EN09 Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
จากเอกภพที่'ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์'อยู่ เอกภพ'มากิอาร์' ที่การใช้เวทย์มนตร์เป็นเรื่องปกติ เอกภพที่เขาใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ ในที่สุดทั้งสองเอกภพนี้ก็ได้เชื่อมเข้าหากันอย่างเป็นทางการแล้ว!
บทที่ 4: เชน ชู และชมรมนาอีฟ (NAïVE)
เชน ชู: สนใจเข้าชมรมไหมครับ?
“นี่มันเรื่องอะไรกัน” เสียงของชายวัยกลางคนซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการดูแลความสงบของเอ็มยูพูดขึ้นอย่างเหลืออด “แมคอาเธอร์ คุณกำลังจะบอกว่ามีอัศวินดำปรากฎตัวขึ้นในสนามระหว่างหน่วย27กำลังฝึกซ้อมโดยที่จับไม่ได้ว่าใครเป็นคนเรียกมันออกมาอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่แล้ว” อาเธอร์พูดขณะเอนหลังพิงเก้าอี้ “คุณพูดไม่ผิดสักข้อ” ท่าทางเอื่อยเฉื่อยของเจ้าตัวกระตุ้นต่อมของอีกฝ่ายเข้าให้
“คิดว่าตลกนักเหรอ” อีกฝ่ายขมวดคิ้วฉับ “คุณดูแลเด็กของคุณยังไงเนี่ย”
“ใจเย็นๆก่อนครับ ทุกคน ผมว่าเรามาหาคำตอบว่าใครเป็นคนเรียกอัศวินดำออกมาน่าจะดีกว่า” ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ในที่ประชุมด้วยว่า
“แต่มันก็น่าแปลกนะ อัศวินดำระดับนั้น ไม่น่าใช่ระดับที่นักเรียนจะเรียกออกมาได้เลย”
“ใครใช้ไฟท์เตอร์ ฟิลด์ในเวลานั้นบ้าง นอกจากหน่วยที่27” ชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่หัวโต๊ะถาม
“ปีหนึ่งมีหน่วยที่8, 12, 24, 38, 47 ปีสามหน่วยที่18, 42, 55 แล้วก็ปีสี่หน่วยที่5 ครับ”
“ปีสามกับปีสี่ มีใครที่ลงหลักสูตรมนตร์ดำรึเปล่า” คนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะถามต่อ
“ครับ มีเอวา เบิร์ก ปีสามหน่วยที่55 ลงหลักสูตรมนตร์ดำกับศาสตราจารย์โทมัสเป็นเทอมแรก”
“ไม่มีทางที่คนที่เพิ่งเรียนมนตร์ดำเป็นเทอมแรกจะเรียกอัศวินดำออกมาได้หรอก” หนึ่งในที่ประชุมแย้ง
“ไม่เป็นไร ลองเรียกหล่อนมาคุย” คนหัวโต๊ะหรือก็คืออธิการบดีว่า เขายกมือทั้งสองขึ้นมาประสานกัน นัยน์ตาฉายแววครุ่นคิด “แล้วผมขอรายชื่อทั้งหมดของทุกชั้นปี ทุกหน่วยที่ว่ามาหลังการประชุมนี้ด้วย”
...
“อย่างที่ได้เกริ่นไปเมื่อคาบเรียนที่แล้ว ตั้งแต่เอกภพไพ ไดแมนชันได้วิวัฒนาการเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมถึงขั้นสูงสุด ในที่สุดการต่อสู้กับธรรมชาติก็ได้มาถึงจุดที่สูงที่สุดแล้ว และแน่นอนว่า… ไม่มีอะไรจะเหนือไปกว่าธรรมชาติได้ แม้ว่าพวกเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม”
ไมเคิลกำลังเอนตัวพิงหลังกับพนักเก้าอี้ขณะฟังเลคเชอร์ นอกจากวิชาภาคปฏบัติและการฝึกซ้อมในสนามรบแล้ว วิชาว่าด้วยเรื่องสังคมและพลเรือนเบื้องต้นเหมือนจะเป็นวิชาที่เขาโปรดปรานมากที่สุดเพราะเนื้อหาค่อนข้างใกล้ตัว
“เมื่อทุกอย่างถึงขีดจำกัด ธรรมชาติก็ได้เรียกร้องทวงของของตัวเองคืน เกิดเหตุวิบัติขึ้นในแทบจะทุกประเทศทั่วทั้งไพ ภูมิอากาศที่เริ่มผันแปรไม่เป็นไปตามฤดูกาล ภัยธรรมชาติแผ่นดินไหว ฝนตก น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม เหตุการณ์เหล่านี้ แม้ว่าจะมีวิวัฒนาการที่ล้ำสมัยเพียงใดก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ผู้คนล้มตามเป็นจำนวนมาก...”
“จริงเหรอครับ” เอเดรียนก้มหน้าลงมากระซิบถาม ใบหน้าคมพยักหน้ารับ
“ใช่ แต่มันนานมากแล้วนะ” เรียกว่านานแบบเกือบพันปีก่อนได้เลยล่ะ
“...เมื่อเห็นว่าหากปล่อยไว้แบบนี้โลกไพ ไดแมนชั่นคงมีสภาพที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆเป็นแน่ รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงและการทหารแห่งมากิอาร์จึงได้เสนอแบบแผนที่มีชื่อว่า‘เซคริด จีโอเมทรี่ (sacred geometry)’ เพื่อรักษาสมดุลที่เอกภพไพ ไดแมนชันได้สูญเสียไปเมื่อนานมาแล้ว
“โดยที่แผนการนี้ ในระหว่างปีA.D.2000-2400 มีคนกลุ่มหนึ่ง เรียกได้ว่าจอมเวทย์แห่งยุคก็ว่าได้ช่วยกันบรรจุพลังเวทลงในวัตถุซึ่งมีรูปร่างแตกต่างกันไป ทั้งหมดรวม4ชิ้น พวกเขานำเซคริด จีโอเมทรี่หรือเซคริด ไปวางไว้ที่จตุรทิศ ทิศอุดร ทักษิณ บูรพา และประจิม เซคริดเหล่านั้นคอยปกปักษ์รักษาและช่วยนำความสมดุลของไพ ไดแมนชันกลับมาทีละน้อยๆ”
“ช่วง2000-2400” ไมเคิลเอ่ยพึมพำอย่างแปลกใจ “หมายความว่า เอกภพทั้งสองเชื่อมกันตั้งแต่ตอนนั้นแล้วอย่างนั้นเหรอ”
“ไม่ใช่แบบนั้นเฟ้ย เจ้าโง่” แมคเคย์นั่งขนาบเขาเอ่ยขึ้นอย่างเหลือทน “มากิอาร์น่ะ รับรู้ถึงการมีอยู่ของไพ ไดแมนชั่นมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้นานมากแล้ว แล้วก็รู้ด้วยว่าทั้งสองเอกภพนี้คอยรักษาสมดุลซึ่งกันและกัน เพราะงั้นปัญหาของไพ ไดแมนชันเลยถูกนับว่าเป็นปัญหาของมากิอาร์ไปด้วยไง”
“สมัยนั้นที่ยังไม่มีรถไฟโมโนเรล มีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นแหละครับที่ไปที่ไพ ไดแมนชั่นได้” เอเดรียนอธิบายเสริม “เพราะต้องอาศัยพลังเวทปริมาณมากเพื่อไปที่ไพ ไดแมนชั่นได้ คนที่ไปในยุคนั้นทุกคนก็ไปเพียงเพื่อเอาเซคริดอันนี้ไปวางตามจุดต่างๆที่ถูกระบุมาเท่านั้นแหละครับ”
“ไม่เคยรู้เรื่องแบบนี้มาก่อนเลย” คนที่อยู่ไพมาค่อนชีวิตพูดขึ้น
“ก็หัดอ่านหนังสือเสริมความรู้บ้างสิ” คนปากไม่รับประทานพูดขึ้น ไมเคิลกึ่งฉุนกึ่งขำ
“อย่างไรก็ตาม… ในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปี คนในไพก็เห็นว่าภัยพิบัติต่างๆแทบไม่เกิดขึ้นแล้วจึงได้นิ่งนอนใจ พวกเขายังคงพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือที่ล้ำสมัย วิวัฒนาการสูงชั้นที่สวนทางกับวิถีแห่งธรรมชาติ ไม่นาน เซคริดที่ถูกส่งไปที่ไพก็ไม่สามารถยับยั้งภัยพิบัติร้ายแรงที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเหล่านี้ได้ พูดให้ถูกก็คือตอนนี้พลังเวทย์ของเซคริดกำลังเสื่อมลง และอาจจะทนได้อีกไม่นาน กระทรวงความมั่นคงและทางการทหารกำลังยกเรื่องนี้เข้าที่ประชุมในรัฐสภา..."
"เฮ้อ คาบนี้น่าเบื่อชะมัด ไม่นึกว่าอาจารย์จะเอาเรื่องพื้นฐานแบบนี้มาสอน" เสียงบ่นดังขึ้นจากเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านหน้าพวกเขา "แต่อย่างว่าละนะ ท่านอธิการเป็นคนตระกูล‘เกริค'นี่นะ ผลงานชิ้นเอกของตระกูลก็ต้องสรรเสริญกันหน่อย"
"ชู่" เด็กหนุ่มอีกคนที่นั่งข้างๆยกนิ้วชี้ขึ้นจรดริมฝีปาก "เบาๆหน่อย เชน แล้วก็เงียบซักทีเถอะ ไม่เห็นเหรอว่านายกำลังรบกวนคนอื่นเขา"
"ท่านอธิการบดีมีส่วนในเรื่องนี้เหรอ" ไมเคิลถามออกไปด้วยความอยากรู้ล้วนๆ เรียกให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนหันกลับมามองทันที
คนที่นั่งบ่นเมื่อครู่เป็นเด็กหนุ่มที่มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มปนดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววขี้เล่น "นาย... อ้อ มาจากไพสินะ ถึงได้ไม่รู้เรื่องนี้" ก่อนลอบมองเข็มกลัดบนหน้าอกของไมเคิล "โว้ว ดูนายจะใช้งานเข็มกลัดนั่นซะคุ้มเลยนะนั่น"
เด็กหนุ่มยกมือแตะเจมิไนพังๆของตัวเอง
"คือว่า... ตระกูลเกริคน่ะ เป็นหนึ่งในคนที่เสนอแล้วก็ร่างแผนเซคริด จีโอเมทรี่นี่ขึ้นมายังไงละ แถมยังเป็นหนึ่งในคนที่สร้างมันขึ้นมาด้วยนะ แล้วตระกูลเกริคก็ทำหน้าที่ดูแลเซคริดนี่มานานแล้ว เพราะงั้น ฉันถึงได้บอกไงละว่า มันเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของตระกูลนี้" เด็กหนุ่มว่าหน้าตาระรื่นเพราะรู้สึกเหมือนได้อวดภูมิ
"แบบนี้น่ะเอง" ไมเคิลพยักหน้ารับพร้อมกับพูดขอบคุณอีกฝ่าย
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องเรียน ไมเคิลเจอเพื่อนจากไพทั้งสี่คนจับกลุ่มคุยเรื่องที่เพิ่งได้ฟังมาจากคาบเรียน เขาจึงพูดขอตัวจากเอเดรียนและแมคเคย์ก่อนเดินเข้าไปรวมกลุ่ม
“จำได้ว่าพวกเขาบอกว่าอยากให้คนในไพรู้ถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ เพราะถึงแม้วิวัฒนาการหรือการพัฒนาต่างๆจะมีประโยชน์แค่ไหน เรื่องที่ต้องดูแลสิ่งแวดล้อมก็ยังสำคัญมากกว่าก็เลยตัดสินใจเชื่อมเอกภพทั้งสองเข้าด้วยกัน” เบียร์ธิคก์ยิ้ม “แล้วก็ส่งพวกเรามาเป็นนักเรียนทุนเพื่อจะปลูกฝังค่านิยมพวกนั้นให้เราไง”
“เยี่ยมเลย กลับไปเราต้องก่อตั้งมูลนิธิพิทักษ์สิ่งแวดล้อมอะไรพวกนั้นด้วยไหม” ไคโตะพูดตลกหน้าตาย “ถ้านั่นคือวัตถุประสงค์ของพวกเขานะ”
ไมเคิลขอแยกตัวจากกลุ่มเพื่อนๆหลังจากคุยเสร็จ เด็กหนุ่มหยิบสมุดที่เขาใช้จดสิ่งต่างๆที่เขาต้องทำในแต่ละวัน หากอ้างอิงจากรุ่นพี่แล้ว ช่วงปีหนึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่รายงานการบ้านน้อยที่สุด จะหนักเรื่องการปรับตัวเสียมากกว่า ไมเคิลเห็นด้วย เพราะอาหารที่อยู่ในแคนทีนไม่ค่อยถูกปากเขาเท่าไร แต่ก็นั่นแหละ เขาคงต้องทำใจให้ชิน เพราะแม้มันจะแย่แค่ไหนก็คงดีกว่าให้เขาลงมือทำอาหารเองเป็นแน่
เรื่องหนักๆที่รองลงมาคือเรื่องการฝึกซ้อม เขามองตารางการฝึกซ้อมของหน่วย ยังไม่มากเท่าไร แต่คิดว่าหลังจากนี้อาจค่อยๆเพิ่มขึ้น
“สวัสดีครับ นี่เด็กใหม่รึเปล่า” ไมเคิลเงยหน้าขึ้นมองคนพูด ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งสวมเครื่องแบบเต็มยศ บนอกมีสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเจ้าตัวอยู่ปีสอง เขาส่งยิ้มให้อย่างเป็นมิตรจนไมเคิลลอบคิดว่าอีกครู่เดียวเขาคงได้ละลายไปกองกับพื้น จะยิ้มหวานอะไรขนาดนั้น
“ครับ” เด็กหนุ่มตอบรับ
“ตอนนี้กำลังมีการโปรโมทชมรมของทางมหาลัยอยู่ ตรงโถงของตึกกลาง ลองเข้าไปดูนะครับ” พูดพลางยื่นกระดาษที่เขียนรายละเอียดมาให้
...ชมรมเหรอ น่าสนใจ...
เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่มีธุระอะไรต่อ เด็กหนุ่มจึงไปตามสถานที่รุ่นพี่ยิ้มหวานบอก มีบูธหลายสิบบูธตั้งอยู่ที่โถงกลาง มีผู้คนเดินเข้าออกบูธต่างๆ ส่วนมากเป็นเด็กปีหนึ่ง ไมเคิลเดินดูไปเรื่อยๆ สำหรับเขาที่เหมือนมาอยู่ในโลกอีกใบ อะไรๆก็ดูน่าสนใจไปเสียหมด
“อ้าว นั่นนายคนจากไพนี่” เสียงนั้นฟังดูคุ้นๆ ไมเคิลหันกลับไปมอง เด็กหนุ่มคนที่นั่งอยู่ด้านหน้าเขาในคาบเรียนวิชาว่าด้วยเรื่องสังคมและพลเรือนเบื้องต้นนั่นเอง “กำลังหาชมรมอยู่เหรอ สนใจชมรมฉันไหม?”
“นาอีฟ(NAïVE)?” ไมเคิลอ่านชื่อชมรมที่เด่นหราอยู่หน้าบูธอย่างไม่แน่ใจ อีกฝ่ายพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับคลี่ยิ้มสดใสมาให้ แหม เขานี่ช่างเนื้อหอมในหมู่หนุ่มๆเสียจริง “แล้วชมรมนายทำอะไรบ้างล่ะ”
“นายรู้จักอีฟไหม” เด็กหนุ่มเจ้าของยิ้มสดใสถามกลับ “เอ่อ ลืมไป ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ฉันชื่อเชน ชู อยู่ปีหนึ่ง”
“ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์ ปีหนึ่งเหมือนกัน” ทั้งสองคนจับมือกัน ธรรมเนียมปฎิบัติของที่นี่กับที่ไพไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก “อยู่ปีหนึ่งก็ตั้งชมรมได้แล้วเหรอ”
“เล่นเอาหืดขึ้นคอไปเหมือนกัน” เชนยังคงยิ้มอยู่ “แต่สมาชิกก็ยังน้อยอยู่ สมใจจะเข้าชมรมใหม่เอี่ยมของฉันรึเปล่าล่ะ”
“ฉันไม่รู้จักอีฟ มันคืออะไร”
“อีฟเป็นเหมือน… ‘เวทยโนโลยี’ น่ะ เป็นการการเอาเทคโนโลยีจากไพและเวทมนตร์ของมากิอาร์มารวมกัน ยิ่งนายเป็นคนที่มาจากไพด้วยแล้ว ฉันว่านายน่าจะชอบนะ”
เอาเทคโนโลยีมาผสมเข้ากับเวทมนตร์เหรอ?
“แล้วอีฟนี่จะช่วยอะไรฉันได้บ้างล่ะ” ไมเคิลถามต่อ
“อย่างเช่น” เชนลูบคางอย่างครุ่นคิด “นายสามารถประเมินค่าพลังเวทของตัวเองมาเป็นตัวเลขได้ นายสามารถปรับไอเวทของนายได้ ไม่ใช่ว่ามันจะทำได้ง่ายนักหรอกนะ แต่ถ้าทำได้ มันก็จะเป็นประโยชน์ในการต่อสู้ไม่น้อยเลยล่ะ”
“หืม ฟังดูซับซ้อนจังนะ” ไมเคิลยังไม่คล้อยตามง่ายๆ แม้จะรู้สึกว่ามันน่าสนใจไม่น้อยก็ตาม “ถ้าฉันอยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ในสนาม ฉันเข้าชมรมการต่อสู้หรือชมรมฝึกยิงปืนอะไรนั่นไม่ดีกว่าเหรอ ไม่เห็นต้องใช้วิธีอ้อมอย่างที่นายว่าเลย”
“ที่นายพูดแบบนี้เพราะว่านายยังไม่รู้ความสุดยอดของอีฟ” คนเป็นหัวหน้าชมรมยังไม่ยอมแพ้ “ถ้านายทำอีฟของนายให้เจ๋งล่ะก็… นายจะเห็นได้แม้กระทั่งค่าพลังเวทของคนอื่น”
“ฟังดูโกงชะมัด” ปากว่า แต่เห็นได้ชัดว่าเริ่มคล้อยตามแล้ว “แต่ก็หมายความว่าคนอื่นก็เห็นค่าพลังเวทของฉันได้ด้วยเหมือนกันสิ”
“คนอื่นที่นายว่าต้องใช้อีฟ” เชนว่า “ซึ่งเอาจริงๆนะ ไม่ค่อยมีหรอก ทุกคนคิดว่ามันยุ่งยากเกินไป”
“ชมรมนายมีวันไหนบ้าง”
ระหว่างที่เชนกำลังแจกแจงรายละเอียด เด็กสาวอีกคนก็ก้าวเข้ามาในบูธ หล่อนคือหญิงสาวประหลาดที่ไมเคิลค่อนไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง ใบหน้าถูกปิดด้วยหน้ากากสีขาว เห็นแล้วชวนให้นึกถึงการ์ตูนที่ญี่ปุ่นที่เขาเคยดูตอนเด็กๆ ต้องมีซักตัวละน่าที่ทำตัวเป็นฮีโร่แต่ไม่อยากให้คนอื่นรู้เลยใส่หน้ากาก เพียงแต่หน้ากากในการ์ตูนอาจจะฉูดฉาดกว่าที่เจ้าหล่อนใส่อยู่ก็เท่านั้นเอง
“กำลังจะออกไปกู้โลกอยู่เหรอ” ไมเคิลยิ้มมุมปาก เด็กสาวสวมหน้ากากหันมามอง
“สวัสดี”
“มัวเซย์ นี่ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์ คนจากไพ” เชนรีบแนะนำก่อนที่ทั้งสองจะปะทะฝีปากกัน “ไมเคิล นี่มัวเซย์ เกริค รองประธานชมรมแล้วก็เป็นลูกสาวท่านอธิการบดีด้วย”
ไมเคิลเบิกตากว้าง มองอีกฝ่ายอย่างพิจารณามากขึ้น มัวเซย์มีเส้นผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำยาวเลยกลางหลังไป และนั่นเป็นส่วนที่มีเสน่ห์ที่สุดของหล่อน ก็นะ เขาไม่เห็นหน้าของหล่อนนี่
“ยินดีที่ได้รู้จัก” ทั้งสองคนจับมือกันพอเป็นพิธี
“นายต้องบอกด้วยเหรอว่าฉันเป็นลูกของใคร” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่เห็นเป็นไร ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้น” เชนยักไหล่
“นั่นแหละคือเหตุผลที่ว่าทำไมนายถึงไม่ควรบอก”
“บอกก็ดีแล้ว ก็ฉันไม่รู้นี่” ไมเคิลว่า รู้สึกประหลาดใจที่ลูกสาวของท่านอธิการที่ดูน่าเกรงขามจะดูเป็นคน เอ่อ เพี้ยนๆ เขาหมายถึง… คนปกติดีที่ไหนจะใส่หน้ากากในที่สาธารณะกัน?
“คนจากไพนี่ทึ่มเหมือนนายทุกคนรึเปล่าเนี่ย?”
“ขอโทษเถอะ ฉันเคยได้ยินแต่คำว่าเหยียดเชื้อชาติ กรณีฉันควรจะใช้คำว่าอะไรดี เหยียดเอกภพดีไหม?”
มัวเซย์หันกลับไปมองเชน
“นี่นายจะเอาคนแบบนี้เข้าชมรมเราจริงๆเหรอ”
ผลสุดท้าย ไมเคิลก็ได้ใบปลิวของชมรมนาอีฟ ชมรมยิงปืนและชมรมการต่อสู้มา สองชมรมหลังเป็นชมรมใหญ่ และจะเข้าร่วมกิจกรรมเมื่อไหร่ก็ได้ ไมเคิลคิดว่าตัวเองอาจได้ไปใช้บริการเป็นครั้งคราว
เมื่อตอนที่อยู่ไพ ไมเคิลเล่นเทควันโดและยูโดอย่างต่อเนื่อง นั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงมีร่างกายที่กำยำและแข็งแรง ชายหนุ่มมีงานอดิเรกหลายอย่าง นอกจากศิลปะการต่อสู้ที่ว่ามาและการเขียนโปรแกรมซึ่งเป็นเมเจอร์ของเขาในชั้นม.ปลายแล้ว ไมเคิลยังเล่นเปียโนอีกด้วย ดีกรีรองชนะเลิศอันดับที่หนึ่ง และคนที่อันดับหนึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเมลิก
ไมเคิลเห็นชมรมดนตรีอยู่ผ่านตาเหมือนกัน แต่เขายังไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ ไมเคิลไม่ได้แตะเปียโนมานานพอสมควร ไว้ถ้ามีโอกาสอาจจะแว้บไปที่ห้องดนตรีแล้วปัดฝุ่นซักครั้ง แต่ตอนนี้เขาอยากทุ่มเทให้กับเรื่องหน่วยของตัวเองมากกว่า
ไมเคิลชวนสมาชิกในหน่วยของเขาไปซ้อมที่ไฟเตอร์ฟิลด์ในเวลาว่าง แมคเคย์เป็นคนที่กระตือรือร้นกับการซ้อมมากที่สุด เอเดรียนมาบ้างไม่มาบ้าง คนที่โผล่หน้ามาน้อยสุดคือสกาเลต หญิงสาวอ้างว่าหล่อนมีธุระต้องทำมากมาย ไมเคิลไม่เชื่อคำอ้างของหล่อนแต่เขาก็ไม่พูดอะไรเพราะการซ้อมพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทางโรงเรียนบังคับ พวกเขามีตารางซ้อมภายในหน่วยที่ทางโรงเรียนบังคับมาอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวคนเดียวในทีมคงไม่อินกับเรื่องของหน่วยเท่าไร
ในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่กำลังซ้อมอยู่กับแมคเคย์เพียงสองคน เวทของไมเคิลก็เริ่มออกมาในรูปแบบแปลกประหลาด เอาจริงๆหลังจากที่เข็มกลัดของเขาร้าว เวทของเขาก็ออกมาไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไรนัก แต่ครั้งนี้ขณะที่เขาเหวี่ยงแขนจะฟาดที่ใบหน้าของอีกฝ่ายโดยใช้เวทลมผสานเข้ากับแขนของตัวเอง แทนที่มันจะทำให้หมัดเขาหนักขึ้นอย่างที่คนผมแดงว่าหมัดของเขากลับเรียกน้ำออกมาเสียอย่างนั้น ส่งผลให้ใบหน้าของแมคเคย์ที่รับแรงกระแทกจากหมัดนั้นเปียกโชกไปหมด
“ไปหาเจมิไนอันใหม่มาใช้ซะ” คนผมแดงยื่นคำขาด
ตอนที่เขาและแมคเคย์ที่ผมเผ้ายังเปียกแฉะกลับมายังไม่มีใครกลับห้อง แมคเคย์หยิบข้าวของเพื่อเตรียมไปอาบน้ำ ไมเคิลลงมือเขียนจดหมายถึงแม่ซึ่งเป็นวิธีการติดต่อสื่อสารเพียงวิธีเดียวระหว่างไพและมากิอาร์
“ไมเคิล” แมคเคย์ว่าขณะค้นเสื้อผ้าในตู้ของตัวเอง “ส่งผ้าขนหนูที่อยู่บนเตียงให้ที”
เด็กหนุ่มผมดำวาดมือขึ้นบนอากาศ ช่วงนี้เขากำลังฝึกใช้เวทจุกจิกให้คล่องอยู่ แต่คนทั้งคู่ลืมนึกไปว่าเจมิไนของไมเคิลอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที เมื่อผ้าขนหนูผืนนั้นลอยไปหาแมคเคย์ น้ำอีกโครมใหญ่ก็สาดเข้ากับหน้าของอีกฝ่าย ทั้งห้องเงียบสงัดไปพักหนึ่ง
“อืม…” ไมเคิลพูดขึ้นมาก่อน “ได้อาบน้ำสมใจพอดีเลย”
“ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียว ไปหาเจมิไนอันใหม่มาใช้ซะ!” แมคเคย์พูดด้วยสีหน้าที่ใกล้หมดความอดทนเต็มที “แล้วก็หาผ้ามาเช็ดพื้นด้วย”
…
วันรุ่งขึ้น ไมเคิลแวะไปที่ยูเนี่ยน โดมแต่เช้าเพื่อหาเจมิไนอันใหม่มาใช้ ไม่อยากเชื่อว่าเจมิไนที่เขาได้มาจากทางโรงเรียนจะพังเร็วขนาดนี้ แต่ก็นั่นแหละ จะเอาอะไรมากกับของฟรี
เขาเดินเข้าไปในร้านขายเจมิไน พนักงานสาวสวยกล่าวต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น ไมเคิลยิ้มให้หล่อน หล่อนยิ้มตอบกลับมา
ไมเคิลเดินดูไปเรื่อยๆก่อนจะมาจบที่แผนกเจมิไนแบบเครื่องประดับ จนมาเจอเจมิไนรูปแบบแหวนวงหนึ่งที่แตะตา
“รุ่นนี้เพิ่งมาใหม่เลยนะคะ ขนาดจะถูกปรับเปลี่ยนตามนิ้วของคนที่สวมเลยค่ะ ไม่หลุดง่าย จะถอดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าของต้องการถอดเท่านั้น” พนักงานขายอธิบายอย่างฉะฉาน ไมเคิลพยักหน้ารับและพิสูจน์สิ่งที่อีกฝ่ายบอกทันที
แหวนสีเงินเกลี้ยงที่ดูยังไงก็มีขนาดใหญ่กว่าข้อนิ้วของไมเคิลถูกสวมเข้าไปอย่างง่ายดาย ก่อนที่มันจะหมุนติ้วตรงข้อนิ้วเขาเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นขนาดที่พอดีกับเขาในที่สุด คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างถูกใจ
เด็กหนุ่มหันไปถามราคากับคนขายก่อนจะเบิกตากว้างกับราคาที่เขาน่าจะใช้เงินจำนวนนั้นเก็บเป็นเบี้ยเลี้ยงได้ทั้งเดือน
“มันเป็นรุ่นเพิ่งมาใหม่น่ะค่ะ ราคาเลยสูงหน่อย” พนักงานขายอธิบาย
เอาเถอะ ถ้าจะได้ใช้ในระยะยาวละก็…
ผลสุดท้ายเขาก็ควักเงินจ่ายเป็นค่าเจมิไนไปจนได้ ระหว่างที่เดินออกมานอกร้านไมเคิลได้ยินเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาหันไปมองตาม กลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ของเขาจากไพนั่นเอง
“อ้าว หวัดดีทุกคน มาทำไรกันเนี่ย” ในกลุ่มนั้นมีเควิน คริส และเพื่อนรุ่นเดียวกับเขาอีกสี่คน
“กินข้าวน่ะ แล้วก็ถามเรื่องวิชาเรียนจากพวกพี่ๆ” เบียร์ธิคก์เป็นคนตอบ
ระหว่างที่พวกเขาทั้งหมดกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่หอไมเคิลก็สังเกตเห็นนักเรียนมัธยมกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินสวนมา หนึ่งในนั้นหยุดบทสนทนากับเพื่อนข้างตัว หันมามองหน้ารุ่นพี่เขาคนอื่นๆ เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองพวกเขาทั้งหมดด้วยสายตาเหยียดๆ
“อ้าว พวกนาย มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย จำทางกลับหอของตัวเองไม่ได้รึไง”
“หวัดดี ดีน พวกฉันจำทางกลับหอของตัวเองได้แน่นอน ไม่ต้องห่วง” เควินพูดดักขึ้นมาก่อน เร็วกว่าคริสโตเฟอร์ที่เริ่มอ้าปากเตรียมจะด่าอีกฝ่ายอย่างฉิวเฉียด “แล้วก็… ช่วยรักษามารยาทหน่อย ถึงยังไง พวกเราทั้งหมดที่นี่ก็ถือเป็นรุ่นพี่นายนะ”
“รุ่นพี่เหรอ หึ” สายตานั้นไล่มองดูพวกเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “พวกไร้เวทอย่างพวกแกน่ะเหรอจะมาเป็นรุ่นพี่พวกฉัน ฉันว่าพวกนายไม่ได้แค่หลงทางกลับหออย่างเดียวมั้ง น่าจะหลงทางมาอยู่ผิดเอกภพด้วย ไม่รู้รึไงว่าที่นี่ มันที่สำหรับคนที่ใช้เวทมนตร์ได้เท่านั้น!”
“ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ!” เบียธิคก์ตะโกนขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“เบียธิคก์ ใจเย็นก่อน” เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างเธอรีบดึงแขนเพื่อกันไม่ให้เจ้าหล่อนทำอะไรหุนหัน
พวกรุ่นพี่รู้ดีทะเลาะกับพวกนี้ไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา แต่ว่าน้องที่มาใหม่อาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้เผลอทำอะไรไม่เข้าท่าขึ้นมาละก็ พวกเขาจะยิ่งถูกเพ่งเล็งเพราะเป็นเด็กทุนและเด็กจากต่างเอกภพ
“โว้ว… ใจเย็นก่อน ทุกคน ใจเย็น” เควินที่มีความเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในบรรดาทุกคนรีบพูดขึ้น เพราะทางฝั่งที่เข้ามาหาเรื่องพวกเขาก็เริ่มตั้งท่าจะเอาเรื่องแล้วเหมือนกัน “ไม่เอาน่า ดีน นายเองก็ขึ้นมัธยมปีสุดท้ายแล้วนะ อย่าทำตัวเป็นเด็กหน่อยเลยน่า”
“เขาไม่ควรพูดแบบนั้น!” เบียธิคก์ตะโกนแทรก ดูท่าจะไม่ยอมลดราวาศอกง่ายๆ “ถอนคำพูดเดี๋ยวนี้!”
“ทำไมฉันต้อง…!”
“นี่ เบียธิคก์ ดีน หยุดเดี๋ยวนี้เลย เบียธิคก์ ช่วยใจเย็นลงหน่อยเถอะ ดีน นายเองก็ควรจะขอโทษพวกเราซะ นายเองก็รู้ดีว่านายไม่ควรกล่าวหาใครว่าเป็นพวกไร้เวท… นายเองก็รู้เรื่องนี้ดี”
“ทำไมฉันต้องฟังคำสั่งของนายด้วย” อีกฝ่ายเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี ชวนให้ไมเคิลอยากจะเหวี่ยงหมัดหนักๆลงบนใบหน้านั่นนัก “ฉันไม่ใช่พวกคนไร้เวทที่มาจากพวกไพเหมือนพวกของนายนะ! ฉันไม่มีความจำเป็นอะไรต้องฟังคำสั่งของนาย”
“มันจะมากเกินไปแล้วนะ”คริสโตเฟอร์พูดขึ้นอย่างเหลืออด
“จะเอาหรือไง!” สิ้นคำพูด ดีนก็ยกแขนขึ้นมาหนึ่งข้าง ไมเคิลรู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รุ่นพี่ทุกคนขยับตัวอย่างรวดเร็วเมื่ออีกฝ่ายเริ่มแผ่ไอเวทออกมา
“พอได้แล้ว!” เควินที่ใจเย็นมานานตะโกนขึ้นอย่างเหลืออด “ลดมือของนายลงเดี๋ยวนี้ ดีน อย่าหาว่าฉันไม่เตือน”
“ฉันไม่ฟังคำสั่งของนาย!”
“เฮ้ ไม่เอาน่า” คริสโตเฟอร์พูดขึ้นมาบ้าง ใบหน้าที่ดูดีมาตลอดจนถึงเมื่อครู่ยับยู่ยี่ด้วยความไม่พอใจ “การต่อสู้กันเองโดยพลการน่ะ มันผิดกฎโรงเรียนนะ อยากโดนทำโทษอีกหรือไง”
“ตรงนี้เอะอะอะไรกัน” เสียงของใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา ผู้คนรอบๆแหวกทางเพื่อให้ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาได้อย่างสะดวก
ไมเคิลเบิกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามาใหม่เป็นใคร
เมลิก ชไวน์สไตเกอร์… น้องชายที่เขาไม่ได้เจอมากว่าสามปีแล้วนั่นเอง
“อ้าว หวัดดีครับ ท่านประธานแห่งฝั่งมัธยม” เควินยิ้ม โบกมือให้อีกฝ่ายที่ยังทำสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม
“ดีน เก็บมือกลับมาได้แล้ว ใช้เวทมนตร์ต่อสู้นอกสนามประลองน่ะมันผิดกฎนะ” เขาว่า ดีนยอมชักมือกลับอย่างไม่สบอารมณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะตราสัญลักษณ์ประธานนักเรียนที่อีกฝ่ายมีละก็… เขาคงไม่ยอมรามือง่ายๆแน่
“ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้เดือดร้อน” เมลิกพูดน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนเจ้าตัวจะชะงักไปนิดหน่อยเมื่อมองมาที่ไมเคิล แน่ละ เขาเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน คือไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดยังไง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราแยกย้ายกันดีกว่า” เควินยกมือขึ้นประกบกันเรียกความสนใจจากกลุ่มรุ่นน้องของเขา “ไปกันเถอะ บอกว่าจะให้พี่ช่วยดูการบ้านให้ไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวจะเย็นไปซะก่อน”
ไมเคิลยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นขณะที่ผู้คนรอบตัวค่อยๆผละจากไป แน่ล่ะ ก็ดราม่าตรงหน้ามันจบลงไปแล้วนี่ ไม่มีอะไรน่าสนุกเหลือให้ดูแล้ว
แต่สำหรับไมเคิลแล้ว ดราม่ามันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นต่างหาก
“หวัดดี เมลิก”
“สวัสดีครับ” อีกฝ่ายพูดตอบด้วยสีหน้าที่พยายามบังคับให้เหมือนเดิม “พี่มาถึงที่นี่ซักพักแล้วสินะ ขอโทษที่ไม่ได้มาทักทายเลย”
“ไม่เป็นไรหรอก นายคงยุ่ง” ไมเคิลว่า ยังรู้สึกตั้งตัวไม่ทันที่ได้เจออีกฝ่าย
ไมเคิลพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของน้องชาย เมลิกที่เคยตัวเตี้ยกว่าเขาเกือบเท่าหนึ่งบัดนี้สูงกว่าตัวเขาเสียอีก ไมเคิลไม่คิดว่าความสูง178เซนติเมตรของตัวเองเตี้ย แต่นั่นก็สิ้นสุดลงเมื่อหนึ่งนาทีก่อน นี่น้องชายของเขาสูงล้ำหน้าเขาไปแล้วเหรอเนี่ย
“นายสูงเท่าไรแล้ว” เขากลั้นใจถาม เมลิกเลิกคิ้ว
“โห นี่เหรอ คำถามแรกที่มีให้น้องชายที่ไม่ได้เจอกันมาสามปี” คนเป็นน้องว่า “ที่วัดล่าสุดคือ 187”
“นายสบายดีหรือเปล่า” ไมเคิลเปลี่ยนคำถาม
จะว่าไปแล้วก็แปลกดีที่ก่อนเขามาที่มากิอาร์ เขามีเรื่องมากมายที่อยากคุยกับเมลิก แต่พอเจอจริงๆกลับนึกอะไรไม่ออกซะอย่างนั้น
“ก็ดีครับ” เมลิกตอบก่อนจะนิ่งไปนิด ขณะที่ไมเคิลกำลังจะอ้าปาก ชวนคุยต่อ เด็กหนุ่มก็พูดขึ้นมาเสียก่อน “หลังจากนี้พี่มีธุระอะไรรึเปล่า”
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ” เขาว่า
“ถ้าอย่างนั้น… มากับผมไหมครับ เดี๋ยวผมจะพาทัวร์ ถือซะว่าชดเชยที่ผมไม่ได้ไปรับพี่วันแรก”
ผู้แต่ง : Airin_and_Arpo
ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
1 | บทที่ 1: ไพ ไดแมนชั่น(? Dimension) | 05 ก.พ. 59 |
2 | บทที่ 2: เอกภพมากิอาร์ (Magiska) | 08 มี.ค. 59 |
3 | บทที่ 3: เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ | 15 มี.ค. 59 |
4 | บทที่ 4: เชน ชู และชมรมนาอีฟ (NA?VE) | 22 มี.ค. 59 |
5 | บทที่ 5: หญิงสาวใต้หน้ากาก | 29 มี.ค. 59 |
สวัสดีค่ะ
จังหวะดี อ่านง่าย ฉากต่อสู้น่าสนใจและปิดได้มีพลังดี
ว่าไปแล้ว แต่ละโซนของมากิอาร์นี่ใหญ่แค่ไหน เท่าประเทศในไพหรือเปล่า การแบ่งโซนเหมือนผ่านการจัดระบบมาแล้ว (อาจจะด้วยพลัง?) เพราะแยกแยะชัดเจน ที่ปลูกพืชก็ปลูกพืช น้ำก็ส่วนน้ำ เป็นการแยกที่เห็นการจงใจจัดระเบียบ หรือว่านี่คือส่วนเมือง ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติกว่านี้แยกออกไป (ทางนี้ก็คิดไปเรื่อยๆ)
หวังว่าจะได้อ่านตอนที่ 6 นุ :)
ลวิตร์