
EN18 MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
กฎเหล็กของมาสคอตสามข้อ: ห้ามคุย, ห้ามถอด, ห้ามงอแง คุณเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังหัวการ์ตูนสุดน่ารักเหล่านั้น เขาคือใครกันแน่ คำตอบน่ะหรือ...ผีที่มีชีวิตยังไงล่ะ
MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา
บทที่ 2 Gluggaveður อากาศภายนอก
Gluggaveður= อากาศที่เมื่อมองผ่านหน้าต่างแลดูอบอุ่นแต่กลับหนาวเย็นเมื่อได้สัมผัส
แล้วโลกนอกหน้าต่าง...มันจะเป็นแบบนั้นไหมนะ
“หนาว หนาว หนาว” ร่างเล็กในชุดกระโปรงแขนกุดสีแดงสั่นเทาไปตามอุณหภูมิของโอกินาวาเดือนธันวาคม เพราะตึกเรียนที่หันหน้าเข้าหามหาสมุทรแปซิฟิคด้วยกระมัง ลมเย็นๆจึงหอบไอทะเลชื้นๆขึ้นโถมใส่ร่างเล็กเต็มๆ มะลิตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกที่เหมือนสิบสี่องศาแปรเปลี่ยนเป็นสี่องศาทันตา
ไม่น่าตะกละเลยเรา...
มะลิในวัยสิบสองปีตำหนิตัวเองในใจ เด็กหญิงถูกสั่งให้ออกมายืนหน้าห้องเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงหลังถูกจับได้ว่าแอบทานผัดมะระในห้องเรียน
ใช่แล้ว! ผัดมะระ!
ย้อนไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว ในคาบเรียนวิชาคณิตศาสตร์หลังพักเที่ยง ‘กำแพงที่แข็งแกร่งที่สุดในมนุษยชาติ’ ถูกสร้างขึ้นจากหนังสือเรียนเล่มหนาสีม่วงบนโต๊ะ ข้างหลังมัน มะลิก้มหน้าก้มตาโซ้ยผัดมะระของร้านอารากากิเจ้าประจำหน้าโรงเรียนราวกับกำลังแข่งกินจุ กลิ่นหอมฉุยของโชยุและมิโสะแสนกลมกล่อมก่อเกิดการขับร้องประสานเสียงของกระเพาะน้อยใหญ่จากเพื่อนร่วมห้องอีกยี่สิบชีวิต พวกเขามองโต๊ะหลังห้องตาไม่กระพริบแต่ก็ไม่ลืมที่จะเช็ดน้ำลายที่มุมปากของตัวเอง และแล้วกำแพงของเธอก็ถูกพังครืนด้วยน้ำมือของครูสาวหน้ายักษ์ที่ผิดสังเกตปรากฏการณ์หลังห้อง คนถูกจับได้หน้าเหวอ ชิ้นมะระสีเขียวที่ครึ่งหนึ่งเข้าไปอยู่ในปากเธอตกใส่พื้นโต๊ะดังแหมะ
“นอกห้อง ครึ่งชั่วโมง!”
และนี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้เธอต้องออกมายืนตากลมนอกห้องเรียนเช่นนี้ แต่ที่แย่กว่านั้นคือเธอลืมหยิบเสื้อหนาวออกมาน่ะสิ... ถ้ามองจากในห้อง แสงแดดแรงๆของเกาะใต้สุดของญี่ปุ่นทำให้เธอคาดคะเนว่าอุณหภูมิน่าจะประมาณยี่สิบองศา...แต่ผิดคาด เมื่อพบว่าอากาศภายนอกนั้นหนาวเฉียดสิบองศา เด็กหญิงก็ตัดสินใจเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกายด้วยการกระโดดตบ
หนึ่ง...สอง...สาม...
“Gluggaveður สินะ” เสียงของใครบางคนทำให้ร่างผอมเล็กสะดุ้ง บนระเบียงคอนกรีตพิมพ์ลายไม้สีน้ำตาลอ่อน เด็กชายคนหนึ่งกำลังยืนกางแขนท่าหุ่นไล่กาหน้าห้องเรียนข้างๆ
“อะไรนะ” ทว่ามะลิไม่ได้ใส่ใจกับคำศัพท์แปลกๆนั่น เธอสนใจรูปลักษณ์ของเขาเสียมากกว่า...
เรือนผมสีเทาหยักศกที่เมื่อสะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายกลับแปรเปลี่ยนเป็นสีทองนวลตา ผิวขาวดุจหิมะแรกของฮอกไกโด...ไม่สิ หิมะแรกยังบรรยายสีผิวของเขาได้ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะเขาขาวจนกลืนไปกับกำแพงตึกเลยน่ะสิ!
โอไรออนเผือกอย่างนั้นหรือ
“ในภาษาไอซ์แลนด์ อากาศที่มองผ่านหน้าต่างแล้วดูอบอุ่นแต่กลับหนาวเย็นเมื่อได้สัมผัสเรียกว่า Gluggaveður น่ะ” คำอธิบายเย็นๆไม่ได้เข้าไปอยู่ในหัวของเด็กหญิงเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอเกิดและโตในเมืองเล็กๆทำให้เธอไม่เคยเห็นคนเผือกมาก่อน เธอกวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าแต่ก็สะดุดเข้ากับรอยสักที่ต้นคอ
XXX0051
ดูเหมือนเด็กชายเองก็รู้ตัวว่ากำลังถูกจ้อง มือขาวยกขึ้นลูบต้นคอตัวเอง
“เราเกิดที่เรคยาวิกน่ะ”
“เรคยาวิก” มะลิทวนเสียงสูง ในแพนเอเชียมีเมืองชื่อนี้ด้วยหรือ
“เมืองหลวงของไอซ์แลนด์น่ะ แม่เราเป็นคนที่นั่น” เด็กชายเอียงคอแล้วมอบรอยยิ้มให้เธออีกรอบ “พอดีพ่อเราเป็นโอไรออนที่ถูกส่งเข้าโครงการอบรมระหว่างประเทศ พวกเขาเลยเจอกันน่ะ”
ปกติแล้วโอไรออนจะถูกบังคับให้เดินทางได้แค่ภายในประเทศของตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้น โอกาสที่โอไรออนลูกครึ่งจะเกิดขึ้นเรียกได้ว่าเกือบเป็นศูนย์ การที่เธอได้พบเด็กชายเบื้องหน้านั้นเปรียบเสมือนการได้เห็นหมูบินได้เลยทีเดียว
“ไม่ใส่เสื้อนอกแบบนี้ หนาวแย่เลยนะ” เด็กชายชวนคุย เขาอยู่ในเสื้อแจ็คเก็ตสีเขียวขี้ม้าพร้อมฮู้ดที่ทำจากขนเทียมเพิ่มความอบอุ่น
“ก็คิดไม่ถึงว่าลมจะแรงขนาดนี้นี่” เด็กหญิงเริ่มกระโดดตบต่อเมื่อลมทะเลที่พัดมาทำให้ขนทุกตารางนิ้วลุกชัน ภาพร่างเล็กกระโดดขึ้นกระโดดลงท่ามกลางทางเดินหม่นเย็นๆสะท้อนบนดวงตาสีควันบุหรี่ใส โอไรออนผิวขาวอมยิ้ม
ถ้าได้เป็นเพื่อนกับเธอ...คงจะสนุกไม่เบา
“คีรินทร์! เข้าห้องได้!” ห้วงความคิดถูกเสียงตะโกนของครูหนุ่มขัดขึ้น ประตูไม้ข้างหลังเขาถูกเปิดออก แทนที่จะก้าวเข้าห้องเด็กชายกลับถอดเสื้อหนาวออก เขาโยนเสื้อที่ถูกขยำเป็นก้อนหนาให้เพื่อนใหม่ต่างห้อง มะลิรับเสื้อหนาวมาอย่างงงๆ และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่โอไรออนเผือกหันหลังกลับเข้าห้องไป
“เดี๋ยวสิ!” เธอตะโกนขึ้น เด็กชายโผล่หัวออกมาครึ่งหน้าจากประตู
“ฉันชื่อมะลินะ! อย่าลืมมาเอาเสื้อคืนด้วย” ก้อนเสื้อหนาวถูกกอดแนบอก
และแล้วไอแดดที่ไม่ถูกก้อนเมฆบดบังก็เริ่มมอบความอบอุ่นแก่ทางเดินชื้นๆแห่งนี้
-------------------------------------------------------------------
ใครอยากฟันขาว อยากฟันสวยก็ต้องแปรงฟัน
ไม่อยากฟันดำ ฟันหลอก็ต้องแปรงฟัน
เสียงใสๆดังก้องไปทั่วลานอเนกประสงค์กลางแจ้งขนาดใหญ่ของเซนต์จอร์จคอนแวนต์ หนึ่งในโรงเรียนเอกชนชื่อดังใจกลางบางกอกซึ่งวันนี้ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ไม่ว่าจะเป็นการจัดประกวดน้องหนูฟันสวย การฝึกแปรงฟันกับโมเดลขนาดใหญ่ การอบรมผู้ปกครองเรื่องสุขภาพปากของลูก และแน่นอนอยู่แล้ว... การแสดงเต้นประกอบเพลง
ทว่าจะให้เด็กๆในโรงเรียนลุกขึ้นมาเต้นก็เกรงว่าจะธรรมดาเกินไป พวกเขาจึงจ้างมาสคอตสองตัวมาเพิ่มสีสัน ตัวแรกคือยิ้มยิ้ม ฟันกรามเดินได้ที่มีใบหน้ายิ้มแย้มตลอดเวลา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าฟันกรามนั้นจะมีใบหน้าและปากที่เต็มไปด้วยฟันได้อย่างไร นี่มันฟันซ้อนฟันชัดๆ! ส่วนมาสคอตอีกตัวคือสะอาดจัง ไม้แปรงฟันสีชมพูที่มีใบหน้าซีเรียสราวกับกำลังไขสมการ E=mc2 อยู่ก็ไม่ปาน
ฟันผุๆ เคี้ยวอะไรได้ก็ไม่ค่อยดี
แล้วบางทีเคี้ยวไปโดนมันก็ปวดฟัน
มาสคอตทั้งสองเต้นบนเวทีกลางแดดเปรี้ยงอย่างขันแข็งโดยเฉพาะฟันกรามที่วิ่งกระโดดไปมาตามจังหวะเพลงราวกับเมายาบ้า เด็กๆและผู้ปกครองก็ดูจะชอบใจปรบมือกันใหญ่แถมยังกระโดดมาไฮไฟว์กับฟันกรามยักษ์อีกด้วย
ร้อน...ร้อนชะมัด
มะลิโบกมือขึ้นลงตามจังหวะเพลง ใบหน้าภายใต้หน้ากากหัวแปรงสีฟันนั้นเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เพราะเธอต้องใส่ชุดแสตนบายก่อนขึ้นเวทีตั้งครึ่งชั่วโมง เด็กสาวจึงรู้สึกราวกับโดนจับขังในซาวน่าร้อนๆมานานชั่วโมงเต็ม
นี่ก็เข้าวันที่สองแล้วที่เธอฝึกงานภายใต้ธันวา เธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านไม้เก่าๆในซอยเล็กๆแถวพรานนกใกล้โรงพยาบาลศิริราช ถึงแม้ว่าบ้านหลังนี้จะมีห้องนอนถึงสามห้อง แต่ห้องหนึ่งก็ถูกใช้เป็นห้องเก็บชุดมาสคอตที่ใหญ่เกินกว่าจะใส่ตู้เสื้อผ้าได้ ส่วนอีกห้องก็กลายเป็นห้องเก็บของสารพัด ธันวาบอกให้เธอไปรื้อของออกถ้าไม่อยากนอนที่ห้องรับแขก นี่เป็นงานชิ้นแรกที่เด็กฝึกงานยอมทำแต่โดยดี
หลังจากได้เห็นเขาจัดการกลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วยมือเปล่าที่ห้างสรรพสินค้า มะลิก็ปักหลักเชื่อว่าธันวาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เด็กสาวที่เป็นแฟนตัวยงของหนังซูเปอร์ฮีโร่พยายามค้นทุกซอกทุกมุมของห้องเก็บของเผื่อว่าเธอจะโชคดีพบเอกสารลับสุดยอดเกี่ยวกับการทดลองตัวอ่อน การดัดแปลงพันธุกรรม หรือหินคริสตัลที่มอบพลังมหาศาลแก่ผู้ใช้ แต่...ไม่เลย เธอเจอแต่นิตยสารชายโสด นิยายกำลังภายในเก่าเก็บจนกระดาษเหลือง มือถือฝาพับยี่ห้อโนเกียซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต อ้อ แล้วก็ม้วนเทปขนาดใหญ่ที่ถ้าจำไม่ผิดคนสมัยก่อนเรียกว่าม้วนวีดิโอ
สุดท้าย เมื่อผิดหวังกับการรื้อของ เด็กฝึกงานที่ตอนนี้ผมเปลี่ยนเป็นสีเทาจากฝุ่นและหยากไย่ก็เอาแต่นั่งกอดเข่าบนเชิงบันไดเฝ้ารอเวลาที่หัวหน้าของเธอจะถอดหัวมาสคอตออก
“เฮ้ ลำไย เดี๋ยวฉันอาบน้ำนะ จะเข้าห้องน้ำจะทำธุระอะไรก็รีบทำ” ธันวาที่อยู่ในชุดมาสคอตไดโนเสาร์ (ชื่อดีดี้)กล่าวขึ้น มะลิไม่คิดแม้แต่จะแย้งเรื่องชื่อตัวเอง เธอผายมือไปทางห้องน้ำหลังบ้านเป็นเชิงว่าตามสบาย
ในช่วงสามสิบนาทีนั้น เด็กสาวไม่ละสายตาจากประตูห้องน้ำพีวีซีสีฟ้าอ่อนแม้แต่นิดเดียว หูของเธอได้ยินเสียงรูดซิป เสียงเนื้อผ้าของชุดมาสคอตเสียดสีกัน เสียงหมุนก๊อกน้ำ แต่แล้วเมื่อหยดน้ำหยดแรกตกกระทบกับพื้นกระเบื้อง เธอก็ต้องรีบวิ่งไปหยิบที่อุดหูทันที ถ้าคนไม่รู้จักผ่านมาได้ยินเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากประตูห้องน้ำในขณะนี้ เขาคงคิดว่าเสียงร้องเพลงไทยเดิมแสนโหยหวนหลุดคีย์ของฟรีแลนซ์หนุ่มเป็นเสียงผีตายโหงแน่ๆ และแล้วมันก็หยุดลงพร้อมกับเสียงประตูห้องน้ำถูกปลดล็อค เด็กสาวจ้องภาพเบื้องหน้าเขม็งยิ่งกว่ากรรมการตัดสินนักวิ่งโอลิมปิคสองคนเข้าเส้นชัยพร้อมกัน
“มองอะไรอ่ะ เค้าอายนะ” ฟันกรามหน้ายิ้มดัดเสียง เด็กฝึกงานตาค้าง อาบน้ำเสร็จแล้วใส่ชุดมาสคอตต่ออย่างนั้นหรือ นี่เขาไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าปกติเลยหรือไง?
