EN09 Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
จากเอกภพที่'ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์'อยู่ เอกภพ'มากิอาร์' ที่การใช้เวทย์มนตร์เป็นเรื่องปกติ เอกภพที่เขาใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ ในที่สุดทั้งสองเอกภพนี้ก็ได้เชื่อมเข้าหากันอย่างเป็นทางการแล้ว!
บทที่ 3: เพื่อนร่วมห้องคนใหม่
แมคเคย์ รีธ: อยากจะย้ายหอให้รู้แล้วรู้รอด
เช้าวันถัดมา ไมเคิลตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทากะพริบปริบๆ เมื่อเห็นว่าตัวเองไม่ได้นอนคนเดียวบนเตียง หัวแดงๆ ชี้ๆ ที่โผล่พ้นออกมานอกผ้าห่มทำเอาเขาต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวาน หลังจากที่เขากลับมาที่หอ มีงานเลี้ยงต้อนรับเล็กๆที่ห้องนั่งเล่นรวม พวกเขาจึงได้กินข้าวเย็นที่นั่นพร้อมกับทำความรู้จักเพื่อนใหม่ที่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนเขา
ปัญหามันเริ่มขึ้นเมื่อไมเคิลได้ยินบทสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมห้องที่มีเส้นผมสีแดงกับผู้คุมหอกำลังถกเถียงกันอยู่ มันจะไม่เป็นปัญหากับเขาเลยถ้าบังเอิญเสียงของเด็กหนุ่มที่เขาไม่รู้สึกถูกชะตาด้วยนั่นจะไม่ดังเกินจนเขาได้ยิน
‘ทำไมฉันต้องมาอยู่ห้องเดียวกับไอ้พวกไพพวกนั้นด้วย ไม่ยุติธรรมเลย’
โอ้โหเฮะ ทำเหมือนกับเขาอยากจะอยู่ร่วมห้องกับคนแบบนี้นักล่ะ
‘เรื่องห้องน่ะมันถูกกำหนดไว้แล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก’ ผู้คุมหอดูไม่ค่อยชอบใจเท่าไร ‘ตอนนี้พวกนายอาจจะยังไม่สนิทกันก็จริง แต่เดี๋ยวผ่านไปซักพักก็ปรับตัวกันได้เอง อย่าทำใจแคบไปหน่อยเลย นาย…ชื่ออะไรนะ อ้อ แมคเคย์ รีธ’
‘ผ่านไปซักพักก็ปรับตัวได้งั้นเหรอ’ ชายหนุ่มผมแดงกัดฟันกรอด ‘โทษทีเถอะ ใครจะอยากไปสนิทชิดเชื้อกับคนพวกนั้นกัน’
‘แมคเคย์’ คนเป็นผู้คุมหอเตือน ‘อย่าให้ฉันได้ยินว่านายพูดแบบนั้นอีก ฉันลงโทษนายได้นะ’
‘จะให้ขัดห้องน้ำรึไง!’ แมคเคย์พูดเสียงดังขึ้นอย่างเหลืออด ‘ให้พวกนั้นมาอยู่ห้องเดียวกับฉันเรอะ คอยดูเถอะ ฉันไม่ยอมให้มันจบลงง่ายๆ แน่’
ไมเคิลทำเป็นไม่ได้ยินบทสนทนานั้น เขาคิดว่าตัวเองน่าจะยอมถอยให้อีกฝ่ายไป เพราะถึงยังไงก็ต้องอยู่ร่วมห้องกันไปอีกนาน แต่เมื่อกลับมาถึงห้องเขาก็ต้องค้นพบว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ง่ายๆ
สภาพเตียงของเขากับไคโตะเกลื่อนกลาดไปด้วยข้าวของที่เขาแน่ใจว่าจัดเก็บเข้าตู้เรียบร้อยแล้ว (และไม่รู้คิดไปเองรึเปล่า รู้สึกว่าเตียงของเขาจะเละกว่าของไคโตะด้วย) และไมเคิลไม่ต้องเสียเวลาหาตัวคนร้ายเลย แมคเคย์กำลังวาดในนิ้วในอากาศ ทำให้สิ่งของของเขาลอยลิ่วไปรอบๆ
‘ทำบ้าอะไรของนาย’ ไมเคิลเค้นเสียงออกมา พยายามระงับความรู้สึกที่อยากจะประเคนลูกเตะให้อีกฝ่ายที่ทำหน้ายียวนกลับมาเป็นคำตอบ
‘ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่’ แมคเคย์พูดลอยหน้าลอยตาขณะบังคับให้หนังสือเล่มหนึ่งลอยวนอยู่เหนือศีรษะของเขา ‘ก็แค่ฝึกใช้เวทมนตร์เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง แค่นายใช้เวทง่ายๆ ก็จัดการให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้...’ อีกฝ่ายแสร้งนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะดีดนิ้วดังเป๊าะ สีหน้าเหมือนคนเพิ่งคิดอะไรออก ‘อ้อ ใช่ เกือบลืมไป พวกนายมันเป็นพวกอนเวทนี่นะ! เรื่องง่ายๆแค่นั้นก็คงทำไม่ได้’
‘แมคเคย์...’ เอเดรียนเรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างทำอะไรไม่ถูก
‘งี่เง่าชะมัด’ ไคโตะพูดขึ้นในที่สุด ‘จะหาเรื่องคนอื่นทั้งทีก็ทำได้แค่นี้เหรอ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ สมองอย่างนายก็คงมีปัญญาทำได้แค่นี้สินะ!’
ชายหนุ่มผมแดงจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเกลียดชัง โดยที่ไม่ทันตั้งตัว หนังสือที่ลอยวนเวียนอยู่เหนือหัวของไมเคิลก็กระแทกลงบนหัวของไคโตะอย่างรุนแรง
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทาของไมเคิลวาววับบด้วยความโกรธ เขารู้สึกถึงมวลมหาสารที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายเขาค่อยๆ ประทุออกมา มันร้อน อึดอัด จนอยากจะระเบิด
อยากให้เตียงที่เจ้าหัวแดงนั่งอยู่คว่ำลงมา อยากให้หมอนั่นลงมานอนกองที่พื้น...พลัน! ความอัดแน่นในร่างกายค่อยๆ เคลื่อนไปอยู่ตรงฝ่ามือ ไมเคิลยกมือขึ้นมา เพียงไม่นานเตียงหลังนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นจากพื้น
ยัง...ยังไม่พอ ต้องมากกว่านี้!
เตียงค่อยๆลอยสูงขึ้น เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาในอากาศ จนเจ้าของเตียงหัวสั่นคลอนไปหมด
‘เฮ้ย!’ แมคเคย์อุทานอย่างตกใจขณะที่เตียงของเขาคว่ำลง ส่งเสียงโครมคราม เจ้าตัวล้มลงไปกองอยู่กับพื้นพลางพยายามเอามือผลักเตียงหลังที่ล้มลงมาทับเขา
‘ไมเคิล!’ เอเดรียนที่ตอนนี้หน้าซีดไปเรียบร้อยแล้วตะโกนห้าม ‘หยุดเถอะ เดี๋ยวนายจะโดนทำโทษไปด้วยนะ’
‘ห้องนี้ทำอะไรกัน!’ เสียงเปิดประตูพรวดเข้า ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้คุมหอก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับกวาดมองสภาพรอบๆอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แมคเคย์ รีธถูกเตียงจะทับแบนแต๊ดแต๋ ส่วนเจ้าเด็กจากไพกำลังยืนหน้าเจื่อน
‘ผม...ผมหยุดพลังตัวเองไม่ได้’ ไมเคิลอึกอัก เขาโมโหแมคเคย์ และปัญหาที่ตามคือเขาควบคุมเวทตัวเองไม่ได้
‘ให้มันได้อย่างนี้สิ….’ ชายหนุ่มกัดฟันกรอด ‘เพิ่งจะมาอยู่ด้วยกันวันแรกก็ก่อเรื่องกันแล้วเรอะ’ มือของผู้คุมหอวาดสั้นๆ เตียงหลังกะทัดรัดที่กำลังจะทับคนปากดีก็ลอยกลับมาตั้งที่เดิม ส่วนไมเคิลรู้สึกถึงแรงกระแทกเบาๆ ที่ฝ่ามือทำให้มือเขาหยุดปล่อยพลังเวททันที ‘ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์ นายควรเรียนรู้การควบคุมพลังเวทเสียก่อนมาใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ส่วนแมคเคย์ รีธ ฉันขอให้เลิกปากดีก่อนจะโดนขัดปากด้วยที่ล้างจาน’
‘หนวกหูน่า...บ้าเอ๊ย เจ็บหลังชะมัด’ ชายหนุ่มผมแดงบ่นอุบ หัวกระเซิงไปหมด ‘ก็แค่เล่นสนุกกันนิดหน่อยเท่านั้นเอง ทำความรู้จักน่ะ เข้าใจไหม?’ แต่ในใจนี่เดือดดาลคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพนี้
‘เล่นสนุกงั้นเหรอ’ ผู้คุมหอของพวกเขาถลึงตา ‘แต่ไอ้ที่ฉันเห็นอยู่นี่มันไม่ใช่แบบนั้นเลยนี่’
แมคเคย์ยักไหล่ ทั้งห้องเงียบไปอึดใจหนึ่ง
‘พวกนายทั้งสองคน’ ชายหนุ่มผูทำหน้าที่รักษาระเบียบพูดเสียงงวดขึ้น ‘ตามฉันมานี่’
ไมเคิลกับแมคเคย์เดินตามโทมัสไปอย่างจำใจ ชายหนุ่มผมแดงพยายามอธิบายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของไมเคิลเพียงคนเดียว ในขณะที่คนโดนซัดทอดได้แต่กลอกตาขึ้นอย่างเซ็งในอารมณ์
พวกเขาทั้งหมดมาอยู่ที่ห้องทำงานของผู้คุมหอที่มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางๆ มีโต๊ะทำงานตัวใหญ่อยู่ตรงฝั่งซ้ายมือ โทมัสเดินไปที่โต๊ะมีกองเอกสารสูงเป็นภูเขาเลากาหลายกอง เจ้าตัวคุ้ยๆอยู่พักหนึ่งจึงหยิบเอกสารออกมาแผ่นหนึ่งและเริ่มขีดๆ เขียนๆ ลงไป
‘ในเมื่อพวกนายอยากสนิทกันขนาดนั้น ฉันจะช่วย’ ผู้คุมหอสั่ง ‘ยื่นมือมา แมคเคย์ ของนายมือซ้าย’
ไมเคิลยื่นมือขวาของเขาไปข้างหน้า แมคเคย์ยื่นมือซ้าย โทมัสขยับฝ่ามือไปบนมือของคนทั้งสอง ทันใดนั้นบริเวณหลังข้อมือของคนทั้งคู่ก็ประกบติดกัน
‘เฮ้ย/เฮ้ย!’ ร้องเสียงหลงกันทั้งคู่
‘นี่มันอะไร!’ คนเลือดร้อนตะโกนถาม
‘เวทกระชับความสัมพันธ์’ เวทปัญญาอ่อนแบบนี้มีอยู่ในบัญญัติเวทมนตร์ของกระทรวงด้วยเหรอ!
‘ไม่มีทางเว้ย ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้!’ แมคเคย์ดิ้นพล่าน ไมเคิลก็อยากจะบ้าตายกับเวทบ้าๆ นี่ แต่พอเจอคนข้างๆ ดิ้นเป็นแมวโดนน้ำร้อนเลยเลือกอยู่เงียบๆ
‘เวทนี้เป็นเวทรักษากฏของหอนี้ พวกนายไม่มีทางทำลายได้ด้วยตัวเอง นอกจากฉันหรือผู้คุมกฏคนอื่นเป็นคนคลายเวทให้’ ผู้คุมหอของพวกเขาว่า ‘เอาล่ะ แยกย้ายได้’
‘แยกเหรอ’ คนผมแดงทำเสียงเฮอะ ยกแขนข้างซ้ายของตัวเองขึ้นมา แขนข้างขวาของไมเคิลติดมาด้วย แมคเคย์ขยับมันไปมาราวกับว่าทำอย่างนั้นแล้วมันจะหลุดออกจากกันได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ
ผลสุดท้ายพวกเขาก็ต้องนอนเตียงเดียวกันจนถึงเช้า
ไมเคิลปลุกคนผมแดงที่สะลึมสะลือขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะนอนหลับสบายแค่ไหน “ลุก” แต่อีกฝ่ายยังคงมึนๆ เหมือนยังตื่นไม่เต็มตา ทำท่าจะล้มตัวลงนอนต่อ “ฉันบอกให้ลุกไง”
คนผมแดงตื่นเต็มตาเมื่ออีกฝ่ายลุกพรวดขึ้นทำให้เวทมนตร์ที่ออกฤทธิ์อยู่กระชากร่างของเขาขึ้นมาด้วย “โอ๊ย! ช้าๆสิเว้ย มึนหัวไปหมดแล้ว”
“ฉันจะไปทำธุระ นายจัดการตัวเองเร็วๆ หน่อย”
“นายจะไปไหน” แมคเคย์ถามสีหน้าหงุดหงิดหลังจากปฎิบัติภารกิจในตอนเช้ากันไปอย่างทุลักทุเล เกือบจะตีกันไปอีกหลายรอบแล้ว เพราะไอ้บทลงโทษที่ห้อยต่องแต่งอยู่ที่มือ
“ฉันนัดซ้อมกับพวกรุ่นพี่จากไพเอาไว้” ไมเคิลตอบ
“ว่าไงนะ!?” ไม่มีทางที่เขาจะไปด้วยแน่ “ไม่ไปเว้ย” ไมเคิลยักไหล่ อย่างไรเสียเขาก็จะไป
สรุปคือ คนในหอได้แต่ออกมาดูเรื่องพิลึกแต่เช้าเมื่อมีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินลากอีกคนที่โวยวายลั่นหอออกไปข้างนอกด้วยกัน
ไมเคิลมาถึงสถานที่นัดพบซึ่งมีลักษณะคล้ายโรงยิมแล้ว แมคเคย์ยังคงตีหน้ายุ่งจนเพื่อนและรุ่นพี่ทุกคนของไมเคิลมองอย่างไม่แน่ใจ แต่ไมเคิลก็บอกกับทุกคนว่าให้ทำเป็นมองไม่เห็นอีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น
“เอาล่ะ วันนี้เราจะมาช่วยพวกนายฝึกขั้นพื้นฐานก่อนได้เข้าคลาสกันจริงๆ เพราะพวกเราไม่เคยฝึกหรือใช้ในชีวิตประจำวันเหมือนคนที่นี่เขา” เควินพูดขึ้น พยายามทำเป็นมองไม่เห็นเพื่อนของไมเคิลที่ตีหน้ายุ่งขึ้นเรื่อยๆ “พวกนายเอาเข็มกลัดมาตามที่บอกแล้วใช่ไหม?”
เด็กปีหนึ่งทั้งห้าคนฝึกใช้เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานง่ายๆ รุ่นพี่ของพวกเขาคอยช่วยประกบแต่ละคน แต่สำหรับไมเคิล นอกจากจะมีรุ่นพี่คอยช่วยแนะนำให้แล้วเขายังมีของแถมเป็นคำจิกกัดจากคนผมแดงที่ติดอยู่กับตัวเขาอย่างช่วยไม่ได้
“โธ่เอ๊ย กระจอกจริงว่ะ แค่ให้ของลอยแค่นี้ก็ทำไม่ได้เหรอ”
“เฮ้ย กางเขตเวทใครเขาทำกันแบบนั้น ไอ้โง่เอ๊ย มานี่ เดี๋ยวทำให้ดู”
“นายต้องส่งพลังไปที่เจมิไนของนาย ไอ้เข็มกลัดของนายน่ะ เออ นั่นแหละ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ทำไมต้องให้บอก”
ไมเคิลรู้สึกเหมือนเส้นเลือดในสมองเขาใกล้แตกเต็มทนจากคำสบประมาทที่อีกฝ่ายกรอกใส่หูเขาไม่หยุดหย่อยตั้งแต่เริ่มซ้อมมา ว่ากันตามความจริงแล้ว ฝีมือของไมเคิลค่อนข้างจะดีกว่าคนอื่นๆ ในรุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ แต่คนผมแดงที่อยู่ข้างตัวก็สามารถทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“นายจะช่วยหุบปากได้รึยัง” ชายหนุ่มผมดำว่า แต่แมคเคย์เงียบไปได้ไม่เท่าไร พอเห็นไมเคิลพลาดอะไรหน่อยก็อดแขวะต่อไม่ได้อยู่ดี
หลังจากที่การซ้อมสิ้นสุดลง ไมเคิลอยากตามไคโตะและพวกรุ่นพี่ไปทานข้าวที่โรงอาหาร แต่คราวนี้แมคเคย์ไม่ยอม เจ้าตัวอยากกลับหอพักแล้ว
“ก็ได้” ไมเคิลยักไหล่ ยอมโอนอ่อนให้อีกฝ่าย “ตานายแล้วนี่”
ระหว่างทางกลับ ไมเคิลเห็นแผ่นหลังเพื่อนร่วมห้องอีกคน จึงเดินเข้าไปทัก
“เฮ้ เอเดรียน ทำอะ…”
“นี่ นายแว่น ฉันบอกนายแล้วใช่ไหมว่าห้ามมาที่โรงเรียนนี้น่ะ” ชายหนุ่มผมดำอ้าปากที่กำลังจะเรียกเพื่อนค้าง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยืนคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หล่อนมีเส้นผมสีบลอนด์ทอง ผูกเปียครึ่งหัวรวบขึ้นไป นัยน์ตาสีฟ้าใสและใบหน้าที่ได้รูปทำให้ไมเคิลชะงักไปนิดหนึ่งเหมือนกัน หล่อนเป็นผู้หญิงที่สวย เหมือนกับดาราที่เขาเห็นตามหน้าจอโทรทัศน์ในโลกไพ
เด็กสาวหุบปากลงฉับทันทีเมื่อเห็นว่าไมเคิลสาวเท้ามาหาพวกเขาทั้งสองคน ก่อนใบหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจเมื่อครู่จะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มพิมพ์ใจในทันที
“เอ่อ… ไมเคิล แมคเคย์ ว่าไงครับ” เอเดรียนเอ่ยทักอีกฝ่ายทันที มองราวกับอีกฝ่ายเพิ่งช่วยชีวิตเขาไว้ได้อย่างฉิวเฉียด “กำลังจะกลับหอกันเหรอ”
“อืม โทษทีนะ ไม่เห็นว่านายคุยกับเพื่อนอยู่”
“สวัสดีค่ะ สกาเลต ฟาเมล่าค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก” พูดพลางยื่นออกมาข้างหน้าตัว ทั้งไมเคิลและแมคเคย์ชะงักไปเล็กน้อยกับน้ำเสียงอ่อนหวานนั่น
“ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” ยื่นมือซ้ายข้างที่ว่างออกไป
“แมคเคย์ รีธ” ยื่นมือขวาที่ว่างออกไปบ้าง
ส่วนมือที่ติดกันก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ
“งั้น… พวกเรากลับหอกันเถอะครับ จะเปิดเรียนพรุ่งนี้อยู่แล้ว รีบไปเตรียมตัวกันเถอะ” เอเดรียนรีบดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายเพื่อชวนให้เขากลับหอด้วยกันอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวสิ นายแว่… เอเดรียน ฉันยังคุยกับนายไม่จบเลยนะ” หญิงสาวพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ แต่คนผมน้ำตาลบลอนด์ไม่ฟังอะไรแล้ว ลากเพื่อนร่วมห้องเผ่นแน่บกลับไปที่หอของพวกเขาทันที
เมื่อกลับไปถึงห้อง จดหมายซองขาวสี่ฉบับถูกวางอยู่บนโต๊ะกลางของห้อง ไคโตะที่ก้าวเข้าห้องก่อนใครหยิบซองที่จ่าหน้าชื่อของตัวเองขึ้นมา
“อ้อ เรื่องสังกัดหน่วยน่ะครับ”
ไมเคิลและแมคเคย์หยิบของตัวเองขึ้นมาเปิดดูบ้าง ทุลักทุเลตอนเปิดจดหมายเล็กน้อยเพราะมือของพวกเขายังติดกันอยู่
ถึง คุณ ไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์
ทางคณะกรรมการคัดกรองหน่วยแห่งมาร์กิออส ยูนิเวอร์ซิตี้ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้คุณทราบว่า คุณได้รับการบรรจุเข้าหน่วยที่ 27 (จากทั้งหมด 97 หน่วย) ประจำปีการศึกษา A.E. 3020 โดยรายชื่อสมาชิกในหน่วยของคุณ มีดังต่อไปนี้
-
สกาเลต ฟาเมล่า
-
แมคเคย์ รีธ
-
ไมเคิล (เมธัส) ชไวน์สไตเกอร์
-
เอเดรียน วอลเตอร์
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ด้วยความเคารพ
คณะกรรมการแห่งสถาบันวิชาการทหารชั้นสูงแห่งมาร์กิออส อาร์มี่
(Military University of Magiskos Army)
ไมเคิลหันไปมองหน้าเพื่อนร่วมห้องผมแดงทันที อีกฝ่ายก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน ทั้งสองคนก้มหน้าลงไปอ่านในจดหมายซ้ำอีกรอบเผื่อว่าพวกเขาจะตาฝาดไป
แต่แน่นอนว่าเนื้อหาที่ยังอยู่ในจดหมายยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ไมเคิลลอบถอนหายใจอย่างปลงๆก่อนจะหันไปหากับเอเดรียนที่เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนพวกเขา
“คุณสกาเลตอยู่หน่วยเดียวกับเรา” เขาพึมพำ “ทำไมต้องอยู่หน่วยเดียวกันด้วยนะ”
“นั่นสิ” แมคเคย์ว่า จ้องไปที่ไมเคิลเขม็ง “ทำไมต้องอยู่หน่วยเดียวกันด้วยวะ”
“ฟ้าลิขิตมั้ง” ไมเคิลยักไหล่ “ฉันดีใจจนเนื้อเต้นแล้วที่ได้อยู่หน่วยเดียวกับนาย”
“นายคิดว่าตลกนักเหรอ”
“แล้วนายเห็นฉันหัวเราะอยู่ไหมล่ะ”
คนทั้งคู่จ้องอีกฝ่ายอย่างไม่ลดละก่อนไมเคิลจะถอนหายใจ ยกมือขึ้นอย่างยอมแพ้ มือข้างซ้ายของคนขี้โวยวายห้อยต่องแต่งตามมาด้วย
“โอเค ก็ได้ เราจะทำสัญญาสงบศึกกัน”
“เหอะ” แมคเคย์พ่นลมหายใจ “ก็ได้ จะยอมสงบศึก”
“ดี สงบศึกตลอดจนเรียนจบเลยนะ”
“อยู่ที่นายเถอะ จะทำตัวดีแค่ไหน” แมคเคย์หรี่ตา ไมเคิลแกล้งตีสีหน้าเจ็บปวด
“นี่ฉันยังไม่ดีพอสำหรับนายอีกเหรอ”
“ไอ้…!”
“ทั้งสองคน ไปขอให้ผู้คุมหอถอนเวทได้แล้วมั้งครับ” เอเดรียนพูดแทรกขึ้น ชี้ไม้ชี้มือไปที่นาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง “ครบ24ชั่วโมงแล้ว ตอนเข้ามาผมเห็นคุณโทมัสอยู่ในห้องทำงาน เขาน่าจะยังอยู่นะครับ”
นั่นแหละ คนทั้งคู่ถึงได้พร้อมใจกันเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีใครเกี่ยงงอน
…
ไมเคิลได้จดหมายซึ่งระบุวันฝึกในไฟเตอร์ ฟิลด์ในอีกหนึ่งอาทิตย์ถัดมา กำหนดการฝึกซ้อมของพวกเขาคือทุกวันพฤหัสช่วงเช้าก่อนที่คาบเรียนจะเริ่ม หน่วยของไมเคิลมาถึงสถานที่ตามเวลาที่ได้ระบุไว้ในจดหมาย พวกเขาทั้งสี่คนทำความเคารพให้ครูฝึกทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในสนาม
“ไง พวกนาย หน่วยที่27สินะ ฉันชื่อแมคอาเธอร์ เซดเดอริก… เรียกอาเธอร์ก็ได้” เขาพูดด้วยท่าทีสบายๆ “ฉันจะมาเป็นครูฝึกของพวกนายตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฝากตัวด้วย”
แมคอาเธอร์เป็นชายที่มีรูปร่างกำยำ คะเนจากสายตาแล้วอีกฝ่ายน่าจะอายุประมาณสามสิบปลายๆ เส้นผมสีบลอนด์ทองของชายหนุ่มชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง ไรเคราเขียวครึ้มเหมือนไม่ได้โกน ชุดเครื่องแบบของเขาก็หลุดรุ่ยและมอซอ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนครูฝึกทหารเอาเสียเลย
“เอาละ หน่วยที่27 ขอฉันทวนชื่อพวกเธอหน่อยซิ” ชายหนุ่มอารมณ์ดีพูดขึ้นพร้อมกับหยิบกระดาษที่มีรายชื่อของพวกเขาอยู่ในมือ “อ่า… ใช่ๆ มีคนที่มาจากไพอยู่หน่วยนี้ด้วยสินะ”
“ครับ” ไมเคิลตอบ
“ใช้เวทมนตร์เป็นไหม” อีกฝ่ายถามทื่อๆไมเคิลเก็บความไม่พอใจเอาไว้ก่อนจะตอบรับ “งั้นก็ดีแล้ว วันนี้ฉันอยากเห็นพื้นฐานของพวกเธอก่อน ยิ่งมีคนที่มาจากไพอยู่ในทีมเดียวกับพวกเธอด้วยแล้ว พวกเธอคงต้องใช้เวลาปรับตัวกันซักหน่อย เพราะหลังจากนี้ไปพวกเธอต้องทำงานกันเป็นทีม การปรับพลังเวทและรูปแบบการรบให้เข้ากันเป็นสิ่งจำเป็นนะ”
พวกเขารับคำอย่างแข็งขันอย่างที่ทหารควรจะทำ
“เอาละ” ชายหนุ่มตบมือแรงๆ หนึ่งครั้งเพื่อเรียกความสนใจจากเด็กทั้งสี่คน “เรามาเริ่มการฝึกวันนี้เลยดีกว่า ก่อนอื่น ฉันอยากให้พวกนายแบ่งเป็นสองทีมก่อน เอาเป็น… สกาเลตคู่กับไมเคิล ส่วนเอเดรียนกับแมคเคย์ พวกนายก็อยู่ด้วยกันก็แล้วกัน”
ไมเคิลเหลือบมองคนในทีมของตัวเองที่กำลังก้มลงหยิบกิ๊ฟติดผมขึ้นมาหนีบปอยผมเส้นหนึ่งที่ปรกหน้าของเธอ เห็นท่าทางเจ้าสำอางค์ของเจ้าหล่อนแล้วไมเคิลอยากจะถอนใจ ถึงเจ้าหล่อนจะสวยหยดก็เถอะ
สวยขนาดนี้ทำไมไม่ไปเข้าโรงเรียนที่ไว้ปั้นดารานางแบบนะ มาอยู่ผิดที่ผิดทางไปหน่อยรึเปล่า
“ฉันจะให้ธงแต่ละทีม 1ทีมต่อ1ผืน กติกาก็ง่ายๆ พวกนายต้องชิงธงมาจากอีกทีมให้ได้" พูดพลางหยิบธงที่มีขนาดเล็กพอๆกับฝ่ามือขึ้นมาสองอัน อันหนึ่งสีเขียว อันหนึ่งสีแดง มีตราโรงเรียนอยู่ตรงกลาง "ให้เวลาสามสิบนาที ต่อให้โดนอีกฝ่ายแย่งธงไปได้ ถ้ายังไม่หมดเวลาก็มีสิทธิ์แย่งคืน"
อาเธอร์ส่งธงสีแดงให้แมคเคย์และยื่นธงสีเขียวให้สกาเลต "มีคำถามอะไรไหม"
"แล้วสนามละครับ" ไมเคิลเอ่ยถามเมื่อเห็นว่ารอบๆ ตัวเขาดูเป็นแค่ห้องสีขาวโพลนธรรมดาๆ
"ฉันจะเป็นคนกำหนดสนามรบที่ห้องควบคุมสนามเวทมนตร์” ห้องควบคุมสนามเวทมนตร์เป็นห้องที่ครูฝึกสามารถเข้าไปกำหนดสนามรบและนั่งดูการฝึกได้ แต่บางครั้งก็มีเปิดให้นักเรียนเข้ามาดูได้เช่นกัน “ส่วนสนามจะเป็นอะไรเดี๋ยวพวกนายก็รู้เอง เอาละ การทดสอบจะเริ่มขึ้นสิบนาทีหลังจากนี้ คุยกับทีมตัวเองให้เรียบร้อย พอตัวนับถอยหลังถึงศูนย์ก็เริ่มได้ ไม่มีคำถามอะไรแล้วนะ"
หลังจากนั้นทั้งสองทีมก็แยกย้ายกันไปคนละทาง สกาเลตที่มีประสบการณ์ลงสนามมาบ้างเดินนำเขาไป ภายในไฟท์เตอร์ ฟีลด์เป็นห้องสีขาวขนาดใหญ่ ก่อนจะค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆเพราะระบบกำหนดสนามรบจากห้องควบคุมสนามเวทมนตร์ ห้องขาวโพลนเริ่มมีสีเขียวชอุ่มของบรรดาพืชพรรณต่างๆ ขึ้นอยู่หนาแน่นเป็นป่าดงดิบ พื้นดินค่อนข้างเฉอะแฉะรวมถึงกลิ่นดินอ่อนๆลอยมากับลมเฉื่อยๆ
สนามที่พวกเขาได้ในครั้งนี้คือป่าร้อนชื้น ด้วยลักษณะที่เป็นป่าดงดิบทำให้เหมาะแก่การซ่อนตัว ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับทั้งสี่คน ฝ่ายไหนจะเจออีกฝ่ายก่อนกัน
“ฉันจะเป็นคนถือธงเอง” สกาเลตพูดขึ้นหลังจากที่มั่นใจแล้วว่าพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาลึกพอ
“งั้นฉันจะไปชิงธงมาจากพวกนั้น” ไมเคิลว่า เด็กสาวส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ ฉันจะเป็นคนชิงด้วยเหมือนกัน”
“อ้าว”
“นายล่อพวกนั้นก็แล้วกัน” สกาเลตพูด ถือธงไว้ในมือข้างหนึ่ง พักต่อมาธงที่มีลักษณะเหมือนกันก็หลุดออกมาจากต้นแบบแล้วตกลงไปกองกับพื้นประมาณ7-8ผืน “ถือพวกธงปลอมๆติดตัวไว้”
“โห ทำแบบนี้ได้ด้วยเหรอ” ไมเคิลทึ่ง หยิบธงของปลอมนั้นขึ้นมาดู
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่ทำแบบนี้ได้” หญิงสาวยืดอกอย่างภาคภูมิ “มันเป็นเวทรูปแบบพิเศษน่ะ ต้องใช้เวลาฝึกนานพอสมควรเลยละ”
พวกเขารอจนกระทั่งตัวเลขนับถอยหลังที่ปรากฎอยู่บนท้องฟ้า หรือก็คือเพดานของไฟท์เตอร์ ฟิลด์สิ้นสุดลง สกาเลตแยกตัวออกไป ไมเคิลหันไปวางธงของปลอมไว้ใต้พุ่มไม้แบบหมิ่นเหม่ เผื่อว่ามันจะพอเรียกความสนใจจากทีมตรงข้ามและถ่วงเวลาได้บ้าง
ชายหนุ่มมองบรรยากาศรอบตัวด้วยความรู้สึกเคว้งๆ เล็กน้อย ไม่แน่ใจในสถานการณ์แบบนี้ เขาควรจะทำอะไร อืม เอาเป็นว่าลองเดินไปเรื่อยๆ ก่อนแล้วกัน
แกรบ
ยังไม่ทันสิ้นความคิด เสียงฝีเท้าของใครบางคนที่ดังขึ้นมาก็ทำให้ชายหนุ่มชะงักกึก ไมเคิลค่อยๆ หลบเข้าไปอยู่หลังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดอย่างเงียบเชียบก่อนจะชำเลืองมองผู้มาใหม่ แมคเคย์นั่นเอง เพื่อนร่วมห้องผมแดงของเขาคนนั้นวิ่งมาถึงนี่ได้เร็วพอสมควรเมื่อคิดว่าการแข่งขันเพิ่งเริ่มต้น
แล้วจะยังไงต่อดีล่ะเนี่ย จะหลบอยู่แบบนี้ไปตลอดทั้งการแข่งขันคงไม่ดี จะบุกใส่เข้าไปเลยดีไหมนะ หรือว่าจะลองดูลาดเลาก่อนดี
“หืม ไปอยู่ไหนกันหมดนะ เจ้าพวกนั้น คงไม่ได้คิดจะเล่นซ่อนแอบหรอกใช่ไหม” ไมเคิลไหวตัวนิดหน่อยเมื่อแมคเคย์พูดขึ้น สายตาของเขาเหลือบไปเห็นธงสีแดงที่อีกฝ่ายสอดมันไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุมตัวนอก
ไมเคิลเลิกคิ้ว รู้สึกชั่งใจ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าธงนั่นเป็นของจริงรึเปล่าจนกว่าจะได้ดูให้ถนัดตา แต่ถ้าธงนั่นเป็นของจริงอีกฝ่ายจะเก็บมันไว้แบบลวกๆ ให้เขาเห็นจะจะแบบนี้เลยเหรอ
ในขณะที่ยังลังเล เหมือนอีกฝ่ายก็จะรู้ตัวแล้ว เปลวไฟร้อนระอุพุ่งมาทางไมเคิลอย่างรวดเร็ว ขายาวๆ ถีบออกให้ห่างจากรัศมีลูกไฟนั่น จนมันพลาดเป้าไปปะทะกับต้นไม้ใหญ่ทางด้านหลัง
บริเวณลำต้นหนามีไฟลุกพรึ่บ ไมเคิลหัวเราะไม่ออกกับเวทที่แมคเคย์เพิ่งใช้ พลังของผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอวะ” ไมเคิลสบถ
แมคเคย์พุ่งเข้ามาประชิดตัวพร้อมกับชกเข้าตรงบั้นเอวของไมเคิลเต็มรัก มันรวดเร็วจนถึงขั้นไมเคิลที่ตั้งท่ารออยู่แล้วยังหลบไม่ทัน แรงกระแทกเล่นเอาชายหนุ่มจุกไปหมด แต่คนหัวแดงก็ไม่ปรานี แถมดูจะเก่งด้านต่อสู้ประชิดตัวเหมือนกัน
“หึ บอกแล้วว่านายไม่รอด” ลูกแตะถูกส่งมาพร้อมกับเพลิงสีแดงฉาด ความร้อนผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ๆ ทำไมลูกแตะนายมีไฟโผล่มาด้วยล่ะ” ไมเคิลรู้สึกถึงความร้อนฉ่าตรงไรผมข้างแก้มพร้อมกับกลิ่นเหม็นไหม้อ่อนๆ
“เรามันคนละชั้นกัน” แมคเคย์แสยะยิ้ม “จะบอกให้เอาบุญ มันเป็นเวทผสมที่ใช้ร่วมกับศิลปะการต่อสู้อย่างหนึ่ง ที่บ้านนายคงไม่ได้สอนมาสินะ”
ถึงจะไม่ได้สอนแต่ก็ใช่ว่าจะลองทำไม่ได้นี่
ไมเคิลขยับช้าๆ ก่อนจะพุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างเร็ว ฝ่ามือใหญ่พุ่งตรงไปที่ตำแหน่งลิ้นปี่
“เหอะ แผนตื้นๆ” แมคเคย์ยกมือขึ้นมากันรางกับดักทางได้
“นายต่างหากที่คิดตื้นๆ” ไมเคิลรวมกระแสเวททั้งหมดออกมาที่ฝ่ามือขวา ความเย็นเยือกแผ่ซ่าน ไอเย็นเยียบปกคุลมฝ่ามือ ลิ่มน้ำแข็งมหาศาลถูกปล่อยออกมา นัยน์ตาสีน้ำเงินเบิกกว้าง แมคเคย์สบถในลำคอก่อนจะถีบตัวออกไปหลายคืบ แต่ก็ยังไม่พ้นลิ่มน้ำแข็งบางส่วน แขนข้างซ้ายถูกลิ่มปักลงหลายจุด จนรู้สึกชาขึ้นมา “โทษที เพิ่งลองทำครั้งแรก เลยกะพลังไม่ถูก” เขาไม่ได้พูดเล่น เพราะตอนที่ร่ายเวท เขารู้สึกว่ากระแสเวททะลักไปที่เจมิไนก่อนจะลงมารวมที่ฝ่ามือ
แมคเคย์กัดฟันกรอด ชายหนุ่มเหวี่ยงหมัดจากมือข้างที่ไม่โดนลิ่มน้ำแข็งขึ้นมา ฟาดเข้าที่ใบหน้าของไมเคิลสุดแรง ไมเคิลรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก เขาดีดตัวถอยกลับเพื่อไปตั้งหลัก แมคเคย์เองก็หอบหายใจเบาๆ ขณะพยายามตั้งตัวเพื่อโจมตีใส่เขาอีกรอบ
พลันบรรยากาศรอบตัวของเขาทั้งสองก็เปลี่ยนไป ไมเคิลรู้สึกถึงแรงกดดันบางอย่างที่มองไม่เห็น เขาคิดว่านั่นเป็นพลังของแมคเคย์ในตอนแรก แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ซีดลงของอีกฝ่ายก็เปลี่ยนความคิด ความรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวนั่นเกิดขึ้นเพียงวินาทีเดียว ก่อนที่บริเวณที่พวกเขาทั้งสองยืนอยู่จะเกิดระเบิดขนาดย่อมขึ้น
ชายหนุ่มทั้งสองคนกระเด็นไปคนละทาง แมคเคย์ที่อยู่ใกล้กับแรงระเบิดนั่นไม่สามารถพยุงตัวขึ้นมาได้ รู้สึกว่าแรงอัดจะทำให้ช้ำทั้งในทั้งนอกพอสมควร ไมเคิลหายใจค่อกแค่ก ค่อยๆ ประคองตัวขึ้นยืน นัยน์ตาสีเทาอมฟ้าหรี่ลง เพ่งไปท่ามกลางกลุ่มหมอกควันคละคลุ้ง ก่อนควันกลุ่มนั้นจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
มันมีรูปร่างและขนาดเท่าๆมนุษย์แต่กลับไม่มีทั้งหน้าตาและอวัยวะ ไมเคิลรู้ทันทีเลยว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คน เป็นเหมือนกลุ่มควันสีดำรวมตัวเป็นรูปร่างมากกว่า รอบๆ นั้นมีไอเวทสีดำจางๆ กระจายอยู่ ชวนให้รู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“เป็นไปไม่ได้” แมคเคย์พูดกระท่อนกระแท่น “มนตร์ดำนี่… ไม่ใช่ระดับธรรมดา”
“มนตร์ดำ?” ไมเคิลทวนก่อนจะขยับตัวหลบการโจมตีของมัน กลุ่มควันเหล่านั้นจับตัวกันก่อนจะพุ่งเข้าใส่ พื้นที่ไมเคิลเคยยืนอยู่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ “นี่ไม่ใช่ฝีมือนายใช่ไหม”
“จะบ้าเหรอ มนตร์ดำระดับนี้ฉันทำได้ที่ไหน” แม้จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย คนผมแดงก็ยังพูดเสียงดังได้อย่างน่าชื่นชม “มันคืออัศวินดำ เป็นเวทมนตร์ของพวกนอกรีต รีบถอยออกมาเร็ว อย่าไปยุ่งกับมัน นายสู้มันไม่ได้หรอก” เขาพูดก่อนจะไอออกมาอีกรอบ
ไมเคิลเตะเข้าที่กลางลำตัวของอัศวินดำตรงหน้า แต่ไม่สามารถโจมตีอะไรมันได้เลย ขาของเขาทะลุผ่านกลุ่มควันดำนั่นราวกับไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อมันฟาดกลุ่มควันเฉี่ยวมาโดนแก้มของเขากลับทำให้เลือดไหลซิบ
นี่มันเรื่องอะไรกัน!?
อัศวินดำพุ่งเข้าใส่ไมเคิลอีกครั้ง ชายหนุ่มเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียด เขาวาดมือขึ้นกลางอากาศเรียกน้ำแข็งออกมาต้านกับการโจมตีเหล่านั้น น้ำแข็งของไมเคิลกระจายลงบนพื้นเมื่อปะทะกลุ่มควันดำ
ชายหนุ่มอุทานออกมาเมื่อกลุ่มควันค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบก่อนจะพุ่งมาหา แต่ไมเคิลใช้เวทลมผลักมันออกไปแต่ก็ทำให้ดาบแฉลบสีข้างด้านซ้าย ถ้าช้ากว่านี้อีกซักนิดมันคงทะลุตัวเขาไปแล้ว ไมเคิลลองใช้เวทผสานประยุกต์เวทลมมาไว้ที่แขน เหวี่ยงหมัดออกไปเต็มแรง ได้ผล อัศวินดำเซกลับไปเล็กน้อย
“ไมเคิล ถอยออกมาเถอะน่า ไปเรียกครูฝึกมา…” แมคเคย์พูดค้างก่อนชายหนุ่มจะต้องเบิกตากว้างเมื่ออัศวินดำตนนั้นหันกลับมาเล่นงานเขาแทน เขาพยายามยกแขนขึ้นมาเพื่อร่ายเวทป้องกันแต่ร่างกายชาไปหมดจนขยับไม่ได้ แมคเคย์หลับตาแน่นเมื่อดาบเล่มนั้นฟาดลงมา พลัน เสียงดาบก็กระทบเข้ากับอะไรบางอย่าง เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ค้นพบว่าคู่กัดจากไพของเขาสร้างเขตเวทป้องกันคลุมตัวเขาไว้
“ฉันจะต้องทำยังไง!” ไมเคิลตะโกนถาม เหงื่อซึมตามไรผม เขารู้สึกเหมือนพลังเวทโดนดูดออกไปราวกับน้ำไหลบ่า “ต้องทำยังไงถึงจะกำจัดเจ้านี่ได้”
แมคเคย์มองอีกฝ่ายอึ้งๆ ไม่คิดว่าไมเคิลจะเรียนรู้ได้เร็วถึงขนาดสร้างเขตเวทป้องกันเขาได้รวมถึงยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย
แต่เขาไม่มีเวลาตกใจตอนนี้ แล้วต้องทำยังไงล่ะ เขาไม่เคยรับมือกับมนตร์ดำรูปแบบนี้มาก่อน ต้องทำยังไง...
“กางเขตเวทคลุมตัวมันซะ เสร็จแล้วใช้เขตเวทป้องกับแบบที่นายทำเมื่อกี้ แต่บีบอัดใส่ตัวมันให้สลาย เข้าใจไหม” แม้จะยังไม่มั่นใจว่าจะสำเร็จไหม แต่ดีกว่าไม่ได้ลอง
ไมเคิลขมวดคิ้วก่อนจะทำตามสิ่งที่แมคเคย์บอก เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่ ถ่ายกระแสเวทมั้งหมดที่เหลือสร้างเขตเวทวงใหญ่ขึ้นมาล้อมรอบอัศวินดำทั้งหมดก่อนจะค่อยๆบีบวงเวทให้เล็กลงเรื่อยๆ
“อึก!” ไมเคิลกระอัก เขารู้สึกถึงความปั่นป่วนในร่างกายจนเกือบเสียสมดุล
อัศวินก็ไม่นิ่งเฉยให้เขาจัดการ พวกมันพยายามทลายเขตเวทของเขาทำให้ต้องยิ่งบีบเค้นกระแสเวทออกมาอีก
เปรี๊ยะ!
ไมเคิลได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังแตกสลาย แต่นี่ไม่ใช่เวลามาสนใจ จนในที่สุด...ไอของอัศวินดำทั้งหมดค่อยๆสลายหายไปภายใต้เขตเวทของไมเคิล กลุ่มหมอกควันสีดำมืดค่อยๆจางลงเรื่อยๆ
แมคเคย์มองตามร่างสูงหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษ แต่ดูแล้วยังไม่เป็นอะไรมาก
นี่ขนาดใช้เวทไปมากมายขนาดนั้น…
หมอนั่นมีพลังเวทมหาศาลขนาดไหนกันเนี่ย!
ไมเคิลหอบหายใจหนักๆจนพอใจแล้วจึงค่อยๆได้เดินไปหาคนผมแดงที่ยังนอนราบอยู่กับพื้น
“นาย… โอเคนะ?” ควรจะถามตัวเองก่อนดีกว่าไหม? หน้าซีดขนาดนั้น
แมคเคย์ยังคงมองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง
“พวกเธอ..!!” อาเธอร์วิ่งมาทางพวกเขาทั้งสอง สกาเลตและเอเดรียนก็ตามมาด้วย สีหน้าของทุกคนดูงุนงง โดยเฉพาะคนเป็นครูฝึกที่ทำหน้าเคร่งเครียด “เกิดอะไรขึ้น!? ใครเป็นคนเรียกอัศวินดำออกมา”
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน
“พวกเราไม่รู้เรื่องเลยครับ ผมกับแมคเคย์กำลังสู้กันอยู่ดีๆมันก็โผล่มา”
“การจะเรียกอัศวินดำออกมาได้ คนคนนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มีใบอนุญาตการใช้มนตร์ดำจากกระทรวง และจะต้องไม่ใช่ระดับธรรมดาเลยด้วย” เขากวาดตามองคนทั้งสี่ด้วยสายตาคมกริบ “และเท่าที่ดู… อายุของพวกเธอยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้ารับการทดสอบเพื่อรับใบอนุญาตนั้นได้”
ยังคงเงียบ
“ถ้าหากจับได้ทีหลัง คนที่กระทำความผิดในครั้งนี้จะต้องได้รับโทษอย่างหนัก” ไม่มีใครพูดอะไร แม้แต่ตัวของอาเธอร์เองยังคิดว่าคนใดคนหนึ่งในที่นี้สามารถเรียกอัศวินดำออกมาเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
เท่าที่ดูสังเกตมาตลอดก็ไม่เห็นว่าสี่คนนี้ทำตัวผิดปกติตรงไหน อาเธอร์ลอบคิด บางที…
‘อาจจะมีคนอื่นคิดแทรกแซงการฝึกนี่ก็เป็นได้’
ป่ารอบๆ ด้านพวกเขาค่อยๆ กลับไปเป็นห้องสีขาวของสนามประลองแล้ว ไม่มีใครรู้เลยว่ามีสายตาของใครคนหนึ่งจับจ้องเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ที่ที่ใดที่หนึ่ง
‘ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์...นายก็เป็นตัวปัญหาเหมือนน้องชายไม่มีผิด!’
Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
ผู้แต่ง : Airin_and_Arpo
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 1: ไพ ไดแมนชั่น(? Dimension) | 05 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: เอกภพมากิอาร์ (Magiska) | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3: เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ | 15 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: เชน ชู และชมรมนาอีฟ (NA?VE) | 22 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: หญิงสาวใต้หน้ากาก | 29 มี.ค. 59 |






สวัสดีค่ะ
จังหวะดี อ่านง่าย ฉากต่อสู้น่าสนใจและปิดได้มีพลังดี
ว่าไปแล้ว แต่ละโซนของมากิอาร์นี่ใหญ่แค่ไหน เท่าประเทศในไพหรือเปล่า การแบ่งโซนเหมือนผ่านการจัดระบบมาแล้ว (อาจจะด้วยพลัง?) เพราะแยกแยะชัดเจน ที่ปลูกพืชก็ปลูกพืช น้ำก็ส่วนน้ำ เป็นการแยกที่เห็นการจงใจจัดระเบียบ หรือว่านี่คือส่วนเมือง ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติกว่านี้แยกออกไป (ทางนี้ก็คิดไปเรื่อยๆ)
หวังว่าจะได้อ่านตอนที่ 6 นุ :)
ลวิตร์