
EN18 MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
กฎเหล็กของมาสคอตสามข้อ: ห้ามคุย, ห้ามถอด, ห้ามงอแง คุณเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังหัวการ์ตูนสุดน่ารักเหล่านั้น เขาคือใครกันแน่ คำตอบน่ะหรือ...ผีที่มีชีวิตยังไงล่ะ
บทที่ 3 dýragarðinum สวนสัตว์
Dýragarðinum = สถานที่จัดแสดงสัตว์ป่าที่จับมาหรือนำเข้ามาภายในอาณาเขตจำกัด เรียกสั้นๆว่า ‘สวนสัตว์’
ว่ากันว่าถ้าคุณถามนักประสาทวิทยาคอมพิวเตอร์ว่า: “สัตว์มีความรู้สึก มีความคิดหรือไม่”
คำตอบที่คุณได้รับมักจะเป็นแค่เสียงกระซิบแผ่วเบา ความเงียบหรือแม้แต่คำตอบที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำถามใดๆ
และถ้าคุณถามนักมานุษยวิทยาว่า: “โอไรออนมีความรู้สึก มีจิตวิญญาณเสมือนคนปกติหรือไม่”
ปฏิกิริยาที่คุณจะได้รับก็คงจะเหมือนกับคำตอบของคำถามแรก แต่ข้อแตกต่างอยู่ที่ว่ามนุษย์ส่วนใหญ่รู้คำตอบสำหรับคำถามข้อที่สองดีแต่พวกเขาเลือกที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมัน
มนุษย์นั้นเป็นสิ่งน่าพิศวง ตามทฤษฎีของชาร์ล ดาร์วิน พวกเขาวิวัฒนาการจากลิงไร้หางกลายเป็นนักล่าแสนอ่อนแอที่ยังคงใช้ชีวิตอยู่ด้วยหอกและก้อนหิน เพราะรอบกายที่ถูกล้อมรอบด้วยผืนป่าสีเขียวล้ำลึก มืดมิด พวกเขาตัดสินใจรวมตัวและใช้ชีวิตอยู่เป็นกลุ่ม สร้างระบบการสื่อสารและวัฒนธรรมขึ้นโดยมีรั้วธรรมชาติล้อมรอบเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าหิวกระหายบุกเข้ามาทำร้าย
แต่นั่นมันก็เมื่อสองแสนปีที่แล้ว ปัจจุบันนี้ ทุกอย่างล้วนกลับตาลปัตร พื้นที่สีเขียวที่เคยปกคลุมโลกไปเกินครึ่งกลับกลายเป็นบริเวณเล็กๆที่ถูกติดตั้งป้าย’วนอุทยาน’ เอาไว้เพื่อกันไม่ให้มันถูกลดจำนวนลงมากกว่านี้ เหล่ามนุษย์ที่เคยอาศัยอยู่ใน ‘รั้ว’ ทยอยย้ายออกมาข้างนอกแล้วจับสัตว์ป่าดุร้ายเหล่านั้นขังใส่ในรั้วแทน
พวกเขาเรียกพื้นที่คับแคบเหล่านั้นว่า...สวนสัตว์
“ขอโทษนะ คีรินทร์ รอนานไหม” เด็กสาวในเสื้อแขนกุดสีแดงวิ่งผ่านประตูโดมที่ถูกวาดลวดลายสัตว์ป่ามากมายเข้ามา ในมือของเธอถือตั๋วสวนสัตว์ดุสิตสำหรับโอไรออนที่ราคาแพงกว่าของมนุษย์ถึงสองเท่า
“ฉันเองก็เพิ่งมาถึง” หน้าซุ้มเฟื่องฟ้าเหี่ยวเฉาไม่ได้รับการดูแล ชายหนุ่มผิวขาวในเสื้อเชิ้ตสีดำยกมือให้เธอเป็นเชิงทักทาย
เป็นเรื่องที่แปลกมากเมื่อหลังจากการพบกันโดยบังเอิญและจากลาโดยไร้คำพูด อยู่ดีๆเพื่อนโอไรออนคนนี้ก็โทรชวนเธอออกมาเที่ยวสวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในบางกอกอย่างไร้เหตุผล
“วันนี้ไม่ต้องทำงานเหรอ” มะลิที่เริ่มเดินขนาบข้างร่างสูงถามขึ้น คีรินทร์ส่ายศีรษะยิ้มๆ
“วันนี้เป็นวันหยุดฉันน่ะ” เขาโกหก ชายหนุ่มจงใจลางานเพราะเขามีธุระอย่างอื่นที่สำคัญกว่าการยืนโบกรถหน้าปากซอย หรือวิ่งไล่จับโจร
การปลดปล่อยสรรพสัตว์ของจากกรง...
ใช่แล้วล่ะ ทว่า ‘สรรพสัตว์’ ที่จะถูกปลดปล่อยไม่ใช่ช้างม้าวัวควายภายในสวนสัตว์แห่งนี้ มันคือเหล่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกกักขังเอาไว้ภายใต้กฎหมายและระบบ
โอไรออน
โอเลี้ยงใส่ถุง เอสเพรสโซ่เย็นราคาเหยียบร้อย เครื่องดื่มชูกำลังหลากยี่ห้อที่ถูกกว้านมาจากร้านสะดวกซื้อ อ้อ...แล้วก็คุกกี้เนยหน้าตาเชยๆในกล่องเหล็กสีแดง
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่หมีดำยักษ์หอบหิ้วมากองไว้บนโต๊ะทำงานของหัวหน้าหน่วยรักษาดินแดน มานาบุเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษจำนวนมากที่ถูกแผ่ออกตลอดความยาวเมตรครึ่งของโต๊ะกระจกสีน้ำเงิน ที่มุมโต๊ะด้านซ้ายปรากฏกราฟสีฟ้าและไฟล์วีดิโอของกล้องวงจรปิดจากสถานที่ที่เกิดเหตุหลายสิบไฟล์
“ตายหรือยัง” ถึงแม้ว่าเนื้อความจะฟังดูเหมือนการเสียดเย้ย แต่น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“อืม...” ช่วงเว้นวรรคนานเนิบนาบแสดงถึงความหนักหนาสาหัส “ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแล้วล่ะ”
หลังจากโปรโมตงานท่องเที่ยวจังหวัดคุมาโมโต้ของญี่ปุ่นเสร็จ ธันวาในชุดมาสคอตคุมามงก็รีบบึ่งมายังตึกกระจกสูงเสียดฟ้าสีน้ำเงินเข้มย่านสุขุมวิทตามคำขอจากมานาบุ ในวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนเช่นนี้ ยอดปลายแหลมของตึกที่ใช้รับส่งสัญญาณระบบควบคุมความประพฤติหลบซ่อนอยู่ในกลีบเมฆราวกับจะบอกว่ามันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดเมื่อคืนทั้งสิ้น
เมื่อก้าวพ้นประตูลิฟต์แก้วความเร็วสูง เขาก็พบกับทางเดินแคบๆที่ถูกประดับด้วยไฟฮาโลเจนนวลตา พรมสีน้ำเงินทอดยาวไปจนสุดทางขนาบข้างด้วยกำแพงกระจกใสสีเดียวกันเมื่อมองเข้าไปก็จะเห็นเจ้าหน้าที่แผนกวิเคราะห์และประเมินผลกำลังวิ่งวุ่นส่งเอกสาร หรือช่วยกันประมวลข้อมูลกันชุลมุนราวกับสถานีนาซ่าเตรียมจะปล่อยยานอวกาศ
และนี่ก็คือที่ตั้งของหน่วยรักษาดินแดนโอไรออนสาขาบางกอก... ชั้นที่สี่สิบหกทั้งชั้นถูกใช้เป็นออฟฟิศและที่ตั้งของหน่วยประมวลผลข้อมูลและเทคโนโลยี ชั้นที่สี่สิบเจ็ดถึงชั้นห้าสิบถูกใช้เป็นศูนย์ฝึกเจ้าหน้าที่ภาคสนาม มันมีทั้งโถงเลคเชอร์สำหรับเรียนทฤษฎีและวิชากฎหมาย ศูนย์ฝึกปฏิบัติการที่ใช้เทคโนโลยีล้ำยุคเพื่อทำให้เจ้าหน้ารู้สึกราวกับตัวเองอยู่ในสถานการณ์จริง พวกเขายังมีสนามยิงปืน และโรงยิมเพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เข้าใช้ในเวลาส่วนตัวอีกด้วย
ทว่าตึก BKK X-1 ไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะที่ตั้งสำนักงานใหญ่หน่วยรักษาดินแดน ในสารคดีหลากหลายประเทศ มันถูกขนานนามว่า ‘ตัวแทนของสังคมสองด้าน’ มันคือที่ตั้งของศูนย์กลางระบบควบคุมความประพฤติแห่งแพนเอเชียใต้ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ถึงการมีตัวตนของระบบภายในตึกนี้ แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดถึงสถานที่ที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของระบบถูกติดตั้งเอาไว้ บ้างก็ว่ามันอยู่ในข้างหลังประตูโลหะสามชั้นบนชั้นบนสุดของตึก บ้างก็ว่า มันถูกซ่อนเอาไว้ในห้องแล็บใต้ดินที่ทำการทดลองเกี่ยวกับพลังงานไกอา
เมื่อเดินไปจนสุดทางเดินของชั้นสี่สิบหก เขาก็ได้รับรอยยิ้มบริการฝืนๆจากคู่พนักงานต้อนรับชายหญิงในยูนิฟอร์มสีน้ำเงินที่มีขอบตาดำคล้ำหลังต้องคอยตอบคำถามเกี่ยวกับระเบิดที่โทรเข้ามาไม่หยุดไม่หย่อนทั้งคืน
“คุณคุมามงใช่ไหมคะ เชิญด้านในค่ะ” พนักงานสาวพูดชื่อนามแฝงของแขกเบื้องหน้าลื่นคอราวกับเรียกชื่อเพื่อนสนิท เธอผายมือไปยังประตูด้านขวาขณะที่เจ้าหน้าที่ชายข้างตัวกำลังปฏิเสธอย่างนุ่มนวลกับเหล่านักข่าวที่อยู่ในการแข่งขันช่วงชิงข้อมูลของเหตุการณ์ที่สั่นสะท้านจิตใจชาวบางกอกทุกคน...ระเบิดที่ใหญ่ที่สุดในบางกอกตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่สอง
ชายผิวแทนในยูนิฟอร์มทีมปฏิบัติการเดินมาต้อนรับเขาเป็นคนแรกเมื่อเห็นหมีร่างกลมน่ากอดตกเป็นเป้าสายตาพนักงานภายในออฟฟิศโดยเฉพาะสาวๆที่ทำท่าเหมือนอยากจะถ่ายเซลฟี่กับเขาเต็มแก่
“คุณหมี ทางนี้ครับ” อาทิตย์ รองหัวหน้าหน่วยรักษาดินแดนร่างกำยำผงกหัวให้เขา ถึงแม้จะไม่ได้นอนมาร่วมยี่สิบชั่วโมงตั้งแต่เวลาเกิดเหตุ แต่เพราะการหมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย เขาจึงดูไม่เพลียนักเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆยกเว้นเพียงแค่รอยคล้ำใต้ตา
“รู้ตัวคนร้ายหรือยัง” ธันวาถามขึ้นขณะเดินผ่านแถวโต๊ะพนักงานแผนกธุรการไปยังมุมของออฟฟิศที่ถูกกั้นเป็นห้องเล็กๆโดยกระจกใส ด้านหน้ามีป้ายเหล็กแกะสลักด้วยอักษรทันสมัยเขียนว่า
‘มานาบุ โทดะ หัวหน้าหน่วยรักษาดินแดนบางกอก’
อาทิตย์ไม่ตอบคำถามของมาสคอต มือหนาเปิดประตูห้องทำงานมานาบุออกเป็นเชิงบอกให้เขาไปถามเจ้านายของเขาด้วยตัวเอง...
“ผมเพิ่งกลับจากประชุมที่สำนักงานตำรวจไทยมา” มานาบุวางปากกาดำด้ามโปรดลายการ์ตูนที่ซื้อจากโตคิวแฮนด์ลงบนโต๊ะ
“เต่าล้านปีพวกนั้นว่าไงล่ะ” มาสคอตหมีนึกถึงเหล่าผู้บัญชาการตำรวจชาวมนุษย์อาวุโสที่มักจะหลุดพูดประโยคชวนเบ้หน้า ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองวิวนอกหน้าต่าง ถึงแม้ว่าห้องทำงานของมานาบุจะแคบไม่สมตำแหน่ง แต่เพราะตึกBKK X-1 เป็นตึกกระจก ห้องของเขาจึงรับวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและเกาะบางกระเจ้าไปเต็มๆช่วยทำให้ห้องของเขาโปร่งขึ้น ทว่าทุกอย่างก็ดูหดหู่ขึ้นทันตา เมื่อเขามองเห็นซากดำเมี่ยมของต้นสะพานกาญจนาภิเษกที่อยู่ไกลออกไป
“เหมือนเดิม... พวกนั้นโทษโอไรออนเหมือนทุกๆครั้ง” หนุ่มแว่นหน้าจืดกล่าวพลางถอนใจ แววตาเหนือขอบตาดำคล้ำแลดูเหี่ยวเฉา ในช่วงเวลาสองทุ่มเมื่อคืน โอตาคุหนุ่มผู้เหนื่อยล้ากับหล่มขยะโอทีที่หน่วยงานมนุษย์โยนมาให้หันไปพักสายตากับวิวของมหานครบางกอกยามค่ำคืน และนั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่ก้อนเพลิงมหึมาปะทุขึ้นกลางแม่น้ำ ภายในเวลาสิบนาที เขาต้องสู้รบฝ่าฟันกับสายโทรศพัท์นับยี่สิบสายที่ล้วนถามหาคำอธิบายของเหตุการณ์วิกฤติที่เกิดขึ้น เมื่อทำภารกิจโอเปเรเตอร์ชั่วคราวเสร็จ เขาก็รีบมุ่งหน้าไปยังสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับทีมรักษาดินแดนที่เข้าเวรประจำคืนนั้นทันที
“แต่ระเบิดนั่นน่ะ ลูกใหญ่มากเลยนะ เล่นทำสะพานเหล็กพังกระจุยขนาดนั้นได้” ธันวานึกถึงภาพสกู๊ปข่าวหน้าหนึ่งที่เขาเห็นเมื่อเช้า
“ระเบิดนั่นอานุภาพสูงก็จริง แต่เชื่อไหม ทีมพิสูจน์หลักฐานกลับไม่เจอการแผ่รังสี หรือซากวัตถุระเบิดแม้แต่ชิ้นเดียว”
“ว่ายังไงนะ” ธันวาหันมามองรุ่นน้องฉงน
“แต่จากการวิเคราะห์รัศมีของบริเวณที่ถูกทำลายและขนาดของช็อกเวฟ คาดว่าระเบิดนั่นมีอานุภาพเทียบเท่าระเบิด TNT หนึ่งร้อยตัน” มานาบุหยิบรายงานจากหน่วยนิติเวชบนโต๊ะขึ้นมาอ่านทวนอีกรอบเพื่อย้ำว่าระเบิดลูกนั้นมีอานุภาพสูงขนาดนั้นจริงๆ “และจุดระเบิดเกิดจากใต้น้ำ”
“ใต้น้ำ? แต่ระเบิดใต้น้ำมีรัศมีทำลายล้างต่ำไม่ใช่เหรอ ถ้าจะให้อานุภาพมากขนาดนั้นก็ต้องใช้หัวระเบิดนิวเคลียร์ แต่นายเองก็บอกว่าตรวจไม่เจอการแผ่รังสีนี่” มานาบุมองธันวาด้วยความชื่นชม ถึงแม้ว่าตอนนี้ธันวาจะกลายเป็นแค่มาสคอตฟรีแลนซ์ธรรมดาคนหนึ่ง แต่เขากลับจำข้อมูลเหล่านี้ได้ราวกับเพิ่งจบโรงเรียนฝึกมาหมาดๆ
ว่ากันว่าเชฟแต่ละคนมีวิธีการปรุงอาหารตามแบบของตัวเอง ผู้ประกอบระเบิดก็เช่นกัน ถ้าพวกเขารู้รายละเอียดชนิดของระเบิดหรือได้เศษส่วนประกอบของมันมาสักนิดเดียว การสืบหาตัวคนร้ายก็จะง่ายขึ้นทันตา
“สรุปคือตอนนี้ ทั้งหน่วยมนุษย์และหน่วยโอไรออนยังไม่รู้ว่าระเบิดนั่นเกิดจากอะไร เป็นฝีมือของใครอย่างนั้นเหรอ” ธันวาย่อทุกอย่างลง รุ่นน้องได้แต่กัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า
“พวกเรากลายเป็นแพะอีกแล้วล่ะครับ” หัวหน้าทีมรักษาดินแดนถอนหายใจยาวแล้วยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก
เมื่อใดที่หาตัวคนร้ายมารับผิดชอบเหตุเดือดร้อนไม่ได้ นิ้วนับสิบจากหน่วยงานและสื่อต่างๆก็จะชี้มายังโอไรออนทันที สิ่งเดียวที่แพะอย่างพวกเขาสามารถใช้อ้างเพื่อปกป้องตัวเองก็คือระบบควบคุมความประพฤติ
ใช่แล้ว เพราะมีระบบที่คอยสังเกตการณ์สภาวะทางอารมณ์ของโอไรออนทุกคน ถ้ามือวางระเบิดเป็นโอไรออนจริง เขาจะต้องถูกยับยั้งก่อนจะกดปุ่มระเบิดแน่ๆ
ธันวาเงียบไปชั่วครู่ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
“สมมตินะ ว่าระบบควบคุมทำอะไรโอไรออนคนนั้นไม่ได้ นายคิดว่าเขาจะวางระเบิดยังไง” คำถามนี้เป็นดั่งเครื่องกระตุ้นให้สมองของหนุ่มฮอกไกโดกลับมาทำงานอีกครั้ง มานาบุนึกย้อนไปถึงในห้องประชุมโอ่โถงมืดๆของสำนักงานตำรวจ ปฏิกิริยาไม่พอใจจากนายตำรวจอาวุโสจำนวนมากหลังได้รับแจ้งว่าหน่วยพิสูจน์หลักฐานไม่ทราบถึงประเภทของระเบิดทำให้ชายที่เป็นตัวแทนของหน่วยอยากมุดหัวลงดินหนีทันที แต่แล้ว เขาก็เห็นมือขาวเหลืองของใครบางคนยกขึ้นที่หลังสุดของห้องประชุมแห่งนี้
“ผมอยากทราบว่ามีระเบิดอะไรอีกไหมที่ไม่ต้องใช้ในปริมาณมาก...” มานาบุขยับแว่นบนสันจมูก “แต่มีพลังทำลายล้างสูงขนาดนี้”
“เอ่อ... คือตามทฤษฏีน่ะ มีครับ” ผู้เชี่ยวชาญอ้ำอึ้งเล็กน้อยแล้วเกาศีรษะ “แต่มันปฏิบัติจริงไม่ได้หรอกครับ”
ใช่...ถ้าเป็นคนปกติ ระเบิดลูกนี้ก็ไม่มีทางที่จะถูกผลิตขึ้นแน่ๆ
แต่ถ้าเป็นโอไรออนล่ะก็...
“พี่รู้จักแร่แฟรนเซียมไหม” มานาบุถามขึ้น ท้องฟ้าข้างนอกหน้าต่างแปรเปลี่ยนเป็นสีส้มทองตามเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านเลขห้า แม่น้ำเจ้าพระยายามแล้งน้ำสะท้อนแสงอาทิตย์ระยิบระยับราวกับมีอัญมณีถูกซุกซ่อนเอาไว้
“ฉันโง่วิชาการแต่ก็จะพยายามทำความเข้าใจละกันนะ” ธันวานั่งลงบนเก้าอี้เบาะหนานุ่มฝั่งตรงข้าม “ว่ามาเลย”
“มันเป็นธาตุลำดับสุดท้ายในโลหะแอลคาไลกลุ่มที่หนึ่ง พูดง่ายๆว่าเป็นแร่มุมล่างซ้ายสุดของตารางธาตุนั่นแหละ แร่ตัวนี้ถึงจะมีปริมาณน้อยแต่ถ้าสัมผัสโดนน้ำก็จะก่อเกิดปฏิกิริยาระเบิดยิ่งใหญ่แบบเมื่อคืน” มานาบุอธิบาย ขณะใช้อินเตอร์เน็ตค้นหาภาพตารางธาตุแล้วเปิดให้มาสคอตฟรีแลนซ์ดู “แต่ทั่วเปลือกโลกใบนี้พบสินแร่ได้เพียงแค่ยี่สิบถึงสามสิบกรัม มันไม่เสถียรและมีจุดหลอมเหลวต่ำสุดๆ อย่าว่าแต่จะสร้างระเบิดเลย แค่ได้แร่มาก็ยากมากๆแล้ว”
“อา...โอเค พูดง่ายๆว่ามันเป็นระเบิดในอุดมคติ แต่ไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตจริงสินะ” ธันวาสรุปสั้นๆ มานาบุที่ตอนนี้สวมบทครูเคมีพยักหน้า
“หายาก และจุดหลอมเหลวต่ำ... ถ้าโอไรออนที่มีพลังแปรธาตุร่วมมือกับโอไรออนที่สามารถลดอุณหภูมิสิ่งของได้ แค่นี้ก็สร้างระเบิดได้แล้วสิ” น้ำเสียงทุ้มต่ำเบื้องหลังหมีหน้ายิ้มถูกเปล่งออกมาลอยๆราวกับพูดกับตัวเอง ทว่าประโยคนี้ก็ไม่เล็ดลอดใบหูของหัวหน้าหน่วยรักษาดินแดนไปได้ มานาบุรีบยกโทรศัพท์ขึ้นกดหมายเลขโทรของหน่วยวิเคราะห์ข้อมูล
“ขอรายชื่อและลิสต์พลังของโอไรออนทุกคนที่อยู่ในเขตบางกอกเมื่อเวลาหกโมงเย็นถึงเที่ยงคืนเมื่อคืน อ้อ แล้วพยายามมองหาคนที่มีพลังในการแปรธาตุและลดอุณหภูมิเป็นพิเศษด้วย” เมื่อวางสาย หนุ่มแว่นก็ฉุกคิดถึงอะไรบางอย่าง
“แต่ถ้าคนร้ายเป็นโอไรออน เขาก็ต้องถูกระบบควบคุมสิ” มานาบุพึมพำขณะล็อคอินเข้าสู่ฐานข้อมูลของระบบควบคุมความประพฤติ เขาเริ่มเช็คค่าพีคขอกราฟในช่วงเวลาของระเบิดซึ่งส่วนใหญ่มักจะมาจากผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ
“นายเคยเจอแล้วนี่...” มาสคอตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหมุนเก้าอี้ไปยังกระจกภายนอก ฝูงนกนางแอ่นนับสามสิบตัวพากันบินกลับรังผ่านพวกเขาไป
“คนที่ระบบไม่สามารถทำอะไรได้น่ะ”
มานาบุเงยหน้าขึ้นจากคีย์บอร์ดไร้สาย เลนส์แว่นหนาสะท้อนภาพหนึ่งใน ‘คนที่ระบบไม่สามารถทำอะไรได้’ นกนางแอ่นอีกฝูงหนึ่งบินพาดผ่านกระจกไปราวกับผ้าคลุมสีดำบาง
ในชีวิตยี่สิบสามปีของหัวหน้าหน่วยรักษาดินแดน เขาได้พบคนพิเศษเหล่านี้เพียงแค่สองคน...
ธันวา และ เคย์
วันนี้ สวนสัตว์เงียบเป็นพิเศษ ไม่สิ อย่าว่าแต่ที่นี่เลย ทั่วทั้งบางกอกเงียบยิ่งกว่าป่าช้า ใครจะไปคิดว่าถนนสี่เลนในช่วงเวลาเร่งด่วนของเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นอันดับต้นๆของโลกจะโล่งโปร่งได้ขนาดนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นผลกระทบจากเหตุระเบิดกาญจนาภิเษกเมื่อคืน ถึงแม้ว่าค่ำคืนที่ผ่านจะมีผู้เสียชีวิตน้อยคน แต่ก็มีผู้บาดเจ็บและผู้ได้รับผลกระทบจำนวนมาก และที่แน่ๆ... ถ้าคนวางระเบิดจงใจจะทำให้สภาพจิตใจชาวบางกอกสั่นคลอน...พวกเขาทำสำเร็จแล้ว ตอนนี้ ทุกคนตกอยู่ในอาการหวาดผวา หลายๆคนกังวลที่จะออกจากบ้าน ในสังคมออนไลน์ เริ่มมีการแสดงความคิดเห็นจำนวนมากว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง บ้างก็เป็นความคิดที่ฟังดูดีมีเหตุผล บ้างก็ดูเหมือนเป็นความคิดของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ยากูซ่า มาเฟียจีน แก้งค์ค้ายา ผู้ก่อการร้ายชาวตะวันออกกลาง เอเลี่ยน...
เด็กสาวที่รู้สึกเอือมระอากับความคิดเหล่านี้ปิดหน้าจอมือถือแล้วออกเดินไปตามทางเดินคอนกรีตร้างผู้คนกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เพราะเธอไม่เคยไปสวนสัตว์มาก่อนในชีวิต โอไรออนจากเมืองเล็กๆคนนี้จึงทำตัวเยี่ยงเด็กน้อย ทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับมะลิตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นนกฮูกสีเทาที่หน้าตาเหมือนหลุดมาจากหนังพ่อมดน้อย งูเหลือมร่างยาวที่เพิ่งทานเนื้อหนูสดๆต่อหน้าต่อตาพวกเขา หรือฮิปโปอ้วนจั้มมั่มที่กำลังนอนแช่น้ำสบายใจ ตอนนี้ เด็กสาวก็กำลังใช้มือกดถ่ายรูปเสือโคร่งที่เดินนวยนาดเป็นนายแบบหน้ากล้องรัวๆ
“มะลิ เธอว่าการที่สัตว์พวกนี้ถูกจับขังเป็นของเชยชมของมนุษย์นี่แบบนี้ มันถูกมั้ย” คีรินทร์เริ่มบทสนทนาหลังจากเห็นเด็กสาวถ่ายรูปเสือหนุ่มจนพอใจ เด็กสาวที่กำลังจะเดินไปโซนเสือดาวชะงักไป เธอหันมาเผชิญหน้ากับอดีตเพื่อนสนิท
ระยะห่างระหว่างพวกเขาอยู่ที่สามเมตร
แต่ระยะห่างจากโลกไปยังดวงจันทร์คือเท่าไหร่กันนะ...
ทำไมเธอรู้สึกว่ายิ่งได้เจอเขา เธอก็พบว่าพวกเขาห่างเหินกันไปเรื่อยๆ บางครั้งเธอก็เดาไม่ออกเลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่...โดยเฉพาะตอนนี้
“แปลกดีนะ มนุษย์คิดเองเออเองมาเสมอว่าตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงอำนาจที่สุด พวกเขาจะทำอะไรกับโลกก็ย่อมได้” คีรินทร์กล่าวขณะหันไปมองเสือดาวที่ตอนนี้กำลังนอนหลับใต้ร่มไม้สักในอาณาเขตของตน “ทั้งๆที่มนุษย์ก็เป็นเพียงแค่ลิงที่พัฒนาแล้วเท่านั้น”
“คีรินทร์...” มะลิที่กำลังจะขัดขึ้นกลับโดนคู่สนทนากล่าวตัดไปก่อน
“บางที่อาจจะถึงเวลาที่กฎแห่งธรรมชาติต้องเป็นคนตัดสินแล้วนะ” ชายหนุ่มเว้นวรรค “ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคือผู้ชนะในธรรมชาติ”
“คีรินทร์ นายต้องการจะพูดว่าอะไรกันแน่” เด็กสาวที่เริ่มสับสนกับแนวคิดของชายหนุ่ม
“เธอไม่เห็นเหรอ โอไรออนก็เหมือนสัตว์พวกนั้น ถูกจองจำโดยกฎและระบบโง่ๆ” มือข้างหนึ่งชี้ไปยังเสือโคร่งตัวที่พวกเขาเพิ่งเดินจากมา “มนุษย์พวกนั้นกลัวพวกเรา มะลิ! พวกเขากลัวเสือที่ดุร้ายเลยต้องจับเสือใส่กรง!”
เสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆทำให้ฝูงนกพิราบที่กำลังจิกเศษขนมปังบนพื้นข้างๆแตกฝูงกระจาย มะลิถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
เบาบาง...อากาศตอนนี้เบาบางลงทุกขณะราวกับว่าพวกเขาถูกส่งขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดออกมาดูจะไร้ความหมาย ล่องลอยเปราะบาง
ถ้าระบบถูกทำลาย มันอาจจะทำให้โอไรออนหลายๆคนมีความสุข แต่ถ้าการจะปิดระบบต้องแลกมาด้วยเลือดของคนบริสุทธิ์ มะลิก็คงไม่สามารถยืดอกยอมรับได้ว่าเธอคืออิสระชนอย่างชอบธรรม
“คีรินทร์ ทั้งพวกเราและมนุษย์ก็คือคน พวกเราล้วนมีจุดเริ่มต้นของเผ่าพันธุ์เหมือนกัน ถึงแม้ว่าหกสิบปีให้หลังมานี้จะมีความแตกต่างเกิดขึ้น แต่ฉันก็เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลของมันเอง ตอนนี้พวกเขาอาจจะกลัวเรา เกลียดเรา แต่ฉันเชื่อว่าในอีกสิบปี ร้อยปี หรือสองร้อยปีข้างหน้า จะมีวันที่พวกเราทุกคนจะสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่มีการแบ่งแยก” ดวงตาสองชั้นลึกจ้องเพื่อนสนิทราวกับขอให้เขาเชื่อมั่นในความคิดของเธอ หลายๆคนอาจจะคิดว่าเธอโลกสวยเกินไป มันก็อาจจะจริง เด็กสาวมักจะอ่านเรื่องของการเลิกทาสในอเมริกา การเซ็นสัญญาสันติภาพระหว่างชาวผิวขาวและชาวเมารีในนิวซีแลนด์ การได้เห็นความแบ่งแยกถูกลบออกจากประวัติศาสตร์ประเทศต่างๆมอบความหวังเล็กๆให้กับเธอ ความหวังที่ว่าสักวันหนึ่ง เธอจะได้นั่งร้านกาแฟปะปนกับคนทั่วไป ได้ทำงานคละกับมนุษย์คนอื่นๆ ได้โอกาสเลือกที่อยู่อย่างเสรี...
เลขหมายที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ
เมื่อเห็นว่าเด็กสาวเบื้องหน้าไม่ยอมเปิดรับความคิดของเขาแม้แต่นิดเดียว โอไรออนผิวขาวที่วันนี้ตั้งใจจะชักชวนเธอเข้าร่วมปฏิวัติระบบไปด้วยกันก็ถอนใจยาวแล้วเงยหน้าขึ้นมา มุมปากของเขาตกลงยี่สิบองศา
“มะลิ ความฝันของเธอน่ะ มันสวยดีนะ” ดวงสีเทาวันนี้ดูเต็มไปด้วยม่านควัน อากาศแห้งๆพร้อมกับลมฤดูร้อนชวนอึดอัดพัดมา อีกาตัวใหญ่โผบินออกจากกิ่งหนาๆของต้นจามจุรี “แต่มันถูกเรียกว่าความฝันเพราะสักวันเธอจะต้องตื่นจากมันยังไงล่ะ”
อั่ก
ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วท้องก่อนจะแผ่มายังซี่โครงสองคู่ล่าง ร่างบางค่อยๆไหลลงไปกองกับพื้นแต่ก็ถูกมือหนาพยุงเอาไว้ คีรินทร์ใช้มือข้างหนึ่งช้อนใต้ไหล่บาง ส่วนอีกข้างช้อนเข่าของเธอยกขึ้น หนึ่งในผู้ร่วมขบวนการวางระเบิดสะพานกาญจนาภิเษกก้มลงจนผิวหน้ารู้สึกได้ถึงลมหายใจอ่อนๆถี่ๆของเด็กสาวที่ตอนนี้ยังรู้สึกมึนงงจากความชาที่ท้อง
“ฉันจะแสดงให้เธอเห็นเอง...ว่าโลกแห่งความจริงมันเลวร้ายแค่ไหน”
“หัวหน้าครับ พวกเราพบโอไรออนสองคนที่มีความสามารถอย่างที่หัวหน้าต้องการแล้วครับ” พนักงานแผนกประเมินผลร้องเรียกเขา มานาบุที่เดินหมุนไปวนมาข้างหลังหันขวับ ธันวาเองก็มองตัวอักษรหนาๆสีขาวที่ปรากฏขึ้นเป็นชื่อของชายทั้งสอง พร้อมกับรูปโปรไฟล์เหมือนรูปติดบัตรนักเรียนเด้งขึ้นบนจอด้านบนสุดจากบรรดาจอคอมทั้งเจ็ดบนกำแพง
“ทั้งสองคนเป็นแค่นักเรียนนี่” มานาบุไม่เชื่อ เขานึกว่าผู้ต้องสงสัยน่าจะเป็นผู้เคยมีคดีอาชญากรรมมาก่อน แต่ไม่เลย...ทั้งสองคนมีผลการเรียนดีเด่น แถมประวัติทุกอย่างก็ขาวสะอาดราวกับสำลี
คีรินทร์ เฮลกูสัน-เดชาปักษ์... นักเรียนจากโรงเรียนฝึกสาขาฮาร์บิ้น กำลังฝึกงานในหน่วยตำรวจโอไรออน มีพลังในการลดอุณหภูมิฉับพลัน
โคล หว่อง... นักเรียนจากโรงเรียนฝึกสาขาเซินเจิ้น กำลังฝึกงานในหน่วยนิติเวช มีความสามารถในการแปรธาตุ
“ฉันเคยเห็นหมอนี่” ธันวาชี้รูปชายผิวเผือกบนจอมุมขวา ในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า คีรินทร์อยู่ในเสื้อสูทนักเรียนสีเขียวเข้มและเน็กไทสีเดียวกัน ดวงตาสีควันบุหรี่ไร้แววของคนมีชีวิต “เขาเป็นเพื่อนกับยัยเด็กนั่น”
“มะลิน่ะเหรอ” มานาบุเลิ่กคิ้ว “เออ แล้ววันนี้มะลิไปไหนล่ะ”
มาสคอตหนุ่มไม่ตอบเขารีบหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก
เมื่อเช้านี้ เด็กฝึกงานบอกว่าเธอจะออกไปเจอกับเพื่อน แต่เธอไม่ได้บอกเขาว่าจะไปที่ไหน และไปกับใคร...
เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขนาดนี้ กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ
“พิกัดล่าสุดของสองคนนี้คือที่ไหน” ธันวาที่หัวเสียเมื่อเด็กสาวไม่รับสายถามเสียงเข้ม ชายร่างอ้วนบนเก้าอี้รีบหันไปคีย์อะไรบางอย่างบนหน้าจอถึงแม้จะสงสัยว่ามาสคอตเบื้องหน้าเป็นใคร ปรากฏแถบโหลดสีเขียวกลางหน้าจอพร้อมกับตัวอักษรหนาๆ
กำลังประมวลผลกล้อง CCTV
ยี่สิบ สามสิบ สี่สิบเปอร์เซ็นต์ ดวงตาภายใต้หัวหมีหนักๆจ้องมองแถบโหลดสีเขียวนิ่ง เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกแล้ว มือหนานุ่มของชุดมาสคอตบีบมือถือในมือแน่น
ประมวลผลเสร็จสิ้น
“โคลหายเข้าไปในโรงพยาบาลโอไรออนสมุทรปราการเมื่อสามวันที่แล้ว และไม่เคยออกมาอีกเลยครับ ส่วนคีรินทร์เพิ่งจะเดินเข้าไปเมื่อสิบห้านาทีที่แล้ว” เจ้าหน้าที่รายงาน เมื่อระบบแสกนใบหน้าทุกคนในกล้องวงจรปิดเสร็จสิ้น หน้าจอมุมล่างขวาบนโต๊ะของหน่วยประมวลผลก็แสดงภาพโอไรออนฝึกหัดจากฮาร์บินกำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาลโอไรออนแถวสมุทรปราการไม่เล็กไม่ใหญ่ ในขณะที่มุมซ้ายปรากฏภาพเด็กหนุ่มชาวฮ่องกงร่างเล็กกำลังเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแห่งเดียวกันเมื่อสามวันที่แล้ว
สถานที่แห่งเดียวกันทั้งๆที่ห่างไกลจากที่อยู่ของทั้งสองคน.. พวกเขาต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่ๆ
“โทรแจ้งหน่วยตำรวจสมุทรปราการให้ล้อมโรงพยาบาลเอาไว้ กันใครเข้าออกแต่อย่างเพิ่งเข้าไปจนกว่าพวกเราจะไปถึง” มานาบุสั่งลูกน้องคนหนึ่งในหน่วยประมวลผล “แล้วแจ้งหน่วยตำรวจกรุงเทพ หน่วยกู้ระเบิดและหน่วยดับเพลิงด้วย”
อย่างน้อยพวกเขาควรจะจับสองคนนี้มาสอบปากคำ ถ้าเกิดไม่ได้ผลอะไรขึ้นมาก็ค่อยปล่อยตัวไป
มานาบุกดปุ่มเปิดไมโครโฟนอินเตอร์คอมที่ต่อไปยังลำโพงทั่วสำนักงานใหญ่ทีมรักษาดินแดนแห่งนี้
“รวมพลทีมปฏิบัติการ ย้ำ รวมทีมปฏิบัติการ”
ทว่ากลับมีแค่ธันวาที่รู้สึกเอะใจ ทำไมคนร้ายถึงไม่พยายามปกปิดใบหน้าหรือหลักฐานเลยนะ การที่คีรินทร์เดินโทงๆเข้าโรงพยาบาลกลางวันแสกๆอย่างมั่นใจนั่น มันเหมือนกับ...
เสียงโทรศัพท์ในกระเป๋าข้างชุดมาสคอตทำลายขบวนความคิดของมาสคอตฟรีแลนซ์ เมื่อเห็นชื่อผู้โทร เขาก็กดรับทันที
“ธันวา...” เสียงคุ้นหูของเด็กสาวดังสะท้อนในสายโทรศัพท์ราวกับว่าเธออยู่อีกมิติหนึ่ง ห่างไกล เบาบาง มืดมิด
“เธออยู่ไหน!” เมื่อได้ฟังคำตอบ มาสคอตหมีก็ไม่รีรอวิ่งออกจากห้องไปทันทีโดยไม่ได้บอกกล่าวเจ้าหน้าที่สักคน
มันเป็นเรื่องเร่งด่วน...ถ้าขืนเขารอให้ทีมรักษาดินแดนไปช่วยเด็กสาว มีหวังมะลิได้จมน้ำตายก่อนแน่ๆ!
“ทีมหนึ่ง ประตูหน้าเคลียร์”
“ทีมสอง ประตูหลังเคลียร์”
“ทีมสาม ประตูข้างเคลียร์”
กลุ่มเจ้าหน้าที่ทีมรักษาดินแดนรายงานเข้ามาเกือบจะพร้อมๆกัน มานาบุที่อยู่ในรถตู้ของหน่วยวิเคราะห์ข้อมูลข้างนอกรั้วโรงพยาบาล มองภาพประตูโรงพยาบาลทั้งสามบานที่ถูกส่งเข้ามาผ่านกล้องขนาดเล็กบนหมวกกันน็อคของสมาชิกในหน่วย พวกเขาทุกคนไม่ได้อยู่ในเสื้อเชิ้ตทับด้วยเกราะกันกระสุนอีกต่อไป ทุกคนล้วนอยู่ในชุดปฏิบัติการสีดำเหมือนชุดของหน่วยคอมมานโด แต่ต่างกันตรงที่ด้านหลังเสื้อของเขามีตัวอักษรสีขาวสกรีนเอาไว้บ่งบอกถึงความเป็นโอไรออน
“เข้าไป” มานาบุออกคำสั่งผ่านไมโครโฟน ทีมเจ้าหน้าที่นับสิบก็เคลื่อนย้ายเข้าไปในโรงพยาบาลที่ปัจจุบันถูกตัดไฟจนมืดสนิททันที
“อย่าลืมนะ ต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งชั่วโมง” ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเดินเข้ามาบอกหัวหน้าทีมโอไรออนหนุ่มด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เคสผ่าตัดทุกเคสถูกยกเลิกเร่งด่วน แผนกฉุกเฉินต้องปิดชั่วโคราว ผู้ป่วยทุกคนถูกเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลเคลื่อนย้ายไปอยู่ในห้องที่ปลอดภัย ยังดีที่เครื่องปั่นไฟสำรองของโรงพยาบาลยังช่วยให้พลังงานแก่อุปกรณ์ในห้องไอซียูไม่เช่นนั้นมันคงจะยุ่งกว่านี้ ทว่าเพราะเป็นเครื่องรุ่นเก่า มันจึงทำงานได้นานเพียงแค่ชั่วโมงเดียว ถ้าการต่อสู้ยืดเยื้อ นอกจากทหารจะสูญเสียมากแล้ว คนไข้หลายๆคนก็อาจจะเสียชีวิตได้
มานาบุพยักหน้าเป็นเชิงรับทราบแล้วหันไปมองหน้าจอทีวี กล้องวงจรปิดภายในโรงพยาบาลล่าสุดก่อนที่ระบบไฟจะถูกตัดไปเผยว่าโอไรออนเผือกนั้นเข้าไปในห้องผู้ป่วยวีไอพีชั้นบนสุด ในขณะเดียวกัน ในข้อมูลของกล้องจากเมื่อสามวันก่อน โคล ที่มีพลังสร้างแร่ธาตุหายเข้าไปในชั้นใต้ดินแล้วไม่เคยปรากฏตัวออกมาอีกเลย
ตอนนี้ทีมที่หนึ่งและสองได้มาถึงหน้าห้องวีไอพีหมายเลข 1019 ทว่าก่อนที่พวกเขาจะเข้าไป เขาก็พบกับพยาบาลสาวร่างบางนั่งหน้าซีดพิงประตูสีขาวท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงไฟฉุกเฉินคอยนำทาง ดวงตาสีดำขลับส่ายระริกด้วยความกลัว มือทั้งสองข้างสั่นไหว หนึ่งในสมาชิกทีมรีบลงไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้นยืน
“เขา เขา...เขาบ้าไปแล้ว” ไหล่บางยังคงสั่นสะท้านราวกับยังเห็นภาพฝันร้ายในสมอง หัวหน้าทีมสองสั่งให้ลูกน้องของตนพาเธอไปยังที่ที่ปลอดภัย มานาบุขมวดคิ้วกับภาพที่เห็น ไม่ควรจะมีบุคลากรของโรงพยาบาลออกมาเดินเพ่นพ่านเวลานี้หลังจากที่เขาออกคำสั่งอพยกไปเมื่อต้นชั่วโมงที่แล้ว ดวงตาผ่านแว่นพยายามเพ่งมองป้ายชื่อพลาสติกบนอกของเธอ
ลี ยูฮวา
เมื่อพานางพยาบาลเข้าไปนั่งพักที่ห้องตรวจเป็นที่เรียบร้อย สมาชิกทีมรักษาดินแดนทั้งสองก็วิ่งกลับออกไปสมทบกับทีมหลัก ร่างบางที่เคยสั่นไหวด้วยความกลัวกลับหยุดฉะงัก เธอลุกจากเตียงตรงไปยังประตูบานเลื่อน ดวงตาดำขลับมองฝ่าช่องแคบๆของประตูออกไปยังทางเดินภายนอก เมื่อเห็นหัวหน้าทีมหนึ่งเปิดประตูห้อง 1019 อย่างเบามือก่อนที่สมาชิกจะทยอยเดินเข้าไป ริมฝีปากบางรูปกระฉับก็เผยรอยยิ้มออกมา
เหยื่อกลุ่มแรกของ ’ประติมากรรม’ ของเธอมาถึงแล้ว
สมาชิกทั้งสองทีมกรูเข้าไปเรียงแถวหน้ากระดานแล้วเล็งปืนไปยังเป้าหมายที่กำลังยืนโดดเดี่ยวอยู่ภายในราวกับนักโทษชาวยิวในลานประหารของนาซีเยอรมัน
เพลง Clair de Lune ของโกลด เดอร์บูวซี่ คีตกวีชาวฝรั่งเศสดังเล็ดลอดออกจากวิทยุเครื่องเล็กชวนให้บรรยากาศนุ่มนวล กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อให้ความรู้สึกปลอดภัยแต่ไม่สบายตัว เตียงคนไข้ที่ว่างเปล่า รอยยับยู่ยี่ของผ้าห่มสีขาวที่มีคราบสีแดงประปรายราวกับถูกโรยด้วยกลีบกุหลาบ พื้นแกรนิตขัดมันสีขาวมีรอยเลือดถูกลากเป็นทางยาวดั่งเส้นไหมสีแดงอ่อนช้อย มันวิ่งมาสิ้นสุดบนปลายเท้าของร่างสูงโปร่ง ข้อมือขาวซีดทั้งสองข้างมีสายธารเลือดที่หลั่งไหลออกมาไม่หยุดจากแผลที่ถูกกรีดเป็นเส้นตรงยาว แสงจันทร์ในคืนวันเพ็ญส่องสะท้อนเรือนผมสีเงินยวงทำให้ใบหน้าของดูสว่างไสวราวกับรูปภาพที่ใช้เคารพบูชาในโบสถ์ ถึงแม้ว่าดวงตาข้างหนึ่งจะมีน้ำตาเลือดที่หลั่งไหลออกมา
“คีรินทร์ เฮลกูสัน-เดชาปักษ์ หน่วยรักษาดินแดนต้องการสอบสวนคุณและเพื่อนของคุณเกี่ยวกับเหตุระเบิดสะพานกาญจนาภิเษก กรุณามากับเรา” หัวหน้าทีมหนึ่งกล่าวทั้งๆที่ยังถือปืนค้างท่าเดิม มานาบุจ้องหน้าจอนิ่ง เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีเลยชะมัด
“ดูเหมือนพวกคุณก็ไม่อยากออกจากกรงสินะ” คีรินทร์พึมพำทั้งๆที่สีหน้าไร้อารมณ์ เขายกมือขึ้นทั้งสองข้างราวกับวาทยกรควบคุมบทเพลงเกี่ยวกับดวงจันทร์แสนอ่อนหวาน สมาชิกทีมตั้งปืนขึ้นเตรียมยิง
และแล้วเมื่อถึงช่วงที่นักเปียโนมือฉมังกำลังไล่เสกลเสียงสูงราวกับกำลังเดินเข้าใกล้ดวงจันทร์มากขึ้นเรื่อยๆ คีรินทร์ก็สะบัดมือไปด้านหน้าเป็นวงกว้าง เลือดสีแดงสาดกระเซ็นเปรอะยูนิฟอร์มสีดำของเจ้าหน้าที่สี่นาย ใบหน้าภายใต้หน้าต่างขมวดคิ้วสงสัย แต่แล้วคราบเลือดบนชุดของเขาก็ค่อยๆเย็นขึ้นเรื่อยๆจากสามสิบองศาเป็นลบสิบ ลบสี่สิบ และแล้วมันก็ถูกลดถึงลบสองร้อยเจ็ดสิบสามเซลเซียส เนื้อของมนุษย์ที่ทนความเย็นได้ไม่มากแข็งตัวก่อนจะแตกออกมาจากร่างราวกับถูกทำจากเซรามิค ในเสี้ยววินาที โอไรออนสี่คนที่เคยยืนถือปืนอยู่ดีๆก็กลายเป็นเพียงเศษเนื้อแข็งๆบนพื้นแกรนิตขัดมันแห่งนี้
“ขอความอนุมัติระบบในการกำจัดโอไรออนรหัส XXX0051” หนึ่งในสมาชิกทีมที่เหลือกล่าวขึ้นทั้งๆที่มือที่เล็งปืนเอาไว้สั่นกึกๆอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเกิดเหตุร้ายแรงที่พวกเขาต้องจับตายโอไรออนอย่างเดียว ทีมรักษาดินแดนก็ต้องร้องขอคำอนุญาตกับระบบซึ่งส่วนใหญ่พวกเขามักได้คำตกลงยกเว้นเสียแต่ว่า...
“ไม่อนุมัติ โอไรออนรหัส XXX0051 เป็นอาวุธสงครามชั้นสูง ไม่คุ้มค่าที่จะสูญเสีย”
เสียงของระบบดังสะท้อนในสมองของโอไรออนในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ที่เหลือบางคนสบถออกมาแล้วตัดสินใจรัวปืนใส่โอไรออนผิวขาวข้างหน้า ในขณะที่คนอื่นๆก็เริ่มใช้พลังของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ทว่านักเรียนโอไรออนกลับหลบการโจมตีได้ทุกคราโดยการใช้เลือดที่ถูกลดอุณภูมืของตัวเองเป็นโล่ เจ้าหน้าที่เหล่านี้เริ่มพบกับความสิ้นหวัง สุดท้ายเมื่อความกลัว ความเครียดพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ระบบก็ยับยั้งการกระทำทุกอย่าง พวกเขากลายเป็นเพียงรูปปั้นหน่วยคอมมานโด ยืนแน่นิ่งในห้อง มีเพียงดวงตาของพวกเขาที่ส่ายไปส่ายมา ม่านตาขยายกว้างด้วยความกลัว คีรินทร์มองห้องผู้ป่วยที่กลายเป็นแกลเลอรี่งานศิลป์ชั่วคราวก่อนจะแต่งแต้มรูปปั้นเหล่านั้นด้วยเลือดสีแดงของตน
สุดท้าย...ห้องคนไข้วีไอพีแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยเศษเซรามิคเนื้อมนุษย์
มานาบุมองภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตาค้าง ทำไมระบบถึงไม่หยุดคีรินทร์ก่อนที่เขาจะฆ่าโอไรออนคนอื่นๆ!? จอมอนิเตอร์แสดงร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินเอื่อยๆออกจากห้อง ถึงจะมองเห็นไม่ชัดแต่หัวหน้าหน่วยโอไรออนก็พอจะสังเกตเห็นคราบเลือดที่ไหลออกจากหัวตาด้านซ้าย
หรือว่าหมอนั่น...จะ ‘ตัดการติดต่อ’ กับระบบไปแล้ว?
--จบบทที่ 3--
MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
ผู้แต่ง : Patra Fujiyama
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 0: ทำไม + บทที่ 1: กฎเหล็กของมาสคอตสามประการ | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: Gluggave?ur อากาศภายนอก | 09 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3 dyragaroinum สวนสัตว์ | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: Ra?lj?st แสงสว่างในความมืด | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: Aurora แสงเหนือ | 30 มี.ค. 59 |



เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )
เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
ไดอะล็อกมีพลัง
ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช