
EN18 MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
กฎเหล็กของมาสคอตสามข้อ: ห้ามคุย, ห้ามถอด, ห้ามงอแง คุณเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังหัวการ์ตูนสุดน่ารักเหล่านั้น เขาคือใครกันแน่ คำตอบน่ะหรือ...ผีที่มีชีวิตยังไงล่ะ
บทที่ 4 Raðljóst แสงสว่างในความมืด
Raðljóst = แสงเพียงน้อยนิดที่สามารถนำทางในความมืด
“ในภาษาดอกไม้ คาโมมายล์มีความหมายว่าความอดทนในช่วงเวลาอันโหดร้าย”
เสียงนุ่มทุ้มจากความทรงจำเมื่อนานมาแล้วปลุกให้เด็กสาวลืมตา มะลิพยายามปรับสายตากับภาพที่เห็น แผ่นหลังเอนพิงกำแพงคอนกรีตเย็นชื้น แขนและข้อมือปวดล้าแสนล้า เด็กสาวมองไปรอบๆอย่างสะลึมสะลือแต่แล้วดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกกว้าง
นี่เธออยู่ที่ไหน!?
แสงไฟสีส้มแดงที่ถูกติดไว้ตามทางเดินเป็นระยะพอจะให้ความสว่างแก่เด็กสาวได้บ้าง มะลิพบว่าเธออยู่ในสถานที่ที่ดูเหมือนอุโมงค์ยักษ์เส้นผ่าศูนย์กลางห้าเมตรยาวไม่มีที่สิ้นสุด ถึงจะเพ่งมองปลายอุโมงค์มากเท่าไหร่ คำตอบที่ได้กลับมาก็คือความมืดมิดเท่านั้น เธอพยายามขยับมือที่ถูกไขว้ไว้ข้างหลังออกจากกันแต่ก็พบว่ามันถูกกุญแจมือเย็นๆคล้องเอาไว้ ข้อเท้าของเธอก็เช่นกัน มันถูกเทปกาวสีน้ำตาลพันไว้หลายตลบ มะลิพยายามคิดทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
เธอจำอะไรไม่ได้นอกจากถูกคีรินทร์ชกท้องจนสลบไป...
เด็กสาวอยากจะตบหน้าตัวเองสักฉาดให้กับความไว้วางใจที่เธอมีให้อดีตเพื่อน ตอนนี้ คำถามมากมายหลั่งไหลเข้ามาในใจ ทำไมคีรินทร์ถึงจับตัวเธอมา ทำไมเธอถูกนำมาปล่อยในอุโมงค์ยักษ์แห่งนี้ ที่นี่คือที่ไหน เป้าหมายของคีรินทร์คืออะไร... เดี๋ยวสิ ถ้าถามถึงเป้าหมายของเขา เธอก็พอจะเดาออก
ล้มล้างระบบควบคุมความประพฤติ
แต่เขาจะทำมันอย่างไรล่ะ... มะลิคิด ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกถึงวัตถุแข็งๆในกำมือขวาทั้งๆที่ยังถูกพันธนาการเอาไว้...พลาสติกเย็นๆทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสองชั้นทับกันหนาประมาณสามเซนติเมตร เมื่อเปิดพลาสติกชั้นบนออก เธอก็พบกับปุ่มนับเก้าปุ่มขนาดเท่าๆกัน...มันคือโทรศัพท์มือถือรุ่นฝาพับ...โทรศัพท์ที่เธอเดาว่าคงเป็นที่นิยมเมื่อสิบปีก่อน ทว่ามันมาอยู่ในมือของเธอได้อย่างไรล่ะ หรือว่าคีรินทร์ต้องการให้เธอใช้โทรหาใครบางคนเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
ติ๊ด ติ๊ด
เสียงสัญญาณแหลมหูดังขึ้นทำให้มะลิที่ตอนนี้เอาแต่ง่วนอยู่กับการสัมผัสแป้นโทรศัพท์มือถือชะงักไป ต้นเสียงสูงๆนั่นไม่ใช่ที่ไหนไกล เด็กสาวก้มลงมองที่ลำตัวของตัวเอง สิ่งที่ประจักษ์เบื้องหน้าทำให้อัตราการเต้นของหัวใจพุ่งสูงขึ้นถึงร้อยหกสิบครั้งต่อนาที... ริมฝีปากบางเริ่มสั่นไหว
ระเบิด มีระเบิดอยู่บนตัวเธอ!!!
ใช่แล้วเสื้อแจ็คเก็ตสีดำสวมหัวที่ไม่ใช่ของเธอแต่กลับมาอยู่บนร่างของเธอมีระเบิดซีโฟร์ติดอยู่ เหนือมัน หน้าปัดขนาดเล็กปรากฏตัวเลขดิจิตัลสีแดงสดที่กำลังเดินถอยหลัง
00. 44. 21 hr
เหลือเวลาอีกเพียงสี่สิบกว่านาทีก่อนระเบิดจะทำงาน เมื่อความเครียดเริ่มก่อตัวขึ้น เด็กสาวก็สูดหายใจแรงและถี่ขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาของเธอจับจ้องตัวเลขนิ่งราวกับต้องการให้มันเดินย้อนกลับ ในเศษเสี้ยวหัวใจของเธอลึกๆ เธอหวังว่าจะมีทีมกล้องของรายการเรียลริตี้โผล่ออกมาพร้อมกับพิธีกรสาวสวยที่เผยว่าทุกอย่างทั้งหมดเป็นแค่การล้อเล่น...
จะบ้าเหรอ มะลิ ตั้งสติหน่อย!
มะลิมองไปรอบกายอย่างสับสน ไม่มีใครในอุโมงค์แห่งนี้ ไม่มีความช่วยเหลือ... นอกจากโทรศัพท์เครื่องนั้น
นิ้วโป้งกดแป้นที่อยู่ตรงกลางแถวล่างสุดซึ่งเธอคาดว่าเป็นเลขศูนย์แต่แล้วความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
เดี๋ยวก่อนสิ ถ้าคนอื่นๆตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอ พวกเขาก็คงจะโทรหาตำรวจ ใช่แล้ว ยิ่งรู้ว่าการที่เธอถูกจับมาเช่นนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุร้ายอื่นๆ เจ้าหน้าที่จำนวนมากจะถูกส่งมาช่วยเธอ เขาอาจจะใช้โอกาสนั่นกำจัดพวกเขาในทีเดียว หรือเขาอาจจะเอาเธอเป็นตัวเบนความสนใจจากเหตุการณ์ที่อาจจะร้ายแรงกว่านี้!
หรือเธอจะไม่โทรหาใครเลยแล้วปล่อยให้ตัวเองตายไปคนเดียว...
เด็กสาวกัดริมฝีปากจนเลือดซิปเมื่อความคิดอย่างหลังเข้าครอบงำ ใจหนึ่งเธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด แต่อีกใจกลับกรีดร้องด้วยความกลัว... การตายด้วยระเบิดจะเป็นอย่างไร จะเจ็บ จะทรมานมากแค่ไหนกัน ที่สำคัญ เธอจะตายอย่างโดดเดี่ยว ไร้คำร่ำลา ไม่มีวันได้กลับไปดูแลพ่อแม่ ไม่ได้เห็นตัวเองเข้าร่วมหน่วยรักษาดินแดนที่ใฝ่ฝัน ภาพความทรงจำดีๆมากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวของเธอราวกับน้ำที่เอ่อล้นแก้ว ภาพอ้อมกอดของพ่อที่ถูกอ้าออกเมื่อเธอกลับจากโรงเรียนอนุบาลวันแรก ภาพแผ่นหลังผอมๆของแม่กำลังทำกับข้าวในครัวหลังบ้านเก่าๆ ภาพพลุหลากสีเต็มท้องฟ้าฤดูร้อน ภาพงานวันสันติภาพโลกที่เธอกับเพื่อนขึ้นไปเต้นบนเวทีจนถูกไล่ลงมา เสียงหัวเราะจากความทรงจำดังสะท้อนไปทั่วอุโมงค์ว่างเปล่า
ใช่ เพื่อทุกคน เธอควรจะเสียสละ มะลิหลับตาข่มหัวใจตัวเอง
มะลิเชื่อว่าทุกอย่างล้วนมีเหตุผลในการเกิดขึ้นและมีตัวตน บางที เธออาจจะเกิดขึ้นเพื่อปกป้องมนุษย์และโอไรออนที่อาจจะต้องมาจบชีวิตลงในอุโมงค์แห่ง...
“อย่าทำอะไรโง่ๆอีกล่ะ”
ภาพกระต่ายลูซี่ยิ้มแฉ่งทำลายเหล่ากระบวนความคิดจนแน่นิ่ง เสียงทุ้มๆของธันวาที่ดังสะท้อนในหัวของเธอช่วยทำให้เด็กสาวสงบลงอย่างประหลาด เธอข่มตาลงแล้วนึกถึงภาพการฝึกงานอันแสนสั้นที่ผ่านมา...
หวังว่าเขาจะไม่หาว่าเธอทำอะไรโง่ๆอีกนะ
“ทีมสาม กำลังเข้าใกล้ตำแหน่งล่าสุดของเป้าหมาย”
“รับทราบ”
เสียงรายงานสถานการณ์จากทีมสุดท้ายของหน่วยรักษาดินแดนดังเล็ดลอดเข้ามาในหูฟังบลูทูธของมานาบุ หัวหน้าหน่วยได้แต่ตอบกลับสั้นๆ ดวงตาหลังเลนส์หนาจับจ้องหน้าจอมอนิเตอร์เครื่องเล็ก มันแสดงภาพโอไรออนผิวขาวเผือกที่หยุดยืนหน้าบันไดของชั้นสิบ คีรินทร์แหงนหน้ามองกล้องวงจรปิดเหนือศีรษะที่กำลังทำงานด้วยกำลังไฟสำรอง ดวงตาสีควันบุหรี่จับจ้องมันแน่นิ่งราวกับต้องการจะส่งข้อความให้ผู้รับอีกฝั่ง หยาดโลหิตยังคงหลั่งไหลออกจากดวงตาซ้าย
และแล้วเลนส์กล้องวงจรปิดก็มัวขึ้นฉับพลัน ม่านน้ำแข็งบางเริ่มก่อตัว อุณหภูมิลดลงเรื่อยๆจนกระทั่งเนื้อกระจกเริ่มหดตัว
แกร๊ก
รอยร้าววิ่งไปตามแผ่นเลนส์ราวกับใยแมงมุมก่อนที่มันจะแตกกระจายราวร่วงลงมาใส่พื้นด้านล่าง
เมื่อเห็นกล้องวงจรปิดถูกทำลาย ชายหนุ่มร่างสูงก็เดินลงไปบันไดไป มานาบุออกคำสั่งให้สมาชิกหน่วยรักษาดินแดนที่ตอนนี้รออยู่ด้านหน้าโรงพยาบาลตั้งท่าเตรียมรับมือกับศัตรูที่กำลังจะปรากฏตัว
ในขณะที่เหล่าตำรวจและหน่วยรักษาดินแดนกำลังตั้งท่าเตรียมรับมือกับโอไรออนฝึกหัดหนึ่งเดียว ใต้ลานคอนกรีตแห้งแล้งที่พวกเขายืนอยู่ สมาชิกทีมสามกำลังก้าวไปตามทางเดินเย็นชื้นอย่างระมัดระวัง ภารกิจของพวกเขาคือจับกุมอีกหนึ่งผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดสะพานกาญจนาภิเษก โคล หว่อง โอไรออนผู้มีความสามารถในการแปรธาตุ
ขนาบข้างทางเดินที่ทอดยาว ประตูโลหะสีขาวเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนและสีที่ลอกร่อนถูกแง้มเปิดทิ้งไว้ ข้างหลังมัน เหล่าผ้าเปื้อนเลือดและสิ่งปฏิกูลของคนไข้จะถูกนำมาซักด้วยสารเคมีจนขาวสะอาดเหมือนใหม่ ไม่หลงเหลือคราบความเจ็บปวดทรมานอีกต่อไป ตรงข้ามกับมัน บานประตูสีน้ำเงินถูกติดป้ายสีเหลืองตัวใหญ่ว่า “สารเคมีอันตราย ห้ามเข้า!” ทีมสามเดินผ่านบานประตูเหล่านี้ไป จากกล้องวงจรปิด โคลได้หายตัวเข้าไปในบานประตูบานสุดท้ายของทางเดินแคบๆไร้ชีวิตแห่งนี้
ห้องเก็บวัสดุกัมมันตรังสี
หัวหน้าทีมสามพยักหน้าให้ลูกน้องที่ยืนหน้าประตูในท่าเตรียมพร้อม และแล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออก
ความว่างเปล่า
แสงจากไฟฉายสาดสะท้อนตู้เซฟเหล็กจำนวนมากที่ถูกใช้เก็บวัสดุกัมมันตรังสีเพื่อใช้ในการแพทย์ ข้างมันๆกระปุกสีขาวบรรจุสารต่างๆถูกวางเรียงกันเอาไว้อย่างเป็นระเบียบบนชั้นเหล็ก ทว่าไม่มีเงาของเด็กหนุ่มนักแปรธาตุแม้แต่น้อย
“ไม่พบเป้าหมาย ย้ำ ไม่พบเป้าหมาย” หัวหน้าทีมสามรายงานหลังตรวจค้นทุกซอกทุกมุม มานาบุที่กำลังสั่งการโอไรออนฝึกหัดในหน่วยให้ไปรวมกลุ่มกับทีมหน้าโรงพยาบาลขมวดคิ้ว เด็กนั่นจะหายไปได้ยังไงในเมื่อชั้นใต้ดินมีทางเข้าออกแค่ทางเดียว...ถ้าดูจากพิมพ์เขียวของโรงพยาบาล
จะว่าไปแล้วแผนพิมพ์เขียวที่เขาได้มามันดูใหม่เมื่อเทียบกับสภาพของตึกภายนอก หรือว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะได้รับการบูรณะภายใน... เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็รีบติดต่อผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันที ยังไม่ทันที่เขาจะออกคำสั่ง เสียงรายงานก็ขัดเข้ามา
“หัวหน้าครับ พวกเราเจอประตูหลังชั้นวางของ มันมีไม้ฝาปิดเอาไว้”
“เปิดมันออก” มานาบุรีบออกคำสั่ง ใช่แล้ว เดิมทีชั้นใต้ดินแห่งนี้เคยถูกใช้เป็นลานจอดรถ แต่เมื่อมีกฎหมายห้ามโอไรออนขับขี่รถยนต์ส่วนตัว ผู้อำนวยการก็มีแนวคิดที่จะขยายเตียงคนไข้โดยย้ายห้องซักล้าง ห้องเก็บสสารต่างๆลงมายังชั้นใต้ดินที่ตอนนี้กลายเป็นแค่ลานจอดรถพยาบาล บริเวณที่ตั้งของห้องเก็บวัสดุกัมมันตรังสีนั้น เดิมเคยเป็นห้องนั่งรอของผู้ป่วยมาก่อน เมื่อห้องรังสีถูกย้ายมาแทนที่ ประตูเหล็กขาวจึงถูกล็อกและปิดด้วยไม้ฝาสีขาวจากทั้งสองด้าน
“ประตูไม่ได้ล็อกครับ” ทีมสามรายงานกลับมา มานาบุยกมือขึ้นก่ายหน้าผาก กล้องจากทีมสามนั้นแสดงภาพลานกว้างๆที่มีรถพยาบาลจอดเรียงกันเอาไว้นับสิบคัน
โคลขึ้นรถพยาบาลหนีไปนี่เอง...
เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวหน้าทีมรักษาดินแดนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดเบอร์หน่วยประมวลข้อมูล
“ขอข้อมูลการเข้าออกและจุดหมายของรถพยาบาลทุกคันในช่วงสามวันที่ผ่านมา เทียบชื่อคนไข้กับลิสต์ผู้ป่วยปัจจุบันในโรงพยาบาลด้วย” มานาบุกล่าวโดยไม่เว้นวรรคหายใจ ก่อนจะหันไปมองหน้าจออีกฝั่งที่แสดงภาพจากกล้องวงจรปิด มันทยอยดับไปทีละแถวตามจำนวนชั้นที่คีรินทร์เดินผ่าน...
อีกไม่นาน พวกเขาคงต้องเผชิญหน้ากัน
โอไรออนที่ไร้ระบบควบคุม พบกับ โอไรออนที่ไม่สามารถแม้แต่จะคิดที่จะฆ่า
ผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร...เขารู้ดี
“ถ้าติดต่อฉันไม่ได้ ส่งต่อข้อมูลให้อาทิตย์และหน่วยตำรวจโอไรออน เข้าใจไหม”
ราวกับคำอำลา มานาบุเปิดประตูท้ายรถตู้ออก ฝนเม็ดเล็กโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบน ชโลมพื้นคอนกรีตแห้งๆให้กลายเป็นสีเทาเข้ม เขาหลับตานิ่งชั่วครู่ก่อนจะเดินไปยืนแถวหน้าสุดพร้อมๆกับหน่วยรักษาดินแดนที่ตอนนี้ยกโล่เหล็กขึ้นตั้ง
“ไม่ว่ายังไง เราก็ปล่อยให้หมอนั่นหนีไปไม่ได้!” มานาบุกล่าวเสียงเข้ม
“รับทราบ!” เสียงตอบรับหนักแน่นดังก้องไปทั่วลานคอนกรีตแห่งนี้จนตำรวจชาวมนุษย์ที่ตั้งแถวอยู่ข้างหลังพวกเขาเลิ่กคิ้ว
ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ทำไมโอไรออนพวกนี้ถึงยึดมั่นในคำสั่งขนาดนี้กันนะ
เวลาบนระเบิดของมะลิ: 00. 14. 59 hr
เวลาล่วงเลยไปนานนับสามสิบนาที ทว่าสำหรับเด็กสาวแล้ว มันช่างยาวนานราวยี่สิบปี ทุกวินาทีช่างทรมานยืดเยื้อ ภาพทุกอย่างแปรเปลี่ยนเป็นสโลว์โมชั่น เหงื่อไหลโทรมเปียกชุ่มทั่วใบหน้าและแผ่นหลัง หัวใจที่เคยเต้นแรงเมื่อตอนที่ตัวเลขเริ่มนับถอยหลังกลับเต้นช้าลงตามสภาพจิตใจที่อ่อนล้า ดวงตาสองชั้นลึกเหม่อมองกำแพงคอนกรีตสีเทาหม่นที่แปรเปลี่ยนเป็นสีทองแดงตามแสงของดวงไฟสลัว
อีกสิบห้านาทีเท่านั้น...
เธอเหลียวมองโทรศัพท์ฝาพับที่ถูกเขวี้ยงไปไกลๆเพื่อกันไม่ให้ความกลัวตายกดโทรออก...
ไม่มีการถอยหลังกลับอีกแล้ว
มะลิคิดแล้วสูดหายใจลึกๆ เธอเริ่มวางแผนชีวิตในภพหน้า ว่ากันว่าเมื่อโอไรออนตาย วิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตของโลก เศษส่วนของเธอจะกระจัดกระจายไปตามเส้นด้ายพลังงานเหล่านั้น บางส่วนอาจจะถูกนำไปสร้างต้นไม้สูงใหญ่ในป่าดงดิบห่างไกลอารยธรรมมนุษย์ บางส่วนอาจจะกลายเป็นนกตัวเล็กออกโผบินข้ามพรมแดนอย่างอิสระ บางส่วนอาจจะกลายแปรเปลี่ยนเป็นวาฬสีน้ำเงินแหวกว่ายทานแพลงตอนในทะเลไร้ซึ่งผู้ตามล่า
“ลูกทำถูกแล้วมะลิ” เสียงแสนอ่อนโยนของมารดาดังขึ้นข้างหูทำให้เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในอุโมงค์ใต้ดินแห่งนี้ เธอไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป... แม่ของเธอในผ้ากันเปื้อนสีเหลืองกำลังยืนยิ้มให้เธอเบื้องหน้า
“พวกเราภูมิใจในตัวลูกนะ” พ่อของเธอเดินมายืนเคียงข้างแม่ เขาอยู่ในเสื้อมอฮ่อมสีน้ำเงินตัวโปรด ใบหน้าใจดีส่งยิ้มเย็น ว่ากันว่ามะลิได้ดวงตาของแม่ โครงหน้าของพ่อ และรอยยิ้มของคุณยาย แต่เรื่องเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าไหร่
แค่ได้เกิดเป็นลูกของพ่อกับแม่ก็ดีแค่ไหนแล้ว...
“พี่มะลิ ผมเอามะม่วงมาฝาก” เด็กชายตัวเล็กเดินถือมะม่วงสีเขียวสวยเข้ามาหาเธอพร้อมยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันหลอ รอบตัวเด็กสาวปรากฏภาพผองเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนในวัยเด็ก ใบหน้าของพวกเขาล้วนเปื้อนรอยยิ้ม คำพูดจากความทรงจำจำนวนมากหลั่งไหลออกมา
มะลิหลับตา รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้น เธอไม่เคยนึกโกรธโชคชะตาตัวเองเลยสักนิดที่เกิดมาเป็นโอไรออน อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอได้พบกับครอบครัวแสนอบอุ่น เพื่อนๆที่ทำให้เธอยิ้มได้แม้ในยามที่ตัวเลขหัวกระดาษข้อสอบเป็นศูนย์
เด็กสาวรู้ดีว่าภาพเหล่านั้นคือภาพลวงตาที่ความคิดของเธอสร้างขึ้น ทว่าเธอก็อยากให้บุคคลเหล่านี้อยู่เป็นเพื่อนเธอต่อไปอีกสักเล็กน้อย... อีกนิดเดียว... จนกว่าตัวเลขสีแดงจะหยุดเดิน
“โง่จริงๆ เธอจะโง่ไปถึงไหน!” เสียงตวาดทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู เด็กสาวพบมาสคอตในชุดหมีดำแก้มแดงยืนห่างจากเธอประมาณสิบเมตร ไร้เงาภาพลวงตาของพ่อแม่และผองเพื่อนเธออีกแล้ว
ดูเหมือนภาพลวงตาของธันวาจะเป็นคนเดียวที่ไม่หายไป มะลิมองใบหน้ากวนๆของหมีเบื้องหน้าแล้วได้แต่แค่นหัวเราะให้กับตัวเอง... นี่เธอถูกภาพลวงตาตัวเองต่อว่าอย่างนั้นหรือ
ฮะๆ
เพี๊ยะ!
ฝ่ามือหนาๆตบใบหน้าของเด็กสาวอย่างจัง มะลิหันหน้ากลับมา แก้มซ้ายยังคงแดงและร้อนผ่าวจากความเจ็บปวด
ไม่...นี่ไม่ใช่ความฝัน ธันวาอยู่ที่นี่จริงๆ!!!
“ตั้งสติหน่อย!” ธันวาตวาดเสียงแข็ง ความเจ็บทำให้เธอหลุดจากภวังค์ทันที
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่” มะลิมองภาพเบื้องหน้าตาค้าง ถ้าธันวาอยู่ที่นี่ก็แปลว่าอาจจะมีตำรวจและหน่วยรักษาดินแดนกำลังตามมาช่วยเธอน่ะสิ ไม่ได้นะ!
“ไอ้บ้าที่ลักพาตัวเธอโทรหาฉัน” ธันวาวางเป้ที่สะพายไว้ลงบนพื้นคอนกรีตเย็นๆ มีดคัตเตอร์ถูกหยิบออกมากรีดเทปกาวที่พันข้อเท้าเธอออกจากกัน
“คีรินทร์โทรหาคุณเหรอ”
“ฉันไม่รู้หรอกว่าใคร มันแค่ส่งคลิปเสียงเธอเรียกชื่อฉัน พอฉันถามว่าเธออยู่ไหน มันก็ส่งแผนที่มาให้เสร็จสรรพ” ธันวากล่าวขณะเริ่มหยิบอุปกรณ์ช่างออกจากเป้มาวางไว้ข้างกาย เมื่อเขาเห็นลูกศรสีแดงที่ชี้ลงมาใกล้ๆปากคลองหนองบอน ใกล้จังหวัดสมุทรปราการ เขาก็ได้แต่สงสัย แต่เมื่อมาถึง เขาก็พบว่าคลองกว้างๆแห่งนี้ถูกแปรเปลี่ยนเป็นไซต์ก่อสร้างสำหรับอุโมงค์ระบายน้ำยักษ์กันน้ำท่วมเสียแล้ว
“คุณไม่ได้พาตำรวจมาใช่มั้ย”
“ไม่ ดูยังไงก็รู้ว่ามันต้องการใช้เธอเป็นกับดัก มันคงต้องการให้พวกตำรวจเสียหน้าเพราะช่วยตัวประกันไม่ได้ หรือถ้าช่วยได้หน่วยตำรวจก็คงถูกพวกมันตลบหลังฆ่าตาย” ธันวาเลื่อนใบมีดคัตเตอร์ให้ยาวกว่าเดิม “ฉันเลยมาคนเดียว”
ใบมีดแหลมคมเริ่มกรีดผ่านเนื้อผ้าของแจ็คเก็ตที่บรรจุระเบิดเอาไว้
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” มะลิทำท่าจะขยับหนีแต่ก็ถูกมือหนาจับหัวไหล่แน่น
“ถ้าไม่อยากตายก็นิ่งๆซะ” มาสคอตหมีกล่าวเสียงแข็งขณะหยิบคีมขนาดเล็กออกมา
“คุณกู้ระเบิดเป็นเหรอ” มะลิถามด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัว... ถ้าเขาเกิดเป็นแค่คนบ้าที่เอากรรไกรมาตัดเส้นสีฟ้ากับสีแดงตามสูตรหนังขึ้นมาจะทำยังไงล่ะ
“ฉันถูกฝึกมา” ธันวากล่าวเรียบๆขณะง่วนอยู่กับการแยกสายไฟเส้นเล็กจำนวนมากออกจากกัน มะลิขมวดคิ้ว นึกสงสัยในประวัติของมาสคอตหนุ่มเบื้องหน้า
ณ ลานกว้างหน้าโรงพยาบาลโอไรออน สมุทรปราการ
“ผมไม่เข้าใจ โอไรออนอย่างพวกคุณจะทำงานรับใช้มนุษย์ไปทำไม” คีรินทร์ที่ตอนนี้ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูโรงพยาบาลกล่าวเสียงนิ่ง สมาชิกทีมรักษาดินแดนตั้งโล่ขนาดใหญ่เอาไว้เป็นทิวแถว สมาชิกแถวข้างหลังเล็งปืนระหว่างช่องว่างของโล่เหล่านั้นไปยังศัตรูหนึ่งเดียวข้างหน้า ถึงแม้จะรู้ดีว่า...พวกเขาไม่สามารถเหนี่ยวไก
“พวกเราไม่ได้รับใช้มนุษย์ พวกเราไม่ได้รับใช้ใครทั้งนั้น” มานาบุก้าวออกมายืนเบื้องหน้าลูกน้องของเขา ใบหน้าตอนนี้ปราศจากรอยยิ้ม “พวกเรารับใช้ชาติ มันคือหน้าที่ที่ประชาชนทุกคนต้องทำ”
“แปลกดีนะ คุณคงจะโดนล้างสมองจนมองไม่เห็นความขัดแย้งในตัวเอง” คีรินทร์ก้าวลงบันไดเตี้ยๆทำจากหินขัดมัน ทหารและตำรวจมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังรั้วโอไรออนเริ่มถอยอย่างย่ำเกรง ทว่าทีมรักษาดินแดนยังคงเล็งปืนแน่น ไม่ไหวติง “ชาติที่คุณพูดถึงก็แค่ปลอกคอโง่ๆที่นักการเมืองพวกนั้นสวมให้ประชาชนเพื่อบ่งบอกถึงอาณาเขตที่พวกเขาควรอยู่ เมื่อเกิดปัญหาขัดแข้งขัดขา คนหลายๆคนจะเริ่มลุกฮือแล้วต่อสู้โดยอ้างว่าพวกเขาทำทุกอย่างเพื่อชาติ ทั้งๆที่สุดท้าย มันก็แค่การดิ้นรนเพื่อตัวเอง”
อุณหภูมิในบริเวณลานกว้างแห่งนี้เริ่มลดลง พื้นคอนกรีตถูกชโลมเป็นสีขาวเมื่อน้ำฝนที่เจิ่งนองแปรสภาพเป็นเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆ
“ถ้านายจะคิดอย่างนั้น...” มานาบุกางมือออกเป็นสัญญาณ หัวหน้าเจ้าหน้าที่มนุษย์ตะโกนสั่งการเช่นกัน ทหารและตำรวจยกปืนขึ้นเล็งเป้าหนึ่งเดียวข้างหน้าพร้อมๆกับทีมโอไรออน “ฉันถามหน่อยเถอะ แค่โอไรออนคนสองคนอย่างพวกนาย คิดจริงๆเหรอว่าจะล้มล้างระบบได้ อย่างมากนายก็เป็นแค่ศัตรูของประชาชนเท่านั้น”
คีรินทร์เงียบไป ใบหน้ายังเฉยชา ไร้ความรู้สึก คราบน้ำตาเลือดสีแดงถูกเม็ดฝนชะล้างหายไป
“สองคน? อย่าดูถูกพวกเราไปหน่อยเลย”
ขวับ!
“ขอความอนุมัติระบบ ในการกำจัดโอไรออนหมายเลข TKY9254”
“ขอความอนุมัติระบบ ในการกำจัดโอไรออนหมายเลข TAP3682”
“ขอความอนุมัติระบบ ในการกำจัดโอไรออนหมายเลข SIG6283”
“ขอความอนุมัติระบบ ในการกำจัดโอไรออนหมายเลข KLL8111”
“ขอความอนุมัติระบบ...”
เสียงขอความอนุมัติระบบดังระงมในหน่วยรักษาดินแดนเกินครึ่งที่หันปืนเข้าหาสมาชิกในทีมที่เหลือ เพราะคนขอความอนุมัติและผู้ถูกกำจัดมีสถานะทางสังคมเท่ากัน ระบบจึงตัดสินโดยแยกแยะจากพลังของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายใดที่มีคุณค่าในแง่ของอาวุธสงครามมากกว่าก็มีสิทธิที่จะคงอยู่ต่อไป แน่นอนอยู่แล้วว่าตั้งแต่ตอนตั้งแถว สมาชิกทรยศเหล่านี้เลือกที่จะยืนเคียงข้างคนที่พลังน้อยกว่า
“อนุมัติ”
“อนุมัติ”
“อนุมัติ”
“อนุมัติ”
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงเหนี่ยวไกดังประสานเสียงห่าฝนที่เทลงมา ร่างสมาชิกในทีมค่อยๆทรุดลงกับพื้นกลางกองเลือด เหลือไว้เพียงสมาชิกทรยศที่ตอนนี้เล็งปืนใส่มานาบุ ไม่มีใครเอื้อนเอ่ยขอคำอนุมัติใดๆเพราะชายตรงหน้ามีพลังและสถานะที่เหนือกว่า
“รออะไรวะ ยิงมันสิ!”
เหล่าทหารและตำรวจชาวมนุษย์ระดมยิงใส่เหล่าหนอนบ่อนไส้ทันที ทว่ายังไม่ทันทีกระสุนจะเดินทางไปได้ไกล มันก็ชนเข้ากับกำแพงน้ำแข็งขนาดยักษ์ที่ถูกสร้างขึ้นขวางกั้นระหว่างเหล่าโอไรออนและเจ้าหน้าที่ชาวมนุษย์
มานาบุมองร่างไร้วิญญาณของเพื่อนร่วมทีมทุกคน แล้วสูดหายใจลึก เลือดสูบฉีดพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ดวงตาเบื้องหลังกรอบแว่นจ้องเขม็งไปยังหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของขบวนการเลวร้ายนี้
“ฉันขอเตือนนายอย่างนึง” เขาดันแว่นตาที่เปียกละอองน้ำฝนบนสันจมูก “เส้นทางที่นายเลือกจะก้าวไป มันเป็นเส้นทางที่ไร้จุดจบ ไม่ว่านายจะฆ่าคนไปกี่คน ทำลายล้างเมืองไปกี่เมือง นายจะไม่มีวันพบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์นั่น”
มือทั้งสองข้างของหัวหน้าทีมรักษาดินแดนปรากฏเปลวเพลิงสีแดงฉาน คีรินทร์ยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย
“รู้ไหมทำไม? เพราะนายไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคนอื่นตั้งแต่แรก ถึงจะล้มล้างระบบสำเร็จ นายก็จะเจอกับสิ่งอื่นที่ทำให้รู้สึกถึงความอยุติธรรม แต่มันคือความเป็นจริง มันคือธรรมชาติของโลกใบนี้ ไม่มีความเสมอภาคอย่างแท้จริงหรอก” มานาบุกล่าวเสียงเย็น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน เปลวเพลิงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นรอบๆแผ่นน้ำแข็งที่คีรินทร์สร้างขึ้น “นายจะหยุดเดินได้ก็ต่อเมื่อนายเป็นคนคนเดียวที่เหลือบนโลกเท่านั้นแหละ”
“ผมไม่ได้คิดจะมีชีวิตอยู่ถึงวันนั้นอยู่แล้ว” คีรินทร์ชี้ที่ตาซ้ายของตน ความหมายของมันทำให้สมาชิกทีมรักษาดินแดนหนึ่งเดียวชะงักค้างทันที
โลโบโทมี่...หมอนั่นเจาะเบ้าตาเพื่อตัดการสื่อสารของสมองส่วนหน้าและชิพควบคุมความประพฤติ นี่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะไร้อารมณ์ ระบบจึงไม่สามารถตรวจจับเขาได้อีกต่อไป...
ในขณะเดียวกัน โลโบโทมี่มีผลข้างเคียงทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดสาหัสอย่างไร้สาเหตุ คีรินทร์เองก็คงจะอยู่ภายใต้ฤทธิ์ยามอร์ฟีนเพื่อจะคงสภาพปัจจุบันเอาไว้ เวลาชีวิตของเขาน้อยลงทุกที
“นายทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรกัน”
“เพื่อจะเป็นอิสระชน” อุณหภูมิภายในผนังน้ำแข็งแห่งนี้ลดต่ำลงเรื่อยๆแข่งกับเปลวเพลิงที่พยายามเผาผลาญกำแพงทั้งสี่ด้านให้พังทลายลง “ถึงแม้จะเป็นช่วงสั้นๆ แต่ผมก็จะใช้มันเพื่อปลดปล่อยคนอื่น”
สิ้นเสียง ห่ากระสุนน้ำแข็งจำนวนมากก็พุ่งเข้าหัวหน้าทีมรักษาดินแดนทันที!
เวลาบนระเบิดของมะลิ: 00. 06. 59 hr
มาสคอตหนุ่มยังคงง่วนกับการถอดระเบิดซีโฟร์หลายชิ้นบนตัวเด็กสาว ดวงตาภายใต้หัวมาสคอตมองตัวเลขดิจิตัลที่กำลังเดินถอยหลังสลับกับระเบิดที่ยังเหลืออยู่แล้วก้มหน้าก้มตาทำต่อไป สิบนาทีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความเงียบกริบ มะลิได้แต่จับจ้องระเบิดลูกแล้วลูกเล่าที่ถูกตัดวงจรทิ้งไปด้วยน้ำมือของชายหนุ่ม แต่เมื่อเห็นเวลากระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ ความหวังก็ดูจะริบหรี่ลงทุกที เธอได้ยิบเสียงถอนหายใจเบาๆข้างหลังใบหน้ายิ้มแย้ม
“หนีไปเถอะ” เด็กสาวตัดสินใจพูดออกมา มาสคอตหมีชะงักมองหน้าเธอเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าก้มตาใช้มีดตัดสายไฟอีกเส้น
“ฉันจะทิ้งเธอไว้ได้ยังไงกัน” ธันวากล่าว ตลอดเวลาที่เขาวิ่งฝ่าความมืดในอุโมงค์แห่งนี้ หัวสมองของเขานั้นเอาแต่โทษความสะเพร่าละเลยของตัวเอง เมื่อได้เห็นมะลิที่ยังมีลมหายใจ มีจังหวะหัวใจอยู่ เขาก็รู้สึกราวกับชายตาบอดที่เริ่มมองเห็นแสงสว่างเล็กๆ
ยังไม่สายเกินไปที่เขาจะช่วยเธอ
“แต่ดูยังไงคุณก็ไม่น่าจะทำทัน” มะลิกลืนก้อนน้ำลายหนืดๆลงคอ “เพราะฉะนั้นหนีไปเถอะ ถ้าฉันตาย ฉันก็ไม่อยากให้ใครต้องมาตายเพราะ...”
“ในฐานะหัวหน้าฝึกงาน ฉันขอสั่งให้เธอหยุดพูด” เสียงเข้มๆถูกเปล่งออกจากนักกู้ระเบิดจำเป็น ดวงตาสองชั้นของเด็กฝึกงานมองเขาปริบๆ ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของชายที่อยู่ข้างใน แต่เธอเองก็เชื่อว่าเขาคงกังวลไม่ต่างกับเธอ เด็กสาวเลือกที่จะเงียบ ทั้งๆที่หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆเมื่อตัวเลขของนาทีหลงเหลือแค่สอง ดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัวเพราะม่านน้ำตาบางๆที่ก่อตัวขึ้น และแล้วหยาดน้ำตาใสๆก็หยดลงบนหลังมือดำๆปุกปุยของผู้กู้ระเบิด
“ไว้ใจฉันเถอะ” ธันวาไม่หยุดมือ เขายังคงง่วนอยู่กับการตัดสายไฟ “เธอจะไม่เป็นอะไร”
เขาจะปล่อยให้เธอเป็นอะไรไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
00. 00. 30 hr
มือหนาใช้คีมคีบสายไฟเป้าหมายเส้นสุดท้ายขึ้นมาแต่ก็หลุดมือทำให้ต้องใช้คีมปากแหลมหนีบมันขึ้นมาใหม่
00. 00. 15 hr
เปลี่ยนเครื่องมือเป็นกรรไกรตัดสายไฟ
00. 00. 10 hr
และแล้วกรรไกรก็ตัดลงบนสาย
00. 00. 09 hr
“บ้าเอ๊ย!” เพราะความเหนียวของปลอกพลาสติก เขาต้องพยายามตัดซ้ำๆหลายที
00. 00. 07 hr
ยังไม่ขาด
00. 00. 05 hr
ปลอกพลาสติกแยกตัวออกจากกันเผยให้เห็นสายทองแดง
00. 00. 04 hr
00. 00. 03 hr
00. 00. 02 hr
ฉับ!
00. 00. 02 hr
เมื่อตัวเลขหยุดเดิน ผู้กู้ระเบิดและเหยื่อในอนาคตก็หยุดชะงักค้างไปเช่นกัน เหงื่อเย็นๆจากไรผมของเด็กสาวหยดลงใส่เสื้อของตน ธันวาถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนจะเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าไปในเป้ของทีมช่างประจำหน่วยรักษาดินแดนที่เขายืมมา ทว่าชายหนุ่มกลับยังไม่วางใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน เขาแหงนมองกล้องวงจรปิดบนเพดานสำหรับตรวจเช็คสภาพท่อและระดับน้ำเบื้องบน... ต้องมีใครสักคนมองพวกเขาอยู่แน่ๆ
“ลุกไหวมั้ย” มาสคอตหนุ่มพาดเป้ขึ้นบนหลังแล้วพยายามพยุงร่างบางขึ้น มะลิพยักหน้าถึงแม้ว่าข้อมือทั้งสองยังถูกกุญแจมือคล้องเอาไว้
ภาพหมียักษ์และเด็กสาวที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทางออกปลายอุโมงค์ไม่อาจหลุดพ้นสายตาคู่เดียวภายในห้องมอนิเตอร์ของสถานีสูบน้ำไปได้ ถึงแม้จะผิดหวังและหงุดหงิดที่ไม่เห็นตำรวจและเจ้าหน้าที่กู้ภัยจำนวนมากบุกเข้ามาใน ‘รัง’ ของเขา แต่อย่างน้อย ได้เห็นหนูสองตัวนี้วิ่งลนลานหาที่ตายก็คงจะสนุกไม่น้อย
“วิ่งไปก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มพึมพำ ปุ่มสีแดงบนรีโมตเล็กๆในมือถูกกด ไม่ถึงห้าวินาทีต่อมา เสียงระเบิดก็ดังสนั่นไปทั่ว แรงสั่นสะเทือนทำให้ห้องควบคุมที่เขาอยู่สั่นไหวนิดๆ
ลึกลงไปใต้อาคาร เครื่องสูบน้ำถูกระเบิดทำลายเป็นจุล น้ำจากอุโมงค์ระบายน้ำสั้นๆที่เชื่อมต่อไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาเริ่มไหลตามแรงโน้มถ่วงของโลกกลับมายังอุโมงค์อีกฝั่ง มวลน้ำจำนวนมหาศาลทะลักลงใส่อุโมงค์เส้นผ่าศูนย์กลางห้าเมตร คลื่นยักษ์ม้วนตัวกระทบกำแพงคอนกรีตกู่คำรามไปทั่ว มาสคอตหนุ่มที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าออกตัววิ่งโดยไม่หันมามอง ในขณะที่มะลินิ่งค้างไปเล็กน้อยก่อนจะพยายามวิ่งตามหัวหน้าของตนให้เร็วที่สุด
คลื่นน้ำยักษ์กำลังไล่ตามเขามา!
“ใกล้ทางออกแล้ว พยายามเข้า!” ธันวาตะโกน ปากทางของอุโมงค์แห่งนี้เป็นท่อคอนกรีตแนวตั้ง บนกำแพงด้านข้างมีบันไดลิงตลอดความสูงยี่สิบห้าเมตรซึ่งจะไปสุดที่ปลายท่อระนาบเดียวกับผืนดินเบื้องบน
มวลน้ำสีโคลนเชี่ยวกราดประชิดเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
กล้ามเนื้อขาของเด็กสาวเริ่มเจ็บร้อน แต่มะลิก็ยังพยายามดันตัวไปข้างหน้าจนกระทั่งเธอรู้สึกถึงแผ่นหลังที่เย็นวาบ เมื่อหันกลับไป เธอก็พบกับความมืดมิดที่กระแสน้ำพัดพามา ในเสี้ยววินาทีนั้น ร่างบางถูกคลื่นยักษ์กลืนกินเข้าไป กระแสน้ำยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ มันเคลื่อนตัวไปยังปากท่อก่อนที่ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วตามกระแสน้ำที่ล้นทะลักผ่านซากเครื่องสูบน้ำ
ห้าเมตร เจ็ดเมตร สิบสามเมตร ยี่สิบเมตร... และแล้วมวลน้ำเหล่านั้นก็หยุดเคลื่อนตัว พื้นผิวเรียบนิ่งสงบแตกต่างจากก้นบ่อ
ในความมืดมิดของน้ำสีโคลน มะลิพยายามใช้เท้าถีบตัวเองไปตามทางที่เชื่อว่าเป็นทางออก เพราะมือที่ถูกคล้องกุญแจมือเอาไว้ เธอจึงไม่สามารถแหวกว่ายอะไรได้มาก เท้าทั้งสองข้างพยายามแกว่งไกวแต่ไม่ว่าจะออกไปไกลเท่าไหร่ เธอก็มองไม่เห็นแสงสว่าง ฟองอากาศที่ผุดออกมาจากจมูกและปากของเธอลดขนาดลงเรื่อยๆตามปริมาณออกซิเจนในปอด
ไม่เห็น ไม่เห็นอะไรเลย
เธอพยายามฝืนความรู้สึกอึดอัดภายในปอดทว่าสุดท้ายร่างกายของเธอก็จำยอมแก่มวลน้ำที่กำลังไหลทะลักเข้ามาราวกับเรือที่กำลังจมลงสู่ห้วงทะเล เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆปิดลงพร้อมๆกับร่างที่ค่อยๆจมดิ่งลงไปในกระแสน้ำลึก ภาพสุดท้ายที่โอไรออนฝึกหัดเห็นคือแสงไฟสีขาวเล็กๆท่ามกลางความมืดมิด...
ธันวา ตื่นเถอะ
เสียงคุ้นหูแว่วเข้ามาในโสตประสาทปลุกให้ธันวาลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองเห็นกระเป๋าเป้กำลังลอยพาดผ่านหน้าตัวเองไป ชายหนุ่มรีบคว้ามันก่อนจะหยิบไฟฉายทันที เขามองไปรอบๆ ถึงแม้ว่าดวงตาของเขาจะไวต่อแสงมากกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่อย่างน้อย แสงจากไฟฉายก็ช่วยได้เยอะ แสงไฟสีขาวสาดกระทบกับร่างของเด็กสาวที่ตอนนี้กำลังจมดิ่งลงไปลึกขึ้นเรื่อยๆในก้นอุโมงค์ดำมืด ธันวาออกตัวว่ายเร็วขึ้น แต่เพราะชุดมาสคอตที่เต็มไปด้วยฟองน้ำกันกระแทกภายในและผ้าหนักๆ แรงเสียดทานยามแหวกว่ายสวนกับกระแสน้ำที่พัดขึ้นทำให้เขาต้องออกแรงมากกว่าปกติแต่เพราะกล้ามเนื้อที่มีศักยภาพเหนือมนุษย์ปกติ สุดท้ายมือหนาก็สัมผัสแขนเล็กๆของเด็กสาว
เขารีบดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมกอดก่อนจะเตะขาให้เร็วที่สุดเพื่อจะขึ้นไปยังผิวน้ำเหนือพวกเขาเกือบยี่สิบเมตร เมื่อเห็นแสงจันทร์สีขาวนวลใกล้เข้ามามากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็เร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่านั้น ดวงตาภายใต้หัวมาสคอตก้มลงมองเด็กสาวเป็นระยะ มันดูสงบนิ่งราวกับเธอแค่หลับไป... สงบนิ่ง...เหมือนเธอคนนั้น
เฮือก!
สุดท้ายทั้งสองก็โผล่พ้นน้ำ ธันวารีบพามะลิขึ้นมานอนบนพื้นทรายในเขตก่อสร้างข้างๆปากอุโมงค์ ผิวและปากของเธอขาวซีด ดวงตายังคงปิดสนิท
แน่นอนว่าเธอไม่หายใจ...
ส้นมือขวาทับซ้ายถูกวางลงหน้าอกของร่างเล็ก ธันวายืดไหล่เหยียดแขนตรงก่อนจะกดลงไป เขาปั้มหัวใจของเด็กสาวด้วยจังหวะสม่ำเสมอสามสิบครั้ง ทว่าไร้วี่แววของลมหายใจ...
จะตายตอนนี้ไม่ได้นะ! ตื่นขึ้นมาสิ! ว่าฉันสิ! ตอนนี้ฉันยังจำชื่อของเธอไม่ได้เลยนะ!
มาสคอตฟรีแลนซ์มองไปรอบๆทั้งๆที่มือทั้งสองยังคงปั้มหัวใจของเด็กสาว เขาเห็นกล้องวงจรปิดหนึ่งตัวริมถนน... ถ้าเขาถอดชุดมาสคอต มันต้องจับภาพเขาได้แน่ๆ
เขาต้องเลือก... อิสรภาพของตัวเอง หรือ ชีวิตของมะลิ
ไม่ต้องเสียเวลาคิด ชุดมาสคอตหมีดำถูกถอดออกอย่างรวดเร็ว เมื่อไร้หัวหมีที่ขวางกั้น ชายหนุ่มโน้มหน้าลงผายปอดเด็กสาวทันที กล้องวงจรปิดบนเสาไฟฟ้าที่สาดส่องไปทั่วหยุดชะงักเมื่อจับภาพชายหนุ่มภายในเฟรม สัญญาณเตือนถูกส่งไปทั่วเครือข่ายตำรวจในเขตบางกอกพร้อมกับตำแหน่งปัจจุบันของเขา
เร่งด่วน
พบนักโทษหลบหนี: GHOST (ไร้รหัส)
คำเตือน: ภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ระดับ 3
จับเป็นเท่านั้น
ณ ห้องเก็บวัสดุกัมมันตรังสี ชั้นใต้ดิน โรงพยาบาลโอไรออนสมุทรปราการ
สมาชิกทีมสามบางคนยังคงใช้ไฟฉายสีขาวสาดแสงไปทั่วห้องแคบๆเพื่อมองหาหลักฐานที่พอจะช่วยระบุตำแหน่งของเป้าหมายได้ พวกเขาสำรวจกองเอกสาร เช็คลายเซ็นเวลาเข้าออกครั้งล่าสุด สมาชิกหน้าใหม่ในทีมได้แต่ยืนฉายไฟให้จากข้างหลัง
แกร๊ก
ดูเหมือนว่ารองเท้าบู้ตจะเหยียบเข้ากับอะไรบางอย่าง สมาชิกรุ่นพี่ก็ได้ยินเช่นกัน เขาละมือจากกองเอกสารลงมาเก็บวัตถุเล็กๆสี่เหลี่ยมบนพื้น...แผ่นวัดรังสีประจำตัวบุคคล เครื่องมือที่ใช้วัดปริมาณกัมมันตรังสีที่ผู้สวมใส่ได้รับจากการทำงานในห้องแห่งนี้ สมาชิกหน้าใหม่หันไฟฉายให้มองเห็นค่าตัวเลขบนหน้าปัดชัดๆและแล้วพวกเขาทั้งสองก็ต้องเบิกตากว้าง
มันสูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่นักเอกซเรย์ทั่วไปจะได้รับ...สูงมากๆ สูงกว่านับสิบเท่าร้อยเท่า!
ดูเหมือนนักเล่นแร่แปรธาตุคนนั้นพยายามจะสร้างแร่บางอย่างที่ไร้ความเสถียร...แร่ที่เวลาระเบิดอาจจะคร่าชีวิตคนนับหมื่นนับแสน... ภาพก้อนกลุ่มควันรูปเห็ดเหนือน่านฟ้านางาซากิและฮิโรชิม่าแล่นเข้ามาในความคิด พวกเขาละมือจากกองเอกสารทั้งหมดแล้วตะโกนเรียกหัวหน้าทันที
ในขณะเดียวกัน จากการตรวจระบบจีพีเอสและเทียบป้ายทะเบียนรถพยาบาลกับภาพในกล้องวงจรปิดทั่วกรุง แผนกประมวลข้อมูลก็พบว่ารถพยาบาลหนึ่งคันได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อห้าสิบห้านาทีที่แล้ว มันหยุดจอดที่ปากอุโมงค์ยักษ์คลองหนองบอนชั่วครู่ก่อนจะมุ่งหน้าต่อไปยังศูนย์ประชุมแห่งชาติสุวรรณภูมิ
“ว่ายังไงนะ ระเบิด?” อาทิตย์เป็นคนรับสายฉุกเฉินนี้ เพราะหน่วยของมานาบุจะขาดการติดต่อไปเป็นที่เรียบร้อยทำให้เขามีหน้าที่รับเรื่องฉุกเฉินแทน รองหัวหน้าโอไรออนขมวดคิ้วเมื่อได้ฟังข่าวร้ายนี้ เขาและสมาชิกในทีมอีกสิบคนถูกส่งมาคุ้มกันนายกรัฐมนตรีที่เดินทางมาเปิดงานวันกองทัพอากาศแห่งชาติที่ศูนย์ประชุมสมัยใหม่แห่งนี้
เมื่อวางสาย โอไรออนหนุ่มเรียกรวมกลุ่มเพื่อประชุมเร่งด่วนทันที
“นี่คือสถานการณ์ฉุกเฉิน อพยพทุกคนในศูนย์ประชุมไปยังจุดรวมพลภายในห้านาที พาท่านนายกไปหลบที่บังเกอร์ให้เร็วที่สุด คนที่เหลือ พยายามหาตำแหน่งของระเบิดให้เจอ มันมีขนาดใหญ่พอสมควร” ยังไม่ทันจะพูดจบ ลูกน้องของเขาหนึ่งคนก็ยกมือขัดขึ้น
“ระเบิดที่พวกเรากำลังตามหาเป็นประเภทไหนเหรอครับ” คำถามนี้ทำให้อาทิตย์เม้มริมฝีปากแน่น
“นิวเคลียร์... มันเป็นระเบิดแร่ยูเรเนี่ยม”
-- จบบทที่ 4 --
MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
ผู้แต่ง : Patra Fujiyama
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 0: ทำไม + บทที่ 1: กฎเหล็กของมาสคอตสามประการ | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: Gluggave?ur อากาศภายนอก | 09 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3 dyragaroinum สวนสัตว์ | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: Ra?lj?st แสงสว่างในความมืด | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: Aurora แสงเหนือ | 30 มี.ค. 59 |



เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )
เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
ไดอะล็อกมีพลัง
ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช