
EN18 MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
กฎเหล็กของมาสคอตสามข้อ: ห้ามคุย, ห้ามถอด, ห้ามงอแง คุณเคยสงสัยไหมว่าเบื้องหลังหัวการ์ตูนสุดน่ารักเหล่านั้น เขาคือใครกันแน่ คำตอบน่ะหรือ...ผีที่มีชีวิตยังไงล่ะ
บทที่ 5 Aurora แสงเหนือ
Aurora Borealis หรือแสงเหนือ เป็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้า เมื่อสนามแม่เหล็กโลกถูกรบกวนโดยการปะทุอย่างรุนแรงของดวงอาทิตย์ นี่ทำให้เกิดแสงเรืองสีต่างๆพาดผ่านเป็นเส้นบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
อลิส...ฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่าฉันเป็นแค่ ‘ผี’ มาโดยตลอด ผีที่มีชีวิต...ผีที่ไร้ตัวตน ไร้จุดยืน ไม่ใช่มนุษย์ ไม่ใช่โอไรออน ไม่มีใครมองเห็น
ไม่ใช่นะ...ผีที่มีชีวิตน่ะ คือแสงที่สุกสว่างแม้ในความตายต่างหากล่ะ
แสงที่สุกสว่าง...แม้ในความตาย?
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายจะหาทางกลับมาได้เสมอ กลับมาหาฉัน กลับมาหาเคย์ กลับมาหาทุกคน พวกเราจะรอนายเสมอ
อลิส...เธอโกหก
ไม่มีใครรอฉันอีกแล้ว... แต่ไม่ต้องห่วงนะ สัญญานั่น ฉันจะรักษามันอย่างดี
ฉันจะคอยเป็นแสงสว่างเล็กๆ แสงที่มองไม่เห็นในวันแดดจ้า แสงที่กลายเป็นไฟนำทางในช่วงเวลามืดมิด
นั่นคือหน้าที่ของฉัน...ผีที่มีชีวิต
“หยุด! อย่าขยับ!”
หยาดฝนเม็ดเล็กตกกระทบผิวเย็นชื้นเป็นจังหวะเปาะแปะทำหน้าที่ราวกับนาฬิกาปลุก เมื่อลมหายใจแรกหวนคืนเข้าสู่ปอดอีกครั้ง มะลิก็ลืมตาโพลง ร่างบางไอค่อกแค่ก ทรวงอกเจ็บร้าวราวกับถูกบีบอย่างแรง เด็กสาวสูดหายใจลึกๆ เมื่อตาหายพร่า เธอก็พยายามดันตัวขึ้นนั่งถึงแม้ว่ามือทั้งสองยังสวมกุญแจมือเอาไว้
นี่เธอตายรึยัง...
“ยกมือขึ้น!”
เหตุการณ์เบื้องหน้าตอกย้ำความจริงอย่างจังว่าเธอยังคงอยู่ในช่วงวิกฤติ ไฟสปอร์ตไลท์สาดแสงจ้าจนเด็กสาวต้องหรี่ตา ไหนจะไฟสีน้ำเงินแดงวูบไหวจากรถตำรวจห้าหกคันเบื้องหน้าอีก โชคดีที่มีเงาของใครบางคนคอยบดบังแสงเหล่านั้น
ใคร...
เพราะเขายืนอยู่ข้างหน้าเธอ ภาพที่เห็นจึงเป็นเพียงเงาย้อนแสงสูงโปร่ง บุรุษผู้นั้นกำลังยืนเผชิญหน้ากับตำรวจชาวมนุษย์ในยูนิฟอร์มสีฟ้าอ่อนเปียกแฉะจากพายุฤดูร้อนที่กำลังโหมกระหน่ำ พวกเขาล้วนเล็งปืนพกสีดำมายังนักโทษหลบหนี เฮลิคอปเตอร์เบื้องบนก็เช่นกัน พลปืนสไนเปอร์คอยเล็งให้จุดสีแดงของกล้องสโคปหยุดอยู่ตรงหัวไหล่ของเป้าหมาย
“บอกว่ายกมือขึ้น ไม่ได้ยินรึไง!” หนึ่งในนายตำรวจตะโกนเสียงเข้ม สุดท้ายชายคนนั้นก็ยอมทำตามแต่โดยดี แขนกำยำถูกยกขึ้นราวกับยอมแพ้ ทว่าเหล่าตำรวจกลับไม่แสดงสีหน้ายินดีปรีดาเลยแม้แต่น้อย นายตำรวจบางคนกลับก้าวถอยหลังเสียด้วยซ้ำ
“ไม่ต้องกลัว” ชายหนุ่มยกมือค้างเอาไว้ หยาดฝนที่เริ่มตกหนักขึ้นทำให้เรือนผมสีดำเปียกลู่ “ผมไม่มีเจตนาจะทำร้ายพวกคุณ”
เสียงทุ้มแสนคุ้นหูทำให้มะลิขมวดคิ้ว ดวงตากวาดมองไปยังพื้นทรายเปียกแฉะข้างๆเท้าเปล่าของเขา มันมีชุดมาสคอตหมีสีดำถูกถอดทิ้งเอาไว้
ธันวา...!?
เกิดอะไรขึ้น ทำไมธันวาถึงถูกตำรวจล้อมจับราวกับหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย แล้วเขาถอดชุดมาสคอตแสนรักออกทำไม ปกติเขาใส่มันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่เว้นแม้แต่ตอนอาบน้ำกับนอนไม่ใช่หรือ
ตำรวจเหล่านั้นหันไปมองหน้ากันราวกับกำลังสื่อสารด้วยโทรจิต และแล้วตำรวจหนุ่มไฟแรงสี่คนก็ก้าวออกมา
“คุกเข่า! มือไขว้หลังแล้วหมอบลงกับพื้นซะ!” ธันวาทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย มะลิมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นิ่ง เพราะปลายเท้าที่หันมาทางเธอทำให้ไม่สามารถมองเห็นหน้ามาสคอตฟรีแลนซ์อย่างชัดเจน
“มาลี เธอฟื้นรึยัง” ธันวาถามทั้งๆที่ยังหมอบแนบกับพื้น
“ฟะ...ฟื้นแล้ว” มะลิตอบ นายตำรวจหลายนายเริ่มรู้ถึงการมีตัวตนของเธอ พวกเขามองหน้าโอไรออนหนึ่งเดียวสลับกับนักโทษอย่างงุนงง เขานึกว่านักโทษหลบหนีคนนี้จับโอไรออนเป็นตัวประกันเสียอีก
“งั้นก็ดี” ธันวาพึมพำเบาๆ ดวงตาเหลือกขึ้นมองนายตำรวจที่ก้มลงจะสวมกุญแจมือ และแล้วมือทั้งสองข้างที่ตอนแรกไขว้อยู่บนหลังก็ดันตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ธันวาพุ่งเข้าล็อคคอนายตำรวจคนใกล้สุด มืออีกข้างของเขาดันศีรษะของตัวประกันไปอีกข้างขัดกับฝ่ามือที่คว้าคอหนาเตรียมจะบิดไปอีกฝั่ง
ด้วยสัญชาตญาณกลัวตาย นายตำรวจคนอื่นๆถอยหลังทันทีถึงจะยังเล็งปืนใส่เป้าหมาย เกิดสงครามความเงียบน่าอึดอัดใจ มีแต่เสียงเครื่องยนต์เฮลิคอปเตอร์ที่ยังคงบินวนไปมา มือปืนซุ่มยิงกำลังรอฟังคำสั่งลั่นไก ถึงแม้จะมีโอกาสเสี่ยงโดนเพื่อนร่วมทีมที่ถูกจับไป
“การต่อสู้ระยะประชิด” ผู้ร้ายหนึ่งเดียวเอ่ย “โรงเรียนตำรวจไม่เคยสอนคุณเหรอ”
สิ้นเสียง ร่างตัวประกันก็ถูกผลักออกจนล้มหน้าฟาดพื้น ธันวาพุ่งเข้าคว้าไหล่นายตำรวจอีกคนแล้วทุ่มลงอย่างแรง การจู่โจมไม่คาดฝันทำให้นายตำรวจหน้าใหม่อีกคนเผลอยิงปืนทั้งๆที่มือสั่น แน่นอนว่ากระสุนพลาดเป้า รู้สึกตัวอีกที ภาพทุกอย่างในสายตาของเขากลับหัวก่อนที่ศีรษะจะกระแทกพื้นทรายอย่างจังแล้วสติก็ดับวูบไป เจ้าหน้าที่คนสุดท้ายลั่นไกมือสั่นจนพลาดไปโดนพื้นทรายข้างๆ ธันวาปัดปืนพกออกจากมือของตำรวจหน้าใหม่จนกระเด็นตกกับพื้นแล้วใช้มืออีกข้างล็อคคอเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว มีดสั้นที่ถูกพกติดตัวตลอดเวลาข้างใต้ชุดมาสคอตถูกหยิบขึ้นมาจ่อคอขาวๆ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะยิงพลาดโดนตัวประกัน กลุ่มตำรวจที่เหลือจึงได้แต่เล็งปืนใส่เขา ตอนแรกพวกเขาก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าทำไมชายหนุ่มคนเดียวถึงติดแบล็คลิสต์ในกรมตำรวจว่าเป็นศัตรูต่อความมั่นคงของชาติ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มจะเข้าใจแล้ว...
แปะ แปะ แปะ
“ยังยอดเยี่ยมเหมือนเดิมเลยนะ คุณผี” เสียงปรบมือหนักแน่นดังขึ้นข้างหลังกลุ่มรถตำรวจ ผู้มาใหม่ก้าวลงจากรถวอลโว่เก่าแก่รุ่นพ่อ ไฟหน้ามีรอยแตก ประตูฝั่งคนขับมีรอยขีดข่วนเป็นทาง
“หัวหน้า!” นายตำรวจอุทาน ชายวัยสามสิบปลายๆในเสื้อเชิ้ตสีขาวยับยู่ยี่เดินผ่านกลุ่มนายตำรวจที่พร้อมใจกันแหวกทางให้ราวกับโมเสสแหวกทะเลแดง กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนๆกับท่าเดินเซๆทำให้บรรดาลูกน้องหน้าใหม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ถูกซอกจากสมาชิกรุ่นพี่เตือนให้เงียบ
“ลดปืนลง” หัวหน้าโบกมือเป็นสัญญาณ
“แต่...” นายตำรวจแย้ง
“คิดว่าปืนจะทำอะไรหมอนี่ได้เหรอ” คำพูดชวนสะอึก นายตำรวจทุกคนเงียบกริบแล้วค่อยๆลดปืนลง เมื่อเห็นดังนั้น ตัวประกันถูกปล่อยตัวออกจากวงแขนทันที
“ฮิวโก้ นายน่าจะรู้ดีว่าการฝากชีวิตกับปืนโง่ๆกระบอกนึงเป็นเรื่องตลก” ธันวากล่าวขณะก้มลงเก็บปืนบนพื้นแล้วยื่นมันให้กับนายตำรวจอดีตตัวประกัน มะลิสับสนกับภาพเบื้องหน้า...คนร้ายเก็บปืนคืนให้ตำรวจเนี่ยนะ...
“บอกลูกน้องฉันสิ เด็กสมัยนี้กับเครื่องอำนวยความสะดวกเนี่ยน้า...” ฮิวโก้หรือหัวหน้าตำรวจหัวเราะเอิ้กเบาๆราวกับยังไม่สร่างเมา ก่อนจะเดินไปกระชากประตูเบาะหลังของรถวอลโว่เปิดออก เขาผายมือราวกับสุภาพบุรุษเชื้อเชิญให้สุภาพสตรีขึ้นไปยังรถของตนก่อนจะขับพาเธอไปยังโรงแรมสวรรค์ชั้นเจ็ด “ไประลึกความหลังกันหน่อยมั้ย”
ธันวาก้มลงคว้าชุดมาสคอตหมีดำเปียกแชะบนพื้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มสบเข้ากับโอไรออนฝึกหัดชั่วครู่ แต่เพราะแสงไฟจากเฮลิคอปเตอร์ทำให้ทุกอย่างขาวโพลน สิ่งที่มะลิพอจะมองเห็นคือเรือนผมสีดำสั้นกับดวงตาแข็งกร้าวราวกับทหารผ่านศึก ยังไม่ทันที่เธอจะไล่สายตาไปจุดอื่น ธันวาก็แปลสภาพจากนักโทษที่ถูกหมายหัวเป็นหมีดำคุมามงแสนน่ารักเสียแล้ว
หมีดำดึงแขนเด็กสาวให้ลุกขึ้นก่อนจะดันเธอเข้าไปในรถของหัวหน้าตำรวจ ร่างอ้วนกลมแสนเทอะทะของมาสคอตแห่งเมืองคุมาโมโต้พยายามเบียดตัวเองเข้าผ่านประตูรถแคบๆ เขาใช้เวลานานแสนนานจนฮิวโก้ต้องสั่งให้ลูกน้องช่วยดันร่างเข้าไป เขาดูจะไม่ตกใจกับชุดมาสคอตที่ธันวาใส่เสียเท่าไหร่
เมื่อขึ้นนั่งรถเรียบร้อยแล้ว ฮิวโก้ก็หยิบวิทยุสื่อสารข้างพวงมาลัยขึ้นรายงาน “นักโทษหลบหนี GHOST อยู่ในความควบคุมของตำรวจแล้ว ทราบแล้วเปลี่ยน”
มะลิมองหน้าหัวหน้าฝึกงานราวกับจะบอกให้ทำอะไรสักอย่าง แต่ธันวากลับยอมถูกจับแต่โดยดี ฮิวโก้ใส่เทปรวมฮิตโอลดี้ส์ เข้าไปในปากกว้างๆของเครื่องเล่นบนแผงคอนโซล เสียงอืดๆของเครื่องที่กำลังกรอม้วนเทปทำให้มะลิรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก สุดท้ายเพลงดิสโกชวนเต้นก็ดังออกมาถึงแม้ว่าคุณภาพเสียงจะแย่ยิ่งกว่าซีดีผีสมัยนี้ ฮิวโก้ส่ายหัวตามจังหวะเพลงขณะถอยรถออกจากไซต์ก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดิน
“นี่ลูกสาวฉัน ชื่อไฮดี้ น่ารักใช่มั้ย” หัวหน้าตำรวจยื่นรูปเด็กทารกหน้าตาจิ้มลิ้มที่ถูกสอดไว้ใต้กระจกหน้ารถให้พวกเขาทั้งๆที่ดวงตายังจับจ้องถนนสี่เลนเบื้องหน้า
“อะไรกัน ไม่ได้เจอนายแค่สี่ปี ตอนนี้มีครอบครัวแล้วเหรอ” ธันวาถาม
“ไม่ได้ตั้งใจหรอก ฉันเผลอทำยัยนั่นท้องน่ะ...” ฮิวโก้เลี้ยวที่สี่แยกข้างหน้าโดยไม่เปิดไฟ “เพราะฉะนั้นฉันเลยอยากจะทวงบุญคุณนิดหน่อย”
“ว่ามา” หมีดำกอดอกเป็นเชิงรับฟัง
“ตอนนี้เงินเดือนข้าราชการมันไม่พอเลี้ยงครอบครัวสักเท่าไหร่ เลยอยากให้นายช่วยเข้าคุกสักแป๊บ เผื่อหน่วยฉันจะได้โบนัส แลกกับที่ฉันช่วยนายเมื่อครั้งที่แล้ว” กลิ่นการบูรในรถชวนเวียนหัว แต่ข้อเสนอสุดเพี้ยนนั้นทำมะลิมึนหัวยิ่งกว่า บุญคุณเก่าของฮิวโก้มันต้องหนักหนาสาหัสแน่ๆ เขาถึงกล้าขอเรื่องแบบนี้ซึ่งๆหน้า
“งั้นนายก็ต้องช่วยหาพิมพ์เขียวของคุกนั่นให้ฉันด้วย” ธันวาตอบตกลงทางอ้อม
“สบายมาก” ฮิวโก้หยิบบุหรี่จากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาคาบ “เดี๋ยวฉันจะไปหาเวลาเปลี่ยนเวรยามมาให้นายด้วย อ้อ แล้วก็รหัสประตูทางออก”
นี่เธอกำลังฟังตำรวจวางแผนช่วยนักโทษแหกคุกอยู่ใช่ไหม!?
“เอ่อ...แล้วคุณฮิวโก้ไม่ต้องไปจับคนร้ายที่ระเบิดเครื่องสูบน้ำในอุโมงค์เหรอคะ” มะลิพยายามเปลี่ยนเรื่องก่อนที่ความศรัทธาในตำรวจไทยจะลดน้อยลงกว่านี้
“ก็มีคำสั่งมานะน่ะ แต่พอไอ้หมีดำข้างเธอถอดหน้ากากออก ทางการเลยสั่งให้ฉันดอดมาจับหมอนี่ก่อน” ฮิวโกหัวเราะ “หัวหน้าฝึกงานเธอนี่มันป๊อบปูลาร์มากเลยนะ มีแต่คนอยากได้หัวมัน”
ถ้าไม่ติดว่าคน ’ป๊อปปูล่าร์’ นั่งอยู่ข้างๆ เธอคงจะถามไปแล้วว่าธันวาไปทำอะไรไว้กันแน่
มาสคอตฟรีแลนซ์ที่สู้กับคนร้ายด้วยมือเปล่าได้ราวกับแชมป์คาราเต้สายดำ กู้ระเบิดได้เหมือนกับมืออาชีพ แถมมีสัมพันธ์ลึกลับทั้งกับหน่วยรักษาดินแดนโอไรออนและหน่วยตำรวจมนุษย์ ถ้านี่ไม่ใช่ชีวิตจริง มะลิคงคิดว่าธันวาเป็นสายลับนกสามหัวทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองนิวอเมริกาหรือโนวาโซเวียตไปแล้ว
“โอ้ว นี่เพลงโปรดฉัน” เสียงแตกๆของดนตรีจังหวะครึกครื้นเพลง เทคออนมี ของวงอะฮ้า ถูกเร่งขึ้นจนสามารถได้ยินจากนอกรถ ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเริ่มร้องประโยคแรก เสียงโทรศัพท์เรียกเข้าก็ดังขึ้น ฮิวโก้กดรับสายทั้งๆที่มืออีกข้างยังบีบแตรไล่รถกระบะคันข้างหน้าตามจังหวะเพลง
“ว่าไง ฉันจับตัวหมอนั่นได้แล้ว กำลังจะกลับไ... อะไรนะ” เงียบไปชั่วครู่ สีหน้าที่ยังดูเหมือนคนไม่สร่างเมาแปรเปลี่ยนไปทันที รถวอลโว่แสนโทรมถูกเบรกดังเอี๊ยด พร้อมกับเสียงด่าทอจากรถคันอื่นๆที่ดังเซ็งแซ่ตามมา หลังจากวางสาย หัวหน้าตำรวจในเขตเล็กๆแห่งนี้ก็หมุนพวงมาลัยไปทางขวาจนสุดแล้วหักโค้งยูเทิร์นกลับไปยังทางที่จากมาทันที
ธันวาไม่ถาม ต้องมีเรื่องบางอย่างเลวร้ายเกิดขึ้นแน่ๆ ถึงสามารถทำให้ฮิวโก้ ตำรวจที่ขี้เกียจและผิดจรรยาบรรณที่สุดในโลกสามารถวกรถกลับด้วยท่าทีแตกตื่นแบบนี้
“เปลี่ยนแผนว่ะ” ฮิวโก้เหยียบคันเร่งมิด พวกเขาพุ่งไปตามถนนโล่งๆที่ทอดยาวไปยังศูนย์ประชุมสุวรรณภูมิ ข้างๆพวกเขา ถนนฝั่งขาออกเต็มไปด้วยรถราเนืองแน่นราวกับชั่วโมงเร่งด่วนทั้งๆที่มันได้ผ่านมาเกินสองชั่วโมงแล้ว เสียงแตรถูกบีบลั่นตลอดความยาวของถนนพร้อมกับเสียงโวยวายราวกับว่าทุกคนอยู่ในพะวงเร่งรีบ...รีบที่จะหนีจากอะไรบางอย่าง
“หมีดำ แกกู้ระเบิดเก่งใช่ไหม” หัวหน้าตำรวจขมวดคิ้ว ขณะเข้าโค้งไร้การเบรกจนกินถนนไปสองเลน
“ก็ไม่เชิง”
“งั้นพอจะกู้ระเบิดนิวเคลียร์ได้รึเปล่า” สิ้นประโยค ความเงียบโรยตัวลงทันที มีเพียงเพลง เสียงตะโกนแหลมสูง ของบิลลี่ไอดอล เป็นดนตรีพื้นหลัง
“นี่คือ คำอวยพรก่อนตายจากผม” มือขาวเผือกขยับแท่งน้ำแข็งปลายแหลมในมือ คีรินทร์ก้าวเท้าเข้าใกล้ร่างหัวหน้าทีมรักษาดินแดนที่ตอนนี้ยูนิฟอร์มถูกย้อมเป็นสีแดง มานาบุหายใจหอบจากอาการเสียเลือด เพราะเขาได้แต่ใช้พลังป้องกันตัวเอง ไม่สามารถโจมตีกลับ คีรินทร์ซึ่งรู้ข้อด้อยข้อนี้แปรเปลี่ยนเหล่าห่าฝนที่ตกลงมาให้กลายเป็นฝูงกระสุนน้ำแข็งเหนือศีรษะตำรวจและทหารชาวมนุษย์ นี่ทำให้มานาบุต้องใช้พลังจำนวนมากสร้างโดมไฟขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อป้องกันเพื่อนร่วมอาชีพชาวมนุษย์เหล่านั้น เมื่อพลังของเขาอ่อนลง คีรินทร์ก็ใช้จังหวะนี้พุ่งเข้าโจมตีทันที
“ขอให้ชาติหน้า คุณไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการเกิดเป็นโอไรออน” โอไรออนผิวเผือกเงื้อมมือขึ้นหมายจะแทงเข้าไปยังหน้าอกข้างซ้าย จบชีวิตเหยื่อซะ มานาบุที่นั่งกุมแผลเหวอะบนท้องหลับตานิ่งยอมรับชะตากรรม แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงวัตถุตกแตก เศษน้ำแข็งกระเด็นกระจัดกระจายไปทั่วพื้นเมื่อถูกปล่อยจากมือของเจ้าของ คีรินทร์ค่อยๆยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง
ปวดหัว
เมื่อยามอร์ฟีนหมดฤทธิ์ ความรู้สึกเจ็บจี๊ดก็แล่นพล่านไปทั่วสมองราวกับภูเขาไฟคุกกรุ่นเตรียมจะปะทุออกมา บรรดาหนอนบ่อนไส้ที่เฝ้ามองการต่อสู้รีบวิ่งเข้ามาหาหมากตัวสำคัญของขบวนการ หนึ่งในนั้นหยิบเข็มฉีดยาที่อัดแน่นไปด้วยมอร์ฟีนออกมาฉีดให้คีรินทร์ทันที
เมื่ออาการเจ็บเริ่มทุเลาลงบ้าง ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน เขาสูดหายใจลึกๆขับไล่เศษเสี้ยวเจ็บปวดที่ยังค้างคา ดวงตาสีควันบุหรี่สะท้อนภาพมานาบุกลางแอ่งเลือด ก่อนจะตัดสินใจละจากร่างใกล้ตายของหัวหน้าทีมรักษาดินแดนไป
ยังไงหมอนั่นก็คงจะตายเพราะฤทธิ์แผลอยู่ดี ตอนนี้ตัวเขาเองเหลือก็เวลาไม่มากแล้ว เขาควรจะรีบมุ่งหน้าไปปิดฉากระบบเสียมากกว่า
กลุ่มโอไรออนทรยศเดินตามคีรินทร์ออกไป ทิ้งไว้แต่ลานคอนกรีตที่เต็มไปด้วยร่างของอดีตเพื่อนร่วมทีม เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ และเพื่อนร่วมโลก...
มานาบุหอบหายใจอ่อนๆ ภาพทุกอย่างเริ่มพร่ามัวขึ้นเรื่อยๆราวกับกล้องที่จับโฟกัสไม่ได้ เขาก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังเข้าใกล้ๆ เขาเห็นเงาลางๆของใครบางคนก้าวลงจากมอเตอร์ไซค์เบื้องหน้าแล้วยืนนิ่ง
“พี่ธันวา...พี่มาสายนะ” มานาบุพึมพำด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ขอโทษนะ ฉันไม่ใช่หมอนั่นหรอก” เสียงตอบกลับทำให้ความทรงจำแสนเลือนรางเด่นชัดขึ้นมา
“ท่านนายกครับ พวกเรามีข้อเสนอให้ท่านเลือก”
อาทิตย์มองภาพเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา...
นี่เขาถูกหลอกมาตลอดหรือ...
สมาชิกทีมรักษาดินแดนเกินครึ่งแท้จริงแล้วเป็นหนอนบ่อนไส้! ใช่ เขาเห็นมันกับตา สมาชิกในทีมต่างร้องขอคำอนุมัติจากระบบก่อนจะกราดกระสุนใส่เพื่อนร่วมทีม ตอนนี้ พื้นหินอ่อนของศูนย์ประชุมถูกชโลมเป็นสีแดงเลือด ใครก็ตามที่ร้องโอดโอยจะถูกยิงซ้ำเพื่อความมั่นใจว่าวิญญาณของพวกเขาได้ถูกส่งไปสู่ภพหน้า แต่เพราะอาทิตย์เป็นคนเดียวที่ระบบวิเคราะห์ว่ามี ‘คุณค่า’ มากกว่าในฐานะอาวุธสงคราม เขาจึงไม่ถูกยิงจนตัวพรุน รองหัวหน้าทีมกางแขนใช้ตัวบังนายกรัฐมนตรีแห่งเขตการปกครองพิเศษไทยที่เดินทางมาเปิดนิทรรศการวันกองทัพอากาศ ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าสมาชิกเหล่านี้ไม่สามารถทำอะไรนายกที่เป็นมนุษย์ปกติได้แน่ๆ
“พวกคุณต้องการอะไร” ถึงแม้จะเห็นคนถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา ชายวัยใกล้หกสิบหุ่นสันทัดผู้เป็นดั่งแรงขับเคลื่อนรัฐบาลยังคงคุมเสียงนิ่ง หนึ่งในสมาชิกทีมรักษาดินแดนก้าวออกมาข้างหน้า หมวกกันน็อคสีดำถูกถอดออก
“โคล หว่อง” โอไรออนฝึกหัดผู้อยู่เบื้องหลังระเบิดทั้งหมดแสยะยิ้มเมื่อได้ยินชื่อของตนจากปากของรองหัวหน้าหน่วย
“ที่นี่มีระเบิดนิวเคลียร์ที่ผมสร้างขึ้นถูกซ่อนเอาไว้ ตอนนี้นาฬิกาของมันกำลังเดินถอยหลัง” เขากล่าวแล้วชูโทรศัพท์มือถือระบบหน้าจอสัมผัสขึ้น “...และสิ่งเดียวจะหยุดมันได้คือโทรศัพท์เครื่องนี้”
“แต่ถ้าคุณระเบิดมัน พวกคุณก็จะถูกฆ่าไปด้วยนะ” นายกแย้ง การซ่อนระเบิดในบริเวณที่ตนอยู่ดูเป็นเรื่องโง่เง่าชอบกล
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกครับ ท่านนายก โอไรออนอย่างพวกเราอึดกว่ามนุษย์อยู่หลายเท่า” โคลเดาะลิ้น “ผมว่าท่านห่วงตัวเองดีกว่า”
“แล้วข้อเสนออีกอย่างล่ะ คืออะไร” หนึ่งในหมากตัวสำคัญของประเทศถามเสียงเรียบ
“อ้อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ ถ้าท่านไม่อยากให้ประชาชนตาดำๆถูกพลังนิวเคลียร์เผาพลาญเป็นไอ ผมก็อยากให้ท่าน...” เขาแสยะยิ้ม “สั่งปิดระบบควบคุมความประพฤติถาวร”
“เรื่องแบบนั้น...!?” ผู้ถูกยื่นข้อเสนออุทาน เขาเห็นภาพความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นทันที... โอไรออนนอกคอกบางกลุ่มจะเริ่มก่อการปฏิวัติไร้ประโยชน์ ทั่วผืนแผ่นดินจะมีแต่วินาศกรรมนองเลือด การพังทลายของเศรษฐกิจ วิกฤติความอดอยาก... เขตการปกครองไทยจะพังทลายลง
ในขณะเดียวกัน ถ้าระเบิดนิวเคลียร์ทำงาน จะเกิดความตายฉับพลันจำนวนมาก เขาไม่แน่ใจว่าระเบิดลูกที่ว่ามันใหญ่แค่ไหน แต่ถ้าสามารถซ่อนภายในอาคารกระจกหนึ่งชั้นของศูนย์ประชุมได้โดยไม่มีใครเห็น เขาก็หวังว่ามันจะไม่มีแรงทำลายล้างมากเท่าระเบิดที่นางาซากิหรือฮิโรชิม่า ตอนนี้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับคำเตือนอพยพ พวกเขาคงจะทยอยเดินทางออกจากเขตวิกฤติ ถ้าให้คาดคะเนถึงความเสียหาย บ้านเรือนในเขตสมุทรปราการและบางกอกบางส่วนจะถูกเผาทำลาย คงจะมีเหยื่อระเบิดไม่เกินสามหมื่นคน... หนึ่งในนั้นคือตัวเขา
ถ้ามองเป็นภาพรวม ปล่อยให้ระเบิดนิวเคลียร์ทำงานดูจะเป็นทางออกที่ดีกว่า แต่ชีวิตสามหมื่นชีวิตเหล่านั้น... ชีวิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหล่านี้กลับต้องกลายเป็นเหยื่อไปทั้งๆที่ไร้ความผิด... มันใช่สิ่งที่ถูกต้องแล้วหรือ
“ว่ายังไงครับท่านนายก” โคลโยนมือถือในมือไปมาอย่างน่าหมั่นไส้ อาทิตย์หันไปมองบุคคลที่ตนกำลังอารักขาอย่างกังวล ทว่าบุรุษผู้กุมชะตาชีวิตของคนนับหมื่นเอาไว้กลับยืนสงบนิ่ง
“ผมขอปฏิเสธข้อเสนอ” คำพูดหนักแน่นถูกเปล่งออกมา เหล่าสมาชิกทรยศหันไปมองหน้ากัน...
นี่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกคาดหวังเอาไว้ ตอนแรกพวกเขานึกว่าชายเบื้องหน้าจะตกใจกลัวตัวสั่นเสียด้วยซ้ำเมื่อได้รู้ว่าตัวเองจะต้องตายไปกับระเบิดนิวเคลียร์
“ท่านแน่ใจแล้วนะ” โคลถามย้ำอีกครั้ง ใบหน้าเจ้าเล่ห์ไม่มีแววล้อเล่นอีกต่อไป มันขมึงทึงไม่พอใจในคำตอบที่ได้รับ “ถ้าผมกด ท่านจะตายไปพร้อมๆกับระเบิดนี่นะ”
เขาเชื่อว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตมนุษย์คือความตาย เขาจึงใช้มันในการข่มขู่
“อาวุธนิวเคลียร์ของคุณก็เหมือนเสือกระดาษ ฟังดูยิ่งใหญ่ น่ากลัว แต่แท้จริงแล้ว อานุภาพของมันก็คงไม่ร้ายแรงเสียเท่าไหร่เมื่อเทียบกับการปิดระบบที่เป็นดั่งตัววางรากฐานของสังคม” ท่านนายกอธิบาย ดวงตาที่เต็มไปด้วยรอยตีนกามองใบหน้าเหล่าโอไรออนผู้คิดทรยศ พวกเขาล้วนยังหนุ่มยังแน่น...ไร้ประสบการณ์
“แต่ประชาชนบริสุทธิ์จำนวนมากจะต้องตาย! ท่านจะเป็นฆาตกรนะ” โคลแย้งอีกครั้ง เขาสร้างระเบิดนิวเคลียร์ขึ้นมาก็จริง แต่ไม่เคยคิดจะใช้มันเพราะเขาเชื่อในความขี้ขลาดของมนุษย์ ระเบิดนิวเคลียร์นั้นถึงระเบิดไปก็ไม่สามารถทำลายระบบควบคุมความประพฤติได้อยู่ดี แต่ถ้านายกไม่ยอมปิดระบบ นี่ก็เท่ากับว่าทุกอย่างที่เขาทำมาจะเหลือแค่ศูนย์
“ถ้าผมปิดระบบ ประชาชนเป็นล้านจะต้องตาย เศรษฐกิจทั่วแพนเอเชียจะย่ำแย่ เกิดปรากฏการณ์โดมิโน่กระทบกับเขตการปกครองอื่นๆ” ชายวัยใกล้เกษียณยกมือขึ้นดันแว่น “เพราะฉะนั้นผมขอเลือกที่จะเป็นฆาตกรของคนหมื่นคน ดีกว่าเป็นคนที่เฝ้ามองประเทศของตัวเองพังทลาย”
เลนส์แว่นตาหนาของเขาสะท้อนภาพหน่วยปฏิบัติการพิเศษชาวมนุษย์ที่กำลังย่องเข้ามาใกล้กลุ่มโอไรออนจากข้างหลัง อาทิตย์มองภาพเบื้องหน้าอย่างมีความหวัง นี่ทำให้โคลที่จับสังเกตได้หันไปทันที และนั่นก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่บรรดาปืนกลเบาถูกยกขึ้นเล็งยังเหล่าโอไรออน
“วางอาวุธลง!” เหล่าโอไรออนหันไปมองหน้ากัน บางคนพยายามลั่นไกปืนในมือหรือใช้พลังของตัวเองโจมตีตำรวจเบื้องหน้าแต่พวกเขาก็ต้องหยุดชะงักราวกับถูกสต๊าฟ... ระบบได้เข้ามาควบคุมความประพฤติของเขาแล้ว
สมาชิกที่เหลือไม่มีทีท่าจะวางอาวุธ แต่ก็ไม่ยกขึ้นเล็งหรือตั้งท่าจู่โจม พวกเขาล้วนหันไปมองโคลที่ยืนอยู่ตรงกลางราวกับสุนัขรอคอยคำสั่ง เด็กหนุ่มชาวฮ่องกงได้แต่หัวเราะเบาๆแล้วถอนหายใจ
“วางอาวุธลง!” เมื่อพบว่าโอไรออนเหล่านี้ทำหูทวนลม เหล่าสมาชิกหน่วยจู่โจมก็เดินไปกระชากอาวุธออกจากมือผู้ก่อการร้ายเหล่านี้
“คุกเข่า เอามือไขว้กัน!” พวกเขาดันไหล่ของโอไรออนนับแปดนายลงก่อนจะหยิบกุญแจมือขึ้นมาสวม โดยมีเพื่อนร่วมทีมอีกส่วนยืนเล็งปืนใส่แผ่นหลังของเหล่าอาชญากรเผื่อเกิดเหตุการณ์ตุกติก อาทิตย์คว้ามือถือจากมือของโคลฉับพลัน อย่างน้อยตอนนี้ระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถทำงานได้แล้ว...
“คุณคิดว่ามันจะจบง่ายๆแค่นี้จริงๆเหรอ” โคลกล่าว ดวงตาเรียวยาวช้อนขึ้นมองใบหน้าคมสันของรองหัวหน้าทีม “มีแต่ผมคนเดียวเท่านั้นที่สามารควบคุมระเบิดลูกนั้นได้”
อาทิตย์ไม่สนใจคำพูดไร้สาระ เขากดปุ่มสีแดงเพื่อหยุดตัวเลขที่กำลังเดินถอยหลังทว่ามันกลับมีหน้าจอเด้งซ้อนขึ้นมา
‘กรุณาออกคำสั่งโดยใช้เสียง’
“หยุดระเบิดเวลาเดี๋ยวนี้” อาทิตย์ตะโกนใส่โทรศัพท์มือถือด้วยน้ำเสียงร้อนรนขณะที่มุมปากของโคลกลับฉีกขึ้นเรื่อยๆ
‘ผิดพลาด น้ำเสียงไม่ตรงกับน้ำเสียงต้นแบบ’
ตัวอักษรสีแดงคำว่า ‘ERROR’ ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ รองหัวหน้าเริ่มใจคอไม่ดีเมื่อเห็นตัวเลขสีแดงบ่งบอกว่าเวลาที่เหลือคือสี่สิบนาที เขาโบกมือให้สมาชิกหน่วยจู่โจมพิเศษคุ้มกันท่านนายกแทนเขา
“ขอความอนุมัติระบบ ในการกำจัดโอไรออนหมายเลข HKG3012”
“อนุมัติ”
รองหัวหน้าหยิบปืนพกออกมาจ่อศีรษะเด็กหนุ่มนักแปรธาตุทันที
“พูดออกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกต้องการหยุดเวลา!”
“เราตายไปด้วยกันนี่แหละ” โคลยิ้มมุมปากแต่กลับโดนกระบอกปืนฟาดเข้าที่ศีรษะอย่างจัง เจ้าของปืนพกจิกเรือนผมสั้นๆขึ้นมาแล้วเอาปลายปืนพกจ่อหัวอีกครั้ง ที่ด้ามปืนมีเลือดสีแดงสดๆหยดลงทับพื้นเปื้อนเลือดเบื้องล่าง
“พูด-ออก-มา” ปกติแล้วอาทิตย์เป็นคนพูดน้อย แต่ก็เป็นที่รู้กันในทีมว่าอย่าทำให้รองหัวหน้าโกรธเด็ดขาด เพราะชีวิตอาจจะถึงฆาตได้
“ถึงจะพูดหรือไม่พูด ผลลัพธ์ของมันก็คงจะไม่ต่างกันอยู่ดี พวกเราคงจะโดนจับประหาร ไม่ก็จำคุกตลอดชีวิต” หนุ่มฮ่องกงเว้นวรรคแล้วยิ้มกว้าง “เพราะฉะนั้นผมขอไปเกิดใหม่ดีกว่า”
เส้นความอดทนของรองหัวหน้าขาดผึง เขาคว้าไหล่ทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มที่นั่งคุกเข่าเบื้องหน้าแล้วบีบแน่น กระแสไฟฟ้าแรงสูงวิ่งผ่านเข้าไปในร่างผอมๆของโคลทันที เขาร้องโหยหวนเสียงดัง ความเจ็บแสบราวกับร่างกายถูกย่างจากภายใน
“จะพูด-หรือ-ไม่-พูด” เส้นกระแสไฟฟ้าสีขาวสว่างปะทุออกทั่วร่างของรองหัวหน้า
ฉึก!
ลิ่มน้ำแข็งปักเข้ากลางมือขวาอย่างจัง อาทิตย์ละมือของตนออกจากร่างของผู้ก่อการร้ายเบื้องหน้า เลือดสดๆไหลชโลมมือของตน ความเจ็บจี๊ดทำให้กระแสไฟฟ้าหยุดไป ตำรวจชาวมนุษย์ที่เห็นเหตุการณ์รีบเล็งปืนสอดส่องไปทั่ว ที่ประตูกระจกของศูนย์ประชุม แสงจันทร์ลอดส่องผ่านขอบเหล็กของโครงสร้างตึกกระจก เงาดำสูงกำลังก้าวเข้ามา เสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นกระเบื้องดังสะท้อนไปทั่วโถงแห่งนี้
“แกเป็นใคร! แสดงตัวเดี๋ยวนี้!” ชายคนนั้นไม่ตอบ เขาอ้าแขนออก
อึก!
ความรู้สึกเย็นเฉียบแผ่ซ่านไปทั่วคอ เหล่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษรู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลเปรอะไปทั่วเสื้อ เมื่อก้มลงมอง เขาก็พบลิ่มน้ำแข็งที่ถูกปักใส่คอจนมิดเล่ม
“โอไรออนฆ่าแกงโอไรออนด้วยกันเองเพื่อปกป้องมนุษย์... น่าสมเพชชะมัด” เสียงนุ่มเย็นดังก้องไปตามโถงทางเดิน อาทิตย์...เจ้าหน้าที่คนสุดท้ายที่ยังมีลมหายใจรีบพุ่งไปคุ้มกันนายกที่ตอนนี้ยืนอยู่ท่ามกลางศพของทีมปฏิบัติการพิเศษ
“จริงๆแล้ว ผมก็ไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไรทั้งนั้น เพราะผมเองก็ฆ่าโอไรออนเหมือนกัน” คีรินทร์ก้มลงเก็บกุญแจจากร่างเจ้าหน้าที่แล้วไขกุญแจมือโคลเป็นคนแรก แน่นอนว่าอาทิตย์ร้องขอคำอนุมัติให้เขากำจัดโอไรออนเผือก แต่เขาก็ถูกปฏิเสธ...
“ผมไม่มีวันทำตามข้อเสนอของคุณ” หนึ่งในเสาหลักของรัฐบาลสูดหายใจลึกพลางกล่าวออกมา คีรินทร์หรี่ตาแสงไฟนวลตาสะท้อนกับเรือนผมสีควันบุหรี่ที่เป็นประกายระยับ
“ผมคิดว่าความตายจากการถูกเผาไหม้โดยระเบิดนิวเคลียร์นั้นไม่สมศักดิ์ศรีท่านซักนิด” เขาอ้าแขนออก “ฆาตกรอย่างท่านควรจะโดนหั่นเป็นชิ้นๆเหมือนหมูในโรงเชือดมากกว่า!”
อาทิตย์ผลักร่างนายกไปข้างๆทันที
อึก!
กระสุนน้ำแข็งเม็ดเล็กจำนวนมากพุ่งทะลุผ่านร่างโอไรออนหนุ่มไป อาทิตย์ค่อยๆล้มลงทั้งๆที่ดวงตายังคงจับจ้องยังชายที่ตนมีหน้าที่คุ้มกัน
“ท่านอาจจะคิดว่าท่านเป็นฆาตกรของคนหมื่นคนแต่ไม่เลย... ดูคนพวกนี้สิ” คีรินทร์ชี้ร่างสมาชิกทีมรักษาดินแดนและหน่วยปฏิบัติการพิเศษเกลื่อนพื้น “พวกเขาล้วนเป็นผลลัพธ์ของระบบบ้าๆที่ถูกตั้งขึ้นและควบคุมโดยมนุษย์อย่างพวกท่าน”
“ลาก่อนครับ” โอไรออนหนุ่มชูมือขึ้น อุณหภูมิภายในห้องลดลงฉับพลัน เลือดบนพื้นกระเบื้องค่อยๆแข็งตัว โคลและผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆเดินเข้าไปล้อมมนุษย์เพียงหนึ่งเดียวในห้อง
เพล้ง
กระจกของโถงทางเข้าตึกแตกกระจายราวกับถูกพุ่งเข้าชนอย่างแรง เสียงเครื่องยนต์ถูกเร่งเครื่องอย่างแรงดังกระหึ่มไปทั่วทางเดิน รถวอลโว่เก่าคร่ำครึบดขยี้พื้นกระเบื้องพุ่งตรงมายังคีรินทร์ก่อนที่เกียร์มือจะถูกดึงขึ้นทำให้เศษเหล็กวิ่งได้หมุนติ้วเป็นวงกลมฝ่ากลุ่มโอไรออนที่กระโดดหลบกันพาลวัน สุดท้ายมันก็จอดสนิทขวางระหว่างคีรินทร์และนายกอย่างพอดิบพอดี เพลง ไฟนอลเคาท์ดาวน์ของวง ยูโรป ระดับดังสุดถูกเล่นออกมาเพิ่มระดับความเร้าใจให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร
“เกือบโดนคดีฆ่าท่านนายกแล้วมั้ยล่ะ” ฮิวโก้ผิวปากเมื่อพบว่าประตูข้างคนขับอยู่ห่างจากพุงกะทิของท่านนายกเพียงสิบเซนติเมตร
“ฮิวโก้ นายกับมะลิคอยคุ้มกันท่านนายกซะ” ธันวาเปิดประตูลงจากรถไปทันที ฮิวโก้รีบเอื้อมไปเปิดประตูเบาะหลัง
“รถยนต์ส่วนตัวของท่านมาถึงแล้วครับ” เขายิ้ม ชายในชุดผ้าไหมสีเหลืองรีบปีนเข้ามาทันที เหล่าโอไรออนที่เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของตนกำลังจะหนีออกไปก็รีบยกปืนขึ้นยิงตัวรถหมายจะให้เครื่องยนต์หยุดทำงาน
ต้องขอบคุณทีมวิศวกรชาวสวีเดนเมื่อยี่สิบปีที่แล้วที่ตัดสินใจใช้โครงเหล็กสุดแข็งแกร่ง กระสุนเหล่านั้นเจาะฝากระโปรงรถเป็นรูก็จริงแต่มันก็หยุดอยู่แค่นั้นเพราะแผ่นเหล็กที่หนาเกินไป คีรินทร์เองก็สาดห่าลิ่มน้ำแข็งใส่ท้ายรถจนมะลิต้องรีบผลักหลังท่านนายกให้หลบลง แท่งน้ำแข็งเหล่านั้นปักเข้าใส่หลังเบาะคนขับจนไส้ฟองน้ำสีเหลืองมอซอหลุดทะลักออกมา
“ท่านเป็นอะไรรึเปล่าคะ” เมื่อหลบห่ากระสุนเหล่านั้นได้แล้ว มะลิก็รีบสอบถามอาการของบุคคลสำคัญระดับประเทศที่ตอนนี้ยังนั่งก้มใบหน้าเกือบติดหัวเข่า
“ผม...หลังเคล็ด” มะลิสบตาฮิวโก้ที่กำลังกลั้นหัวเราะผ่านกระจกหน้า... ดูเหมือนเธอจะผลักหลังท่านนานยกแรงเกินไป
ตอนนี้ มาสคอตหมีหน้ายิ้มแก้มชมพูตกอยู่ในวงล้อมโอไรออน
“ขอความอนุมัติระบบ จับกุมบุคคลเบื้องหน้าข้อหาทำลายสถานที่สาธารณะและลักพาตัว” เพราะระบบที่ยังไม่ทราบว่าโอไรออนเหล่านี้ได้หักหลังไปแล้ว พวกเขาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากหน้าที่การงานได้
บุคคลที่ ‘ทำลายสถานที่สาธารณะ’ มองภาพปืนแปดกระบอกที่เล็งเข้ามายังเขาจากทั่วทิศทางแล้วส่ายหัวเบาๆ
“ดูเหมือนนี่จะเป็นยุคตกต่ำของทหารและตำรวจสินะ” เขาหวนนึกถึงตำรวจเมื่อหัวค่ำที่ไม่รู้แม้แต่วิธีการจัดการคนร้ายด้วยมือเปล่า ไหนจะโอไรออนกลุ่มนี้อีก “เขาห้ามล้อมจับคนร้ายเป็นวงกลมนะรู้รึเปล่า”
โอไรออนเหล่านั้นมองหน้ากันราวกับจะถามว่าจริงหรือ คีรินทร์ที่ยืนอยู่นอกวงล้อมกอดอกมองหมียักษ์เบื้องหน้า อะไรบางอย่างเกี่ยวกับความมั่นใจของชายเบื้องหน้าบอกเขาว่าหมอนี่ไม่ใช่มนุษย์เพี้ยนๆธรรมดา
“มันจะทำให้ยิงพลาดโดนเพื่อนร่วมทีมน่ะ” สิ้นคำอธิบาย หมีดำก็ถีบตัวเข้าหาหนึ่งในโอไรออนฉับพลัน ร่างอ้วนเทอะทะเบี่ยงตัวหลบกระสุนอย่างหวุดหวิด สมาชิกคนอื่นๆรีบลั่นไกทันที แต่เพราะเป้าหมายเคลื่อนที่ตลอดเวลา กระสุนเหล่านั้นจึงพลาดไปโดนเพื่อนร่วมขบวนการที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามหรือพลาดกระดอนใส่พื้นกระเบื้องจนเกิดรอยร้าว มือหนาผลักศีรษะและหัวไหล่ของโอไรออนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดจนล้มหน้าทิ่มแล้วคว้าคอเสื้อของโอไรออนข้างๆทุ่มลงอย่างแรง แต่มาสคอตฟรีแลนซ์ก็ไม่พลาดคว้าปืนที่กำลังจะหลุดมือของเหยื่อขึ้นจ่อหัวโอไรออนร่างใหญ่ที่พุ่งเข้ามาทางด้านหน้าพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่แปรสภาพเป็นหินหมายจะทุบหัวเขาให้แหลกละเอียด
กริ๊ก
เสียงจากปากกระบอกปืนบนขมับซ้ายขวาทำให้เขาเหล่ทางมองด้านข้าง ถึงแม้ว่าจะติดขอบรูดวงตาชุดมาสคอตแต่เขาก็พอเดาได้ว่าเขาถูกโอไรออนอีกสองคนขนาบข้างเอาไว้ ธันวายังคงจ่อปืนกลางหน้าผากโอไรออนเบื้องหน้าไม่มีท่าทีเกรงกลัว ในเสี้ยวนาทีนั้น เขาฟาดกระบอกปืนใส่หน้าโอไรออนด้านซ้ายแล้วรีบพลิกตัวไปอยู่ข้างหลังโอไรออนพลังหินก่อนจะล็อคคอแล้วใช้ร่างใหญ่เป็นเกราะกำบัง
คีรินทร์ยืนมองการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ดวงตาสีควันบุหรี่จับจ้องที่ภาพมาสคอตที่ตอนนี้เอียงมือเป็นแนวนอนแล้วกราดยิงโอไรออนในระนาบขวาง...เขาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
ไม่ หมอนั่นไม่ใช่คนของกองทัพหรือสมาชิกหน่วยปฏิบัติการพิเศษ คนพวกนั้นไม่ใช้วิธีการยิงปืนแบบนี้...
การยิงปืนมือเดียวโดยตั้งปืนระนาบนอน ใช้นิ้วกลางเหนี่ยวไกแทนนิ้วชี้ ถึงจะไม่แม่นยำเท่าท่ายิงปกติ แต่แรงถีบของปืนช่วยส่งให้การกราดยิงในระนาบกว้างรวดเร็วยิ่งขึ้น เทคนิคนี้มักจะถูกใช้ในการกวาดล้างเป้าหมายระยะประชิดและในพื้นที่แคบ
นี่มันวิธีการยิงปืนของทหารจีนสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง
ตอนนี้ เพื่อนร่วมขบวนการของเขาทุกคนล้มไปนอนโอดโอย ไม่มีใครอาการสาหัส แต่กระสุนเหล่านั้นก็เจาะผ่านหัวไหล่ แขนหรือขาทำให้ลุกขึ้นสู้ต่อไม่ได้ โคลที่เห็นท่าทางไม่ดีรีบวิ่งหนีออกไปจากห้องโถง ทิ้งไว้แต่มือถือที่แสดงเวลาสามสิบนาทีก่อนทีระเบิดนิวเคลียร์จะทำงาน คีรินทร์กระทืบมันทันที เศษแก้วหน้าจอแตกกระจาย แผงวงจรกระเด็นไปอีกทาง
ถึงจะปิดระบบควบคุมไม่ได้ อย่างน้อยโลกก็จะได้เห็นถึงพลังของพวกเขา พลังของโอไรออนที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้
“นายคือคีรินทร์สินะ” ธันวากล่าวขึ้น โอไรออนเผือกพยักหน้าเบาๆ
“คุณคือ...” ชายผิวเผือกเว้นวรรคราวกับต้องการให้หมีดำเติมคำตอบในช่องว่าง
“ก็แค่มาสคอตฟรีแลนซ์ธรรมดาคนนึง”
“มนุษย์หรือโอไรออน” คีรินทร์ถามเสียงนิ่ง เขาเริ่มก้าวเข้าใกล้ศัตรูที่ต้องกำจัด รองเท้าหนังเหยียบเข้ากับกองเลือดแห้งกรังบนพื้น มันเริ่มแปลสภาพเป็นเกล็ดแข็งก่อนจะปริแตกออกราวกับแก้วไวน์ที่ตกแตก อุณหภูมิในห้องเริ่มลดลง
“ฉันเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือ ฉันยังมีชีวิต ยังมีลมหายใจ” ธันวายกปืนขึ้นในท่าเตรียมพร้อม
“บุคคลที่สับสนในตัวเอง... คุณเคยสงสัยไหมว่าคุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่” คีรินทร์ยกมือขึ้น ปรากฏแท่งน้ำแข็งปลายแหลมจำนวนมากเหนือศีรษะ “ผมอยากรู้ว่าพวกคุณฝากความหวังอะไรไว้กับอนาคตข้างหน้า พวกคุณถึงยอมเสียสละชีวิตเพื่อปกป้องมนุษย์พวกนั้น อนาคตที่โอไรออนกลายเป็นเพียงแค่หุ่นกระบอกของระบบควบคุม? อนาคตที่ไร้อิสรภาพ?”
“บังเอิญฉันมองเห็นอนาคตไม่ได้ซะด้วยสิ เพราะฉะนั้นคงจะไม่สามารถตอบคำถามนี้ แต่มีเรื่องนึงที่ฉันมั่นใจ” มาสคอตฟรีแลนซ์กระชับปืนในมือ “อนาคตนั่นมันจะไม่ใช่นรกอย่างที่นายคิดแน่ๆ เพราะฉันจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมา”
“อะไรทำให้คุณมั่นใจนักว่าคุณจะได้กลับออกไปสร้างอนาคตที่ว่านั่น”
“ฉันสัญญาณกับใครบางคนเอาไว้” สิ้นประโยค กระสุนตะกั่วก็ปะทะเข้ากับห่าน้ำแข็งทันที
“เฮ้ ไอ้กุ้งแห้ง อย่ามัวยึกยักให้เลยมากความเลย” ควันบุหรี่เทาๆเหม็นหืนถูกพ่นใส่หน้าโอไรออนนักแปรธาตุ โคลไอค่อกแค่ก ใบหน้าไม่เหลือเค้าความเจ้าเล่ห์อีกต่อไป เขาหลบตาและกลั้นหายใจเมื่อได้กลิ่นแอลกอฮอล์แรงๆจากปากหัวหน้าตำรวจข้างๆ
ฮิวโก้ขมวดคิ้วรำคาญ เมื่อห้านาทีที่แล้ว ขณะที่พวกเขากำลังนั่งรอทีมเฮลิคอปเตอร์อารักขาบินมารับท่านนายกไปยังบังเกอร์ มะลิเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นร่างผอมๆของโคลกำลังวิ่งหนีตายออกมาจากอาคารนิทรรศการ เด็กสาวไม่รอช้าวิ่งตามไปทันที เธอรู้ดีว่าถ้าเธอขอระบบให้เธอใช้พลังจัดการเด็กหนุ่มโดยตรงก็คงจะโดนปฏิเสธแน่ๆ โอไรออนฝึกหัดแสนอ่อนแอจึงเค้นพลังทั้งหมดออกมาแล้วโฟกัสไปยังทางเดินคอนกรีตทันที ในเวลาชั่วอึดใจ ผืนดินที่นักแปรธาตุกำลังวิ่งอยู่ก็สั่นไหวจนเขาทรงตัวไม่อยู่ โคลล้มกลิ้งกับพื้น ทันใดนั้น รากไม้ขนาดใหญ่ก็แทรกขึ้นจากผืนดินล้อมเป็นรั้วกันไม่ให้เขาหนี ฮิวโก้ใช้โอกาสนี้สวมกุญแจมือแล้วจับเด็กหนุ่มมานั่งสอบปากคำบนเบาะหลังทันที ส่วนท่านนายกก็ย้ายตำแหน่งไปยังเบาะข้างคนขับ คอยฟังคำทุกคำที่หลุดออกมาอย่างใกล้ชิด
“ถึงพวกแกรู้ตำแหน่งของระเบิด พวกแกก็ทำอะไรไม่ได้หรอก!” โคลโวยขณะถูกปลายบุหรี่จี้แขน “ฉันเป็นคนเดียวเท่านั้นที่จะสั่งหยุดระเบิดนั่นได้”
“เออ แกบอกฉันเป็นรอบที่ร้อยแล้ว่าวระเบิดนั่นมันถูกสั่งการด้วยเสียง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา” ฮิวโก้เอื้อมมือไปหรี่เพลง ไฟรักชั่วนิรันดร์ ของวงเดอะ แบงเกิลส์ ที่แผงหน้ารถ “แกแค่บอกฉันมาก็พอว่าระเบิดนั่นมันอยู่ที่ไหน”
“ไม่!”
“เฮ้อ โอไรออนเนี่ยน้า ชอบเล่นท่ายากอยู่เรื่อย” ฮิวโก้หยิบขวดเหล้าพกพาสแตนเลสจากกระเป๋าเสื้อออกมาเทราดลงบนตัวผู้ต้องหา มืออีกข้างหมุนเกลียวบนไฟแช็กราคาถูกจนไฟติดพรึบ “ได้ข่าวว่าแกชอบระเบิดใช่มั้ย งั้นแกก็น่าจะลองดูบ้างนะ ว่าเวลาถูกไฟเผามันรู้สึกยังไง”
“ยะ...อย่า” โคลร้อง เมื่อเห็นหัวหน้าตำรวจโบกมือเป็นเชิงบอกให้ทุกคนออกจากรถเหลือไว้แค่มือข้างที่ถือไฟแช็กที่ยังยื่นเข้ามาเหนือหน้าตักของเขา
“บอก-หรือ-ไม่บอก เผา-หรือ-ไม่เผา” ฮิวโก้ยังคงดำเนินการสอบปากคำแบบไร้จริยธรรมตามฉบับของตน ทว่าท่านนายกกลับดูไม่สะทกสะท้ายอะไรทั้งนั้น ใช่สิ ตอนนี้ชีวิตของคนหมื่นคนถูกแขวนไว้บนเส้นด้ายนี่นะ
“บอก! บอก! ฉันบอกก็ได้ แต่อย่าเผาฉันเลยได้โปรด” สาบานได้ว่านอกจากกลิ่นแอลกอฮอล์แล้วมะลิยังได้กลิ่นฉี่จากเบาะหลังด้วย โคลที่ตอนนี้ใบหน้าเปรอะไปด้วยน้ำมูกน้ำตาร้องอ้อนวอนขอชีวิตอย่างน่าสมเพช
“ดี ไหนๆแกจะบอกฉันแล้วก็ช่วยสั่งปิดระเบิดไปเลยละกัน” ฮิวโกยิ้มกริ่ม
“มะ...ไม่ได้ คีรินทร์ทำลายมือถือไปแล้ว” ยังไม่ทันจบประโยค เสียงลั่นไกก็ดังมาจากภายในตึกทันที อาคารกระจกรูปทรงทันสมัยที่ตอนนี้มีแต่รอยแตกรอยร้าวสะท้อนในดวงตาสีน้ำตาลเข้มสองชั้นลึก มะลิได้แต่ภาวนาให้หัวหน้าฝึกงานของเธอไม่เป็นอะไร
คีรินทร์มองสภาพรอบตัวนิ่ง ห้องโถงกว้างสำหรับรองรับแขกพันคน เวทียาวที่ตอนนี้ยังมีป้ายเปิดงานวันกองทัพอากาศ โต๊ะอาหารทรงกลมขนาดใหญ่ที่เดิมถูกจัดวางอย่างมีระเบียบบัดนี้กลับสะเปะสะปะกระจัดกระจายไปทั่ว บ้างก็มีรูกระสุน บ้างก็มีถูกน้ำแข็งทิ่มจนทะลุ ไหนจะศพของบรรดาโอไรออนและทีมปฏิบัติการพิเศษนั่นอีก...
แต่เขากลับไม่เห็นหมอนั่น
หลังจากปะทะกันได้สักพัก ธันวาที่กระสุนหมดก็กระโดดหลบเข้าไปข้างหลังซากโต๊ะที่ถูกผลักไปรวมกันที่มุมห้อง เมื่อคีรินทร์อัดน้ำแข็งก้อนใหญ่ใส่จนโต๊ะเหล่านั้นจนกระเด็นไปคนละทิศคนละทาง เขาก็ไม่พบแม้แต่เงาของมาสคอตหมี
อา... ปวดหัว เขาปวดเหลือเกิน
ต้องรีบแล้ว...เขาต้องรีบฆ่าหมอนั่นก่อนที่เวลาของเขาจะหมดลง
“เฮ้ คีรินทร์” เสียงทุ้มเรียกให้ชายหนุ่มหันขวับไปยังอีกมุมหนึ่ง หมีดำยืนโบกมือให้เขาราวกับหลุดออกมาจากรายการโฆษณาการท่องเที่ยวก่อนที่ไฟทั้งห้องจะดับลง คีรินทร์ได้แต่สาดลิ่มน้ำแข็งไปยังทิศทางที่เขาเห็นมาสคอตครั้งสุดท้ายท่ามกลางความมืดมิด แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า มันดังเข้ามาใกล้เข้ามากขึ้นเรื่อยๆ เขารีบหันไปยิงกระสุนน้ำแข็งในทิศทางนั้นทันที ไม่ ไม่ใช่ทางนั้น! เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกทิศของห้อง แต่แล้วมันกลับดังขึ้นอีกครั้งที่ฝั่งตรงข้าม ในความสับสนนั่น เขาถูกหมัดหนักๆซัดเข้ากลาลำตัวหลายครั้งก่อนที่ทั้งร่างจะสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเข่ากระแทกใส่ท้องน้อยอย่างแรง ร่างสูงเซไปชนกับของแข็งบางอย่างที่เขาคาดว่าเป็นขอบเวที ยังไม่ทันทีจะลุกขึ้นยืน ลำแขนหนาก็รัดเข้าที่คอทันที
“ฉันจะสอนอะไรนายอย่างนึง” ธันวาที่สามารถมองเห็นในความมืดกล่าวขณะรัดคอชายหนุ่มแน่นไม่สนใจอุณหภูมิติดลบร้อยที่กำลังวิ่งไล่จากปลายนิ้วขึ้นมาเรื่อยๆ
“เออเนสต์ เฮมมิ่งเวย์เคยกล่าวไว้ว่า สิ่งแรกและสิ่งสุดท้ายที่พวกเราต้องทำให้โลกคือการรักษาให้ยืนยง ไม่ใช่การทำลายมัน” ความรู้สึกชาแล่นพล่านไปทั่วแขนขวาทำให้เขาค่อยๆคลายมือออก “ฉันไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงโลก...ก่อนที่นายจะเริ่มความคิดพวกนี้ นายควรจะหันไปทำความเข้าใจกับความคิดและความต้องการของคนอื่น นายคิดว่าโอไรออนทุกคนต้องการให้ระบบถูกทำลายเหรอ นายคิดว่าพวกเขาต้องการจะเห็นการนองเลือดในสังคมรึไง ไม่ พวกเขาล้วนมีครอบครัว มีเลือดเนื้อ ไม่ใช่ทหารพลาสติกในบ้านตุ๊กตา ไม่มีใครอยากเห็นคนที่ตัวเองรักตายหรอก”
ธันวาพยายามลุกขึ้นยืนถึงแม้ว่าตอนนี้เท้าของเขาจะแข็งค้างราวกับถูกแช่แข็ง มาสคอตหนุ่มก้าวเดินอย่างยากลำบากไปสับสวิตซ์ไฟของห้องโถง เมื่อดวงไฟสีขาวนวลกลับมาสว่างอีกครั้ง เขาก็พบโอไรออนเผือกที่ยังนอนค้างในท่าเดิม
“โอไรออนทุกคน...” ดวงตาสีควันบุหรี่เหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ผ่านบานหน้าต่างบนชั้นลอย ทำไมแทนที่เขาจะนึกถึงใบหน้าของเหล่าสมาชิกทีมรักษาดินแดนที่สูญเสียชีวิตไป เขากลับมองเห็นใบหน้าของแม่กันนะ
ปวดหัว ปวดหัวชะมัด
ความรู้สึกเจ็บจี๊ดแล่นพล่านไปทั่วอีกครั้ง คราวนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าเดิมราวกับมีคนไขกะโหลกเขาเปิดออกแล้วบรรจงตอกตะปูใส่เนื้อสมองทีละนิดอย่างปราณีตจากซีกหน้าไปยังส่วนกลางก่อนจะลามไปถึงข้างหลัง
บางทีเขาอาจจะนำเหตุผลเปี่ยมอุดมการณ์มาบังหน้า...จริงๆแล้วเหตุผลเดียวที่เขาต้องการทำลายระบบงี่เง่านี่คงจะเป็นเพราะเขาต้องการพบหน้าแม่อีกครั้งกระมัง
เมื่อม่านควันบุหรี่แห่งอุดมการณ์ที่บดบังดวงตาของเขามานานคลายออก โอไรออนผิวขาวก็ได้แต่สมเพชตัวเอง ทว่าสมองส่วนหน้าถูกตัดการติดต่อออกไปแล้วทำให้เขาไม่สามารถรับรู้ถึงความเศร้าโศกได้อีกต่อไป ตอนนี้ความรู้สึกอึดอัดราวกับคนตาบอดสีกำลังเพ่งมองสายรุ้งที่พาดผ่านนั้นทำให้เขาปวดหัวมากยิ่งขึ้น ในช่วงเวลานั้น เขารู้สึกได้ถึงของเหลวอุ่นๆค่อยๆไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง
น้ำตาจากจิตใต้สำนึก...?
“เครื่องบินรบ” เสียงแผ่วๆจากร่างที่กำลังนอนหอบหายใจรวยรินทำให้มาสคอตหนุ่มหันมา
“ระเบิดถูกซ่อนไว้ในเครื่องบินรบหน้าตึก” คีรินทร์กัดฟันเค้นเสียงออกมาท่ามกลางความทรมานแสนสาหัส “หยุด...มันซะ”
ธันวาพยักหน้าแล้วออกวิ่งไปทันที
มาสคอตหมีวิ่งสวนทหารและนายตำรวจจำนวนมากออกมายังหน้าอาคาร ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองลอดผ่านหัวมาสคอตหนักๆไปยังเครื่องบินรบรุ่นล่าสุดที่ถูกนำมาจอดโชว์หน้าตัวอาคาร ขณะนี้มันถูกล้อมรั้วสีเหลืองพร้อมกับหน่วยตำรวจชาวมนุษย์และโอไรออนอีกจำนวนหนึ่งคอยยืนกัน มะลิและฮิวโก้วิ่งลงจากรถที่จอดห่างออกไปมาหาเขา
“ระเบิดนิวเคลียร์อยู่ในเครื่องบินรบนั่น หน่วยกู้ระเบิดก็จนปัญญาไม่รู้จะกู้มันยังไง” ฮิวโก้ชี้ ธันวาไม่รีรอ หมียักษ์พุ่งฝ่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ออกไป ร่างอ้วนกระโดดข้ามรั้วเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามทันที
“เฮ้ย จะทำอะไรน่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่ปีนข้ามรั้วตามเข้ามาดึงหูมาสคอตเอาไว้แต่ก็โดนถีบยอดอกเข้าเต็มๆ ตำรวจอีกห้านายวิ่งเข้ามาตะครุบร่างอ้วนกลมเอาไว้จนเขาล้มหน้าทิ่มพื้น ชายคนนี้คงจะกลัวตายจนเสียสติไปแล้วแน่ๆ
“ปล่อยเขา!” เสียงของหนึ่งในผู้นำประเทศดังก้องผ่านไมโครโฟน เจ้าหน้าที่ค่อยๆละมือจากร่างหนา ธันวารีบปีนเข้าไปในนั่งประจำตำแหน่งนักบิน นอกกระจก เจ้าหน้าที่จำนวนมากกำลังยืนมองเขา บ้างก็ด้วยแววตากังขา บ้างก็ด้วยแววตาไม่มั่นใจ ห่างจากคนเหล่านั้นออกไป นายกรัฐมนตรีที่ปฏิเสธการคุ้มกันไปยังบังเกอร์ค่อยๆวางไมโครโฟนลง แววตาที่มองมายังเครื่องบินรบนั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ฮิวโก้ที่ยืนกอดอกอยู่ข้างๆผงกหัวให้เขา มะลิถลาตรงมายังรั้วที่ขวางเธอกับเขาเอาไว้ เพราะประตูเครื่องที่ปิดลงทำให้เขาไม่แน่ใจได้ว่าเด็กฝึกงานกำลังพูดอะไร แต่ถ้าให้เขาเดา เธอคงจะร้องถามว่าเขาเสียสติไปแล้วหรึอ
“คุณจะทำอะไรน่ะ!” เขาเดาถูก เด็กสาวตะโกนต่อสู้กับเสียงเครื่องยนต์ไอพ่นที่เริ่มทำงาน มะลิมองเห็นมาสคอตหมีหน้ายิ้มชะงักมองเธอชั่วครู่ก่อนที่เครื่องบินรบสีเทาก็พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้ามืดมิด
เมื่อไต่ความสูงขึ้นมาถึงระดับหนึ่ง วิวของตัวเมืองบางกอกก็กลายเป็นเป็นเพียงผืนสีเหลี่ยมสีเหลืองนวลจากไฟของตึกและถนนมากมาย มันช่างดูสงบเงียบขัดกับสถานการณ์ที่แท้จริงจนน่าตลก
“ฮัลโหล นายได้ยินฉันรึเปล่า” เสียงของหัวหน้าตำรวจดังขึ้นมาภายในห้องนักบิน
“ได้ยิน”
“นายจะเอาระเบิดไปทิ้งลงทะเลใช่มั้ย” ฮิวโก้กล่าวใส่วิทยุสื่อสารโดยมีเหล่าเจ้าหน้าที่เกินยี่สิบนายยืนฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่ออยู่ข้างหลัง ถึงแม้จะไม่มีใครเสียชีวิตโดยตรงจากการทิ้งระเบิดในทะเล แต่สารกัมมันตรังสีปนเปื้อนจะทำให้สิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ตายหรือกลายพันธุ์ ก่อให้เกิดผลกระทบในห่วงโซ่อาหารไปอีกหลายทอด สุดท้ายมนุษย์ผู้เป็นผู้บริโภคก็จะได้รับผลเสียเหล่านั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้
“ไม่” คำตอบสั้นๆทำให้ทุกคนมองหน้ากันอย่างสับสน “ฉันจะพามันออกนอกชั้นบรรยากาศ”
“อะไรนะ”
“มันเป็นหนทางเดียวที่ระเบิดจะไม่ฆ่าใครและไม่มีรังสีตกค้าง” เสียงผ่านวิทยุสื่อสารเริ่มมีคลื่นแทรกเมื่อเครื่องบินรบพุ่งออกห่างผืนโลกมากขึ้นเรื่อยๆ มะลิจำได้ลางๆว่าเธอเคยเรียนเกี่ยวกับการทดลองระเบิดนิวเคลียร์นอกชั้นบรรยากาศในยุคสงครามเย็น แต่เธอคิดไม่ถึงว่าธันวาจะนำมันมาใช้ในชีวิตจริง!
“ธันวา ถ้าคุณทำอย่างนี้ คุณจะตายไปพร้อมกับระเบิดนั่นนะ!”
“ไม่ต้องห่วง ฮิวโก้จะเป็นคนเซ็นจบฝึกงานแทนฉันเอ...” สัญญาณขาดหายไปชั่วครู่ เสียงซ่าจากเครือข่ายที่ไม่ครอบคลุมความสูงระดับยี่สิบกิโลเมตรเหนือน้ำทะเลทำให้เสียงของเขาเริ่มขาดๆหายๆ “อย่าจำกั...ตัวเองกับคำว่...โอไรอ... ทุกค...มีสิทธิ์ที่จ...มีชีวิ...อยู่ เลือกทา...ที่เธออย...แล...เดินตา...มั...ซะ มะลิ”
“เดี๋ยวก่อนสิ!”
เสียงแสบแก้วหูดังขึ้นเมื่อสัญญาณถูกตัดขาด กำปั้นเล็กๆทุบใส่แผงควบคุมเครื่องมือสื่อสารราวกับต้องการจะส่งมันไปยังผู้รับอีกฝั่ง ร่างบางสั่นระริกอย่างใจหาย ม่านน้ำตาบางๆก่อตัวขึ้น ทั้งๆที่เธอแทบจะไม่รู้จักเขา แต่ความรู้สึกบีบคั้นในหัวใจจนแทบหายใจไม่ออกคืออะไรกันนะ ความรู้สึกราวกับเศษเสี้ยวหนึ่งของเธอกำลังตายจากไป ดูเหมือนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆก็ไม่ต่างจากเธอ หัวหน้าตำรวจและเหล่าตำรวจชั้นผู้น้อยยกมือขึ้นวันทยหัตถ์ต่อท้องฟ้าเบื้องบน
เพราะเหตุใดดวงตะวันยังคงส่องแสง
เพราะเหตุใดเกลียวคลื่นยังคงกระทบเข้าฝั่ง
พวกเขาไม่รู้หรือ...ว่านี่คือจุดจบของโลก
เสียงเพลง จุดจบของโลก ดังออกมาจากเครื่องเล่นเทปของรถวอลโว่เก่าคร่ำครึ น้ำเสียงเศร้าๆแสนนุ่มนวลของสกีตเตอร์ เดวิส เป็นดั่งน้ำฝนคอยชโลมหัวใจที่แตกระแหงของพวกเขาทุกคน หน่วยพยาบาลทยอยลำเลียงร่างเจ้าหน้าที่ออกจากตัวอาคาร โอไรออนผิวขาวนอนแน่นิ่งบนเปลเคลื่อนย้ายสีส้ม ดวงตาสีควันบุหรี่สะท้อนภาพดวงดาวที่กระพริบจ้าเต็มท้องฟ้าราวกับกำลังต้อนรับชีวิตที่สูญเสียไปในค่ำคืนนี้กลับคืนเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล
เพราะเหตุใดฝูงนกถึงยังคงขับร้อง
เพราะเหตุใดดวงดาวเบื้องบนยังคงส่องแสง
พวกเขาไม่รู้หรือ...ว่านี่คือจุดจบของโลก
และแล้วท้องฟ้าก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มราวกับดวงตะวันได้กลับมาฉายแสงอีกครา การกระทำทุกอย่างบนผืนดินหยุดนิ่ง หนุ่มสาวที่กำลังยืนรอรถไฟเที่ยวสุดท้ายเงยหน้าขึ้นจากมือถือในมือ หญิงชราที่กำลังนับเศษเงินข้างใต้ไฟแสงจันทร์แหงนคอมองเบื้องบน มะลิยืนมองแสงสว่างที่กำลังกระจายตัวไปทั่วท้องฟ้า ลำธารน้ำตาใสๆค่อยๆไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร มนุษย์และโอไรออนต่างลดหมวกลงเพื่อไว้อาลัยแก่เพื่อนร่วมอาชีพที่สูญเสียชีวิตไปในค่ำคืนนี้
ชายคนหนึ่งกำลังเสียสละชีวิตตัวเองเพื่อคนนับล้าน แต่ชื่อของเขาจะไม่มีวันเป็นที่รู้จัก
เพราะนั่นคือหน้าที่ของผีที่มีชีวิต... แสงที่สุกสว่าง แม้ในความตาย
“แสงเหนืออย่างนั้นเหรอ” ฮิวโก้ที่กำลังจะโทรรายงานกรมตำรวจพึมพำ ท้องฟ้าสีแดงฉานเบื้องบนค่อยๆสลายตัวไป มันถูกแทนที่ด้วยเส้นแสงสีเขียวปนม่วงที่วิ่งพาดผ่านทั่วเส้นขอบฟ้าราวกับผ้าม่านผืนใหญ่...ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเฉพาะแถบขั้วโลกเหนือกำลังประจักษ์แก่สายตาของพวกเขาในฐานะผลข้างเคียงของระเบิด
คีรินทร์ที่ตอนนี้ลมหายใจแผ่วลงทุกขณะ ค่อยๆเอื้อมมือขึ้นหมายจะไขว่คว้าผืนฟ้าเบื้องหน้า... ดวงตาสีควันบุหรี่ค่อยๆแปรเปลี่ยนกลับมาใสราวกระจกดังเดิม
แสงเหนือ...สิ่งที่ทีเชื่อมต่อเขากับจิตวิญญาณของบ้านเกิด...จิตวิญญาณของแม่
เขาจะได้ไปพบแม่แล้วใช่ไหม
สัมผัสอุ่นๆในมือหนาตอกย้ำคำตอบของเขาได้ดี ใบหน้าของสตรีสูงวัยโน้มตัวลงข้างกาย รอยยิ้มพริ้มพรายช่วยให้เขาหายปวดหัวไปได้ชั่วขณะ
“กลับบ้านกันเถอะ คีรินทร์”
และแล้วภาพทุกอย่างก็ขาวโพลน
ดวงตาของชายหนุ่มก็ค่อยๆปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย รอยยิ้มจากจิตใต้สำนึก รอยยิ้มจริงใจแสนบริสุทธิ์
ธันวา...โลกจากข้างบนนั้น มันสวยมากไหม
ชายหนุ่มค่อยๆลืมตาขึ้น กลิ่นอายของต้นหญ้าอ่อนๆรอบกายทำให้เขาอยากเอนกายพักความเหนื่อยล้าต่ออีกครู่ใหญ่ ไอเย็นจากหนองน้ำที่ถูกลมฤดูร้อนพัดพาขึ้นมาช่วยบรรเทาความเจ็บปวดจากบาดแผลทั่วร่าง ม่านแสงหลากสีเบื้องบนเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับบทกล่อมนอนที่มารดาขับร้องในยามที่ลูกน้อยทุกข์ใจ
ใบหน้าเปื้อนเขม่าควันค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา... ยิ้มให้ลมหายใจของตัวเอง ยิ้มให้หัวใจที่ยังคงเต้นต่อไป ยิ้มให้กับภาพที่ตนได้เห็นผ่านหน้าต่างเครื่องบินรบ
...โลกที่กลายเป็นเพียงดาวเคราะห์สีฟ้าดวงเล็กๆในระบบสุริยะจักรวาล โลกที่ไร้พรมแดน ไร้เหนือใต้ออกตก ไร้การแบ่งแยก โลกที่ทำให้คำว่าสงคราม ระบบ และการต่อสู้ทุกอย่างดูไร้ความหมาย...
“ฉันได้เห็นมันแล้วล่ะ โลกในอนาคต...โลกที่ทุกคนฝันถึง”
--จบบที่ 5--
+++++++++++++++++++++++++++++++
Chapter 5 Playlist
1. เทคออนมี - Take On Me by a-ha
2. เสียงตะโกนแหลมสูง - Rebel Yell by Billy Idol
3. ไฟรักชั่วนิรันดร์ - Eternal Flame by The Bangles
4. จุดจบของโลก - The End of The World by Skeeter Davis <<< แนะนำให้ลองฟังดูค่ะ
Extra: เพลงนี้เรายังตอนนี้คำอำลาค่ะ: Aerosmith - I Don't Wanna Miss a Thing
+++++++++++++++++++++++++++++++
จากคนเขียนมาสคอต
ถ้าถามว่าจบการแข่งไปจะทำอะไรเป็นอย่างแรก ก็คงจะกลับไปแก้ชื่อเรื่องและคำโปรยค่ะ ไม่รู้เราเป็นอะไรถึงตั้งชื่อมาแบบนั้นเนอะ หลังจากนั้นก็คงจะกลับแก้บทต้นๆ เพราะรู้สึกว่าบทที่หนึ่งกับสองเราทำอะไรพลาดไปเยอะ
จบตอนที่ห้าแล้ว ยังมีปมอีกมากที่เรายังไม่ได้เฉลยออกมา
- ธันวา: เราอยากให้คนอ่านทำความรู้จักกับธันวามากๆ แต่เพราะระยะเวลามันไม่อำนวยจริงๆ เลยอาจจะดูรีบๆไปบ้าง จริงๆแล้ว ธันวาเป็นหนึ่งในตัวละครที่เราชอบมากตั้งแต่เริ่มเขียนมา เพราะเขาเป็นคนที่แสดงถึงบุคลิกของมนุษย์ทั่วไป มีความโกรธ ความกลัว ความโดดเดี่ยว แต่เป็นมนุษย์ที่รักษาสัญญา และยึดมั่นในความคิดของตัวเอง เฮ้อ พูดแล้วอยากลุกขึ้นวันทยหัตถ์มาสคอตซักที
-มะลิ: ตัวเอกแสนจืดจาง เราอยากให้ทุกคนเฝ้ามองการเติบโตของตัวละครตัวนี้ต่อไปเรื่อยๆนะคะ
นิยายเรื่องนี้เราเขียนด้วยอารมณ์หลากหลายมาก อยากกลั่นกรองให้เห็นถึงหลายๆอย่างในสังคมที่เราไม่ค่อยนึกถึงและไม่ค่อยได้เห็น เราอยากให้คนที่อ่านเรื่องนี้ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนชีวิต แต่ขอแค่ได้แนวคิดใหม่ๆไปก็ยังดีค่ะ
ส่วนคำถามที่ว่าทำไมเรื่องนี้ตัวละครหลายสัญชาติจัง เราโตมากับคนต่างชาติน่ะค่ะ เลยทำให้ได้รู้ว่าจริงๆแล้วประเทศไทยของเรามันเล็กแค่ไหน คนต่างชาติต่างวัฒนธรรมได้รับการเลี้ยงดูที่ต่างกัน พวกเขาล้วนมีวิธีคิดที่แตกต่าง เราว่ามันน่าสนใจมากน่ะค่ะ แต่ที่เอาตัวเอกเป็นคนเอเชียเพราะเราเห็นว่านิยายแฟนตาซีส่วนใหญ่มักจะมีตัวเอกเป็นชาวตะวันตก แล้วทำไมเราจะทำให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นที่บ้านเกิดตัวเองไม่ได้ล่ะ!? ธันวาและผองเพื่อนเลยเกิดขึ้นค่ะ
บทที่ห้าอาจจะดูเหมือนเป็นตอนจบ แต่เราอยากให้ทุกคนคิดกับมันเป็นเเค่จุดจบของ Story Arc นี้มากกว่า เราอยากให้พวกเขาโลดแล่นอยู่ในความทรงจำของทุกคนและ ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น บางทีคุณอาจจะได้พบแสงเล็กๆในความมืดนี้อีกครั้งก็ได้...
ล้อเล่นนะคะ เรื่องนี้ยังมีต่อนะ
สุดท้ายแล้ว ขอบคุณทุกคนมากที่ร่วมเดินทางกันมาถึงจุดนี้นะคะ
ถ้ารักมาสคอตอ้วนกลมตัวนี้ ก็ช่วยโหวต ช่วยแชร์ด้วยนะคะ

ธันวา: จนกว่าจะพบกันใหม่
MASCOT รายงานการฝึกงานภาคฤดูร้อน: ?มาสคอตฟรีแลนซ์เต็มเวลา?
ผู้แต่ง : Patra Fujiyama
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | บทที่ 0: ทำไม + บทที่ 1: กฎเหล็กของมาสคอตสามประการ | 14 ก.พ. 59 |
| 2 | บทที่ 2: Gluggave?ur อากาศภายนอก | 09 มี.ค. 59 |
| 3 | บทที่ 3 dyragaroinum สวนสัตว์ | 16 มี.ค. 59 |
| 4 | บทที่ 4: Ra?lj?st แสงสว่างในความมืด | 23 มี.ค. 59 |
| 5 | บทที่ 5: Aurora แสงเหนือ | 30 มี.ค. 59 |



เก็บเรื่องสำนวนไว้เมนท์ในครั้งสุดท้าย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่สุด(ไม่แน่กรรมการอาจจะคิดไปเอง XD )
เป็นคนที่ภาษาสวยนะครับ ลื่นไหล และมีสัมผัส
ไดอะล็อกมีพลัง
ถึงบอกไงครับว่าเขียนไปเรื่อยๆนะ : )
ดาวิษ ชาญชัยวานิช