“ชุดสะอาดจังน่ารักมากเลยใช่มั้ยล่ะ แต่ไม่ต้องอิจฉานะ เธอเองก็ต้องใส่เหมือนกัน” มาสคอตฟันกรามยื่นชุดแปรงสีฟันหน้าเครียดที่พาดไว้บนชุดรับแขกให้เธอ “ลองใส่ดูสิ เดี๋ยวต้องซ้อมเต้นเพลง ฟ. ฟัน สะอาดดี ด้วยนะ”
มะลิอยากกรีดร้องแล้ววิ่งทะลุมุ้งลวดเอาหัวโขกต้นมะม่วงหน้าบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!
แสนจะเจ็บจี๊ดๆ ปวดตุ๊บๆ ตรงนั้น อูยทรมานจังเลย
ตัดมาที่ปัจจุบัน ธันวาที่ยังสนุกไม่หายกับการสวมบทฟันกรามล้มลงไปนอนกลิ้งๆกับพื้นทำท่าปวดตัวสะดีดสะดิ้งเรียกเสียงหัวเราะจากเด็กๆ มะลิเหลือบมองเขาผ่านรูตามาสคอต
สงสัยชาติที่แล้วธันวาคงเกิดเป็นอูฐโหนกเดียวแห่งทะเลทรายซาฮาร่า เขาถึงทนอากาศร้อนตับแตกขนาดนี้ได้
ร้อน ร้อน ร้อน
จะปาดเหงื่อก็ทำไม่ได้เพราะอยู่ในชุดมาสคอต โอไรออนฝึกหัดกัดฟันแล้วพยายามเต้นไปเรื่อยๆถึงแม้ว่าอากาศภายในชุดจะร้อนและเหม็นอับ แถมเธอยังหิวน้ำสุดๆ แขนที่ต้องโบกซ้ายขวาไปมาในชุดมาสคอตหนักๆเริ่มล้าเต็มที ไหนจะไหล่ที่ต้องรับน้ำหนักหัวมาสคอตหรือหัวแปรงของชุดแปรงสีฟันอีก กล้ามเนื้อทั่วร่างปวดตุบๆราวกับกำลังประท้วง เธอเพ่งสายตามองเหล่าเด็กๆที่กำลังหัวเราะร่ากับฟันกรามเพี้ยนๆเพื่อเบนความสนใจของตัวเอง
แปลกจัง ใครหรี่ไฟ...
ภาพมาสคอตฟันกรามวิ่งวนรอบลานกลางแจ้งราวกับหนูติดจั่นค่อยๆมัวขึ้นราวกับมีคนเอาแว่นกันแดดมาสวมให้เธอ ร่างกายของเธอรู้สึกเบาหวิวราวกับกำลังลอยตัวอยู่ในน้ำ
“เขาจะเป็นลมรึเปล่าน่ะ” เหล่าผู้ปกครองหันไปซุบซิบกันเมื่อเห็นแปรงสีฟันบนเวทีเริ่มเซราวกับคนเมา
เมื่อเห็นเด็กฝึกงานท่าไม่ดี ธันวาที่วิ่งเต้นกับเด็กๆแถวก็รีบวิ่งไปหน้าเวทีทันที ทว่ายังไม่ทันที่เท้าของเขาจะแตะขอบเวที โอไรออนฝึกหัดก็ล้มหน้าทิ่มพื้นเต็มๆ หัวมาสคอตปลายแปรงสีฟันสูงๆกระเด็นหลุดออกเผยให้เห็นใบหน้าของเด็กสาวที่ตอนนี้เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ผู้ปกครองหลายคนลุกไปช่วยพยุงเธอขึ้นมาทว่าคุณแม่ลูกสองที่เป็นคนพยุงไหล่ขวาเธอกลับเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง
“โอไรออนนี่!” เธอผละจากร่างของเด็กสาวทันทีราวกับโดนของร้อน ผู้ใหญ่คนอื่นๆก็เขยิบหนีออกไปปล่อยให้โอไรออนสาวยืนเซอยู่กลางวงล้อม ธันวารีบแหวกกลุ่มคนเข้ามาพยุงเด็กฝึกงาน
“พี่สาวเป็นโอไรออนเหรอ” เด็กหญิงชั้นปอสามตะโกนถาม เด็กๆหลายคนลุกขึ้นชะเง้อมองลอดวงล้อมของเหล่าผู้ใหญ่ โอไรออนหน้าตาเป็นยังไงนะ พวกผู้ใหญ่เคยเล่าว่าโอไรออนเป็นเหมือนกับสัตว์ประหลาดในหนังสือนิทาน พวกเขามีพลังทำลายล้างดุจดั่งจอมมาร มีจิตใจมืดมนดั่งอสูร แต่พี่สะอาดจัง ไม้แปรงฟันสีชมพูของพวกเขากลับดูไม่อันตรายเลยสักนิด เขาจะเป็นโอไรออนพวกนั้นได้ยังไงกัน
“โรงเรียนนี้เป็นเขตปลอดโอไรออนไม่ใช่เหรอ คุณปล่อยให้พวกเขาเข้ามาได้ยังไง ถ้าเกิดลูกฉันเป็นอะไรขึ้นมาคุณจะชดใช้ยังไงฮะ!” คุณแม่ลูกสองเป็นคนแรกที่เริ่มโวยใส่ครูใหญ่ที่ตอนนี้เดินเข้ามาร่วมกลุ่มไทยมุง
“ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นโอไรออน” ครูใหญ่หัวล้านแสดงสีหน้าเหยเก ปกติแล้วทั่วมุมถนนของแพนเอเชียจะมีกล้องวงจรปิดคอยแสกนใบหน้าของผู้สัญจร เมื่อใดที่มันอ่านค่าได้ว่ามีโอไรออนกำลังก้าวข้ามไปในเขตห่วงห้าม ระบบควบคุมความประพฤติก็จะส่งสัญญาณไปยังชิพที่ถูกฝังในสมองของพวกเขาเพื่อให้ระบบเบซัลแกงเกลียซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการเริ่มต้นของความเคลื่อนไหวยับยั้งก้าวต่อไป แต่เพราะโอไรออนสาวสวมหัวมาสคอตตั้งแต่ก่อนเข้ามาในเขตโรงเรียนทำให้ระบบจับเธอไม่ได้
เมื่อไม่ได้ยินคำแก้ตัวถูกใจ ผู้ปกครองทุกคนก็เลื่อนสายตาไปมองมาสคอตฟันกรามที่ครูใหญ่โทรติดต่อจากใบปลิวติดเสาไฟฟ้าหน้าโรงเรียน
“อ้ะ อย่างมองผมอย่างนั้นสิ ผมไม่ใช่โอไรออนนะ แล้วคุณครูเขาก็ไม่ได้บอกผมด้วยว่าที่นี่เป็นเขตปลอดโอไรออน” ธันวายักไหล่... อา แหกกฎเหล็กของมาสคอตจนได้นะเรา เขาหันไปมองเด็กน้อยที่ทำสีหน้าราวกับเห็นผีเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำเล็ดลอดออกจากมาสคอตฟันหน้าหวาน
“ไม่บอกก็น่าจะคิดได้นะ ป้ายหน้าโรงเรียนใหญ่ออกซะขนาดนั้น มองไม่เห็นรึไง” คุณพ่อในชุดสูทผู้บริหารตำหนิ
“ผมไม่เห็นจริงๆ รูตามาสคอตมันเล็กมากน่ะ” ฟรีแลนซ์หนุ่มโกหก เขาเห็นป้ายนั่นตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วแต่ก็คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะเป็นลมถึงขั้นทำหัวหลุดจนความลับแตกเช่นนี้ ลาก่อนนะ เงินค่าจ้างของเขา
“มีใครแจ้งตำรวจรึยัง” ผู้ปกครองอีกคนตะโกนถาม
“ฉันโทรไปแจ้งตั้งแต่เมื่อกี้แล้วค่ะ” ธันวามองคุณแม่ท้องแก่กำลังโบกมือถือในเคสสีชมพูกากเพชรแล้วอยากปาดเหงื่อ
“เอ่อ... ถึงขั้นเรียกตำรวจเลยเหรอ ถ้าพวกผมคืนเงินให้โรงเรียนแล้วจบกันแค่นี้ไม่ได้เหรอ” ธันวาเสนอ
“ไม่ได้! เราจะปล่อยให้โอไรออนพวกนี้ลอยนวลไม่ได้ ถ้าเกิดมันเข้าไปในเขตอื่นแล้วลักพาตัวเด็กๆไปจะทำยังไง!” คุณแม่ท้องแก่อีกคนปฎิเสธเสียงเข้มพร้อมกับแรงสนับสนุนนับสิบข้างหลัง มะลิจ้องภาพเหตุการณ์เบื้องหน้านิ่ง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธและรังเกียจจากกลุ่มคนเบื้องหน้าทำให้เธอรู้สึกจุกขึ้นมาถึงลำคอ ริมฝีปากเม้มแน่น
เธอไม่เคยรู้... ไม่เคยรู้ว่ามนุษย์ไม่ชอบโอไรออนขนาดนี้
“นี่พวกคุณเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า โอไรออนก็คือมนุษย์แบบพวกคุณนะ พวกเขาเพียงแค่...”
“ไม่ใช่! พวกมันคือปีศาจในคราบของมนุษย์!” ยังไม่ทันที่ธันวาจะพูดจบ เขาก็ถูกคุณแม่หัวโจกของกลุ่มสวนกลับ
ปีศาจในคราบมนุษย์ อย่างนั้นเหรอ... คำพูดนั้นวิ่งวนไปมาในหัวของเด็กสาว
“คุณเองก็น่าจะละอายบ้างนะ เป็นมนุษย์ซะเปล่า แต่กลับไปปกป้องสัตว์ประหลาด! จำไม่ได้เหรอ เมื่อหกปีที่แล้วที่โอซาก้าน่ะ มนุษย์กี่คนต้องตายเพราะพวกมัน!” มาสคอตฟันกรามถูกสายตาผู้ปกครองรุมทึ้ง
มะลิมองร่างสูงตาไม่กระพริบ... พ่อของเธอก็เป็นหนึ่งในสมาชิกหน่วยรักษาดินแดนพิเศษที่ถูกส่งไปช่วยปราบกบฏที่โอซาก้า ตอนนั้นเกิดเหตุระบบควบคุมความประพฤติขัดข้องทำให้มันไม่สามารถยับยั้งพฤติกรรมแง่ลบของโอไรออนได้อีกต่อไป โอไรออนจำนวนมากรวมตัวกันก่อกบฏโจมตีมนุษย์ในมหานครแห่งคันไซ สมาชิกหน่วยรักษาดินแดนจากทั่วแพนเอเชียรวมกำลังกันปราบกบฏเหล่านี้ได้สำเร็จ ทว่าผลงานของพวกเขากลับไม่ได้เป็นที่รับรู้ของมนุษย์ทั่วไป นั่นเป็นเพราะสื่อที่เลือกจะนำเสนอเฉพาะภาพสุดโต่ง ผลกระทบร้ายแรงและจำนวนผู้เสียชีวิตชาวมนุษย์โดยไม่คิดจะเสนอจำนวนสมาชิกทีมรักษาดินแดนที่เสียชีวิต หรือภาพเหตุการณ์ที่พวกเขาออกมาป้องกันประชาชนอย่างกล้าหาญจนตัวตายเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเป็นต้นมา มุมมองที่มนุษย์มีต่อโอไรออนก็แย่ลงกว่าเดิม จากที่เคยถูกมองเป็นอาวุธสงคราม พวกเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดเลือดเย็นไร้จิตสำนึก สถานที่ต่างๆเริ่มติดป้ายห้ามโอไรออนเข้าออก มีกระแสต่อต้านโอไรออนขึ้นทั่วแพนเอเชีย สังคมถูกแบ่งเป็นสองฝากอย่างชัดเจน
“โอซาก้าเหรอ...” ธันวาปริปาก จำได้สิ... เขาจะจำเหตุการณ์ที่โอซาก้าไปจนวันตาย...
“ธันวา...เคย์เขา...” เด็กหนุ่มประคองร่างเล็กแสนเปราะบางไว้บนตักอย่างเบามือ หิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาช่วยกลบคราบเลือดบนพื้นสะพานข้ามคลองโดทงบุริจนกลายเป็นสีขาวพิสุทธิ์ราวกับว่าการต่อสู้ ความตายทั้งหมดนั้นเป็นแค่ฝันร้ายที่ลอยผ่านไป
“ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาฝืนยิ้มอ่อนๆเป็นเชิงบอกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไร มือหนาลูบเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนที่ปรกหน้าเด็กสาวออก มืออีกข้างประคองหัวไหล่เล็กเอาไว้ ไม่มีบทสนทนาอะไรต่อจากนั้น ธันวาในวัยสิบแปดปีได้แต่เม้มริมฝีแน่นขณะมองลมหายใจรวยรินถูกพ่นออกมาเป็นไอขุ่นที่สลายหายไปอย่างรวดเร็วราวกับชีวิตของเธอกำลังหลุดลอยออกไปไกลเรื่อยๆ เสื้อเกาะกันกระสุนที่ถูกอัดอย่างแรงจนฉีกขาดเผยให้เห็นเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านในที่ตอนนี้ถูกย้อมเป็นสีดำด้วยของเหลวไร้ชื่อจากแผลเหวอะที่หน้าท้อง ใบหน้าขาวซีดเปรอะไปด้วยคราบสีดำที่ถูกสำลักออกมา
ใช่...ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว แค่เห็นบาดแผลพวกนี้ เขาก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของใคร...
“เฮ้ เคย์ ฉันว่าพอจบเรื่องที่โอซาก้าแล้ว ฉันจะบอกอลิซว่ะ”
“บอกอะไร”
“บอกความในใจไง”
สำหรับธันวาแล้ว รอยยิ้มของอลิซเป็นดั่งแสงเล็กๆของดวงดาวที่คอยส่องนำทางให้กับชาวประมงหลงทะเล เป็นดั่งแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ช่วยหล่อเลี้ยงต้นไม้สูงใหญ่ทั้งหลาย ทว่าสิ่งใดที่เกิดขึ้นก็ย่อมมีวันที่ต้องดับสูญ ดวงดาวนำทางของเขาเองก็เช่นกัน...
บอกเขาที...เธอแค่หลับไปใช่ไหม
เมื่อไม่จำเป็นต้องให้กำลังใจใครอีกต่อไป ใบหน้าที่มักจะแปดเปื้อนรอยยิ้มพลันมลายหายไปทันที เลือดร้อนสูบฉีดพลุ้งพล่านไปทั่วร่าง เด็กหนุ่มอุ้มร่างบางขึ้นยืนท่ามกลางหิมะที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
เขาไม่มีวันให้อภัยหมอนั่น! ไม่มีวัน!
“เคย์!!!” เสียงคำรามดังก้องสะท้อนไปทั่วสองข้างคลองใหญ่แห่งนี้ ฟันกรามบนล่างขบกันแน่น อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งเกินร้อยสามสิบครั้งต่อนาที
แต่ทำไมกันนะ... ทำไมหิมะพวกนี้ถึงทำให้แก้มของเขาเปียกชื้นขนาดนี้กันนะ
ปี๊ด!!!
“ตำรวจครับ! ขอทางหน่อยครับ!” สิ้นเสียงนกหวีด กลุ่มไทยมุงพร้อมใจกันแหวกเป็นสองฝากเปิดทางให้ตำรวจร่างอ้วนเดินตรงรี่มายังฟันกรามหน้ายิ้มอย่างรู้งาน
“ปรับผมน้อยๆนะ คุณตำรวจ แค่นี้ก็ชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว” มาสคอตหนุ่มที่ถูกเสียงนกหวีดเรียกสติคืนมายื่นมือให้อย่างว่าง่าย
“งั้นกินข้าวแดงละกันนะคืนนี้” ตำรวจคนนั้นคล้องกุญแจมือดังฉับไม่สนเสียงโอดครวญของฟรีแลนซ์หนุ่ม เขาหันไปออกคำสั่งกับลูกน้อง “ไอ้เผือก ไปจัดการกับโอไรออนผู้หญิงนั่นที”
มะลิสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคำสั่งของตำรวจพุงกะทิ เธอกำลังจะถูกจับอย่างนั้นหรือ เธอจะถูกขึ้นแบล็คลิสต์ไหมนะ ถ้าโรงเรียนไล่เธอออกแล้วจะทำอย่างไร จะให้เธอไปทำงานเป็นภารโรงหรือไง? เอ หรือว่าเธอจะกลับไปทำสวนที่บ้านเกิดดี แล้วพอถึงหน้าแล้งค่อยเข้ามาทำงานก่อสร้างที่บางกอก ถ้าเธอเกิดตกตึกกลายเป็นอัมพฤตขึ้นมาล่ะ? จะมีประกันคุ้มครองเธอมั้ยนะ
“เสื้อหนาวนั่นน่ะ เมื่อไหร่จะเอามาคืน” เสียงนุ่มๆทำให้เด็กสาวเงยขึ้นมองเจ้าของเงาสูงใหญ่ที่ทาบลงมาเบื้องหน้า
เรือนผมกับดวงตาสีควันบุหรี่สะท้อนแดดยามเที่ยงแปรเปลี่ยนเป็นสีทองอ่อนๆล้อมรอบใบหน้าเหลี่ยมสันที่ไม่เหลือเค้าของความเป็นเด็กอีกต่อไป เสื้อเกราะกันกระสุนสีน้ำเงินที่ถูกสกรีนคำว่า ‘ORION’ แต่ที่สำคัญที่สุด...ผิวขาวซีดราวกับรูปสลักยากจะมีใครเหมือน
“คีรินทร์!!!” เด็กสาวอุทานชื่ออดีตเพื่อนร่วมชั้นอย่างไม่เชื่อสายตา
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ มะลิ..ไม่สิ สะอาดจัง” โอไรออนหนุ่มยิ้มอบอุ่น
หลังจากถูกสอบสวนและโยนความผิดให้มาสคอตฟรีแลนซ์เรียบร้อย มะลิก็ออกมานั่งรอหัวหน้าฝึกงานบนชิงช้าไม้กลางลานโล่งเล็กๆข้างสถานีตำรวจ อาจจะเพราะโรงพักแห่งนี้ตั้งอยู่ในซอยแคบๆติดถนนสีลมที่มีแต่บริษัทขนาดย่อมกระมัง สนามเด็กเล่นแห่งนี้จึงไม่ค่อยมีเด็กๆมาใช้บริการเสียเท่าไหร่
“ดูท่าน่าจะต้องคุยกันยาวเลยล่ะ บอสของเธอน่ะ” โอไรออนหนุ่มที่ถูกส่งมาฝึกงานกับกรมตำรวจหย่อนตัวลงนั่งบนชิงช้าข้างๆ เขายื่นกระป๋องน้ำอัดลมที่เพิ่งกดจากตู้ให้ ทว่าก่อนที่เธอจะรับมันก็ปรากฏไอขาวๆที่ค่อยๆแผ่จากใต้ฝ่ามือหนาไปรอบ ในเวลาไม่กี่วินาที กระป๋องน้ำอัดลมก็มีเกล็ดน้ำแข็งละเอียดห่อหุ้มโดยรอบ
“วันนี้อากาศร้อน ฉันเลยกลัวมันจะหายเย็นเร็วน่ะ” โอไรออนหนุ่มผู้มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิวัตถุกล่าวยิ้มๆ มะลิกล่าวขอบคุณแล้วยกมันขึ้นดื่ม “จับผลัดจับพลูยังไงถึงไปเป็นมาสคอตได้ล่ะ”
“เรื่องมันยาวน่ะ ว่าแต่นายเถอะ ไม่เจอแค่สามปี เปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” คำว่าผู้ใหญ่ดูเหมาะที่จะอธิบายสภาพเพื่อนชายเบื้องหน้ามากกว่าคำว่าเด็กหนุ่ม ในช่วงเวลาสามปีที่คีรินทร์ถูกย้ายไปโรงเรียนฝึกสาขาฮาร์บินในจีน เขาสูงขึ้นถึงสิบห้าเซนติเมตร ใบหน้าไม่มีพวงแก้มสีแดงระเรื่ออีกต่อไป ยิ่งพอเขาสวมยูนิฟอร์มสีฟ้าพร้อมเกราะกันกระสุนแบบนี้ด้วยแล้ว ถ้าเธอไม่รู้จักเขาก็คงคิดว่าเขาเป็นตำรวจจริงๆไปแล้ว
“เธอไม่เคยได้ยินเหรอ ที่เขาบอกว่าพวกฝรั่ง โตไว แก่เร็วกว่าคนเอเชียน่ะ ฉันว่าฉันคงได้รับยีนส์ตัวนั้นจากแม่เต็มๆเลยล่ะ” คีรินทร์หัวเราะ มะลิยิ้มตอบ พวกเขาสองคนเงียบไปชั่วครู่ เด็กสาวไม่อาจหยุดคิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันได้ ภาพเหล่าผู้ปกครองที่รุมตำหนิธันวา และท่าทางรังเกียจที่พวกเขามีต่อเธอนั้นฝังลึกยากจะลืมเลือน ทุกครั้งที่เธอนึกถึงมัน กระเพาะของเธอจะเจ็บแปลบราวกับถูกบีบ หัวใจเต้นเร็ว ไม่สบายตัวเอาเสียเลย
“เหมือน Gluggaveður เลยนะ” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนาขึ้น เขามองอีกาสีดำบินลงโฉบเศษหมูปิ้งที่คนมักง่ายโยนทิ้งไว้ “อากาศที่มองผ่านหน้าต่างกับอากาศที่แท้จริงมันต่างกันมากๆเลยนะ ว่าไหม”
อีกาอีกสองตัวบินโฉบลงมาหมายจะขโมยเศษหมูปิ้งชิ้นนั้นจากอีกาตัวเล็กกว่า มะลิเอียงคอแล้วมองอดีตเพื่อนร่วมชั้น “แอร์โรงพักหนาวมากเหรอ”
คำถามนั้นทำให้คู่สนทนาหลุดขำ คีรินทร์หันมาสบตาเธอ ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ใสแจ๋วราวกับกระจกอีกแล้ว มันดูขุ่นมัวเหมือนควันบุหรี่ที่ถูกพ่นออกมายามค่ำคืนในตรอกเล็กๆคับแคบ
“ฉันหมายถึงสังคม ไม่สิ...โลกแห่งความจริงต่างหาก” เขาอธิบายแล้วเหลือบมองฝูงกาที่เริ่มกระพือปีกใส่กันเพื่อแย่งเศษหมูชิ้นนั้น
“เพราะมองเห็นแต่โลกภายในโรงเรียนมาตลอด พวกเราเลยเผลอคิดว่าข้างนอกรั้วนั่นคงไม่ได้แตกต่างสักเท่าไหร่ แต่พอถูกส่งออกมาเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง พวกเรากลับพบว่ามันหนาวเย็นกว่าที่ที่จากมานับสิบเท่าร้อยเท่า” อีกาตัวเล็กสุดบินหนีหายไปกับท้องฟ้ายามโพล้เพล้ถึงแม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้พบเศษเนื้อเป็นตัวแรก คีรินทร์หันมายิ้ม “แต่คราวนี้ คงไม่มีใครหาเสื้อกันหนาวให้พวกเราแล้วล่ะ”
“ฉันว่าฉันคงโชคร้ายไปเจอกลุ่มคนที่ไม่ชอบโอไรออนล่ะมั้ง คนอื่นๆคงไม่หัวรุนแรงขนาดนี้...”
“เธอจำเหตุการณ์ที่นาฮะ ไม่ได้เหรอ” คีรินทร์ขัดขึ้นทันควัน คนมองโลกในแง่ดีสะดุดกึก
ถ้าเปรียบความทรงจำของเธอเป็นบ้านหลังหนึ่ง เธอจะเก็บรสชาติของอาหารแสนอร่อยที่เคยได้ลิ้มลองไว้ในห้องครัว ภาพวันแสนสุขกับครอบครัวจะถูกอัดกรอบแขวนไว้ทั่วห้องรับแขก เธอจะถักทอความฝันที่ได้เข้าร่วมหน่วยรักษาดินแดนเป็นผ้าห่มผืนใหญ่ใช้กอดนอน และในห้องเก็บของลึกสุดของบ้านหลังนี้ ความทรงจำเลวร้ายต่างๆจะถูกขังเก็บเอาไว้
ความทรงจำที่นาฮะเมื่อสามปีที่แล้วก็เช่นกัน...
“คีรินทร์ คนอื่นๆล่ะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน พอหันมาอีกทีก็หายไปหมดแล้ว” เด็กหนุ่มผิวขาวซีดตะเบ็งเสียงคุยกับเด็กสาวตัวเล็กกว่าท่ามกลางฝูงชนบนถนนโคคุไซโดริหรือถนนหลักของนาฮะ วันนี้พวกเขาและเพื่อนนักเรียนอีกสามคนลงทุนนั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะมายังเมืองหลวงของจังหวัดโอกินาวาเพื่อชมการแห่ขบวนแสนยิ่งใหญ่ของเทศกาลปราสาทชูริ เทศกาลที่จัดขึ้นปีละครั้งเพื่อรำลึกถึงประวัติศาสตร์ยุครุ่งเรืองของอาณาจักรริวกิว อาณาจักรเล็กๆที่มีวัฒนธรรมกึ่งจีนผสมญี่ปุ่นที่เคยตั้งอยู่บนหมู่เกาะแห่งนี้
ราวเหล็กถูกกั้นขึ้นตลอดสองข้างถนนช้อปปิ้งเส้นนี้เป็นระยะทางกิโลเมตรกว่าๆ คีรินทร์ได้แต่หัวเราะกับท่าทางของคนตัวเตี้ยกว่าที่พยายามเขย่งเท้ามองลอดฝูงชนไปยังขบวนพาเหรด ชายหญิงในชุดกิโมโนสีดำเดินเป็นแถวอย่างเชื่องช้าแต่สวยงามตามจังหวะเพลงพื้นบ้านที่ถูกบรรเลงออกมาจากซันชินหรือพิณสามสายพื้นเมือง พวกเขามีสีหน้าสงบนิ่ง ดวงตาจ้องไปข้างหน้าราวกับกำลังหลงอยู่ในยุคเก่าแสนรุ่งเรืองไร้ซึ่งการรุกรานจากทหารญี่ปุ่นและอเมริกา
“อ้ะ นั่นไง ขบวนจักรพรรดิมาแล้ว!” มะลิตาเป็นประกายเมื่อเห็นขบวนข้างหลังมีบุรุษในชุดขุนนางสีฟ้าจำนวนมากทยอยเดินสองแถวออกมาอย่างเป็นระเบียบ ที่ปลายถนน เกี้ยวสีทองอร่ามถูกชายฉกรรจ์สิบสองคนหามเข้ามา ภายในเกี้ยวมีบุรุษในชุดผ้าไหมสไตล์จีนสีแดงเลื่อมทองนั่งอยู่ ด้วยความที่มะลิเขย่งขาจนเริ่มเป็นตะคริว ร่างบางจึงเซไปชนกลุ่มเด็กวัยรุ่นข้างหน้า พวกเขาหันมาจะเอาเรื่องเธอทันที มะลิได้แต่ก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษซ้ำๆ
“โอไรออนนี่หว่า” หนึ่งในเด็กหนุ่มเหล่านั้นพึมพำเมื่อเห็นรอยสักบนคอของเธอ
“กลับไปติดเกาะของพวกแกเถอะไป!” คนตัวใหญ่สุดในกลุ่มปาถาดทาโกยากิว่างเปล่าใส่เด็กสาว ซอสสีน้ำตาลเหนียวหนืดกระเด็นเปรอะไปทั่วเสื้อเชิ้ตสี้ขาวของคนตัวเล็กกว่า ความอดทนของโอไรออนเผือกขาดผึงทันที คีรินทร์กระชากแขนเพื่อนสาวให้ไปยืนข้างหลัง
“ขอโทษเดี๋ยวนี้!” เขาเดินเข้าไปประชิดหน้านักเลงร่างโต ดวงตาสีขวัญบุหรี่ลุกวาวด้วยโทสะ “ขอโทษเพื่อนฉันเดี๋ยวนี้!”
“เวลาแกเตะหมาจรจัด แกเคยขอโทษมันไหมล่ะ” ลมหายใจคาวๆกลิ่นทาโกยากิถูกพ่นใส่หน้าเด็กหนุ่ม “แล้วทำไมฉันต้องขอโทษสัตว์-ประ-หลาด อย่างพวกแกด้วยวะ”
“หนอย แก!” คอเสื้อของร่างอ้วนถูกกระชากขึ้นจนเท้าเกือบลอยจากพื้น มืออีกข้างของโอไรออนวัยสิบห้าปีปรากฏไอเย็นติดลบสามสิบองศา ฝูงชนที่ยืนชมขบวนพาเหรดแตกกระจายเมื่อเห็นการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้น กลุ่มนักเลงเองก็ตกใจใช่ย่อย
เงียบ...
ทว่าคีรินทร์กลับยืนค้างท่านั้นนานราวกับถูกแช่แข็ง
อย่าบอกนะว่า...
“ระบบ...ระบบมันหยุดฉัน” เด็กหนุ่มพึมพำแล้วเลื่อนสายตามามองเพื่อนสาวทั้งๆที่ร่างยังแน่นิ่ง ใช่แล้ว โอไรออนมีกฎหลักอยู่ทั้งหมดสามข้อ
1. โอไรออนห้ามฆ่ามนุษย์ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากระบบ
2. โอไรออนห้ามฆ่าโอไรออน นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากระบบ
3. การตัดสินใจของระบบถือเป็นสิ่งสูงสุด ไม่มีอะไรขัดแย้งระบบได้
เพราะรัฐบาลแพนเอเชียมองโอไรออนเป็นอาวุธสงคราม ถ้าปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันเองก็จะพลันทำให้พลังแสนยานุภาพของประเทศลดลง นี่ทำให้ระบบควบคุมความประพฤติมีหน้าที่เป็นดั่งเครื่องแสกนสภาวะทางอารมณ์และคอยยับยั้งโอไรออนคนใดที่มีความโกรธ ความเครียด ความตื่นเต้นมากเกินกำหนดเพราะมันอาจจะกลายเป็นภัยต่อผู้คนโดยรอบ
เมื่อเห็นว่าโอไรออนหนุ่มเบื้องหน้าทำอะไรพวกตนไม่ได้แล้ว เหล่านักเลงชาวมนุษย์ก็หักข้อมือดังกร๊อบแกร๊บแล้วแสยะยิ้มน่ารังเกียจ มะลิพยายามวิ่งเข้าไปห้ามแต่ก็โดนผลักจนล้มกองกับพื้น ภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้าคือคีรินทร์ที่ถูกถีบตัวปลิวไปชนรั้วเหล็กเตี้ยๆ พวกมันซ้อมเขาราวกับนักมวยซ้อมกระสอบทราย หนำซ้ำมือหน้ายังจิกเรือนผมสีเทาขึ้นแล้วสะบัดจนร่างสูงกระเด็นเข้าไปกลางขบวนพาเหรด
“ไอ้เด็กนี่มันเป็นโอไรออน!” หนึ่งในนักเลงเหล่านั้นป่าวประกาศเสียงก้อง เหล่านักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นที่ตั้งใจจะเข้ามาห้ามพลันหันหลังราวกับไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที มะลิได้แต่พยายามวิ่งเข้าไปดึงแขนเด็กวัยรุ่นร่างบึกให้ละมือจากใบหน้าของเพื่อนชายแต่ก็ไร้ผล เธอมองไปรอบๆ เหล่าผู้ชมขบวนพาเหรดมองเธอด้วยแววตานิ่งเฉย ไม่ตกใจหรือเห็นใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นเป็นครั้งแรกที่มะลิเข้าใจถึงความรู้สึกของนักบินอวกาศที่ต้องลอยเคว้งคว้างไปเรื่อยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในยามที่ยานถูกทำลาย
ไร้ตัวตน ไม่มีใครมองเห็น ไม่มีความช่วยเหลือ
คืนนั้น คีรินทร์กลับมาถึงหอด้วยใบหน้าบวมช้ำราวกับถูกฝูงผึ้งต่อย เขานั่งเงียบในห้องพัก ไม่มีคำพูด คำโอดครวญอะไรหลุดออกจากปาก ทว่าดวงตาสีควันบุหรี่คู่นั้นได้แปรเปลี่ยนไป มันไม่ใช่ดวงตาของคีรินทร์...เด็กหนุ่มผู้มีความฝันจะเป็นผู้พิทักษ์แพนเอเชียอีกแล้ว มันเป็นดวงตาของคนที่เริ่มเห็นความจริง... ความจริงที่ว่า
ไม่มีคำว่ายุติธรรมสำหรับโอไรออน
“ทุกอย่างมันเริ่มมาจากระบบนั่น” คีรินทร์ชี้ที่ขมับของตัวเองแล้วกำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด “มันทำให้พวกเราต้องเป็นแบบนี้ เป็นเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกควบคุมตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีความยุติธรรม”
“ถ้ามองอีกด้านนึง ระบบนั่นก็ทำให้สังคมปลอดภัยขึ้นนะ ลองคิดดูสิ ถ้าเกิดโอไรออนเลวๆบางคนไม่โดนควบคุม แพนเอเชียอาจจะมีเรตอาชญากรรมสูงกว่านี้นับสิบเท่าก็ได้” คนมองโลกในแง่ดีกล่าวขึ้น “จริงๆแล้ว ถ้าไม่นับเรื่องโดนคนบางคนรังเกียจ โลกใบนี้ก็...พออยู่ได้นะ”
ความคิดแง่บวกทำให้เขาจ้องเธอเขม็ง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเธอยังเงาใสราวกับกระจกเหมือนเดิม มันช่างบริสุทธิ์...ต่างจากเขา
มะลิเกิดและใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆโดยมีกำแพงที่เรียกว่ากฎล้อมรอบ เมื่อไรที่เธอถามพ่อแม่ว่าทำไมเธอถึงเข้าไปเล่นสนามเด็กเล่นของมนุษย์ไม่ได้ พวกเขาก็มักจะตอบด้วยรอยยิ้มเนือยๆว่า “มันเป็นกฎน่ะลูก” พอโดนพ่อแม่เธอตอบอย่างนี้บ่อยๆเข้า ความคลาแคลงใจในตัวเด็กหญิงก็หายไป เธอกลายเป็นเหมือนลูกแกะที่คอยเดินตามฝูง เป็นคนที่ทำตามกฎโดยไม่รู้ความหมายของมัน หลังจากเหตุการณ์ที่นาฮะ เธอเริ่มรู้สึกว่าโลกใบนี้ไม่ยุติธรรมแต่เพราะอุปนิสัยโกรธยาก หายง่าย ผ่านไปสามเดือน เธอก็ไม่เคยนึกถึงมันอีกเลย ผิดกับคีรินทร์ที่ทุกครั้งที่หลับตาลง เขาจะได้ยินเสียงท่วงทำนองของเพลงพื้นบ้านโอกินาวาพร้อมกับรสขมๆในปาก
ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ เธอไม่เข้าใจอะไรเลย
“มะลิ บางที เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงอาจจะมาถึงแล้วก็ได้นะ” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีทองเบื้องบน ริมฝีปากเม้มแน่น “ถึงตอนนั้น เธอคงจะเข้าใจ”
มะลิกระพริบตาปริบๆ ราวกับเวลาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เธอสาบานได้ว่าเธอเห็นภาพเด็กชายใบหน้าแจ่มใสกำลังยื่นเสื้อกันหนาวให้เธอข้างๆร่างสูงโปร่ง
รู้สึกตัวอีกที อดีตเพื่อนสนิทก็เดินกลับเข้าไปในโรงพักไร้ซึ่งคำบอกลา
ไม่กี่นาทีต่อมา มาสคอตฟันกรามหน้ายิ้มก็เดินบิดขี้เกียจออกมาจากประตูกระจกของโรงพัก
“ไง พิกุล” เขาโบกมือ
“ฉันชื่อมะลิ” เจ้าของชื่อกลอกตาเป็นครั้งที่ร้อย “แล้วนี่คุณจัดการกับตำรวจเสร็จแล้วเหรอ”
“เรียบร้อยแล้วล่ะ ฉันใช้เสน่ห์นิดหน่อยเขาก็ยอมปล่อยตัวแล้ว” เขาหันไปชูนิ้วโป้งให้กับนายตำรวจร่างอ้วนที่มองเขาตาเขียวปัด มะลิมั่นใจว่ามันไม่ใช่เสน่ห์แน่ๆ
“เธอชอบทานห่านมั้ย” หัวหน้าฝึกงานเปลี่ยนเรื่องขณะเดินนำเธอผ่านห้องแถวน้อยใหญ่เพื่อออกไปสู่ถนนสีลม “พอดีแถวนี้มีร้านห่านพะโล้อร่อยน่ะ”
“ฉันไม่เคยทานเนื้อห่านมาก่อน” มะลิเว้นวรรคแล้วยกมือขึ้นมาจับต้นคอด้านขวา เธอมองเหล่าพนักงานบริษัทที่เดินสวนเธอไปมาในตรอกแห่งนี้แล้วก้มหน้า “แต่...เขาจะให้ฉันเข้าร้านเหรอ”
ธันวาหยุดยืนกลางถนนเมื่อได้ยินประโยคหลัง เขาเดินเข้าไปในร้านขายยาเก่าๆหนึ่งห้องแถวข้างๆก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับซองสีส้มแบนๆขนาดเท่ากระดาษเอสี่พับครึ่ง
“ยื่นคอมาสิ” มะลิถอยครูดไปแล้วทำท่าเหมือนสาวพรหมจรรย์สงวนตัว
“ยื่นคอมา! ฉันไม่พิสมัยเธอหรอกน่า” ว่าแล้วมือหนาก็คว้าหมับเข้าที่คอของคนตัวเล็ก เขาหยิบพลาสเตอร์สีขาวจากซองออกมาปิดทับรอยสักรหัสโอไรออนฉับพลัน
“แค่นี้เธอก็เป็นผู้หญิงโง่ๆที่นอนตกหมอนจนคอเคล็ดแล้ว” ธันวากล่าวแล้วเดินตรงไปยังปากซอย เด็กสาวยืนนิ่งจับต้นคอตัวเอง ดวงตาของเธอสะท้อนภาพแผ่นหลังขาวๆของฟันกรามร่างอ้วน มุมปากบางค่อยๆเผยอขึ้นจากสิบองศา เป็นยี่สิบองศา เป็นสามสิบองศา
อย่างน้อย บนโลกใบนี้ก็มีมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่เกลียดโอไรออนล่ะนะ
“ไง คีรินทร์ แม่ส่งโปสการ์ดมาน่ะ” ชายวัยกลางคนเรียกชื่อลูกชายคนเดียวในชุดยูนิฟอร์มตำรวจที่เพิ่งจะไขประตูบ้านเข้ามา คีรินทร์ทักทายพ่อของตนขณะบรรจงวางรองเท้าหนังสีดำไว้บนชั้นหน้าบ้าน เขาหยิบโปสการ์ดแผ่นเล็กบนโต๊ะกาแฟหน้าชุดโซฟาราคาถูกขึ้นมา ภาพหน้าโปสการ์ดนั้นเป็นรูปท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีเส้นแสงสีเขียวอ่อนพาดผ่านราวกับม่านโปร่งแสงบางๆแลดูนุ่มนวลถึงแม้ว่าผืนดินเบื้องล่างจะปกคลุมไปด้วยหิมะหนาวเย็น
ออโรรา
ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะแถบชั้วโลก ปรากฏการณ์ที่เชื่อมโยงเขาเข้ากับจิตวิญญาณของแผ่นดินเกิด... จิตวิญญาณของแม่ ผ่านมากี่ปีแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นออโรรา สิบสองปีเห็นจะได้
สิบสองปีแล้วที่เขาไม่ได้เจอแม่เพราะกฎหมายบ้าๆที่ขัดขวางไม่ให้โอไรออนเดินทางออกนอกประเทศ
ชายหนุ่มหยิบโปสการ์ดเดินออกไปยืนบนระเบียงของห้องรับแขก ลมเย็นชื้นยามค่ำของคุ้งน้ำบางกระเจ้าพัดโลมเลียหยอกล้อเส้นผมสีเทาละเอียด แสงของดวงดาวเบื้องบนทำหน้าที่ให้ความสว่างพื้นที่สีเขียวรอบๆตึกอพาร์ตเม้นต์หน้าตาคล้ายๆกันที่ถูกสร้างขึ้นเป็นแถวเพื่อรองรับเหล่าโอไรออนที่ทำงานในกองกำลังต่างๆ ห่างออกไปสุดสายตา แสงสีทองจากยอดสะพานกาญจนาภิเษก...สะพานแขวนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสว่างสไวไปทั่ว โอไรออนหนุ่มหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง
19.58.43 น.
ใกล้จะถึงเวลาแล้วสินะ... คีรินทร์ก้มลงมองโปสการ์ดในมืออีกครั้ง
อีกไม่นานแล้ว ระบบบ้าๆนี่กำลังจะจบลง ในที่สุดเขาก็จะได้พบแม่เสียที
19.59.59 น.
ถ้ามีคนถามเขาว่าวันสิ้นโลกเป็นเช่นไร เขาคิดว่ามันคงไม่ต่างจากภาพเบื้องหน้าเสียเท่าไร เปลวเพลิงลูกใหญ่ปะทุขึ้นจากใต้ผืนน้ำก่อนจะกลืนกินสะพานข้ามแม่น้ำไปทั้งหมดราวกับสัตว์ป่าหิวกระหาย อานุภาพทำลายล้างที่มากยิ่งกว่าระเบิดทีเอ็นทีหนึ่งร้อยตันสั่นสะเทือนตึกรามบ้านช่องสองฟากแม่น้ำราวกับแผ่นดินจะแยกออกจากกันเสียให้ได้ มวลอากาศที่ถูกอัดขึ้นจากใต้แม่น้ำก่อเกิดปรากฏการณ์ช็อกเวฟส่งเสียงคำรามกึกก้องไปทั่วคุ้งน้ำบางกระเจ้าปนกับเสียงเศษซากสะพานที่ค่อยๆถล่มลงมาในกระแสน้ำเชี่ยวกราดก่อเกิดคลื่นน้ำกระจายตัวเป็นวงกว้าง
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” พ่อของเขารีบวิ่งออกมาหลังจากได้ยินเสียงพสุธากัมปนาท ดูเหมือนผู้อยู่อาศัยคนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน ทุกคนมีสีหน้าแตกตื่น บ้างก็รีบวิ่งกลับไปคว้ายูนิฟอร์มขึ้นมาสวมใส่เตรียมออกไปปฏิบัติงาน บ้างก็รีบโทรหาสำนักงานใหญ่เพื่อถามไถ่สถานการณ์ คีรินทร์เป็นคนเดียวที่ไม่มีท่าทีหวาดหวั่น ดวงตาสีควันบุหรี่สะท้อนภาพหน้าจอโทรศัพท์ที่ปรากฏข้อความเข้าสดๆร้อนๆ
Yuhwa: เป็นไง สวยสู้แสงเหนือได้ไหม
--จบบทที่ 2--
MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
ผู้แต่ง : Patra Fujiyama
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 0: ทำไม + บทที่ 1: กฎเหล็กของมาสคอตสามประการ | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: Gluggave?ur อากาศภายนอก | 09 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3 dyragaroinum สวนสัตว์ | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: Ra?lj?st แสงสว่างในความมืด | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: Aurora แสงเหนือ | 30 มี.ค. 59 |



เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )
เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
ไดอะล็อกมีพลัง
ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช