่ไหม” เด็กหนุ่มแปลกหน้าพูดพร้อมกับก้มลงมองกระเป๋าใบโตข้างตัวเขา เขาจึงสังเกตเห็นกระเป๋าใบขนาดๆพอกันของอีกฝ่ายเช่นกัน “ว่าแต่… นายชื่ออะไรล่ะ ฉัน ไคโตะ อากิระ” แม้สายตานั่นจะดูเฉยชาแต่เจ้าตัวก็ยังยื่นมือออกมาข้างหน้าให้เขา "มาจากญี่ปุ่น"
“เอ่อ ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์ จากบาวาเรีย เยอรมนีนี่ละ ยินดีที่ได้รู้จัก” เขาเอื้อมมือไปจับคนตรงหน้าตามมารยาท อีกฝ่ายพยักหน้ารับก่อนเสริม
"อ่า แต่นายดู..." อีกฝ่ายยังดูฉงนเล็กน้อย "เหมือนมีเค้าคนเอเชีย"
"อ้อ แม่ฉันเป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน แต่ฉันเกิดและโตที่เยอรมนีน่ะ" ก็คงไม่แปลกอะไรถ้าเขาจะกระเดียดไปทางเอเชียบ้าง
"อ้อ อย่างนี้นี่เอง" หนุ่มญี่ปุ่นพยักหน้า "ฉันเคยไปเที่ยวประเทศไทย ทะเลสวยดี"
ส่วนเจ้าลูกเสี้ยวไทยยิ้ม "ใช่ๆ ฉันก็เคยไป"
คุยกันได้เพียงพักหนึ่งบรรยากาศรอบๆก็เริ่มเงียบลง แม้จะมีเสียงจากผู้โดยสารคนอื่นดังขึ้นมาประปรายบ้างแต่ก็ไม่มากเท่าไรเพราะทุกคนคงอยากจะเริ่มเก็บแรงไว้ใช้เมื่อถึงที่หมายแล้วมากกว่า พักต่อมาก็มีเด็กสาวที่ยืนเกาะกลุ่มกันสามคนเดินมาทักทายพวกเขาและแนะนำตัวง่ายๆ สรุปแล้วพวกเขาห้าคนเป็นนักเรียนทุนตามที่ข่าวออกนั่นเอง
"ฉันชื่อเบียธิคก์ ลินเดอร์แมน มาจากเชค" เด็กสาวที่เข้ามาทักพวกเขาก่อนแนะนำยิ้มๆ “ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
ทักทายกันพอหอมปากหอมคอพวกเขาก็แยกกลุ่มชายหญิงกันอีกครั้งและหลังจากนั้นไม่ถึง5นาทีเสียงประกาศก็ดังขึ้น
"ขณะนี้รถไฟโมโนเรลรูหนอนกำลังจะเข้าเขตหน้าด่านของเอกภพมากิอาร์ขอให้ท่านผู้โดยสารนั่งประจำที่และรัดเข็มขัดนิรภัยให้เรียบร้อย ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ"
เสียงเพลงคลอเบาๆถูกเปิดขึ้นเมื่อรถไฟชะลอตัวจอดเทียบชานชาลา จากความมืดมิดเมื่อครู่นอกหน้าต่าง ค่อยๆเผยภาพของด้านนอกให้เห็นแม้จะไม่ค่อยชัดเท่าไรแต่ก็ทำให้รู้แน่ชัดว่ามาถึงปลายทางแล้ว
ทันทีที่ก้าวขาออกจากรถโมโนเรล เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างของทั้งสองเอกภพทันที ตัวสถานีใหญ่โตโอ่อ่า ตัวตึกสร้างแบบสถาปัตยกรรมแบบนีโอ-เรอเนซองส์เพราะมีเสาแบบโครินเธียนส์แทรกอยู่ตามบานหน้าต่าง (หวังว่าคงจะถูกเพราะเขาก็ไม่ได้จบด้านสถาปัตยกรรมหรือพวกโบราณคดีสมัยยุคประวัติศาสตร์เสียด้วยสิ) ในโลกไพ ไดแมนชั่น สถาปัตยกรรมยุคประวัติศาสตร์แทบไม่มีให้เห็นแล้ว นอกจากพวกสถานที่อนุรักษ์น่ะนะ
“บรรยากาศนี่ยังกับหลุดมาอยู่ในหนังแน่ะ” เบียธิคก์พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
ไมเคิลลากกระเป๋าของตัวเองตามเด็กสาวที่เดินรวมกลุ่มอยู่ข้างหน้ากับเพื่อนๆ ด้านหน้าของพวกเขาเป็นห้องที่กั้นเป็นคอกๆด้วยไม้สไตล์ยุโรปโบราณมีคนนั่งอยู่ด้านในที่คาดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ไมเคิลยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ และเมื่ออีกฝ่ายถามถึงเข็มกลัดแสดงตัว เขาก็ยื่นมันให้อีกฝ่ายดูอย่างรวดเร็ว
“นายไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์ผ่านการตรวจคนเข้าเมือง...เชิญไปทางซ้ายเพื่อต่อรถไฟท้องถิ่นสายหลักไปสถานีเซ็นทรัล โซน” เจ้าหน้าที่ผายมือไปทางซ้าย ไมเคิลก้มศีรษะให้ก่อนจะเดินลากกระเป๋าออกมาตามทางที่เจ้าหน้าที่บอก
เด็กหนุ่มมองไปรอบๆขณะเดินออกจากสถานีฝั่งโมโนเรลเข้ามาในส่วนของรถไฟท้องถิ่นที่อยู่ติดกัน เดินผ่านร้านค้าขนาดเล็กที่มีอยูประปรายในสถานีรถไฟ
ไมเคิลสังเกตเห็นว่าเมื่อพ้นมาจากสถานีโมโนเรล เริ่มมีกลุ่มคนที่ดูอายุรุ่นราวคราวหรือแตกต่างกว่าไม่มากนักกับเขาเดินสวนไปมา และเขาก็สังเกตเห็นว่าคนพวกนั้นก็มีกระเป๋าเดินทางใบโตหรือของสัมภาระมากมายข้างตัวเหมือนกัน
“ไปกันเถอะ ไมเคิล ขึ้นไปจองที่นั่งกันดีกว่า” ไคโตะว่า
รถไฟท้องถิ่นสายหลักของที่นี่เป็นรถไฟหัวรถจักรไอน้ำที่ไม่มีให้เห็นอีกแล้วในไพ ไดแมนชั่น นอกจากรูปภาพเท่านั้น
“ไม่เคยเห็นรถไฟแบบนี้มาก่อนนอกจากในรูปเลยนะเนี่ย” เขาชวนอีกฝ่ายคุยขณะก้าวเข้าไปในตัวรถ พอดีกับจังหวะที่เด็กหนุ่มอีกคนเบียดเข้ามา
ปุ!
แรงปะทะจากด้านข้างทำให้ไมเคิลหันไปมอง
“เอ่อ ขอโทษครับ พอดีเมื่อกี้มันลื่น” คนข้างตัวที่สองมือกำลังถือกระเป๋าใบใหญ่สองใบอย่างทุลักทุเล เด็กหนุ่มคนนี้มีเส้นผมสีน้ำตาลบลอนด์และนัยน์ตาสีเขียวมรกตอยู่หลังกรอบแว่นหนาเตอะสีดำ
“ไม่เป็นไร นายโอเคนะ?” เขาเอ่ยถามพร้อมกับเดินตามไคโตะไปแล้ววางกระเป๋าลากของตัวเองลงก่อนจะถาม “นั่งด้วยกันไหม? ตรงนี้พอมีที่ว่างอยู่”
“ขอบคุณครับ” เด็กหนุ่มผมน้ำตาลบลอนด์เดินมาสมทบกับไมเคิลและไคโตะ เด็กหนุ่มทั้งสองแนะนำตัวให้ผู้มาใหม่ง่ายๆ นัยน์ตาสีเขียวเบิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าเขาสองคนมากจากเอกภพไพ ไดแมนชั่น
“ผมชื่อ เอเดรียน วอลเตอร์” เด็กหนุ่มยื่นมาออกมาข้างหน้าอย่างเป็นมิตร “รู้สึกยังไงบ้างกับที่นี่ ตื่นเต้นไหม”
“ตื่นเต้นสิ” ไมเคิลคลี่ยิ้มบางๆตอบกลับอีกฝ่าย
“ผมได้ยินว่าที่โลกไพ ไดแมนชั่นไม่มีเวทมนตร์” เขาพูดสาวต่อด้วยท่าทีสนใจ “จริงรึเปล่าครับ”
“จริงสิ” เขาว่า “เรื่องเวทมนตร์อะไรนี่น่ะ มีอยู่แต่ในนิทานเท่านั้นแหละ เอ่อ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ‘เคย’มีอยู่แต่ในนิทาน แต่ตอนนี้พอรู้ว่ามันมีอยู่จริง ก็เลยรู้สึกว่าน่าตื่นเต้นสุดๆไปเลยละ”
เอเดรียนชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอื่นๆอย่างกระตือรือร้น ไมเคิลเองก็รู้สึกสนุกและตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆเพราะได้รู้ถึงสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แล้วข้อมูลบางอย่าง ถึงจะได้ศึกษาก่อนมาที่มากิอาร์บ้าง แต่พอรู้จากปากของคนที่นี่จริงๆมันกลับทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่า
รถไฟที่พวกเขานั่งอยู่ค่อยๆชะลอความเร็วลงพร้อมกับเสียงประกาศชื่อสถานีที่กำลังจะจอดเทียบท่า ทันทีที่ประตูรถไฟเปิด คนจากแทบทั้งขบวนก็ลงที่สถานีนี้ เสียงเอะอะดังขึ้นจากฝั่งพวกเด็กๆที่คงเพิ่งจากบ้านมาเป็นครั้งแรกจึงได้ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ไมเคิลลากกระเป๋าตามเอเดรียนที่เดินนำเขาไปก่อน ก่อนจะชะงักนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ากลุ่มของเบียธิคก์กำลังยืนอยู่กับสุภาพสตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง และเมื่อเด็กสาวสังเกตเห็นเขา เจ้าหล่อนก็โบกมือเรียกเขาหยอยๆ
“ไมเคิล ไคโตะ ทางนี้ๆ เขาบอกว่าคนที่มาจากไพให้มารวมกันทางนี้ก่อน”
ไมเคิลพูดตอบรับอีกฝ่ายก่อนจะหันไปบอกขอตัวกับเพื่อนต่างเอกภพคนใหม่ของเขา เอเดรียนพยักหน้าให้เขาก่อนจะผละจากไป เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของหญิงวัยกลางคนที่มีเส้นผมสีดำมัดรวบอยู่ด้านหลัง ในมือของหล่อนที่แผ่นกระดาษที่คงเอาไว้เช็กชื่อพวกเขา
“มากันครบแล้วสินะ พวกเธอ ขอต้อนรับเข้าสู่เอกภพมากิอาร์ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่เขตปกครองทหารกันนาร์ ซึ่งเป็นที่ที่มหาลัยที่พวกเธอกำลังจะเข้าไปเรียนตั้งอยู่” พูดพลางมองหน้ากับผู้มาเยือนต่างเอกภพทั้งห้าอย่างประเมิน “หวังว่าพวกเธอคงไม่มีปัญหาอะไรกับการเดินทางมาที่นี่ เอาละ ในเมื่อเธอเอาตราที่ได้รับจากทางโรงเรียนยืนยันแล้วเราก็ไปกันเลยดีกว่า อีกไม่นานพิธีปฐมนิเทศก็จะเริ่มแล้ว พวกเธอยังต้องเอาของไปเก็บในหอพักอีก”
พวกเขาไม่มีเวลาตื่นตาตื่นใจกับตัวเมืองโดยรอบนักเพราะต้องรีบจ้ำเท้าตามคนข้างหน้าไปอย่างรวดเร็ว
คนที่มากับพวกเขาก็สั่งให้เอาสัมภาระไปวางรวมไว้ที่ห้องโถงกลางของหอก่อนจะให้รุดหน้าต่อไปยังห้องโถงใหญ่ที่ใช้เป็นสถานที่รวมตัวกันของคนทั้งมหาลัย และไมเคิลก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าที่นี่ถูกแบ่งเขตระหว่างมหาวิทยาลัยกับมัธยมไว้อย่างชัดเจน
ไมเคิลหันมองนักเรียบรอบๆขณะที่ขาทั้งสองข้างก้าวยาวๆ เขาสังเกตเห็นว่านักเรียนส่วนใหญ่ในชุดยูนิฟอร์มของมหาลัยซึ่งเป็นสีขาวทั้งตัวพร้อมกับรองเท้าบู๊ทยาวครึ่งเขาสีดำสนิท ผิดกับนักเรียนอีกกลุ่มที่เป็นนักเรียนมาใหม่ซึ่งจะยังอยู่ในชุดไปรเวท
พวกเขาทั้งห้าถูกจัดให้นั่งอยู่บริเวณหน้าของห้องโถงที่มีเก้าอี้เรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ ไมเคิลสังเกตเห็นว่าในแต่ละชั้นปีถูกแบ่งออกอย่างชัดเจนจากการจัดวางเก้าอี้โดยทางฝั่งซ้ายสุดไล่มา ตรงที่เขานั่งเป็นของชั้นปี1แล้วไล่ไปทางขวาเป็นชั้นปี2 3 4ไปเรื่อยๆ
“เดี๋ยวพอพิธีเริ่มพวกเธออาจจะต้องขึ้นบนเวที” หญิงสาวคนเดิมย้อนกลับมาพร้อมกับบอกพวกเขาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไมเคิลสังเกตเห็นท่าทีแตกตื่นของเบียธิคก์หน่อยๆ “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ก็แค่ขึ้นไปยืนครู่เดียวเท่านั้นแหละ แล้วจะมีคนพูดเรื่องของพวกเธอเอง”
ไมเคิลมีเวลาหันมองไปรอบๆห้องโถงอย่างตื่นตาตื่นใจ เขาสังเกตเห็นชายวัยกลางคนในเครื่องแบบทหารเต็มยศก้าวเข้ามาในห้องโถงตรงไปที่เก้าอี้ตัวสวยที่ตั้งเด่นอยู่หน้าสุด เขารู้สึกถึงความภูมิฐานและมีอำนาจของอีกฝ่าย เขารู้สึกเหมือนอีกฝ่ายหันมาสบตาเขาแวบหนึ่งซึ่งเขารู้สึกขนลุกชันอย่างประหลาด แต่คิดอีกทีเขาคงไปเองนั่นแหละ
เขานั่งลงบนเก้าอี้ที่เหลือว่างอยู่ที่เดียวของตัวเอง พวกบรรดาอาจารย์คนอื่นๆทักทายเขาเล็กน้อยก่อนเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนแท่นสำหรับการกล่าวปราศัยจะเริ่มพูดเปิดงาน
อีกฝ่ายแนะนำตัวเองสั้นๆว่าเป็นประธานนักเรียนและอยู่ศึกษาอยู่ในปีที่4 ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่อยากฝากถึงเด็กใหม่ทุกคนสั้นๆแล้วกล่าวขอให้อธิการบดีสูงสุดคือ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดธอร์รอนกีล เกริค ขึ้นมากล่าวเปิดพิธี
ธอร์รอนกีลเป็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่ประเมินจากสายตาน่าจะอายุประมาณห้าสิบปลายๆ เขามีสายตาเฉียบคมและบรรยากาศรอบตัวที่ชวนให้ผู้คมรู้สึกเกรงขาม
ชายหนุ่มกล่าวต้อนรับนักเรียนเก่าที่หวนกลับมาจากการปิดเทอม เอ่ยทักทายนักเรียนใหม่และอธิบายวิสัยทัศน์ของโรงเรียนอย่างสั้นๆราวกับไม่อยากใช้เวลาบนเวทีนี้นานจนเกินไป
“...ในปีนี้ก็เช่นกัน เรามีนักศึกษาจากต่างเอกภพที่จะเข้ามาเรียนร่วมกับเรา” ธอร์รอนกีลกล่าว “ฉันรู้ดีว่านักศึกษากลุ่มนี้ไม่ใช่นักศึกษากลุ่มแรกที่ได้เข้ามาศึกษาที่มาร์กิออส ยูแห่งนี้
“อย่างไรก็ตาม พวกเขาได้เข้าเรียนที่นี่ด้วยทุนการศึกษาที่ทางกระทรวงศึกษาธิการและการพัฒนาศักยภาพได้รวมมือกับทางรัฐบาลของเอกภพ ไพ ไดแมนชั่น ซึ่งเป็นนักศึกษากลุ่มที่สามที่ได้รับทุนการศึกษานี้ และแน่นอน เพื่อให้ความสัมพันธ์ของโลกทั้งสองเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น ฉันคิดว่ามันคงเป็นการดีที่พวกเธอทุกคนจะปฎิบัติตัวดีกับพวกเขา เพราะหลังจากนี้ไป พวกเธอทั้งหมดจะถือเป็นนักเรียนในโรงเรียนเดียวกันแล้ว”
ไมเคิลได้ยินเสียงแฝงด้วยความไม่พอใจดังขึ้นเบาๆ เขาหันกลับไปมองตามต้นเสียง เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บริเวณด้านหลังเขาห่างไปเล็กน้อยในกลุ่มเด็กปี1เหมือนกัน เจ้าตัวมีเส้นผมสีแดงสด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มราวกับน้ำทะเลลึกสบเข้ากับตาเขาอย่างจัง และอีกฝ่ายก็เลิกคิ้วให้เขาก่อนจะมองด้วยสายตา…เหยียดหยาม
เด็กหนุ่มผมดำเลิกคิ้ว จนไคโตะสะกิดเขาให้ลุกออกจากเก้าอี้ เขาสาวเท้าตามคนอื่นๆออกไป ยืดตัวตรงขึ้นเมื่ออยู่บนกลางเวที อธิการบดีแนะนำชื่อของพวกเขาตามลำดับและเมื่อมาถึงชื่อสุดท้ายซึ่งก็คือชื่อเขา
"และนักเรียนทุนคนสุดท้ายคือ...ไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์"
ไมเคิลจึงโค้งตัวลงต่ำเล็กน้อยเพื่อทักทายเหมือนกับที่คนก่อนๆหน้าทำมา แต่ครั้งนี้… เขากลับรู้สึกถึงเสียงกระซิบที่ดังยิ่งกว่าตอนที่อธิการบดีธอร์รอนกีลประกาศเรื่องพวกเขาห้าคนเสียอีก
“อะไรนะ?!”
“ได้ยินนามสกุลเจ้าเด็กใหม่นั่นไหม!”
“หมอนั่นนามสกุลชไวน์สไตเกอร์ล่ะ!!”
เสียงดังเซ็งแซ่อื้ออึงไปทั่วห้องโถงใหญ่ จนอธิการบดีสูงสุดต้องกระแอม
“เอาละ” ชายหนุ่มพูดตัดบท “ถ้าอย่างนั้นก็ขอจบพิธีปฐมนิเทศลงแต่เพียงเท่านี้”
แล้วเขาก็เดินลงจากเวทีไป หลังจากนั้นเป็นประธานนักเรียนที่ขึ้นมาบอกให้นักเรียนทุกชั้นปีตรงกลับหอเลย
“เฮ้ พวกนาย หวัดดี ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะ? พร้อมจะไปที่หอกันเลยไหม?” ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาลดำและเรือนผมสีดำเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ด้านหลังของเขามีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ “ฉันชื่อเควิน ปีสาม เป็นนักเรียนทุนเหมือนกัน แล้วก็เป็นเหมือนประธานกลุ่มนักเรียนทุนเช่นกัน ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
คนข้างหลังที่เหลืออีกสี่คนพูดแนะนำตัวเองพอสังเขป คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่ปีสามเหมือนกับเควิน สองถึงสามคนอยู่ปีสอง ซึ่งในบรรดารุ่นพี่ทั้งห้าคนนี้ มีคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง
“เอาละ ฉันรู้ว่าพวกนายคงมีคำถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากมาย แต่ก่อนอื่นเรากลับไปที่หอของพวกนายกันก่อนเถอะ แล้วค่อยๆเดินคุยกันไปก็ได้ แล้วอีกอย่าง… ถึงยังไงหลังจากนี้พวกเราก็ตั้งใจจะอธิบายให้ฟังทุกเรื่องอยู่แล้ว!”
กลุ่มนักศึกษาที่มาจากไพ ไดแมนชั่นจึงเริ่มเดินออกมาจากตัวห้องโถงออกมาบริเวณด้านนอกกันเป็นกลุ่ม
“นาย ไมเคิล สินะ? ชไวน์สไตเกอร์เนี่ย นามสกุลจริงๆของนายใช่ไหม?” เควินถาม
“ครับ” ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องใช้นามสกุลปลอมนี่
“แล้ว… ชื่อกลางของนาย เมธัสน่ะ ชื่อไทย?”
“เสี้ยวน่ะครับ แม่ผมเป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมัน”
“อย่างนี้นี่เอง คือจริงๆแล้วฉันเป็นคนไทยน่ะ ดีจัง” พูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ “เออ ลืมบอกไป ชื่อไทยฉันคือกวินทร์ แต่เรียกเควินก็ได้”
“ครับ” ไมเคิลเรียกตอบรับ พวกเขาทั้งกลุ่มกำลังเดินผ่านลานกลางแจ้งซึ่งเป็นทางผ่านเพื่อไปที่หอของพวกเขา “เควิน นามสกุลผมมันมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่นามสกุลนายดันเหมือนกับประธานนักเรียนคนดังของฝั่งมัธยมน่ะ เมลิก ชไวน์สไตเกอร์ คนเขาเลยฮือฮากันยังไงล่ะ”
“คุณหมายถึงเมลิก?” ไมเคิลเลิกคิ้ว
“ใช่ อย่าบอกนะว่านายกับหมอนั่น…”
“หมอนั่นเป็นน้องชายของผมเอง ไม่คิดว่าหมอนั่นจะเป็นประธานนักเรียน”
“เมลิกนี่ใครกัน?” เบียธิกค์ถามขึ้นอย่างอยากรู้อยากเห็น
"น้องชายฉันน่ะ ไว้เจอกันแล้วจะแนะนำให้พวกนายรู้จักนะ"
"เฮ้ เควินๆ ดูดิ" รุ่นพี่ที่ชื่อว่าคริสหันมาสะกิดเควินพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือไปที่เด็กสาวคนหนึ่งที่มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มออกดำยาวจนถึงกลางหลัง แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนหันไปมองหล่อนด้วยความสนใจคือหน้ากากที่เจ้าตัวใส่เอาไว้ต่างหาก
"เด็กคนนั้น... ปีหนึ่งนี่?" เควินพูด สังเกตจากเสื้อผ้าที่ไม่ใช่เครื่องแบบของมหาลัย
"เออ ประหลาดชะมัดเลยแฮะ ทำไมต้องใส่หน้ากากเดินไปเดินมาด้วยวะ" เด็กหนุ่มอีกคนพูดด้วยท่าทีสนใจ "สงสัยอยากซ่อนใบหน้าสวยๆนั่นไว้ใต้หน้ากากละมั้ง"
"เพ้อเจ้อไปเรื่อยนะนาย" เควินส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะก้าวเท้านำคนอื่นๆไปต่อ ในขณะที่คนข้างหลังยังคงฝอยหาตะเข็บต่อไป
…
"เดี๋ยวพอเรากลับหอแล้ว พวกนายต้องเอาของไปเก็บที่ห้องก่อน” เควินเอ่ยขึ้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดเดินมาถึงหน้าหอแล้ว
“พวกนายต้องไปดูว่าได้อยู่ห้องไหน แล้วไปเซ็นชื่อเอาตราเข้าหอด้วย เสร็จแล้วพอเอาของไปเก็บพวกฉันจะอธิบายรายละเอียดต่างๆในแคมปัสให้ หอหญิงอยู่ฝั่งนี้ หอชายอยู่ฝั่งนี้ รีบไปรีบมาละ แล้วมาเจอกันตรงนี้”
ไมเคิลได้รับแผ่นหินบางๆขนาดเล็กกว่าฝ่ามือเล็กน้อย โดยที่ด้านในมีวงแหวนเวทสลักเอาไว้ คนที่ให้กุญแจเขามาบอกว่าพอทาบเจ้าแผ่นนี้ลงบนสัญลักษณ์ที่เหมือนกันข้างประตู ประตูก็จะเปิดออก รูปแบบเหมือนกันใช้ไอดีการ์ดเพื่อปลดล็อกประตูที่เอกภพของเขา เพียงแต่อันนี้ใช้เวทมนตร์แทน
หอด้านในมีห้องโถงใหญ่ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้วห้องนั่งเล่น ห้องครัว ห้องสมุดและทำงานเล็กๆรวมกัน
เขาลากกระเป๋าเข้าไปไว้ในห้อง มีเตียงสองชั้นสองหลังที่ติดอยู่คนละฝั่งของกำแพง มีโต๊ะตัวใหญ่พร้อมเก้าอี้สี่ตัวอยู่ถัดขึ้นไปอีกหน่อย สังเกตเห็นสัมภาระของเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่ถูกเอามาวางไว้ในห้องเรียบร้อยแล้ว
“ไปกันเถอะ ไมเคิล พวกรุ่นพี่รออยู่นะ” ไคโตะหันกลับมาเร่งเขาหลังจากที่เลือกมุมเตียงของตัวเองและวางของเสร็จเรียบร้อย คนถูกเรียกพยักหน้ารับ และทันทีที่ก้าวขาออกจากห้อง เขาก็พบเพื่อนร่วมห้องพอดี
เด็กหนุ่มผมแดงนัยน์ตาสีน้ำเงินคนนั้น ในมือของเขามีเครื่องแบบสีขาวหลายชุดที่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเพิ่งได้มา เมื่อคนทั้งสองเห็นหน้ากันต่างฝ่ายก็ต่างเบิกตาของตัวเองกว้างขึ้นอย่างตกตะลึง ก่อนจะลอบถอนหายใจ
“นาย!” คนผมแดงร้องขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “อย่าบอกนะว่านายเองก็อยู่ห้องนี้ ให้ตายเหอะ นี่ฉันต้องอยู่ห้องเดียวกับพวกที่มาจากไพจริงๆเหรอเนี่ย! ไม่อยากจะเชื่อเลย ซวยเป็นบ้า”
“ว่าไงนะ” คนมาจากไพขมวดคิ้วฉับ “เสียมารยาทจริงๆ”
“ไมเคิล ไปกันเถอะ” ไคโตะที่เดินนำเขาไปพอสมควรแล้วหันกลับมาเรียก นัยน์ตาสีดำหลังเลนส์แว่นฉายแววไม่พอใจ บ่งบอกว่าเขาเองก็ได้ยินสิ่งที่คนผมแดงพูดเช่นกัน แต่ไม่อยากจะใส่ใจ เด็กหนุ่มผมแดงมองพวกเขาทั้งสองด้วยสายตาไม่ชอบใจก่อนจะเดินกระแทกไหล่เขากลับเข้าห้องไป
“พวกบ้าๆน่ะ อย่าไปสนใจเลย” เด็กหนุ่มผมดำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่ไมเคิลจับความไม่พอใจในน้ำเสียงนั้นได้ “พวกใจแคบ ไม่ว่าไปที่ไหนก็มีอยู่จริงๆ”
พวกเขาสองคนเดินไปสมทบกับรุ่นพี่ทั้งห้าที่กำลังชวนคุยกันเรื่องวิชาเรียน พวกผู้หญิงอีกสามคนตามมาหลังจากนั้นไม่นาน จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็เริ่มก้าวออกจากหออีกครั้ง
“เดี๋ยวจะพาพวกนายไปซื้อเครื่องแบบก่อน แล้วก็… พวกหนังสือเรียนกับอุปกรณ์ที่จำเป็นไว้ค่อยรอซื้อหลังจากที่ทางมหาลัยส่งใบสิ่งของที่จำเป็นที่ต้องซื้อมาให้ทีหลังก็ได้ ไอ้ใบนั่นน่าจะส่งให้พวกนายวันพรุ่งนี้นั่นแหละ”
เควินพาคณะของเขาไปที่ยูเนี่ยน โดมก่อนเป็นที่แรก มันคือศูนย์รวมร้านค้าต่างๆทั้งร้านหนังสือ ร้านขายของสด ร้านขายยา ร้านที่ขายเครื่องแบบ พวกเขาแวะไปที่ร้านนี้ก่อนเป็นอันดับแรก วัดขนาดตัวและได้ชุดยูนิฟอร์มเป็นเสื้อแขนยาว คอปกตั้ง กางเกงขายาว ส่วนของผู้หญิงเลือกได้ทั้งแบบกางเกงและกระโปรง แล้วแต่ความถนัดของผู้สวมใส่
ร้านถัดไปเป็นร้านที่เหมือนร้านโชห่วยขายสากกะเบือยันเรือรบในไชน่าทาวน์ในบ้านเกิดเขาชะมัดยาด คือขายตั้งแต่ช้อนส้อมยันคทารูปร่างแปลกตา
“อันนี้ร้านขายเจมิไน เป็นอุปกรณ์สำหรับใช้เวทมนตร์… อธิบายให้เข้าใจยากเหมือนกันแฮะ เอาเป็นว่าถ้าพวกนายอยากใช้เวทมนตร์ในชีวิตประจำวัน พวกนายก็จำเป็นต้องใช้เจมิไนนี่แหละเป็นตัวเรียกเวทมนตร์ของพวกนาย ก็เป็นเหมือนสื่อกลางระหว่างตัวผู้ใช้เวทและคาถาน่ะนะ แต่ทางโรงเรียนน่าจะให้พวกนายคนละอันแล้วนะ ที่เป็นเข็มกลัดไง ตอนฉันมาปีแรกก็ได้อันนั้นมาใช้ก่อน แล้วพอฝึกแบบพื้นฐานจนชำนาญแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นอันที่ดีๆหน่อย”
ไมเคิลสังเกตเห็นว่าเจมิไนที่รุ่นพี่พูดถึงมีรูปร่างที่แตกต่างไปหลายแบบ ราวกับว่ามันสามารถอยู่ในรูปลักษณ์ใดก็ได้ ทั้งพวกประดับพวกสร้อยคอ กำไลข้อมือ แหวน ต่างหู หรือแม้แต่ของใช้ทั่วๆไปอย่างกระจก แว่นตา ช้อน ส้อม
ร้านถัดมาเป็นร้านขายอาวุธ จากที่เขามองผ่านๆ ในร้านนั้นมีขายทั้งดาบ มีด และแม้กระทั่งปืน
พวกเขาทั้งหมดเดินไปจนถึงบริเวณที่ห่างไกลจากตัวสิ่งก่อสร้างทั้งหลายแหล่มาพอสมควร สิ่งที่เห็นคือโดมสีขุ่นที่ใหญ่มหึมาจนน่าตกใจ
“เอาละ พื้นที่จากตรงนี้ไปจะเป็นพื้นที่สำหรับภาคปฎิบัติของนักเรียนทุกคน ที่มาร์กิออสน่ะ นอกจากหลักสูตรภาคทฤษฎีที่ต้องเรียนในห้องเรียนแล้ว พวกนายจะต้องมีหน่วยเป็นของตัวเอง แล้วหน่วยของพวกนายก็จะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าหน่วยของพวกนายมีความสามารถอยู่ในระดับไหน โดยที่ทางมหาลัยจะมีการจัดอันดับในแต่ละชั้นปีในทุกครั้งที่พวกนายลงสนาม แล้วก็… นอกจากจัดอันดับของหน่วยแล้วยังมีจัดอันดับแบบรายคนด้วยนะ สำหรับคนที่มีทักษะด้านปฎิบัติสูงๆหน่อยก็เลื่อนอันดับขึ้นไม่ยาก”
“ว่าแต่… หน่วยหนึ่งเนี่ย มีสมาชิกกี่คนเหรอครับ” ไคโตะเอ่ยถามอย่างสงสัย
“จำนวนสมาชิกขั้นต่ำคือ3คน สูงสุดคือ6คน แต่ส่วนมากแต่ละหน่วยก็มี5-6คนนั่นแหละ เพราะมีคนน้อยมันก็เสียเปรียบหน่วยอื่นเขา แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น ผลสุดท้ายทางมหาลัยก็เป็นคนคัดเลือกหน่วยให้อยู่ดีๆ ไม่มีสิทธิ์เลือกหรอก” เควินพูดกลั้วหัวเราะ “งั้นก็… ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ไปต่อกันเลยแล้วกันนะ”
อธิบายเสร็จสรรพ คนเป็นรุ่นพี่ก็เปิดประตูโดมเข้าไป ลมหนาวแสบกระดูกปะทะเข้ามา เสียงสายลมเสียดเข้าแก้วกูจนปวดหนึบ ไมเคิลแทบลืมตาไม่ขึ้นเพราะลมหนาวที่มาพร้อมๆกับพายุหิมะ ภาพที่เห็นตอนนี้ทั้งหมดเป็นเหมือนพวกเขาอยู่บนยอดเขาที่กำลังเผชิญกับพายุหิมะกระหน่ำไม่หยุด
“สนามพายุหิมะเหรอ” เควินตะโกนแข่งกับเสียงลมอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าบอกนะว่าวันนี้วันเทสต์สนาม ปกติแล้วมันน่าจะปิดอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“สงสัยจะเทสต์สนามว่ะ” คริสเอ่ยตอบด้วยสีหน้าเหยเก “จะยังไงก็ช่างเถอะ รีบไปจากตรงนี้กันก่อนดีกว่า”
หากทั้งกลุ่มยังไม่ทันได้ก้าวต่อไปไหน รอบๆตัวพวกเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง
กลิ่นหอมอ่อนๆของพันธ์พร้อมกับสายลมเอื่อยๆ แสงแดดอุ่นๆที่ส่งสว่างแทรกตามต้นไม้ใหญ่สีเขียวชะอุ่ม ทำให้รู้สึกสดชื่นไปด้วย
"อย่าเพิ่งตกใจไป" เห็นรุ่นน้องทำหน้าเหวอกันทุกคน เควินจึงอธิบาย "จะอธิบายให้ฟัง...ที่นี่คือ 'ไฟเตอร์ ฟิลด์ (fighter field)' เป็นที่ฝึกภาคปฏิบัติ ที่นี่ถูกจำลองเป็นสนามรบตามสภาพภูมิประเทศโดยเวทมนตร์ พวกนายคงรู้ใช่ไหมว่ามหาวิทยาลัยนี้คือมหาวิทยาลัยทหารเพราะฉะนั้นการฝึกซ้อมรบ ฝึกทหารเป็นเรื่องปกติ...การเป็นทหารนั่นหมายถึงพวกเราจะต้องปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์และไม่ว่าสภาพอากาศ ภูมิประเทศจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ต้องอยู่รอด อย่างเมื่อกี้ที่พวกนายเจอคือสนามรบเขตภูเขาน้ำแข็งและเขตป่าเขตร้อน" เควินเฉลย
“งั้นตอนฝึกปฏิบัติ ต้องเจอแบบนี้ตลอดใช่มั้ย?” ไมเคิลถาม แม้ยังจะขยาดกับสภาพอากาศสุดพิลึกเมื่อครู่
“คงต้องตอบว่าใช่” เควินยิ้ม “ในวิชาภาคปฏิบัติ ครูฝึกประจำหน่วยของนายจะเป็นคนกำหนด แต่ถ้าเป็นการฝึกนอกรอบด้วยตัวเองก็สามารถเลือกสนามฝึกได้”
“ไม่เห็นน่าสนุกเลย” หนึ่งในกลุ่มของไมเคิลพูด
“เดี๋ยวพวกนายก็จะชินกับมัน ไม่ต้องกังวลไปมากมายหรอก” เควินพูดสรุป “เอาละ ถ้าไม่มีคำถามอะไรแล้ว เราไปกันต่อเถอะ”
Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
ผู้แต่ง : Airin_and_Arpo
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 1: ไพ ไดแมนชั่น(? Dimension) | 05 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: เอกภพมากิอาร์ (Magiska) | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3: เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ | 15 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: เชน ชู และชมรมนาอีฟ (NA?VE) | 22 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: หญิงสาวใต้หน้ากาก | 29 มี.ค. 59 |





สวัสดีค่ะ
จังหวะดี อ่านง่าย ฉากต่อสู้น่าสนใจและปิดได้มีพลังดี
ว่าไปแล้ว แต่ละโซนของมากิอาร์นี่ใหญ่แค่ไหน เท่าประเทศในไพหรือเปล่า การแบ่งโซนเหมือนผ่านการจัดระบบมาแล้ว (อาจจะด้วยพลัง?) เพราะแยกแยะชัดเจน ที่ปลูกพืชก็ปลูกพืช น้ำก็ส่วนน้ำ เป็นการแยกที่เห็นการจงใจจัดระเบียบ หรือว่านี่คือส่วนเมือง ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติกว่านี้แยกออกไป (ทางนี้ก็คิดไปเรื่อยๆ)
หวังว่าจะได้อ่านตอนที่ 6 นุ :)
ลวิตร์