EN18 MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?

กฎเหล็กของมาสคอตสามข้อ: ห้ามคุย, ห้ามถอด, ห้ามงอแง คุณเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังหัวการ์ตูนสุดน่ารักเหล่านั้น เขาคือใครกันแน่ คำตอบน่ะหรือ...ผีที่มีชีวิตยังไงล่ะ

ผู้แต่ง

Patra Fujiyama

0%

ตอนที่ 2/5 : บทที่ 2: Gluggave?ur อากาศภายนอก

MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา

บทที่ 2 Gluggaveður อากาศภายนอก

Gluggaveður= อากาศที่เมื่อมองผ่านหน้าต่างแลดูอบอุ่นแต่กลับหนาวเย็นเมื่อได้สัมผัส

แล้วโลกนอกหน้าต่าง...มันจะเป็นแบบนั้นไหมนะ

 

         หนาว หนาว หนาว” ร่างเล็กในชุดกระโปรงแขนกุดสีแดงสั่นเทาไปตามอุณหภูมิของโอกินาวาเดือนธันวาคม เพราะตึกเรียนที่หันหน้าเข้าหามหาสมุทรแปซิฟิคด้วยกระมัง ลมเย็นๆจึงหอบไอทะเลชื้นๆขึ้นโถมใส่ร่างเล็กเต็มๆ มะลิตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกที่เหมือนสิบสี่องศาแปรเปลี่ยนเป็นสี่องศาทันตา

ไม่น่าตะกละเลยเรา...

มะลิในวัยสิบสองปีตำหนิตัวเองในใจ เด็กหญิงถูกสั่งให้ออกมายืนหน้าห้องเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงหลังถูกจับได้ว่าแอบทานผัดมะระในห้องเรียน

ใช่แล้ว! ผัดมะระ!

ย้อนไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว ในคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังพักเที่ยง กำแพงที่แข็งแกร่งที่สุดในมนุษยชาติถูกสร้างขึ้นจากหนังสือเรียนเล่มหนาสีม่วงบนโต๊ะ ข้างหลังมัน มะลิก้มหน้าก้มตาโซ้ยผัดมะระของร้านอารากากิเจ้าประจำหน้าโรงเรียนราวกับกำลังแข่งกินจุ กลิ่นหอมฉุยของโชยุและมิโสะแสนกลมกล่อมก่อเกิดการขับร้องประสานเสียงของกระเพาะน้อยใหญ่จากเพื่อนร่วมห้องอีกยี่สิบชีวิต พวกเขามองโต๊ะหลังห้องตาไม่กระพริบแต่ก็ไม่ลืมที่จะเช็ดน้ำลายที่มุมปากของตัวเอง และแล้วกำแพงของเธอก็ถูกพังครืนด้วยน้ำมือของครูสาวหน้ายักษ์ที่ผิดสังเกตปรากฏการณ์หลังห้อง คนถูกจับได้หน้าเหวอ ชิ้นมะระสีเขียวที่ครึ่งหนึ่งเข้าไปอยู่ในปากเธอตกใส่พื้นโต๊ะดังแหมะ

“นอกห้อง ครึ่งชั่วโมง!

และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องออกมายืนตากลมนอกห้องเรียนเช่นนี้ แต่ที่แย่กว่านั้นคือเธอลืมหยิบเสื้อหนาวออกมาน่ะสิ... ถ้ามองจากในห้อง แสงแดดแรงๆของเกาะใต้สุดของญี่ปุ่นทำให้เธอคาดคะเนว่าอุณหภูมิน่าจะประมาณยี่สิบองศา...แต่ผิดคาด เมื่อพบว่าอากาศภายนอกนั้นหนาวเฉียดสิบองศา เด็กหญิงก็ตัดสินใจเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายด้วยการกระโดดตบ

หนึ่ง...สอง...สาม...

Gluggaveður สินะ” เสียงของใครบางคนทำให้ร่างผอมเล็กสะดุ้ง บนระเบียงคอนกรีตพิมพ์ลายไม้สีน้ำตาลอ่อน เด็กชายคนหนึ่งกำลังยืนกางแขนท่าหุ่นไล่กาหน้าห้องเรียนข้างๆ

“อะไรนะ” ทว่ามะลิไม่ได้ใส่ใจกับคำศัพท์แปลกๆนั่น เธอสนใจรูปลักษณ์ของเขาเสียมากกว่า...

เรือนผมสีเทาหยักศกที่เมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีทองนวลตา ผิวขาวดุจหิมะแรกของฮอกไกโด...ไม่สิ หิมะแรกยังบรรยายสีผิวของเขาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเขาขาวจนกลืนไปกับกำแพงตึกเลยน่ะสิ!

โอไรออนเผือกอย่างนั้นหรือ

ในภาษาไอซ์แลนด์ อากาศที่มองผ่านหน้าต่างแล้วดูอบอุ่นแต่กลับหนาวเย็นเมื่อได้สัมผัสเรียกว่า Gluggaveður น่ะ” คำอธิบายเย็นๆไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวของเด็กหญิงเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอเกิดและโตในเมืองเล็กๆทำให้เธอไม่เคยเห็นคนเผือกมาก่อน เธอกวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแต่ก็สะดุดเข้ากับรอยสักที่ต้นคอ

 XXX0051

ดูเหมือนเด็กชายเองก็รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง มือขาวยกขึ้นลูบต้นคอตัวเอง

          “เราเกิดที่เรคยาวิกน่ะ”

          “เรคยาวิก” มะลิทวนเสียงสูง ในแพนเอเชียมีเมืองชื่อนี้ด้วยหรือ

          “เมืองหลวงของไอซ์แลนด์น่ะ แม่เราเป็นคนที่นั่น” เด็กชายเอียงคอแล้วมอบรอยยิ้มให้เธออีกรอบ “พอดีพ่อเราเป็นโอไรออนที่ถูกส่งเข้าโครงการอบรมระหว่างประเทศ พวกเขาเลยเจอกันน่ะ”

          ปกติแล้วโอไรออนจะถูกบังคับให้เดินทางได้แค่ภายในประเทศของตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้น โอกาสที่โอไรออนลูกครึ่งจะเกิดขึ้นเรียกได้ว่าเกือบเป็นศูนย์ การที่เธอได้พบเด็กชายเบื้องหน้านั้นเปรียบเสมือนการได้เห็นหมูบินได้เลยทีเดียว

          “ไม่ใส่เสื้อนอกแบบนี้ หนาวแย่เลยนะ” เด็กชายชวนคุย เขาอยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวขี้ม้าพร้อมฮู้ดที่ทำจากขนเทียมเพิ่มความอบอุ่น

          “ก็คิดไม่ถึงว่าลมจะแรงขนาดนี้นี่” เด็กหญิงเริ่มกระโดดตบต่อเมื่อลมทะเลที่พัดมาทำให้ขนทุกตารางนิ้วลุกชัน ภาพร่างเล็กกระโดดขึ้นกระโดดลงท่ามกลางทางเดินหม่นเย็นๆสะท้อนบนดวงตาสีควันบุหรี่ใส โอไรออนผิวขาวอมยิ้ม

          ถ้าได้เป็นเพื่อนกับเธอ...คงจะสนุกไม่เบา

          “คีรินทร์! เข้าห้องได้!” ห้วงความคิดถูกเสียงตะโกนของครูหนุ่มขัดขึ้น ประตูไม้ข้างหลังเขาถูกเปิดออก แทนที่จะก้าวเข้าห้องเด็กชายกลับถอดเสื้อหนาวออก เขาโยนเสื้อที่ถูกขยำเป็นก้อนหนาให้เพื่อนใหม่ต่างห้อง มะลิรับเสื้อหนาวมาอย่างงงๆ และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่โอไรออนเผือกหันหลังกลับเข้าห้องไป

“เดี๋ยวสิ!” เธอตะโกนขึ้น เด็กชายโผล่หัวออกมาครึ่งหน้าจากประตู

          “ฉันชื่อมะลินะ! อย่าลืมมาเอาเสื้อคืนด้วย” ก้อนเสื้อหนาวถูกกอดแนบอก

และแล้วไอแดดที่ไม่ถูกก้อนเมฆบดบังก็เริ่มมอบความอบอุ่นแก่ทางเดินชื้นๆแห่งนี้

-------------------------------------------------------------------

ใครอยากฟันขาว อยากฟันสวยก็ต้องแปรงฟัน

ไม่อยากฟันดำ ฟันหลอก็ต้องแปรงฟัน

          เสียงใสๆดังก้องไปทั่วลานอเนกประสงค์กลางแจ้งขนาดใหญ่ของเซนต์จอร์จคอนแวนต์ หนึ่งในโรงเรียนเอกชนชื่อดังใจกลางบางกอกซึ่งวันนี้ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดประกวดน้องหนูฟันสวย การฝึกแปรงฟันกับโมเดลขนาดใหญ่ การอบรมผู้ปกครองเรื่องสุขภาพปากของลูก และแน่นอนอยู่แล้ว... การแสดงเต้นประกอบเพลง

          ทว่าจะให้เด็กๆในโรงเรียนลุกขึ้นมาเต้นก็เกรงว่าจะธรรมดาเกินไป พวกเขาจึงจ้างมาสคอตสองตัวมาเพิ่มสีสัน ตัวแรกคือยิ้มยิ้ม ฟันกรามเดินได้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าฟันกรามนั้นจะมีใบหน้าและปากที่เต็มไปด้วยฟันได้อย่างไร นี่มันฟันซ้อนฟันชัดๆ! ส่วนมาสคอตอีกตัวคือสะอาดจัง ไม้แปรงฟันสีชมพูที่มีใบหน้าซีเรียสราวกับกำลังไขสมการ E=mc2 อยู่ก็ไม่ปาน

ฟันผุๆ เคี้ยวอะไรได้ก็ไม่ค่อยดี

แล้วบางทีเคี้ยวไปโดนมันก็ปวดฟัน

          มาสคอตทั้งสองเต้นบนเวทีกลางแดดเปรี้ยงอย่างขันแข็งโดยเฉพาะฟันกรามที่วิ่งกระโดดไปมาตามจังหวะเพลงราวกับเมายาบ้า เด็กๆและผู้ปกครองก็ดูจะชอบใจปรบมือกันใหญ่แถมยังกระโดดมาไฮไฟว์กับฟันกรามยักษ์อีกด้วย

          ร้อน...ร้อนชะมัด

          มะลิโบกมือขึ้นลงตามจังหวะเพลง ใบหน้าภายใต้หน้ากากหัวแปรงสีฟันนั้นเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะเธอต้องใส่ชุดแสตนบายก่อนขึ้นเวทีตั้งครึ่งชั่วโมง เด็กสาวจึงรู้สึกราวกับโดนจับขังในซาวน่าร้อนๆมานานชั่วโมงเต็ม

          นี่ก็เข้าวันที่สองแล้วที่เธอฝึกงานภายใต้ธันวา เธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านไม้เก่าๆในซอยเล็กๆแถวพรานนกใกล้โรงพยาบาลศิริราช ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีห้องนอนถึงสามห้อง แต่ห้องหนึ่งก็ถูกใช้เป็นห้องเก็บชุดมาสคอตที่ใหญ่เกินกว่าจะใส่ตู้เสื้อผ้าได้ ส่วนอีกห้องก็กลายเป็นห้องเก็บของสารพัด ธันวาบอกให้เธอไปรื้อของออกถ้าไม่อยากนอนที่ห้องรับแขก นี่เป็นงานชิ้นแรกที่เด็กฝึกงานยอมทำแต่โดยดี

หลังจากได้เห็นเขาจัดการกลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วยมือเปล่าที่ห้างสรรพสินค้า มะลิก็ปักหลักเชื่อว่าธันวาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เด็กสาวที่เป็นแฟนตัวยงของหนังซูเปอร์ฮีโร่พยายามค้นทุกซอกทุกมุมของห้องเก็บของเผื่อว่าเธอจะโชคดีพบเอกสารลับสุดยอดเกี่ยวกับการทดลองตัวอ่อน การดัดแปลงพันธุกรรม หรือหินคริสตัลที่มอบพลังมหาศาลแก่ผู้ใช้ แต่...ไม่เลย เธอเจอแต่นิตยสารชายโสด นิยายกำลังภายในเก่าเก็บจนกระดาษเหลือง มือถือฝาพับยี่ห้อโนเกียซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อ้อ แล้วก็ม้วนเทปขนาดใหญ่ที่ถ้าจำไม่ผิดคนสมัยก่อนเรียกว่าม้วนวีดิโอ

          สุดท้าย เมื่อผิดหวังกับการรื้อของ เด็กฝึกงานที่ตอนนี้ผมเปลี่ยนเป็นสีเทาจากฝุ่นและหยากไย่ก็เอาแต่นั่งกอดเข่าบนเชิงบันไดเฝ้ารอเวลาที่หัวหน้าของเธอจะถอดหัวมาสคอตออก

          “เฮ้ ลำไย เดี๋ยวฉันอาบน้ำนะ จะเข้าห้องน้ำจะทำธุระอะไรก็รีบทำ” ธันวาที่อยู่ในชุดมาสคอตไดโนเสาร์ (ชื่อดีดี้)กล่าวขึ้น มะลิไม่คิดแม้แต่จะแย้งเรื่องชื่อตัวเอง เธอผายมือไปทางห้องน้ำหลังบ้านเป็นเชิงว่าตามสบาย

          ในช่วงสามสิบนาทีนั้น เด็กสาวไม่ละสายตาจากประตูห้องน้ำพีวีซีสีฟ้าอ่อนแม้แต่นิดเดียว หูของเธอได้ยินเสียงรูดซิป เสียงเนื้อผ้าของชุดมาสคอตเสียดสีกัน เสียงหมุนก๊อกน้ำ แต่แล้วเมื่อหยดน้ำหยดแรกตกกระทบกับพื้นกระเบื้อง เธอก็ต้องรีบวิ่งไปหยิบที่อุดหูทันที ถ้าคนไม่รู้จักผ่านมาได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้องน้ำในขณะนี้ เขาคงคิดว่าเสียงร้องเพลงไทยเดิมแสนโหยหวนหลุดคีย์ของฟรีแลนซ์หนุ่มเป็นเสียงผีตายโหงแน่ๆ และแล้วมันก็หยุดลงพร้อมกับเสียงประตูห้องน้ำถูกปลดล็อค เด็กสาวจ้องภาพเบื้องหน้าเขม็งยิ่งกว่ากรรมการตัดสินนักวิ่งโอลิมปิคสองคนเข้าเส้นชัยพร้อมกัน

          “มองอะไรอ่ะ เค้าอายนะ” ฟันกรามหน้ายิ้มดัดเสียง เด็กฝึกงานตาค้าง อาบน้ำเสร็จแล้วใส่ชุดมาสคอตต่ออย่างนั้นหรือ นี่เขาไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าปกติเลยหรือไง?

          “ชุดสะอาดจังน่ารักมากเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ไม่ต้องอิจฉานะ เธอเองก็ต้องใส่เหมือนกัน” มาสคอตฟันกรามยื่นชุดแปรงสีฟันหน้าเครียดที่พาดไว้บนชุดรับแขกให้เธอ “ลองใส่ดูสิ เดี๋ยวต้องซ้อมเต้นเพลง ฟ. ฟัน สะอาดดี ด้วยนะ”

 มะลิอยากกรีดร้องแล้ววิ่งทะลุมุ้งลวดเอาหัวโขกต้นมะม่วงหน้าบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!

แสนจะเจ็บจี๊ดๆ ปวดตุ๊บๆ ตรงนั้น อูยทรมานจังเลย

          ตัดมาที่ปัจจุบัน ธันวาที่ยังสนุกไม่หายกับการสวมบทฟันกรามล้มลงไปนอนกลิ้งๆกับพื้นทำท่าปวดตัวสะดีดสะดิ้งเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ มะลิเหลือบมองเขาผ่านรูตามาสคอต

          สงสัยชาติที่แล้วธันวาคงเกิดเป็นอูฐโหนกเดียวแห่งทะเลทรายซาฮาร่า เขาถึงทนอากาศร้อนตับแตกขนาดนี้ได้

          ร้อน ร้อน ร้อน

          จะปาดเหงื่อก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในชุดมาสคอต โอไรออนฝึกหัดกัดฟันแล้วพยายามเต้นไปเรื่อยๆถึงแม้ว่าอากาศภายในชุดจะร้อนและเหม็นอับ แถมเธอยังหิวน้ำสุดๆ แขนที่ต้องโบกซ้ายขวาไปมาในชุดมาสคอตหนักๆเริ่มล้าเต็มที ไหนจะไหล่ที่ต้องรับน้ำหนักหัวมาสคอตหรือหัวแปรงของชุดแปรงสีฟันอีก กล้ามเนื้อทั่วร่างปวดตุบๆราวกับกำลังประท้วง เธอเพ่งสายตามองเหล่าเด็กๆที่กำลังหัวเราะร่ากับฟันกรามเพี้ยนๆเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง

          แปลกจัง ใครหรี่ไฟ...

          ภาพมาสคอตฟันกรามวิ่งวนรอบลานกลางแจ้งราวกับหนูติดจั่นค่อยๆมัวขึ้นราวกับมีคนเอาแว่นกันแดดมาสวมให้เธอ ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวราวกับกำลังลอยตัวอยู่ในน้ำ

          “เขาจะเป็นลมรึเปล่าน่ะ” เหล่าผู้ปกครองหันไปซุบซิบกันเมื่อเห็นแปรงสีฟันบนเวทีเริ่มเซราวกับคนเมา

          เมื่อเห็นเด็กฝึกงานท่าไม่ดี ธันวาที่วิ่งเต้นกับเด็กๆแถวก็รีบวิ่งไปหน้าเวทีทันที ทว่ายังไม่ทันที่เท้าของเขาจะแตะขอบเวที โอไรออนฝึกหัดก็ล้มหน้าทิ่มพื้นเต็มๆ หัวมาสคอตปลายแปรงสีฟันสูงๆกระเด็นหลุดออกเผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่ตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผู้ปกครองหลายคนลุกไปช่วยพยุงเธอขึ้นมาทว่าคุณแม่ลูกสองที่เป็นคนพยุงไหล่ขวาเธอกลับเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง

          “โอไรออนนี่!” เธอผละจากร่างของเด็กสาวทันทีราวกับโดนของร้อน ผู้ใหญ่คนอื่นๆก็เขยิบหนีออกไปปล่อยให้โอไรออนสาวยืนเซอยู่กลางวงล้อม ธันวารีบแหวกกลุ่มคนเข้ามาพยุงเด็กฝึกงาน

          “พี่สาวเป็นโอไรออนเหรอ” เด็กหญิงชั้นปอสามตะโกนถาม เด็กๆหลายคนลุกขึ้นชะเง้อมองลอดวงล้อมของเหล่าผู้ใหญ่ โอไรออนหน้าตาเป็นยังไงนะ พวกผู้ใหญ่เคยเล่าว่าโอไรออนเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดในหนังสือนิทาน พวกเขามีพลังทำลายล้างดุจดั่งจอมมาร มีจิตใจมืดมนดั่งอสูร แต่พี่สะอาดจัง ไม้แปรงฟันสีชมพูของพวกเขากลับดูไม่อันตรายเลยสักนิด เขาจะเป็นโอไรออนพวกนั้นได้ยังไงกัน

          “โรงเรียนนี้เป็นเขตปลอดโอไรออนไม่ใช่เหรอ คุณปล่อยให้พวกเขาเข้ามาได้ยังไง ถ้าเกิดลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาคุณจะชดใช้ยังไงฮะ!” คุณแม่ลูกสองเป็นคนแรกที่เริ่มโวยใส่ครูใหญ่ที่ตอนนี้เดินเข้ามาร่วมกลุ่มไทยมุง

          “ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นโอไรออน” ครูใหญ่หัวล้านแสดงสีหน้าเหยเก ปกติแล้วทั่วมุมถนนของแพนเอเชียจะมีกล้องวงจรปิดคอยแสกนใบหน้าของผู้สัญจร เมื่อใดที่มันอ่านค่าได้ว่ามีโอไรออนกำลังก้าวข้ามไปในเขตห่วงห้าม ระบบควบคุมความประพฤติก็จะส่งสัญญาณไปยังชิพที่ถูกฝังในสมองของพวกเขาเพื่อให้ระบบเบซัลแกงเกลียซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวยับยั้งก้าวต่อไป แต่เพราะโอไรออนสาวสวมหัวมาสคอตตั้งแต่ก่อนเข้ามาในเขตโรงเรียนทำให้ระบบจับเธอไม่ได้

เมื่อไม่ได้ยินคำแก้ตัวถูกใจ ผู้ปกครองทุกคนก็เลื่อนสายตาไปมองมาสคอตฟันกรามที่ครูใหญ่โทรติดต่อจากใบปลิวติดเสาไฟฟ้าหน้าโรงเรียน

          “อ้ะ อย่างมองผมอย่างนั้นสิ ผมไม่ใช่โอไรออนนะ แล้วคุณครูเขาก็ไม่ได้บอกผมด้วยว่าที่นี่เป็นเขตปลอดโอไรออน” ธันวายักไหล่... อา แหกกฎเหล็กของมาสคอตจนได้นะเรา เขาหันไปมองเด็กน้อยที่ทำสีหน้าราวกับเห็นผีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำเล็ดลอดออกจากมาสคอตฟันหน้าหวาน

          “ไม่บอกก็น่าจะคิดได้นะ ป้ายหน้าโรงเรียนใหญ่ออกซะขนาดนั้น มองไม่เห็นรึไง” คุณพ่อในชุดสูทผู้บริหารตำหนิ

“ผมไม่เห็นจริงๆ รูตามาสคอตมันเล็กมากน่ะ” ฟรีแลนซ์หนุ่มโกหก เขาเห็นป้ายนั่นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วแต่ก็คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะเป็นลมถึงขั้นทำหัวหลุดจนความลับแตกเช่นนี้ ลาก่อนนะ เงินค่าจ้างของเขา

          “มีใครแจ้งตำรวจรึยัง” ผู้ปกครองอีกคนตะโกนถาม

          “ฉันโทรไปแจ้งตั้งแต่เมื่อกี้แล้วค่ะ” ธันวามองคุณแม่ท้องแก่กำลังโบกมือถือในเคสสีชมพูกากเพชรแล้วอยากปาดเหงื่อ

          “เอ่อ... ถึงขั้นเรียกตำรวจเลยเหรอ ถ้าพวกผมคืนเงินให้โรงเรียนแล้วจบกันแค่นี้ไม่ได้เหรอ” ธันวาเสนอ

          “ไม่ได้! เราจะปล่อยให้โอไรออนพวกนี้ลอยนวลไม่ได้ ถ้าเกิดมันเข้าไปในเขตอื่นแล้วลักพาตัวเด็กๆไปจะทำยังไง!” คุณแม่ท้องแก่อีกคนปฎิเสธเสียงเข้มพร้อมกับแรงสนับสนุนนับสิบข้างหลัง มะลิจ้องภาพเหตุการณ์เบื้องหน้านิ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจจากกลุ่มคนเบื้องหน้าทำให้เธอรู้สึกจุกขึ้นมาถึงลำคอ ริมฝีปากเม้มแน่น

          เธอไม่เคยรู้... ไม่เคยรู้ว่ามนุษย์ไม่ชอบโอไรออนขนาดนี้

          “นี่พวกคุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า โอไรออนก็คือมนุษย์แบบพวกคุณนะ พวกเขาเพียงแค่...”

          “ไม่ใช่! พวกมันคือปีศาจในคราบของมนุษย์!” ยังไม่ทันที่ธันวาจะพูดจบ เขาก็ถูกคุณแม่หัวโจกของกลุ่มสวนกลับ

          ปีศาจในคราบมนุษย์ อย่างนั้นเหรอ... คำพูดนั้นวิ่งวนไปมาในหัวของเด็กสาว

          “คุณเองก็น่าจะละอายบ้างนะ เป็นมนุษย์ซะเปล่า แต่กลับไปปกป้องสัตว์ประหลาด! จำไม่ได้เหรอ เมื่อหกปีที่แล้วที่โอซาก้าน่ะ มนุษย์กี่คนต้องตายเพราะพวกมัน!” มาสคอตฟันกรามถูกสายตาผู้ปกครองรุมทึ้ง

          มะลิมองร่างสูงตาไม่กระพริบ... พ่อของเธอก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยรักษาดินแดนพิเศษที่ถูกส่งไปช่วยปราบกบฏที่โอซาก้า ตอนนั้นเกิดเหตุระบบควบคุมความประพฤติขัดข้องทำให้มันไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมแง่ลบของโอไรออนได้อีกต่อไป โอไรออนจำนวนมากรวมตัวกันก่อกบฏโจมตีมนุษย์ในมหานครแห่งคันไซ สมาชิกหน่วยรักษาดินแดนจากทั่วแพนเอเชียรวมกำลังกันปราบกบฏเหล่านี้ได้สำเร็จ ทว่าผลงานของพวกเขากลับไม่ได้เป็นที่รับรู้ของมนุษย์ทั่วไป นั่นเป็นเพราะสื่อที่เลือกจะนำเสนอเฉพาะภาพสุดโต่ง ผลกระทบร้ายแรงและจำนวนผู้เสียชีวิตชาวมนุษย์โดยไม่คิดจะเสนอจำนวนสมาชิกทีมรักษาดินแดนที่เสียชีวิต หรือภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาออกมาป้องกันประชาชนอย่างกล้าหาญจนตัวตายเลยแม้แต่น้อย

หลังจากนั้นเป็นต้นมา มุมมองที่มนุษย์มีต่อโอไรออนก็แย่ลงกว่าเดิม จากที่เคยถูกมองเป็นอาวุธสงคราม พวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดเลือดเย็นไร้จิตสำนึก สถานที่ต่างๆเริ่มติดป้ายห้ามโอไรออนเข้าออก มีกระแสต่อต้านโอไรออนขึ้นทั่วแพนเอเชีย สังคมถูกแบ่งเป็นสองฝากอย่างชัดเจน

โอซาก้าเหรอ...” ธันวาปริปาก จำได้สิ... เขาจะจำเหตุการณ์ที่โอซาก้าไปจนวันตาย...

 

 

 “ธันวา...เคย์เขา...” เด็กหนุ่มประคองร่างเล็กแสนเปราะบางไว้บนตักอย่างเบามือ หิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาช่วยกลบคราบเลือดบนพื้นสะพานข้ามคลองโดทงบุริจนกลายเป็นสีขาวพิสุทธิ์ราวกับว่าการต่อสู้ ความตายทั้งหมดนั้นเป็นแค่ฝันร้ายที่ลอยผ่านไป

“ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาฝืนยิ้มอ่อนๆเป็นเชิงบอกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร มือหนาลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกหน้าเด็กสาวออก มืออีกข้างประคองหัวไหล่เล็กเอาไว้ ไม่มีบทสนทนาอะไรต่อจากนั้น ธันวาในวัยสิบแปดปีได้แต่เม้มริมฝีแน่นขณะมองลมหายใจรวยรินถูกพ่นออกมาเป็นไอขุ่นที่สลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับชีวิตของเธอกำลังหลุดลอยออกไปไกลเรื่อยๆ เสื้อเกาะกันกระสุนที่ถูกอัดอย่างแรงจนฉีกขาดเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในที่ตอนนี้ถูกย้อมเป็นสีดำด้วยของเหลวไร้ชื่อจากแผลเหวอะที่หน้าท้อง ใบหน้าขาวซีดเปรอะไปด้วยคราบสีดำที่ถูกสำลักออกมา

ใช่...ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่เห็นบาดแผลพวกนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของใคร...

 “เฮ้ เคย์ ฉันว่าพอจบเรื่องที่โอซาก้าแล้ว ฉันจะบอกอลิซว่ะ”

“บอกอะไร”

“บอกความในใจไง”

สำหรับธันวาแล้ว รอยยิ้มของอลิซเป็นดั่งแสงเล็กๆของดวงดาวที่คอยส่องนำทางให้กับชาวประมงหลงทะเล เป็นดั่งแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ช่วยหล่อเลี้ยงต้นไม้สูงใหญ่ทั้งหลาย ทว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นก็ย่อมมีวันที่ต้องดับสูญ ดวงดาวนำทางของเขาเองก็เช่นกัน...

บอกเขาที...เธอแค่หลับไปใช่ไหม

เมื่อไม่จำเป็นต้องให้กำลังใจใครอีกต่อไป ใบหน้าที่มักจะแปดเปื้อนรอยยิ้มพลันมลายหายไปทันที เลือดร้อนสูบฉีดพลุ้งพล่านไปทั่วร่าง เด็กหนุ่มอุ้มร่างบางขึ้นยืนท่ามกลางหิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ

           เขาไม่มีวันให้อภัยหมอนั่นไม่มีวัน!

 “เคย์!!! เสียงคำรามดังก้องสะท้อนไปทั่วสองข้างคลองใหญ่แห่งนี้ ฟันกรามบนล่างขบกันแน่น อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งเกินร้อยสามสิบครั้งต่อนาที 

แต่ทำไมกันนะ... ทำไมหิมะพวกนี้ถึงทำให้แก้มของเขาเปียกชื้นขนาดนี้กันนะ

 

ปี๊ด!!!

“ตำรวจครับ! ขอทางหน่อยครับ!” สิ้นเสียงนกหวีด กลุ่มไทยมุงพร้อมใจกันแหวกเป็นสองฝากเปิดทางให้ตำรวจร่างอ้วนเดินตรงรี่มายังฟันกรามหน้ายิ้มอย่างรู้งาน

 “ปรับผมน้อยๆนะ คุณตำรวจ แค่นี้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว” มาสคอตหนุ่มที่ถูกเสียงนกหวีดเรียกสติคืนมายื่นมือให้อย่างว่าง่าย

“งั้นกินข้าวแดงละกันนะคืนนี้” ตำรวจคนนั้นคล้องกุญแจมือดังฉับไม่สนเสียงโอดครวญของฟรีแลนซ์หนุ่ม เขาหันไปออกคำสั่งกับลูกน้อง “ไอ้เผือก ไปจัดการกับโอไรออนผู้หญิงนั่นที”

มะลิสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคำสั่งของตำรวจพุงกะทิ เธอกำลังจะถูกจับอย่างนั้นหรือ เธอจะถูกขึ้นแบล็คลิสต์ไหมนะ ถ้าโรงเรียนไล่เธอออกแล้วจะทำอย่างไร จะให้เธอไปทำงานเป็นภารโรงหรือไง? เอ หรือว่าเธอจะกลับไปทำสวนที่บ้านเกิดดี แล้วพอถึงหน้าแล้งค่อยเข้ามาทำงานก่อสร้างที่บางกอก ถ้าเธอเกิดตกตึกกลายเป็นอัมพฤตขึ้นมาล่ะ? จะมีประกันคุ้มครองเธอมั้ยนะ

เสื้อหนาวนั่นน่ะ เมื่อไหร่จะเอามาคืน” เสียงนุ่มๆทำให้เด็กสาวเงยขึ้นมองเจ้าของเงาสูงใหญ่ที่ทาบลงมาเบื้องหน้า

เรือนผมกับดวงตาสีควันบุหรี่สะท้อนแดดยามเที่ยงแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนๆล้อมรอบใบหน้าเหลี่ยมสันที่ไม่เหลือเค้าของความเป็นเด็กอีกต่อไป เสื้อเกราะกันกระสุนสีน้ำเงินที่ถูกสกรีนคำว่า ‘ORION’  แต่ที่สำคัญที่สุด...ผิวขาวซีดราวกับรูปสลักยากจะมีใครเหมือน

คีรินทร์!!!เด็กสาวอุทานชื่ออดีตเพื่อนร่วมชั้นอย่างไม่เชื่อสายตา

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มะลิ..ไม่สิ สะอาดจัง” โอไรออนหนุ่มยิ้มอบอุ่น

 

หลังจากถูกสอบสวนและโยนความผิดให้มาสคอตฟรีแลนซ์เรียบร้อย มะลิก็ออกมานั่งรอหัวหน้าฝึกงานบนชิงช้าไม้กลางลานโล่งเล็กๆข้างสถานีตำรวจ อาจจะเพราะโรงพักแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยแคบๆติดถนนสีลมที่มีแต่บริษัทขนาดย่อมกระมัง สนามเด็กเล่นแห่งนี้จึงไม่ค่อยมีเด็กๆมาใช้บริการเสียเท่าไหร่

“ดูท่าน่าจะต้องคุยกันยาวเลยล่ะ บอสของเธอน่ะ” โอไรออนหนุ่มที่ถูกส่งมาฝึกงานกับกรมตำรวจหย่อนตัวลงนั่งบนชิงช้าข้างๆ เขายื่นกระป๋องน้ำอัดลมที่เพิ่งกดจากตู้ให้ ทว่าก่อนที่เธอจะรับมันก็ปรากฏไอขาวๆที่ค่อยๆแผ่จากใต้ฝ่ามือหนาไปรอบ ในเวลาไม่กี่วินาที กระป๋องน้ำอัดลมก็มีเกล็ดน้ำแข็งละเอียดห่อหุ้มโดยรอบ

“วันนี้อากาศร้อน ฉันเลยกลัวมันจะหายเย็นเร็วน่ะ” โอไรออนหนุ่มผู้มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิวัตถุกล่าวยิ้มๆ มะลิกล่าวขอบคุณแล้วยกมันขึ้นดื่ม “จับผลัดจับพลูยังไงถึงไปเป็นมาสคอตได้ล่ะ”

“เรื่องมันยาวน่ะ ว่าแต่นายเถอะ ไม่เจอแค่สามปี เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” คำว่าผู้ใหญ่ดูเหมาะที่จะอธิบายสภาพเพื่อนชายเบื้องหน้ามากกว่าคำว่าเด็กหนุ่ม ในช่วงเวลาสามปีที่คีรินทร์ถูกย้ายไปโรงเรียนฝึกสาขาฮาร์บินในจีน เขาสูงขึ้นถึงสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าไม่มีพวงแก้มสีแดงระเรื่ออีกต่อไป ยิ่งพอเขาสวมยูนิฟอร์มสีฟ้าพร้อมเกราะกันกระสุนแบบนี้ด้วยแล้ว ถ้าเธอไม่รู้จักเขาก็คงคิดว่าเขาเป็นตำรวจจริงๆไปแล้ว

“เธอไม่เคยได้ยินเหรอ ที่เขาบอกว่าพวกฝรั่ง โตไว แก่เร็วกว่าคนเอเชียน่ะ ฉันว่าฉันคงได้รับยีนส์ตัวนั้นจากแม่เต็มๆเลยล่ะ” คีรินทร์หัวเราะ มะลิยิ้มตอบ พวกเขาสองคนเงียบไปชั่วครู่ เด็กสาวไม่อาจหยุดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันได้ ภาพเหล่าผู้ปกครองที่รุมตำหนิธันวา และท่าทางรังเกียจที่พวกเขามีต่อเธอนั้นฝังลึกยากจะลืมเลือน ทุกครั้งที่เธอนึกถึงมัน กระเพาะของเธอจะเจ็บแปลบราวกับถูกบีบ  หัวใจเต้นเร็ว ไม่สบายตัวเอาเสียเลย

 “เหมือน Gluggaveður เลยนะ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้น เขามองอีกาสีดำบินลงโฉบเศษหมูปิ้งที่คนมักง่ายโยนทิ้งไว้ “อากาศที่มองผ่านหน้าต่างกับอากาศที่แท้จริงมันต่างกันมากๆเลยนะ ว่าไหม”

อีกาอีกสองตัวบินโฉบลงมาหมายจะขโมยเศษหมูปิ้งชิ้นนั้นจากอีกาตัวเล็กกว่า มะลิเอียงคอแล้วมองอดีตเพื่อนร่วมชั้น “แอร์โรงพักหนาวมากเหรอ”

คำถามนั้นทำให้คู่สนทนาหลุดขำ คีรินทร์หันมาสบตาเธอ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ใสแจ๋วราวกับกระจกอีกแล้ว มันดูขุ่นมัวเหมือนควันบุหรี่ที่ถูกพ่นออกมายามค่ำคืนในตรอกเล็กๆคับแคบ

 “ฉันหมายถึงสังคม ไม่สิ...โลกแห่งความจริงต่างหาก” เขาอธิบายแล้วเหลือบมองฝูงกาที่เริ่มกระพือปีกใส่กันเพื่อแย่งเศษหมูชิ้นนั้น

“เพราะมองเห็นแต่โลกภายในโรงเรียนมาตลอด พวกเราเลยเผลอคิดว่าข้างนอกรั้วนั่นคงไม่ได้แตกต่างสักเท่าไหร่ แต่พอถูกส่งออกมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง พวกเรากลับพบว่ามันหนาวเย็นกว่าที่ที่จากมานับสิบเท่าร้อยเท่า” อีกาตัวเล็กสุดบินหนีหายไปกับท้องฟ้ายามโพล้เพล้ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้พบเศษเนื้อเป็นตัวแรก คีรินทร์หันมายิ้ม “แต่คราวนี้ คงไม่มีใครหาเสื้อกันหนาวให้พวกเราแล้วล่ะ” 

“ฉันว่าฉันคงโชคร้ายไปเจอกลุ่มคนที่ไม่ชอบโอไรออนล่ะมั้ง คนอื่นๆคงไม่หัวรุนแรงขนาดนี้...”

“เธอจำเหตุการณ์ที่นาฮะ ไม่ได้เหรอ” คีรินทร์ขัดขึ้นทันควัน คนมองโลกในแง่ดีสะดุดกึก

          ถ้าเปรียบความทรงจำของเธอเป็นบ้านหลังหนึ่ง เธอจะเก็บรสชาติของอาหารแสนอร่อยที่เคยได้ลิ้มลองไว้ในห้องครัว ภาพวันแสนสุขกับครอบครัวจะถูกอัดกรอบแขวนไว้ทั่วห้องรับแขก เธอจะถักทอความฝันที่ได้เข้าร่วมหน่วยรักษาดินแดนเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ใช้กอดนอน และในห้องเก็บของลึกสุดของบ้านหลังนี้ ความทรงจำเลวร้ายต่างๆจะถูกขังเก็บเอาไว้

          ความทรงจำที่นาฮะเมื่อสามปีที่แล้วก็เช่นกัน...

 

          “คีรินทร์ คนอื่นๆล่ะ”

          “ไม่รู้เหมือนกัน พอหันมาอีกทีก็หายไปหมดแล้ว” เด็กหนุ่มผิวขาวซีดตะเบ็งเสียงคุยกับเด็กสาวตัวเล็กกว่าท่ามกลางฝูงชนบนถนนโคคุไซโดริหรือถนนหลักของนาฮะ วันนี้พวกเขาและเพื่อนนักเรียนอีกสามคนลงทุนนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะมายังเมืองหลวงของจังหวัดโอกินาวาเพื่อชมการแห่ขบวนแสนยิ่งใหญ่ของเทศกาลปราสาทชูริ เทศกาลที่จัดขึ้นปีละครั้งเพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรริวกิว อาณาจักรเล็กๆที่มีวัฒนธรรมกึ่งจีนผสมญี่ปุ่นที่เคยตั้งอยู่บนหมู่เกาะแห่งนี้

          ราวเหล็กถูกกั้นขึ้นตลอดสองข้างถนนช้อปปิ้งเส้นนี้เป็นระยะทางกิโลเมตรกว่าๆ คีรินทร์ได้แต่หัวเราะกับท่าทางของคนตัวเตี้ยกว่าที่พยายามเขย่งเท้ามองลอดฝูงชนไปยังขบวนพาเหรด ชายหญิงในชุดกิโมโนสีดำเดินเป็นแถวอย่างเชื่องช้าแต่สวยงามตามจังหวะเพลงพื้นบ้านที่ถูกบรรเลงออกมาจากซันชินหรือพิณสามสายพื้นเมือง พวกเขามีสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาจ้องไปข้างหน้าราวกับกำลังหลงอยู่ในยุคเก่าแสนรุ่งเรืองไร้ซึ่งการรุกรานจากทหารญี่ปุ่นและอเมริกา

          “อ้ะ นั่นไง ขบวนจักรพรรดิมาแล้ว!” มะลิตาเป็นประกายเมื่อเห็นขบวนข้างหลังมีบุรุษในชุดขุนนางสีฟ้าจำนวนมากทยอยเดินสองแถวออกมาอย่างเป็นระเบียบ ที่ปลายถนน เกี้ยวสีทองอร่ามถูกชายฉกรรจ์สิบสองคนหามเข้ามา ภายในเกี้ยวมีบุรุษในชุดผ้าไหมสไตล์จีนสีแดงเลื่อมทองนั่งอยู่ ด้วยความที่มะลิเขย่งขาจนเริ่มเป็นตะคริว ร่างบางจึงเซไปชนกลุ่มเด็กวัยรุ่นข้างหน้า พวกเขาหันมาจะเอาเรื่องเธอทันที มะลิได้แต่ก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษซ้ำๆ

          “โอไรออนนี่หว่า” หนึ่งในเด็กหนุ่มเหล่านั้นพึมพำเมื่อเห็นรอยสักบนคอของเธอ

“กลับไปติดเกาะของพวกแกเถอะไป!” คนตัวใหญ่สุดในกลุ่มปาถาดทาโกยากิว่างเปล่าใส่เด็กสาว ซอสสีน้ำตาลเหนียวหนืดกระเด็นเปรอะไปทั่วเสื้อเชิ้ตสี้ขาวของคนตัวเล็กกว่า ความอดทนของโอไรออนเผือกขาดผึงทันที คีรินทร์กระชากแขนเพื่อนสาวให้ไปยืนข้างหลัง

“ขอโทษเดี๋ยวนี้!” เขาเดินเข้าไปประชิดหน้านักเลงร่างโต ดวงตาสีขวัญบุหรี่ลุกวาวด้วยโทสะ “ขอโทษเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้!

“เวลาแกเตะหมาจรจัด แกเคยขอโทษมันไหมล่ะ” ลมหายใจคาวๆกลิ่นทาโกยากิถูกพ่นใส่หน้าเด็กหนุ่ม “แล้วทำไมฉันต้องขอโทษสัตว์-ประ-หลาด อย่างพวกแกด้วยวะ”

“หนอย แก!” คอเสื้อของร่างอ้วนถูกกระชากขึ้นจนเท้าเกือบลอยจากพื้น มืออีกข้างของโอไรออนวัยสิบห้าปีปรากฏไอเย็นติดลบสามสิบองศา ฝูงชนที่ยืนชมขบวนพาเหรดแตกกระจายเมื่อเห็นการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้น กลุ่มนักเลงเองก็ตกใจใช่ย่อย

เงียบ...

ทว่าคีรินทร์กลับยืนค้างท่านั้นนานราวกับถูกแช่แข็ง

อย่าบอกนะว่า...

          “ระบบ...ระบบมันหยุดฉัน” เด็กหนุ่มพึมพำแล้วเลื่อนสายตามามองเพื่อนสาวทั้งๆที่ร่างยังแน่นิ่ง ใช่แล้ว โอไรออนมีกฎหลักอยู่ทั้งหมดสามข้อ

          1.  โอไรออนห้ามฆ่ามนุษย์ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากระบบ

          2.  โอไรออนห้ามฆ่าโอไรออน นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากระบบ

          3.  การตัดสินใจของระบบถือเป็นสิ่งสูงสุด ไม่มีอะไรขัดแย้งระบบได้

          เพราะรัฐบาลแพนเอเชียมองโอไรออนเป็นอาวุธสงคราม ถ้าปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันเองก็จะพลันทำให้พลังแสนยานุภาพของประเทศลดลง นี่ทำให้ระบบควบคุมความประพฤติมีหน้าที่เป็นดั่งเครื่องแสกนสภาวะทางอารมณ์และคอยยับยั้งโอไรออนคนใดที่มีความโกรธ ความเครียด ความตื่นเต้นมากเกินกำหนดเพราะมันอาจจะกลายเป็นภัยต่อผู้คนโดยรอบ

          เมื่อเห็นว่าโอไรออนหนุ่มเบื้องหน้าทำอะไรพวกตนไม่ได้แล้ว เหล่านักเลงชาวมนุษย์ก็หักข้อมือดังกร๊อบแกร๊บแล้วแสยะยิ้มน่ารังเกียจ มะลิพยายามวิ่งเข้าไปห้ามแต่ก็โดนผลักจนล้มกองกับพื้น ภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้าคือคีรินทร์ที่ถูกถีบตัวปลิวไปชนรั้วเหล็กเตี้ยๆ พวกมันซ้อมเขาราวกับนักมวยซ้อมกระสอบทราย หนำซ้ำมือหน้ายังจิกเรือนผมสีเทาขึ้นแล้วสะบัดจนร่างสูงกระเด็นเข้าไปกลางขบวนพาเหรด

          “ไอ้เด็กนี่มันเป็นโอไรออน!” หนึ่งในนักเลงเหล่านั้นป่าวประกาศเสียงก้อง เหล่านักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ตั้งใจจะเข้ามาห้ามพลันหันหลังราวกับไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที มะลิได้แต่พยายามวิ่งเข้าไปดึงแขนเด็กวัยรุ่นร่างบึกให้ละมือจากใบหน้าของเพื่อนชายแต่ก็ไร้ผล เธอมองไปรอบๆ เหล่าผู้ชมขบวนพาเหรดมองเธอด้วยแววตานิ่งเฉย ไม่ตกใจหรือเห็นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกที่มะลิเข้าใจถึงความรู้สึกของนักบินอวกาศที่ต้องลอยเคว้งคว้างไปเรื่อยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในยามที่ยานถูกทำลาย

ไร้ตัวตน ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีความช่วยเหลือ

คืนนั้น คีรินทร์กลับมาถึงหอด้วยใบหน้าบวมช้ำราวกับถูกฝูงผึ้งต่อย เขานั่งเงียบในห้องพัก ไม่มีคำพูด คำโอดครวญอะไรหลุดออกจากปาก ทว่าดวงตาสีควันบุหรี่คู่นั้นได้แปรเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ดวงตาของคีรินทร์...เด็กหนุ่มผู้มีความฝันจะเป็นผู้พิทักษ์แพนเอเชียอีกแล้ว มันเป็นดวงตาของคนที่เริ่มเห็นความจริง... ความจริงที่ว่า

ไม่มีคำว่ายุติธรรมสำหรับโอไรออน

         

“ทุกอย่างมันเริ่มมาจากระบบนั่น” คีรินทร์ชี้ที่ขมับของตัวเองแล้วกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด “มันทำให้พวกเราต้องเป็นแบบนี้ เป็นเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกควบคุมตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีความยุติธรรม”

“ถ้ามองอีกด้านนึง ระบบนั่นก็ทำให้สังคมปลอดภัยขึ้นนะ ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดโอไรออนเลวๆบางคนไม่โดนควบคุม แพนเอเชียอาจจะมีเรตอาชญากรรมสูงกว่านี้นับสิบเท่าก็ได้” คนมองโลกในแง่ดีกล่าวขึ้น “จริงๆแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องโดนคนบางคนรังเกียจ โลกใบนี้ก็...พออยู่ได้นะ”

ความคิดแง่บวกทำให้เขาจ้องเธอเขม็ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอยังเงาใสราวกับกระจกเหมือนเดิม มันช่างบริสุทธิ์...ต่างจากเขา

มะลิเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆโดยมีกำแพงที่เรียกว่ากฎล้อมรอบ เมื่อไรที่เธอถามพ่อแม่ว่าทำไมเธอถึงเข้าไปเล่นสนามเด็กเล่นของมนุษย์ไม่ได้ พวกเขาก็มักจะตอบด้วยรอยยิ้มเนือยๆว่า “มันเป็นกฎน่ะลูก” พอโดนพ่อแม่เธอตอบอย่างนี้บ่อยๆเข้า ความคลาแคลงใจในตัวเด็กหญิงก็หายไป เธอกลายเป็นเหมือนลูกแกะที่คอยเดินตามฝูง เป็นคนที่ทำตามกฎโดยไม่รู้ความหมายของมัน หลังจากเหตุการณ์ที่นาฮะ เธอเริ่มรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ยุติธรรมแต่เพราะอุปนิสัยโกรธยาก หายง่าย ผ่านไปสามเดือน เธอก็ไม่เคยนึกถึงมันอีกเลย ผิดกับคีรินทร์ที่ทุกครั้งที่หลับตาลง เขาจะได้ยินเสียงท่วงทำนองของเพลงพื้นบ้านโอกินาวาพร้อมกับรสขมๆในปาก

ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจอะไรเลย

“มะลิ บางที เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอาจจะมาถึงแล้วก็ได้นะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีทองเบื้องบน ริมฝีปากเม้มแน่น “ถึงตอนนั้น เธอคงจะเข้าใจ”

มะลิกระพริบตาปริบๆ ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เธอสาบานได้ว่าเธอเห็นภาพเด็กชายใบหน้าแจ่มใสกำลังยื่นเสื้อกันหนาวให้เธอข้างๆร่างสูงโปร่ง

รู้สึกตัวอีกที อดีตเพื่อนสนิทก็เดินกลับเข้าไปในโรงพักไร้ซึ่งคำบอกลา

ไม่กี่นาทีต่อมา มาสคอตฟันกรามหน้ายิ้มก็เดินบิดขี้เกียจออกมาจากประตูกระจกของโรงพัก

“ไง พิกุล” เขาโบกมือ

“ฉันชื่อมะลิ” เจ้าของชื่อกลอกตาเป็นครั้งที่ร้อย “แล้วนี่คุณจัดการกับตำรวจเสร็จแล้วเหรอ”

“เรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันใช้เสน่ห์นิดหน่อยเขาก็ยอมปล่อยตัวแล้ว” เขาหันไปชูนิ้วโป้งให้กับนายตำรวจร่างอ้วนที่มองเขาตาเขียวปัด มะลิมั่นใจว่ามันไม่ใช่เสน่ห์แน่ๆ

“เธอชอบทานห่านมั้ย” หัวหน้าฝึกงานเปลี่ยนเรื่องขณะเดินนำเธอผ่านห้องแถวน้อยใหญ่เพื่อออกไปสู่ถนนสีลม “พอดีแถวนี้มีร้านห่านพะโล้อร่อยน่ะ”

“ฉันไม่เคยทานเนื้อห่านมาก่อน” มะลิเว้นวรรคแล้วยกมือขึ้นมาจับต้นคอด้านขวา เธอมองเหล่าพนักงานบริษัทที่เดินสวนเธอไปมาในตรอกแห่งนี้แล้วก้มหน้า “แต่...เขาจะให้ฉันเข้าร้านเหรอ”

ธันวาหยุดยืนกลางถนนเมื่อได้ยินประโยคหลัง เขาเดินเข้าไปในร้านขายยาเก่าๆหนึ่งห้องแถวข้างๆก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับซองสีส้มแบนๆขนาดเท่ากระดาษเอสี่พับครึ่ง

 “ยื่นคอมาสิ” มะลิถอยครูดไปแล้วทำท่าเหมือนสาวพรหมจรรย์สงวนตัว

“ยื่นคอมา! ฉันไม่พิสมัยเธอหรอกน่า” ว่าแล้วมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่คอของคนตัวเล็ก เขาหยิบพลาสเตอร์สีขาวจากซองออกมาปิดทับรอยสักรหัสโอไรออนฉับพลัน

แค่นี้เธอก็เป็นผู้หญิงโง่ๆที่นอนตกหมอนจนคอเคล็ดแล้ว” ธันวากล่าวแล้วเดินตรงไปยังปากซอย เด็กสาวยืนนิ่งจับต้นคอตัวเอง ดวงตาของเธอสะท้อนภาพแผ่นหลังขาวๆของฟันกรามร่างอ้วน มุมปากบางค่อยๆเผยอขึ้นจากสิบองศา เป็นยี่สิบองศา เป็นสามสิบองศา

อย่างน้อย บนโลกใบนี้ก็มีมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่เกลียดโอไรออนล่ะนะ

 

“ไง คีรินทร์ แม่ส่งโปสการ์ดมาน่ะ” ชายวัยกลางคนเรียกชื่อลูกชายคนเดียวในชุดยูนิฟอร์มตำรวจที่เพิ่งจะไขประตูบ้านเข้ามา คีรินทร์ทักทายพ่อของตนขณะบรรจงวางรองเท้าหนังสีดำไว้บนชั้นหน้าบ้าน เขาหยิบโปสการ์ดแผ่นเล็กบนโต๊ะกาแฟหน้าชุดโซฟาราคาถูกขึ้นมา ภาพหน้าโปสการ์ดนั้นเป็นรูปท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีเส้นแสงสีเขียวอ่อนพาดผ่านราวกับม่านโปร่งแสงบางๆแลดูนุ่มนวลถึงแม้ว่าผืนดินเบื้องล่างจะปกคลุมไปด้วยหิมะหนาวเย็น

ออโรรา

ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะแถบชั้วโลก ปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับจิตวิญญาณของแผ่นดินเกิด... จิตวิญญาณของแม่ ผ่านมากี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นออโรรา สิบสองปีเห็นจะได้

สิบสองปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอแม่เพราะกฎหมายบ้าๆที่ขัดขวางไม่ให้โอไรออนเดินทางออกนอกประเทศ

          ชายหนุ่มหยิบโปสการ์ดเดินออกไปยืนบนระเบียงของห้องรับแขก ลมเย็นชื้นยามค่ำของคุ้งน้ำบางกระเจ้าพัดโลมเลียหยอกล้อเส้นผมสีเทาละเอียด แสงของดวงดาวเบื้องบนทำหน้าที่ให้ความสว่างพื้นที่สีเขียวรอบๆตึกอพาร์ตเม้นต์หน้าตาคล้ายๆกันที่ถูกสร้างขึ้นเป็นแถวเพื่อรองรับเหล่าโอไรออนที่ทำงานในกองกำลังต่างๆ ห่างออกไปสุดสายตา แสงสีทองจากยอดสะพานกาญจนาภิเษก...สะพานแขวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสว่างสไวไปทั่ว โอไรออนหนุ่มหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง

          19.58.43 น.

          ใกล้จะถึงเวลาแล้วสินะ... คีรินทร์ก้มลงมองโปสการ์ดในมืออีกครั้ง

          อีกไม่นานแล้ว ระบบบ้าๆนี่กำลังจะจบลง ในที่สุดเขาก็จะได้พบแม่เสียที

          19.59.59 น.

ถ้ามีคนถามเขาว่าวันสิ้นโลกเป็นเช่นไร เขาคิดว่ามันคงไม่ต่างจากภาพเบื้องหน้าเสียเท่าไร เปลวเพลิงลูกใหญ่ปะทุขึ้นจากใต้ผืนน้ำก่อนจะกลืนกินสะพานข้ามแม่น้ำไปทั้งหมดราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย อานุภาพทำลายล้างที่มากยิ่งกว่าระเบิดทีเอ็นทีหนึ่งร้อยตันสั่นสะเทือนตึกรามบ้านช่องสองฟากแม่น้ำราวกับแผ่นดินจะแยกออกจากกันเสียให้ได้ มวลอากาศที่ถูกอัดขึ้นจากใต้แม่น้ำก่อเกิดปรากฏการณ์ช็อกเวฟส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วคุ้งน้ำบางกระเจ้าปนกับเสียงเศษซากสะพานที่ค่อยๆถล่มลงมาในกระแสน้ำเชี่ยวกราดก่อเกิดคลื่นน้ำกระจายตัวเป็นวงกว้าง

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” พ่อของเขารีบวิ่งออกมาหลังจากได้ยินเสียงพสุธากัมปนาท ดูเหมือนผู้อยู่อาศัยคนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน ทุกคนมีสีหน้าแตกตื่น บ้างก็รีบวิ่งกลับไปคว้ายูนิฟอร์มขึ้นมาสวมใส่เตรียมออกไปปฏิบัติงาน บ้างก็รีบโทรหาสำนักงานใหญ่เพื่อถามไถ่สถานการณ์ คีรินทร์เป็นคนเดียวที่ไม่มีท่าทีหวาดหวั่น ดวงตาสีควันบุหรี่สะท้อนภาพหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏข้อความเข้าสดๆร้อนๆ

Yuhwa: เป็นไง สวยสู้แสงเหนือได้ไหม



 --จบบทที่ 2--



MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?

ผู้แต่ง : Patra Fujiyama


Comment จากกรรมการ

#1 Enter Books Editor Team

เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )

เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
ไดอะล็อกมีพลัง

ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )

ดาวิษ ชาญชัยวานิช

Comment จากกรรมการ

#2 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

อ่า โครงเรื่องค่อนข้างใหญ่นะครับ ดีเทลเยอะ ตัวละครเยอะกว่า แถมดูจะสารพัดสัญชาติเลย เฮียอ่านแล้วแอบงงว่าตกลงตอนนี้เฮียอยู่ที่ไหน ไทย ญี่ปุ่น จีน เกาหลี เมกา... แล้วก็มีการเล่าอดีตสลับปัจจุบันจนเฮียมึนช่วงเวลาด้วย (แต่ตรงนี้อาจเป็นปัญหาที่เฮียเองก็ได้นะ 555) ชอบตัวละครธันวาและความยึดมั่นในการเป็นมาสคอตของพี่แกนะครับ ขอให้พี่ธันวาจงเป็นมาสคอตที่เทพต่อไป (มะลิยังจำเป็นอยู่มั้ย หืม?) เอาใจช่วยอยู่นะครับ

นี่เฮียเอง

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 1 of 3 1 2 3
  • ความคิดเห็นที่ 48

    วรพจน์ พิบูลย์ลาภอุดม
    • Name : วรพจน์ พิบูลย์ลาภอุดม [IP] 49.229.59.93
    • 3 เมษายน 2559 / 22:24
    ชอบมากๆเลยครับ อ่านแล้วสนุกเพลินดีครับ
  • ความคิดเห็นที่ 47

    จิว
    • Name : จิว [IP] 64.233.173.160
    • 3 เมษายน 2559 / 19:38
    Interested
  • ความคิดเห็นที่ 46

    วัลลภา สังฆโสภณ
    • Name : วัลลภา สังฆโสภณ [IP] 182.232.60.172
    • 3 เมษายน 2559 / 19:34
    ร้อยเรียงได้อรรถรสดีมากค่ะ
  • ความคิดเห็นที่ 45

    วรพจน์
    • Name : วรพจน์ [IP] 182.232.24.221
    • 1 เมษายน 2559 / 21:19
    อ่าวแล้วสนุกเพลิดเพลินดีครับ
  • ความคิดเห็นที่ 44

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.241.73
    • 31 มีนาคม 2559 / 05:26
    เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )

    เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
    ไดอะล็อกมีพลัง

    ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 43

    Briss
    • Name : Briss < My.iD > [IP] 182.148.26.38
    • 30 มีนาคม 2559 / 23:00
    เป็นตอนจบที่อิ่มที่สุดเลยล่ะ...
    เป็นการปิดพาร์ทนี้เพื่อนำไปสู่พาร์ทต่อไปได้อย่างดีเยี่ยมเลย
    หลายๆอย่างที่สอนให้เรียนรู้ และตัวละครที่พัฒนาการไปตามสถานการณ์ที่บีบคั้น
    แม้จะแต่งออกมายากแต่แพทสื่อออกมาได้ดีมากจริงๆ

    สุดท้ายแล้ว... มะลิยังคงจืดจาง แต่เป็นความจืดจางที่น่ารอดูต่อไปว่าหลังจากนี้ผู้หญิงคนนี้จะเป็นอย่างไร

    ดีใจที่ได้มาพบกันนะ :)
  • ความคิดเห็นที่ 42

    สมใจ
    • Name : สมใจ [IP] 171.96.167.216
    • 30 มีนาคม 2559 / 22:54
    อยากอ่านต่อ จะอ่านได้ที่ไหน
  • ความคิดเห็นที่ 41

    dinn
    • Name : dinn < My.iD > [IP] 171.96.184.106
    • 30 มีนาคม 2559 / 18:04
    พี่ปัฐเองนะครับ ^ ^

    เนื้อเรื่องหนักกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก แต่ก็สนุกมากเช่นกัน โดยเฉพาะการบรรยายทำได้ยอดเยี่ยมไปเลย ปีนี้คนบรรยายเก่งๆ เยอะแฮะ พล็อตของเรื่องนี้เองก็เจ๋งไม่น้อย รายละเอียดต่างๆ ก็เก็บรายละเอียดได้ดีมากเลยครับไม่หาข้อมูลมาอย่างหนักเขียนรายละเอียดต่างๆ อย่างพวกสถานที่แบบในเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ เห็นได้ถึงความสามารถ ความละเอียดอ่อนและความมุ่งมั่นอย่างแรงเลยครับ การสลับการเล่าเรื่องกับในความคิดพี่ว่าพี่เข้าใจนะ และไม่คิดว่าทำความเข้าใจยากด้วย อาจจะเป็นเพราะชอบอ่านหนังสือแนวๆ แบบนี้อยู่บ่อยๆ ละมั้งครับ อย่างพวกนิยายแปลก็มีให้เห็นเยอะเลยไม่คิดว่าแปลกหรือสับสนอะไร ^ ^" หลงรักเรื่องนี้เข้าซะแล้วสิ ^ ^b
  • ความคิดเห็นที่ 40

    จิว
    • Name : จิว [IP] 64.233.173.160
    • 28 มีนาคม 2559 / 22:08
    น่าติดตาม
  • ความคิดเห็นที่ 39

    สมใจ
    • Name : สมใจ [IP] 110.168.231.247
    • 28 มีนาคม 2559 / 01:38
    รออ่านอีกบทนะ กำลังมันส์ สู้ๆ
  • ความคิดเห็นที่ 38

    SleepyDevil
    • Name : SleepyDevil < My.iD > [IP] 49.49.121.65
    • 25 มีนาคม 2559 / 18:06
    สวัสดีครับคุณแพท ป๊อกตามมาอ่านตอนสี่นะ รู้ละว่าชอบอะไรอีกอย่างของนิยายเรื่องนี้ ชอบบทบรรยาย มันดูเหมาะสมดี จะตัดซีนไปมาผมก็ชอบนะ ถึงบางคนจะบอกว่ามันดูเหมือนหนังหรืออนิเมชั่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ ถ้ามองในฐานะคนอ่าน นิยายพออ่านมันก็จะมีภาพมีเสียงในหัวแล้วมันก็ไม่ต่างจากดูหนังหรือการ์ตูนสักนิด มันก็แค่ตัดฉากสุดท้ายตอนจบมันก็เชื่อมต่อเป็นเรื่องราวเดียวกันเอง ถ้าให้เขียนจาก1- 10ก็เขียนได้ แต่ถามคนอ่านสนุกมั้ย อันนี้แล้วแต่คน แต่สำหรับคนเขียนคงไม่สนุกที่จะเขียนแน่ๆ  สำหรับผมชอบแบบเกมเปิดแผ่นป้ายตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อยแบบนี้มากกว่า สู้ๆนะ ปล.มีนิดนึงบทนี้ตรง 'ข้างมันๆ' ไม่รู้ว่าคำผิดหรือเปล่า แต่ผมไม่เข้าใจคำนี้เลยชะงักนิดนึง
  • ความคิดเห็นที่ 37

    หอยทากกินบะหมี่
    • Name : หอยทากกินบะหมี่ < My.iD > [IP] 183.88.87.98
    • 24 มีนาคม 2559 / 18:30
    แวะมาอ่านตอนใหม่จ้า

    ตอนนี้มีปมใหม่โผล่มาอีกแล้ว ทำให้รู้เลยว่าพล็อตนิยายเรื่องนี้ใหญ่มาก
    มีการตัดไปตัดมาถึงเหตุการณ์ในแต่ละตัวละครเยอะมากทำให้สับสนอยู่บ้าง
    แต่ฉากที่เปิดปมของธันวาทำออกมาได้ดี
    อ่านแล้วเซอร์ไพรส์และสร้างความน่าสนใจให้กับเรื่องยิ่งขึ้น

    ตอนนี้ให้ฟีลเหมือนอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นยุคใหม่ที่มีการใส่คติธรรมลงมาในเนื้อหา
    มีการตีแผ่สังคมออกมาให้เห็นว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คีรินทร์ทำก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น
    หรือการนอนรอความตายอย่างโดดเดี่ยวของมะลิก็ไม่ใช่สิ่งที่โอไรออนสมควรได้รับ

    พล็อตใหญ่ เล่นใหญ่คือเสน่ห์ของเรื่องนี้
    แต่เพราะ 'ใหญ่' ก็เลย 'หนัก' ด้วย

    ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรสนิยมความชอบของแต่ละคน
    ส่วนการตัดสินก็ขึ้นอยู่กับกรรมการแต่ละท่าน

    เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆ

  • ความคิดเห็นที่ 36

    Enter Books Editor Team
    • Name : Enter Books Editor Team < My.iD > [IP] 49.49.246.110
    • 24 มีนาคม 2559 / 01:40
    โครงเรื่องมันใหญ่นะคับ
    ตัวละครก็เยอะ ประเด็นก็เยอะ
    จึงเป็นการยากที่จะหาจุดโฟกัสของเรื่อง
    ไม่รุ้จะโฟกัสที่มาสคอตต์ โอไรออน การต่อต้านระบบ มะลิ หรือตรงไหนดี
    อ่านแยกเป็นส่วนๆจะรุ้สึกสนุกได้ ด้วยความที่คนเขียนคิดมาดี
    แต่พออ่านรวมๆแล้ว มันยังขาด Unity ไปครับ

    แต่อย่างว่า...
    หนังสือดังๆหลายเล่มก้อตัวละครเยอะ ประเด็นเยอะ แต่ดังได้ สร้างเป็นซีรีส์
    หนังสือบางเล่มโดนสำนักพิมพ์มากมายปฏิเสธตั้งหลายครั้ง แต่พอได้ตีพิมพ์ละกลับดังไปทั่วโลก
    คนเป็นนักเขียน เขียนเพื่อความสะใจของเราเอง
    ถ้ามีใครมาร่วมสนุกไปกับเราด้วย อันนั้นถือเป็นโบนัสครับ

    เพราะงั้นก็เขียนต่อไปอย่างที่ทำมานี่แหละครับ ดีแล้ว
    อ่านแล้วรุ้สึกได้ถึงความสนุกในการเขียนครับ
    นี่แหละคือสิ่งสำคัญของการเขียน XD

    ดาวิษ ชาญชัยวานิช
  • ความคิดเห็นที่ 35

    LookFook
    • Name : LookFook < My.iD > [IP] 182.149.194.122
    • 24 มีนาคม 2559 / 00:45
    อ่านตอนนี้แล้วคือโลกนี้ยิ่งใหญ่มาก และวุ่นวายมากด้วย 
    ว่ากันที่คำผิดละกัน

    อ้อมกอดของพ่อที่ถูกอ้าออก >> คิดว่าอ้อมกอดของพ่อที่อ้าออก ก็ตรงตัวแล้ว ไม่น่าจะต้องถูกอ้านะ?
    เรียลลิตี้ >> ไปเซิร์ซมาว่าเป็น ล.ลิงนะ
    เลิ่กคิ้ว >> อันนี้อาจจะรีบ เข้าใจได้

    เป็นจุล
    จุล เล็กหรือน้อย มักใช้นำหน้าคำสมาส เช่น จุลกฐิน จุลศักราช
    จุณ ของที่ละเอียด ของที่ป่น เช่น แหลกเป็นจุณ
    >> อ่านจากเรื่องและความหมายแล้วน่าจะใช้ จุณ ตัวนี้มากกว่าแฮะ

    เชี่ยวกราด >> อันนี้ไม่แน่ใจก็เลยไปค้นมา กราด มีความหมายเยอะแต่ดูไม่เข้าเค้า ไปเจอมากรากน่าจะใช่
    กราก [กฺราก] ก. ตรงเข้าไปโดยเร็ว เช่น กรากเข้าไป. ว. รวดเร็ว
    เช่น น้ำไหลเชี่ยวกราก

    ปั้มหัวใจ >> ปั๊มหัวใจ

    ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ตอนนี้ก็เก็บทุกอย่างทุกรสดีเหมือนเดิม
    เลือดสาดน้อยกว่าตอนที่แล้วนิดนึงมั้ง? อารมณ์ความรุนแรงมันเบาลงเพราะไปมีเรื่องชีวิตของมะลิด้วย
    ชอบคาแรคเตอร์นาง เป็นตัวละครที่มองโลกในแง่ดีสุดใจจริงๆ
    เออ แล้วก็จะมีบางจุดที่แพทใช้ "มัน" แทนสิ่งของ ซึ่งก็ใช้ได้แหละ แต่บ่อยๆก็งงๆ อย่างช่วงบรรยายประตูแรกๆ จะมีตรงข้ามมัน อะไรทำนองนี้ คิดว่าละเป็น ตรงข้ามกัน อาจจะดูรื่นมากกว่า เหมือนเคยจำได้คร่าวๆว่ามันจะไม่ค่อยเหมาะในการบรรยายอะไรทำนองนี้สักเท่าไรน่ะ

    อื่นๆตอนนี้นึกไม่ออก แต่รู้สึกเห็นโลกชัดเพิ่มมากขึ้นดี และรอลุ้นตอนต่อไปเหมือนเดิม สู้ๆนะ :)
  • ความคิดเห็นที่ 34

    Amélie
    • Name : Amélie < My.iD > [IP] 58.11.114.185
    • 20 มีนาคม 2559 / 21:36
    ก่อนจะตอบคอมเม้นต์ อยากเลยว่าขอบคุณทุกคนที่เข้ามาตอบและแสดงความคิดเห็นทั้งทางคอมเม้นต์และแมสเสจมากๆ
    เราดีใจมากๆเลยค่ะ ที่สามารถทำตัวละครที่คนทั้งรักทั้งเกลียดได้ในเวลาเดียวกัน ตอนที่เห็นคนอ่านบางคนบอกว่าเชียร์คีรินทร์ให้ปฎิวัติระบบ ในขณะที่คนอ่านบางกลุ่มกลับชอบมะลิเพราะมองโลกในแง่ดีถึงแม้จะคิดในกรอบและเห็นด้วยในความคิดของเธอว่าถ้าระบบถูกทำลาย พื้นฐานสังคมก็จะถูกทำลายไปด้วย
    คุณหอยทากกินบะหมี่: ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่อุตส่าห์เสียเวลาอ่านและวิเคราะห์ลึกขนาดนี้ ดีใจจริงๆที่มีคนเข้าใจถึงหลายๆที่เราจะสื่อ ขอบคุณมากๆค่ะ
    คุณ Rinovel:  มะลิจำเป็นแน่นอนค่ะ ที่หลายๆคนรุ้สึกเธอจืดจ่างไปนิดเพราะว่าเราจงใจให้เธอสะท้อนตัวเด็กวัยรุ่นในสังคมน่ะค่ะ และต้องการเขียนให้เธอมีนิสัยมองโลกในแง่ดีด้วย ถ้าอ่านต่อไปเรื่อยๆ หวังว่าคุณจะเห็นพัฒนาการของเธอเองค่ะ
    คุณ Yue Yu: ใช่เลยค่ะ เราพลาดเรื่องชื่อเรื่องและคำโปรยมาก ถ้าแข่งจบคงจะรีบเปลี่ยนชื่อเรื่องและคำโปรยเป้นอย่างแรกเลย อ้อ แล้วก็หวังว่าเรื่องนี้จะ "เหนือคาด" มากกว่าผิดหวังนะคะ ^^
  • ความคิดเห็นที่ 33

    Yue Yu
    • Name : Yue Yu < My.iD > [IP] 182.232.46.16
    • 20 มีนาคม 2559 / 14:24
    จะบอกว่าผิดหวังหรือเกินคาดดี? ถ้าอ่านตามชื่อเรื่องแล้วรู้สึกว่ามันน่าจะโดดเด่นได้มากกว่านี้ นี่เนื้อเรื่องไปคนละความหมายกับชื่อเรื่องเลย แต่อันนั้นไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ ดำเนินเรื่องแบบนี้ก็โดดเด่นพอแล้วค่ะ ตั้งใจเขียนเข้านะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ
  • ความคิดเห็นที่ 32

    Rinovel
    • Name : Rinovel < My.iD > [IP] 49.48.219.119
    • 19 มีนาคม 2559 / 22:16
    สนุกดีค่ะ แต่ชื่อเรื่องกับเนื้อหานี่ไปคนละทางเลยแฮะ เรื่องนี้เหมือนออกแนวเสียดสีสังคม ให้อารมณ์ดิสโทเปียนิดๆ โครงเรื่องน่าจะใหญ่ ตัวละครก็เยอะแล้วก็หลายสัญชาติมาก555
    สรุปว่าฉากหลังตอนนี้คือประเทศไทยใช่ไหมคะ #เยอะจนเบลอ
    สำนวนกะมุกเราโอเคนะ หยุดอ่านไม่ได้น่าติดตามดี แต่ค่อนข้างจะสลับมุมมองบ่อยไปหน่อย เลยยังมองภาพรวมไม่ชัดว่าสรุปจะโฟกัสตรงไหนกันแน่ แล้วใครเป็นตัวเอก (ตัวดำเนินเรื่อง) ของเรื่องนี้ มะลิเอ๋ย เธอยังจำเป็นอยู่มั้ย55555

    แต่โดยรวมสนุกดีค่ะ แปลกใหม่น่าติดตามดี ขำตรงมุกที่ธันวาเรียกชื่อมะลิผิดๆ อะ พิกุล ลำดวน อัญชัญ คืออะไร 555555
  • ความคิดเห็นที่ 31

    หอยทากกินบะหมี่
    • Name : หอยทากกินบะหมี่ < My.iD > [IP] 14.207.92.225
    • 19 มีนาคม 2559 / 17:12
    สวัสดีจ้า หอยทากเองนะคะ พยายามจะแปะคอมเมนท์นิยายเรื่องให้ตั้งแต่บ่ายที่ทำงานจนเลิกงานแล้วก็ยังไม่สามารถแปะให้ได้ ระบบบอกยาวไปไม่ให้เมนท์ ๕๕๕๕๕ #หัวเราะทั้งน้ำตา

    หอยทากเลยตัดสินใจส่งเป็นลิงค์ให่เลยค่ะ!

    คอมเมนท์มาสคอต >> คลิก << 

    สู้ๆค่ะ รอตอนต่อไปอยู่น้า!
  • ความคิดเห็นที่ 29

    Amélie
    • Name : Amélie < My.iD > [IP] 61.90.25.152
    • 19 มีนาคม 2559 / 02:12
    คุณสมใจ: ขอบคุณที่เข้ามาอ่านอยู่ตลอดนะคะ ตอนแรกก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าคนอ่านจะชอบการบรรยายสถานที่แบบนี้ไหม ดีใจที่ชอบนะคะ
    Enter Books Editor Team: พี่อ่านแล้วสนุก เราก็ดีใจค่ะ
    คุณ สมายลี่สมาย:  ขอบคุณที่สนุกไปกับมาสคอตมากความลับแล้วเด็กฝึกงานหัวขี้เลื่อยนะคะ แล้วมาดูการแสดงของพวกเราอีกนะคะ
    คุณ SleepyDevil: ขอบคุณที่ติดตามเสมอมานะคะ คอมเม้นต์ของทุกคนมีความหมายกับเรามาก ขอบคุณจากใจจริงค่ะ
Page 1 of 3 1 2 3

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป