EN09 Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
จากเอกภพที่'ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์'อยู่ เอกภพ'มากิอาร์' ที่การใช้เวทย์มนตร์เป็นเรื่องปกติ เอกภพที่เขาใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ ในที่สุดทั้งสองเอกภพนี้ก็ได้เชื่อมเข้าหากันอย่างเป็นทางการแล้ว!
บทที่ 5: หญิงสาวใต้หน้ากาก
มัวเซย์ เกริค: พ่อฉันเป็นอธิการบดี
การที่ต้องมาเดินชมโรงเรียนหลังจากที่เคยเดินไปแล้วรอบหนึ่งให้ความรู้สึกแปลกอยู่เหมือนกัน แต่ไมเคิลก็ไม่เบื่อ อาจเป็นเพราะคนที่เดินอยู่ข้างเขาในตอนนี้คือน้องชายที่ห่างกันไปหลายปี ไม่ใช่รุ่นพี่อย่างคราวก่อน
ไมเคิลเหลือบมองคนข้างตัว เมลิกยังมีเส้นผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับเมื่อตอนเป็นเด็ก นัยน์ตาสีเทาฉายแววเย็นชาและดูคมมากขึ้น การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่คงหล่อหลอมให้น้องเขาเปลี่ยนไปพอสมควรเลยทีเดียว
“แม่เป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็สบายดีนะ แม่ฝากความคิดถึงมาให้นายด้วย” ไมเคิลตอบ เขาเดินลากขาสบายๆไปตามทางขณะที่น้องชายเขาเดินด้วยท่าทางมั่นคงอยู่ในที ถึงจะเริ่มลดความเร็วลงให้เท่ากับเขาแล้วก็เถอะ
“ยังเขียนนิยายอยู่รึเปล่า”
“เขียนสิ ก็เหมือนเดิมแหละ ไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนไปนักหรอก” ไมเคิลโบกมือ “แล้วนายล่ะ เป็นไง คงยุ่งสุดๆละสิ ส่งจดหมายมาแต่ละครั้งถึงได้เขียนซะสั้นอย่างกับกลัวว่ากระดาษจะหมดโลก”
นัยน์ตาสีเทาของเมลิกฉายแววบางอย่างออกมาวูบหนึ่ง แต่ไมเคิลไม่แน่ใจว่ามันหมายความว่ายังไง
“จดหมายของผมสั้นอย่างนั้นเหรอ?”
“ครึ่งหน้ากระดาษ ถึงนายจะไม่คิดว่ามันสั้น แต่ฉันคิด”
เมลิกอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรตอบแต่เปลี่ยนใจ เขาส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะพูดเรียบๆ “ไม่อยากให้พี่เสียเวลาอ่านนานไง จะได้เอาเวลาไปอ่านหนังสือเรียน”
“โอ้โห นี่ฉันต้องขอบคุณนายใช่ไหมเนี่ย” คนเป็นพี่ส่ายหน้า “ไอ้ฉันน่ะไม่เท่าไรหรอก แต่นายน่าจะนึกถึงแม่ให้มากๆหน่อย เขาคิดถึงนายมากจริงๆ”
“ผมรู้”
“นี่ แล้วสุดสัปดาห์นี้นายว่างหรือเปล่า เข้าเมืองเป็นเพื่อนหน่อยสิ อยากไปดูบรรยากาศด้านนอก” ไมเคิลชวน อีกฝ่ายสั่นหัว
“ผมมีธุระ ต้องไปที่คฤหาสน์เกริค”
“คฤหาสน์เกริค เดี๋ยวนะ บ้านของท่านอธิการบดีเหรอ?” เมลิกพยักหน้า “โห สุดยอดเลย นี่นายสนิทกับเขาขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ผมเป็นนักเรียนในหลักสูตรพิเศษ” เขาว่า ทำท่าเหมือนอยากจะถอนหายใจ “ใครที่อยู่ในหลักสูตรนี้ต้องไปฝึกพิเศษที่นั่นทุกคน”
“สุดยอด สมเป็นนายจริงๆเลยว่ะ” ไมเคิลพูดอย่างทึ่งๆ เมลิกยักไหล่ “แล้วนี่นายเคยออกไปจากกันนาร์นี่บ้างแล้วรึยัง ฉันอยากจะลองไปเที่ยวพวกเขตปกครองอื่นๆดู”
มากิอาร์แบ่งเขตการปกครองหลักๆด้วยกัน 6เขต
เขตปกครองทหารกันนาร์ เป็นเขตปกครองของทางการทหารและกองทัพ มหาวิทยาลัยของเขาถึงได้ตั้งอยู่ที่นี่ ทหารส่วนใหญ่ที่ทำหน้าที่อารักขาอยู่ในพระราชวังและกระจายอยู่ตามเมืองๆล้วนจบจากมหาวิทยาลัยนี้ ไม่ก็มาจากเขตปกครองนี้แทบทั้งหมด
เขตปกครองพลเรือนอาเชอร์น่า เป็นเขตปกครองอันสงบสุขของพลเรือนส่วนใหญ่ เอเดรียนบอกว่าต้นตระกูลของครอบครัวเขามาจากที่นั่น ภายหลังจึงได้ย้ายไปอยู่ที่เขตปกครองพิเศษ
เขตปกครองน่านน้ำมารีโอน่า เป็นเขตที่ติดทะเล มีทั้งทะเลน้ำจืด น้ำเค็ม ชีวิตของผู้คนท้องถิ่นผูกพันธ์กับสายน้ำ
เขตปกครองที่ราบลุ่มแพรีต้า มีที่ราบลุ่มแม่น้ำเสียส่วนใหญ่ ในหนังสือระบุว่าเขตนี้เป็นเขตที่เหมาะแก่การเพาะปลูกที่สุด ดังนั้นพวกผลผลิตเกษตรกรรมส่วนใหญ่จึงเป็นสินค้าส่งออกจากเขตปกครองนี้
และสุดท้ายคือ...เขตปกครองพิเศษ เขตปกครองนี้สำหรับคนที่มีฐานะมั่งคั่งเป็นอันดับต้นๆ พวกคนมีเงินจะมารวมตัวกันอยู่ที่เขตนี้ รวมถึงเป็นสถานที่ตั้งของพระราชวังสำหรับบรรดาเชื้อพระวงศ์
ถ้าจำไม่ผิดสกาเลตมาจากเขตปกครองนี้… ซึ่งก็ไม่ค่อยน่าแปลกใจเท่าไรนักสำหรับความเป็นคุณหนูของหล่อน
“เคยไปบ้างครับ เรื่องงาน” เมลิกตอบ “เคยไปแพรีต้ากับอาเชอร์น่า”
“งานอะไรวะ อย่าบอกนะว่าเกี่ยวกับหลักสูตรพิเศษอะไรนั่นด้วย”
“ครับ”
“งั้นรอบหน้าไปมารีโอน่ากัน อยากลองไปสักครั้ง” ไมเคิลพูด เมลิกพยักหน้า ตอบกลางๆไปว่า
“ไว้ถ้ามีเวลานะครับ”
พวกเขาสองคนแยกย้ายกันเมื่อเมลิกบอกว่าต้องไปประชุมที่สภานักเรียนต่อ ไมเคิลโบกมือให้คนเป็นน้องชายก่อนเดินกลับหอ
หมอนี่ก็ดูสบายดี ก็ดีแล้วล่ะนะ ไว้คราวหน้าต้องเขียนจดหมายไปเล่าให้แม่ฟังแล้วล่ะ
…
ไมเคิลมาถึงห้องเรียน104ในตึกตะวันออกตามที่ใบปลิวของชมรมได้ระบุเอาไว้ จนแล้วจนรอดเขาก็มาที่ชมรมนาอีฟจนได้ ถึงจะยังไม่ค่อยแน่ใจว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเขาได้มากน้อยแค่ไหนแต่ยังไงก็อยากลองดู อาจจะเป็นเพราะคำโฆษณาชวนเชื่อที่บอกว่ามันคล้ายคลึงกับการเขียนโปรแกรมแบบที่ไพก็เป็นได้ ไมเคิลเรียนสายนั้นมาก็อยากจะต่อยอดสักหน่อย
เขามาถึงก่อนเวลาประมาณสิบนาที เขาเปิดประตูเข้าไป มันไม่ได้ไร้ผู้คนอย่างที่เขาคิด เด็กสาวคนหนึ่งมาก่อนเขาแล้ว เจ้าหล่อนหันมามองไมเคิลที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา มัวเซย์ เด็กสาวหน้ากากนั่นเอง
“คนอื่นๆล่ะ” เขาถามหลังจากทักทายอีกฝ่ายพอเป็นพิธี
“เดี๋ยวก็มาแล้ว”
มัวเซย์วางของที่มีลักษณะเหมือนดิสก์ลงบนโต๊ะ สร้างเขตเวทขึ้นมาคลุมตัว ราวกับมีกระจกใสกั้นอยู่รอบๆตัวหล่อนแต่ที่ไอสีฟ้าพวยพุ่งขึ้นมาเป็นเส้นๆรอบๆตัวของเด็กสาว
“สวยแฮะ” ไมเคิลว่าขณะที่อีกฝ่ายกำลังวาดมือลงบนเส้นสีฟ้าเหล่านั้นราวกับกำลังพยายามจัดระบบให้กับพวกมัน
"อ้าว นายมาจนได้สินะ" เขนพูดขึ้นหลังจากก้าวเข้ามาในห้อง “ดีใจจังที่นายมา ไมเคิล งั้นรอคนอื่นๆอีกแป๊บหนึ่ง แล้วเรามาเริ่มกันดีกว่า”
สมาชิกในชมรมนอกจากเขาแล้วยังมีอีกเพียงสามคนเท่านั้น นับว่าเป็นชมรมที่เล็กอย่างที่เชนบอกจริงๆ เชนเอาแผ่นหินบางๆแผ่นหนึ่งมาให้เขา รูปร่างของมันคล้ายฟลอปปี้ ดิสก์(floppy disk)ของที่ไพ เขาเคยเห็นไอ้ฟลอปปี้ ดิสก์นี่เฉพาะในพิพิธภัณธ์ประวัติศาสตร์แห่งชาติเท่านั้น
“ถ้านายสนใจจะลองทำล่ะก็ ฉันอาจจะต้องขอเก็บค่าอีฟเปล่าๆนี่จากนายหน่อย แบบว่า ฉันเองก็ไม่ได้มาฟรีๆเหมือนกันน่ะนะ”
“มันไว้ใช้ทำอะไรล่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามเมื่อเชนบอกราคาของเจ้าสิ่งที่อยู่ในของตัวเอง มันราคาสูงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“แปลงเวทย์ของนายออกมาให้เป็นรูปแบบ แล้วนายก็จัดการกับรูปแบบพวกนั้นเพื่อจัดการกับไอเวทของนาย” เชนพูด “อาจจะฟังดูงงๆ ให้ฉันทำให้ดูก็แล้วกัน แต่เอาจริงๆต่อให้ดูก็อาจจะยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทางที่ดีคือต้องลองทำเองเลย”
เมื่อเห็นว่าเชนสามารถอ่านค่าเวทที่เหลืออยู่ในตัวเองได้โดยมีกลุ่มตัวเลขจำนวนหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่ตรงหน้าไมเคิลก็นึกอยากลอง เด็กหนุ่มจึงยอมจ่ายเงินจำนวนหนึ่งไปเพื่อแลกกับอีฟที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะใช้งานมันเป็นไหม
“ถ้ามาที่นี่ทุกสัปดาห์ละก็ ฉันจะสอนให้นายเองแหละ” เชนพูดอย่างเริงร่าพร้อมกับอธิบายขั้นตอนการใช้อีฟให้ไมเคิลอย่างละเอียด
ขั้นตอนก็คือ ผู้ใช้ต้องหยดเลือดของตัวเองลงบนอีฟเพื่อสร้างพันธะสัญญาระหว่างมันและเจ้าของ หยดเลือดสีแดงสดของไมเคิลซึมหายวับไปทันทีเมื่อสัมผัสกับพื้นผิวของอีฟ หลังจากนั้นต้องเอาเจมิไนของตัวเองแนบลงบนอีฟแผ่นนั้นแล้วปล่อยให้พลังเวทไหลผ่านไปอ่อนๆเพื่อเชื่อมพลังเวทของตัวเองเข้ากับอีฟ
“จากนั้น… ถ้านายอยากใช้ค่าเวทที่มีคนตั้งเอาไว้อยู่ก่อนแล้วนายก็ไปโหลดโปรแกรมเอาจากคอมได้เลย นายมาจากไพ คงรู้อยู่แล้วมั้งว่าโหลดโปรแกรมทำยังไง หรือถ้าไม่ชอบนายจะเขียนขึ้นมาใหม่เลยก็ได้”
มีโปรแกรมพื้นฐานสำหรับการตีค่าเวทมนตร์เป็นตัวเลขอยู่ เป็นโปรแกรมง่ายๆ เขาดึงอีฟออกมาจากตัวเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากถ่ายโอนข้อมูล เลือกมุมเหมาะๆให้กับตัวเองก่อนจะสร้างเขตเวทขึ้นมาคลุมตัวแล้วเรียกไอเวทออกมา
ไมเคิลค้นพบว่าตัวเองสามารถทำในสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าโปรแกรมมิ่งผ่านเขตเวทของตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้คอม เขาเดินไปถามเด็กหนุ่มที่ใช้โปรแกรมก่อนหน้านี้ไปถึงวิธีการเรียกมันขึ้นมาใช้แบบจริงจัง เมื่อรู้วิธีแล้วเขาก็ลองทำดู และผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
ข้างหน้าของเขามีตัวเลขที่บ่งบอกถึงค่าเวทในตัวลอยขึ้นมา แต่มันไม่สะดวกตรงที่ว่าเลขที่ปรากฏขึ้นมานั้นเป็นแค่ตัวเลขทื่อๆเลย ดังนั้นเขาจะไม่รู้ว่าในหนึ่งวันเขาใช้เวทได้เต็มที่เท่าไร และเขาใช้ไปมากแล้วขนาดไหน มีแค่ตัวเลขเปล่าๆที่บ่งบอกว่าเขายังใช้พลังเวทต่อไปได้อีกเท่าไร
ยังถือเป็นโปรแกรมทื่อๆที่ต้องการการพัฒนาต่อไป
“คนที่นี่เขาไม่ค่อยเปิดรับสิ่งใหม่ๆเหมือนที่ไพหรอก” เชนอธิบายให้เขาฟังเมื่อไมเคิลถามว่าคนถึงได้น้อยนัก “กลัวจะเกิดภัยพิบัติเหมือนที่นู่นน่ะ แต่ฉันว่าถ้าใช้แบบพอดีๆ ควบคุมการใช้งานหน่อยก็ไม่แน่จะเป็นปัญหาแท้ๆ ข้อดีของเทคโนโลยีก็มีตั้งเยอะ”
จากบรรดาทุกคนในห้อง คนที่ทำโปรแกรมของตัวเองได้แย่สุดคือมัวเซย์ ไมเคิลที่ก้าวหน้าไปได้ไกลกว่าคนอื่นตรงไปเข้าไปหาหล่อนพร้อมกับเสนอตัวช่วย
“นี่เป็นรองหัวหน้าของชมรมนี้จริงๆรึเปล่าเนี่ย” เขาว่าขณะชี้ให้หล่อนลากไอเวทไปในทางที่ถูกต้อง
ไม่มีคำตอบจากเด็กสาวข้างตัว ไมเคิลจึงเงียบลงไปหน่อย อีกฝ่ายอาจจะโกรธ
“ขอโทษที ไม่ได้หมายความอย่างที่พูดจริงๆนะ”
“นี่ ไมเคิล” หล่อนพูดเสียงเรียบ เด็กหนุ่มจึงไม่แน่ใจว่าตกลงหล่อนไม่พอใจจริงๆหรือว่าไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดของเขา “ฉันว่าเราน่าจะมาฝึกซ้อมการต่อสู้ด้วยกันนะ”
“หา” เขาเลิกคิ้ว “นี่เธอคิดจะแก้แค้นฉันในสนามงั้นเหรอ แค่เพราะฉันพูดจาผิดหูเธอไปหน่อยเนี่ยนะ”
“นายจะว่างอีกทีเมื่อไหร่”
โอย ดันไปปากดีกับผู้หญิงเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียได้
…
เคร้ง!
เสียงส้อมสแตนเลสกระแทกกับขอบจานทันทีที่เขาเล่าเรื่องการฝึกซ้อมตัวต่อตัวกับลูกสาวของท่านอธิการบดีให้เพื่อนๆฟัง
“กับยัยหน้ากากนั่นน่ะนะ” แมคเคย์พูดขึ้นด้วยสีหน้าแหยงๆ “นายเจอของหนักแล้ว ยัยนั่นน่ะโหดตัวแม่”
“แล้วไปทำอีท่าไหนถึงได้โดนเขาท้ามาแบบนั้นล่ะครับ” เอเดรียนว่า
“เปล่านะ เขาไม่ได้ท้า เขาแค่ถามว่าไม่มาฝึกซ้อมการต่อสู้ด้วยกันเหรอเฉยๆ” ไมเคิลดูดน้ำสีฟ้าจากแก้ว รสชาติเหมือนลูกกวาดผสมกับเนยถั่ว เลี่ยนขึ้นไปถึงหัว
ในเอ็มยู การใช้เวทต่อสู้นอกไฟเตอร์ ฟีลถือเป็นเรื่องผิดกฎ แต่การท้าสู้กับใครในสนามเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ และหากใครที่ปฎิเสธการท้าดวลละก็ จะโดนมองด้วยสายตาเหยียดหยามไปตลอดทั้งเทอม
“ฉันว่านั่นก็เรียกว่าเป็นการท้าแล้วนะ” แมคเคย์เลิกคิ้ว “แล้วนี่นายก็ดันตอบรับเขาไปเนี่ยนะ ซี้แหงแก๊แน่นอน มีหวังโดนเชือดนิ่ม”
“ขอบคุณที่ให้กำลังใจว่ะ”
“คุณนี่มันจริงๆเลยนะครับ” เอเดรียนส่ายศีรษะ “เปิดเทอมยังไม่ทันไรก็ต้องประมือกับหน้ากากราตรีซะแล้ว”
“หน้ากากราตรี?” ไมเคิลพูดขัดขึ้น “นั่นฉายาของมัวเซย์เหรอ” ฟังดูเหมือนชื่อเพลงลูกทุ่งห่วยๆ ใครกันนะช่างตั้งมาได้
“หน้ากากราตรีเป็นตำแหน่งมือสังหารระดับสุดยอดของรัฐบาล” แมคเคย์ตอบ “ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันหรอกว่ายัยนั่นอยู่ในตำแหน่งนี้จริงๆ แต่ดูจากระดับฝีมือและที่ใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลานั่นใครๆก็คิดว่ายัยนั่นเป็นหน้ากากราตรีกันทั้งนั้น”
“ฝีมือเขาเฉียบขาดจริงๆ” เอเดรียนสนับสนุน “ขนาดสู้กับรุ่นพี่ยังเอาชนะได้แบบไม่ยากเย็นเลย ระดับนั้นแล้วถ้าเป็นหน้ากากราตรีจริงคงไม่น่าแปลกใจอะไร”
“เดี๋ยวนะ นี่พวกได้ดูตอนที่ยัยนั่นสู้ด้วยเหรอ ตอนไหน ทำไมฉันไม่เห็นได้ดูเลย” เขาว่าตัวเองก็อยู่กับสองคนนี้บ่อยแล้วนะ
“ก็ตอนนั้นนายเอาแต่ทำบ้าบออะไรกับอีฟของนายอยู่ไง” คนผมแดงแยกเขี้ยว “จริงๆเลย ไม่เห็นจะเข้าท่าเลยซักนิด เสียเวลาเปล่าๆ”
หลังจากที่เขาไปที่ชมรมนาอีฟและบอกเพื่อนๆ ไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำอยู่ซักคน ท่าทางเรื่องที่ว่าคนฝั่งมากิอาร์ค่อนข้างจะปิดโลกคงจะจริง
ทั้งๆที่เชื่อมกับไพ ไดแมนชั่นแล้วเนี่ยนะ? โธ่…
“โอเค ไหนลองบอกฉันสิ ฉันควรจะต้องเตรียมตัวยังไง” ไมเคิลพูด เพื่อนอีกสองคนของเขามองหน้ากัน
“ทำใจว่ะ”
“ยอมแพ้ไปเลยน่าจะดีกว่านะครับ”
ช่างเป็นเพื่อนที่น่ารักอะไรขนาดนี้
“พวกนายเห็นฉันอ่อนหัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ชายหนุ่มผมดำพูดอย่างอดไม่อยู่ “คู่ต่อสู้น่ะเป็นผู้หญิงนะ”
“นายเป็นพวกเหยียดเพศเหรอวะ” คนผมแดงเลิกคิ้ว “ดูหน้าไม่ให้เลยนะ”
“เปล่า ไม่ได้เหยียด แต่…” ไมเคิลอธิบาย “โอเค อีกฝ่ายเป็นผู้หญิง ที่ตัวเล็กกว่าฉัน สูงแค่ประมาณนี้” เขาทำไม้ทำมือ
“ฝีมือการต่อสู้ระยะประชิดของนายไม่แย่หรอก ไมเคิล” แมคเคย์ว่า ไม่นึกว่าจะมีวันที่พ่อคนผมแดงพูดเยินยอเขา สงสัยต้องจัดงานฉลองแล้ว “เอาจริงๆดีกว่ามาตรฐานของที่นี่ด้วยซ้ำ แต่นายต้องยอมรับนะ การผสานเวทเข้ากับการต่อสู้ของนายยังอ่อนหัดอยู่ นายเป็นมือใหม่ในเรื่องนั้น ตามทันไหม”
“แถมอีกฝ่ายก็เก่งจนน่ากลัว” เอเดรียนเสริม “คุณต้องได้ดูการต่อสู้ของหล่อนจริงๆ ไม่มีช่องโหว่เลย”
“ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะ ทุกคน” เขายกแก้วที่บรรจุน้ำสีฟ้าขึ้นดื่มอึกใหญ่ ปริมาณน้ำตาลสูงคงจะทำให้เขาเป็นเบาหวานเร็วๆนี้
ไมเคิลมาถึงสนามที่38ในไฟเตอร์ ฟิลด์ตามที่นัดกับมัวเซย์เอาไว้ หญิงสาวมาถึงก่อนเขาแล้ว กำลังรวบผมที่ยาวเกินความจำเป็นขึ้นจนตึงเปรี๊ยะ แต่หน้ากากสีขาวก็ยังอยู่บนหน้าเหมือนเดิม
มัวเซย์เดินไปสุ่มสนามมาแห่งหนึ่ง รอบตัวเขากลายเป็นป่าสนอย่างช้าๆ ไมเคิลวอร์มร่างกายอย่างกระฉับกระเฉง เขาลองเสกลูกไฟเล็กๆขึ้นมาเพื่อทดสอบเวทของตัวเอง ตามองเจมิไนชิ้นใหม่ของตัวเอง ไอเวทจางๆแผ่รอบๆตัวแหวน
“มันจะอยู่ได้ไม่นานหรอก” เสียงของมัวเซย์ดังขึ้น ไมเคิลหันกลับไปหา “เจมิไนของนายน่ะ มันไม่เข้ากับไอเวทของนาย ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปแล้วคงไม่มีปัญหาอย่างนั้นหรอก แต่ไอเวทของนายน่ะแปลก ใช้เจมิไนทั่วๆไปไม่ได้หรอก”
“แล้วเธอรู้ได้ยังไง” เขาถาม อีกฝ่ายยักไหล่ “เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องไอเวทเหรอ”
“อยากคิดอย่างนั้นก็เชิญ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า” หล่อนพูดเสียงตายด้าน คนทั้งคู่โค้งคำนับให้กันและกันตามธรรมเนียมปฏิบัติ ไมเคิลมองบรรยากาศป่าสนที่มืดลงเรื่อยๆก่อนจะเลิกคิ้ว
“เราก็มีกันอยู่แค่สองคน ไม่ต้องเปิดสนามก็ได้แท้ๆ”
“ฉันเป็นคนให้ความสำคัญกับสภาพแวดล้อม”
“อ้อ” เอาไงก็เอา
ทั้งสองคนตั้งท่า ทันทีที่มัวเซย์วาดขาไปด้านหลัง จู่ๆไม่เคิลก็รู้สึกเย็นที่ไขสันหลังอย่างบอกไม่ถูก ราวกับเด็กสาวตรงหน้ามีแรงกดดันที่เขามองไม่เห็น มัวเซย์วาดขาขึ้นมาจะเตะเขาที่ซี่โครง ไมเคิลยกมือขึ้นมากันได้อย่างเฉียดฉิว แขนข้างซ้ายของเขาชาไปทั้งแถบ
เด็กสาวพุ่งเข้ามาชกเขา หมัดนั้นถากกระหม่อมของไมเคิลไป เขาเคลื่อนไหวได้ไม่เร็วเท่าอีกฝ่ายแต่ยังมีทัศนวิสัยกว้าง ทันเห็นตอนหญิงสาวปล่อยหมัดออกมาช่วงวินาทีสุดท้าย ไมเคิลคุกเข่าลงกับพื้นแล้ววาดมือไปหวังจะฟาดที่ข้างลำตัว มันกระทบตัวเจ้าหล่อนเล็กน้อยแต่มัวเซย์ก็เบี่ยงออกไปได้ทัน
หล่อนวาดขาขึ้นมาเกือบจะฟาดหน้าเขา ไมเคิลถอยลงไปแล้วยืนขึ้นเพื่อตั้งหลัก แต่เด็กสาวตรงหน้าเร็วเหลือเกิน หล่อนยกมือขึ้นฟาดเข้าที่กะบังลมของไมเคิล พออัดเข้าที่ใต้กระดูกสันอกอากาศก็ทะลักออกจากปากของเด็กหนุ่ม
มัวเซย์ดึงแขนเขาขึ้นไปและตั้งท่าจะจับทุ่ม เอาจริงเหรอเนี่ย เด็กผู้หญิงตัวบางคนนี้เนี่ยนะ
ไมเคิลตั้งตัวได้ทัน ขืนแรงดึงของอีกฝ่าย เหวี่ยงแขนไปอีกทางและเป็นฝ่ายทุ่มมัวเซย์แทนอย่างทุกลักทุเล ทันทีที่แผ่นหลังของเจ้าหล่อนกระทบกับพื้น เด็กสาวก็เหวี่ยงไมเคิลขึ้นก่อนจะถีบอีกฝ่ายเต็มแรงด้วยขาทั้งสองข้าง
เด็กหนุ่มลงไปกองกับพื้น รู้สึกว่าข้างในสะเทือนไปหมด แต่ไม่ทันได้หยุดพักมัวเซย์ก็ก้าวเข้ามาอีกครั้ง ความรู้สึกกดดันแบบตอนแรกกลับมาอีกแล้ว มันรุนแรงกว่าเดิมด้วยซ้ำ ทุกก้าวที่หล่อนก้าวเดินมีน้ำแข็งปรากฎขึ้นรอบตัว
หล่อนวาดมือขึ้นกลางอากาศเหมือนกับวาดกิ่งไม้อะไรซักอย่าง น้ำแข็งแท่งหนึ่งโผล่ออกมา ท่าเดินของหล่อนที่ย่างกรายเข้ามาดูสง่างามจนไมเคิลไม่สามารถละสายตาได้
เขาอยากจะขยับตัวหนี แต่มัวเซย์ยื่นหน้าเข้ามาก่อน แท่งน้ำแข็งปลายแหลมนั่นจ่ออยู่ที่คอหอยของเขา ไม่ใช่แค่นั้น น้ำแข็งลักษณะเดียวกันปรากฏขึ้นมาจากพื้นดินอยู่รอบๆตัวเขา ล็อกเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
“นายใช้เวทไม่เป็นรึไง” หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะกดน้ำแข็งลงบนคอของเขา ของเหลวสีแดงซึมออกมา “เอาแต่เต้นไปเต้นมาอยู่ได้ อยากให้ฉันฆ่านายจริงๆเหรอ เมธัส”
เด็กหนุ่มตัวชาวาบ ความกลัวล้นปรี่เข้ามาในใจ เขารวบรวมพลังเวทสร้างเขตเวทสำหรับป้องกันตัวขึ้นมาก่อนจะใช้มันดันตัวของเด็กสาวออกจากตัวเอง มัวเซย์ผละออกไปตามแรงกระแทก แต่ยังถอยกลับไปยืนด้วยท่าทางสง่างามอยู่ดี
“ดีขึ้นนี่”
ไมเคิลกวาดมือไปมาในอากาศ เขาเรียกเวทน้ำแข็งออกมาโจมตีเด็กสาวได้อย่างสะเปะสะปะ ไม่ค่อยทำให้เด็กสาวเดือดร้อนเท่าไร แต่พลังของไมเคิลน่าชื่มชมจริงๆ
มัวเซย์เสกแท่งน้ำแข็งขึ้นมาอีกครั้ง วินาทีที่ไมเคิลหันไปมองที่มือหล่อนก็ฟาดมืออีกข้างที่คอของเขาอย่างแรง ทุกอย่างพร่าเลือนไปวูบหนึ่งแต่เขาบังคับไม่ให้ตัวเองล้มลงไป
เด็กหนุ่มวาดลูกเตะที่ผสานเข้ากับประกายไฟอย่างที่แมคเคย์เคยใช้โจมตีเขา มัวเซย์เบี่ยงตัวหลบแต่ไม่พ้น ไฟจึงลวกเธอในบริเวณที่ลูกเตะนั้นสัมผัส
ไมเคิลวาดขาขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้มัวเซย์ยึดขาของเขาเอาไว้แม้นั่นจะทำให้มือของหล่อนลวก ไมเคิลเบิกตากว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง ก่อนจะอุทานออกมาเมื่อเจ้าหล่อนพลิกขาของไปอีกทาง ก่อนจะถีบเข้าที่บั้นท้ายของเขาอย่างแรง
ไมเคิลกลิ้งไปบนพื้นจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยดิน สีหน้าของเขาเหยเกด้วยความเจ็บปวด “ช่วยอ่อนโยนกับก้นฉันหน่อยได้ไหม ผิดทรงขึ้นมาจะทำยังไง”
“คงน่าเสียดายแย่” หล่อนว่า “เพราะมันรูปร่างดีน่าดู”
“สาวๆที่ไหนเห็นก็หลงทั้งนั้นแหละ” ไมเคิลว่า พุ่งตัวเข้าหาอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วพร้อมกับหมัดที่มีไฟสีส้มอ่อน มัวเซย์ยกมือขึ้นมากัน ใช้เวทน้ำแข็งห่อหุ้มเปลวไฟนั้น และเมื่อหยุดการโจมตีนั้นได้เจ้าหล่อนก็ใช้มืออีกข้างฟาดหน้าไมเคิลแรงๆด้วยเวทน้ำแข็งที่ผสานในหมัดนั้น
ไมเคิลเซไปด้านหลัง เลือดไหลออกมาทางจมูกและริมฝีปาก ยังรู้สึกถึงความคมและความเย็นของน้ำแข็งที่บาดหน้าเต็มแรงเมื่อครู่ เขาขากลิ่มเลือดออกจากปากและถ่มมันลงพื้นดิน
“เอ้าๆ พยายามให้มากกว่านี้หน่อย” เด็กสาวที่มีรูปร่างบอบบางและเตี้ยกว่าเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแต่ไมเคิลไม่โกรธ เขาตระหนักถึงความสามารถอันน่ากลัวของคนตรงหน้าแล้ว
เด็กหนุ่มดีดตัวถอยห่างออกจากมัวเซย์เพื่อตั้งตัว หล่อนยอมให้ไมเคิลถดถอยไปตามใจชอบ ไมเคิลวาดมือขึ้นกลางอากาศ เปลวไฟจำนวนหนึ่งโผล่ขึ้นมาตามทิศทางของมือนั้น มัวเซย์มองเพลิงไฟที่ลุกกระหน่ำขึ้นมาก่อนหญิงสาวจะยกนิ้วชี้ขึ้นแตะส่วนปากของหน้ากากแล้วทำเสียงจุ๊ๆ
“พลังเยอะดี แต่ทื่อไป”
หล่อนพุ่งตัวไปหาไมเคิลอย่างรวดเร็ว พื้นที่หล่อนเหยียบกลายเป็นน้ำแข็งยาวเป็นทาง มันทำให้เปลวไฟเหล่านั้นหายไปในพริบตา ไมเคิลอ้าปากราวกับกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทัน มัวเซย์วาดมือและเสกแท่งน้ำแข็งปลายแหลมออกมาอีกครั้ง หล่อนเสียบมันลงบนสีข้างของไมเคิลที่สร้างเขตเวทป้องกันขึ้นมาไม่ทัน
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง รู้สึกถึงความเจ็บที่แล่นขึ้นมา รู้สึกราวกับแท่งน้ำแข็งนั้นทะลุผ่านตัวเขาไปแล้วทั้งๆที่มันเพียงถลอกสีข้างเขาเท่านั้น เขาควรจะทรุดลงไปนอนกองกับพื้นด้วยอารามตกใจ แต่เหมือนเป็นเฮือกสุดท้ายของไมเคิล ชายหนุ่มยื่นมือออกไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองร่ายเวทอะไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหน้ากากที่อยู่บนใบหน้าของมัวเซย์ตกลงมาที่พื้น
นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทาเบิกกว้างขึ้นอย่างตื่นตะลึง
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นใบหน้าภายใต้หน้ากากสีเรียบนั่น
ใบหน้าที่เหมือนกับเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน!
Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน
ผู้แต่ง : Airin_and_Arpo
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 1: ไพ ไดแมนชั่น(? Dimension) | 05 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: เอกภพมากิอาร์ (Magiska) | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3: เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ | 15 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: เชน ชู และชมรมนาอีฟ (NA?VE) | 22 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: หญิงสาวใต้หน้ากาก | 29 มี.ค. 59 |






สวัสดีค่ะ
จังหวะดี อ่านง่าย ฉากต่อสู้น่าสนใจและปิดได้มีพลังดี
ว่าไปแล้ว แต่ละโซนของมากิอาร์นี่ใหญ่แค่ไหน เท่าประเทศในไพหรือเปล่า การแบ่งโซนเหมือนผ่านการจัดระบบมาแล้ว (อาจจะด้วยพลัง?) เพราะแยกแยะชัดเจน ที่ปลูกพืชก็ปลูกพืช น้ำก็ส่วนน้ำ เป็นการแยกที่เห็นการจงใจจัดระเบียบ หรือว่านี่คือส่วนเมือง ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติกว่านี้แยกออกไป (ทางนี้ก็คิดไปเรื่อยๆ)
หวังว่าจะได้อ่านตอนที่ 6 นุ :)
ลวิตร์