EN07 Time Rebellion ปฎิวัติข้ามเวลา ล่าเปลี่ยนโลก
ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือตอนรถคว่ำ ตื่นขึ้นมาอีกทีพบว่าตัวเองถูกขุดหลุมขึ้นมาโดยโจรบ้าๆ ถึงได้รู้ว่าตัวเองหลับไปเป็นร้อยปี ไม่ทันจะได้รู้อะไรต่อก็ดันถูกเหมารวมว่าเป็นโจรด้วย โลกใหม่ได้เริ่มต้นแล้ว
Chapter 5: B.A.D. Squad ภาคีแห่งผู้กล้า
“ความทรงจำของฉันและเธอ
เมื่อแรกเจอเราก็ผูกพัน
เราเคยเจอกันในความฝัน
ในที่นั้น มีฉันและเธอ...”
--Memories Lullaby--
เสียงขับกล่อมบทเพลงนั้นดังก้องขึ้นในหูของไอคารอส
เสียงอ่อนหวานจับใจของเด็กสาววัยแรกรุ่นชวนให้เคลิบเคลิ้ม ท่วงทำนองที่คุ้นเคยเหมือนเพลงกล่อมเด็กที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วทำให้รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นอย่างประหลาด
ไอคารอสไม่แน่ใจว่าเขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่... ห้องสีขาวโพลนที่ว่างเปล่า บัดนี้ร่างกายกลับไร้ซึ่งเชือกตรึงพันธนาการ บาดแผลและความรู้สึกเจ็บปวดทั้งหมดมลายหายไปสิ้นราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ที่นี่ที่ไหน
ไอคารอสกวาดสายตามองหาที่มาของเสียง จังหวะคุ้นเคยเหมือนเพลงร้องเล่นที่เด็กๆ ต่างชอบร้องกันเล่นสนุกสนานว่า ‘เอ บี ซี ดี อี เอฟ จี...’
ไม่สิ นั่นคือฉบับที่เด็กส่วนใหญ่คุ้นชินกัน แท้จริงแล้วเพลงนั้นก็คือทวิงเกิล ลิตเติลสตาร์ ของโมซาร์ท แม้เนื้อเพลงจะถูกดัดแปลงใหม่ แต่ความไพเราะแบบเรียบง่ายยังคงเดิม เสียงอ่อนนุ่มเสนาะหูของเธอให้ความรู้สึกอ่อนโยนราวกับสัมผัสของสองมือที่กำลังโอบอุ้มทารกน้อยด้วยความรักลึกซึ้ง ราวแสงตะวันยามเช้าวันใหม่อันอบอุ่นสดใส
“ความทรงจำของฉันและเธอ... เมื่อแรกเจอเราก็ผูกพัน”
เสียงร้องเพลงดังขึ้นจากด้านหลังของไอคารอส เขาหันขวับไปตามทิศที่ได้ยิน เมื่อเห็นเธอคนนั้นแล้วจึงเบิกตาขึ้นแวบหนึ่งด้วยความตื่นตะลึง ดวงหน้างดงามสะกดสายตาจนไม่อาจหันมองทางอื่นได้ ผมสีน้ำตาลยาวถูกมัดรวบขึ้นสูงเป็นทรงหางม้า เธอสวมชุดเดรสยาวสีขาวผ่องสะอาดตา
“เราเคยเจอกันในความฝัน... ในที่นั้น มีฉันและเธอ”
เด็กสาวคนนั้นร้องจบก็เดินเข้ามาหาไอคารอส ในขณะที่เขาได้แต่ยืนนิ่ง มองดูเธออยู่อย่างนั้น มือยกขึ้นเกาหัวแกรกเพราะทำตัวไม่ถูก
“เธอคือใคร?” ไอคารอสถาม เขาไม่ลืมที่จะแนะนำตัวก่อนตามนิสัยเดิมๆ ของตนเอง “ฉันไอคารอส ทิมเบอร์ ปีนี้อายุยี่สิบพอดี แล้วเธอล่ะ”
พูดจบเขาก็ยื่นมือออกไปทักทาย เธอจับมือตอบ ก่อนจะยิ้มบางๆ รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยไมตรีจิต
“ฉันชื่ออเล็นเล่ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก--”
ไม่ทันจะพูดจบ พื้นที่อันเวิ้งว้างโดยรอบก็กลับกลายเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่สุดลูกหูตา ท้องฟ้าสีดำบ่งบอกถึงเวลารัตติกาล ดวงดาวบนท้องฟ้าพร่างพราวส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ ลมเอื่อยเย็นพัดผ่านให้เรือนผมของทั้งคู่วูบไหวไปตามกระแสแห่งธรรมชาติ ไอคารอสเห็นแล้วได้แต่เบิกตากว้างด้วยความตื่นตาตื่นใจ
“โอ้โห!” เขาอุทาน หัวใจเต้นแรงถี่ ตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเห็นสถานที่ที่สวยงามเช่นนี้มาก่อนในชีวิต สายลมพลิ้วไหว ดวงดาวส่องสว่างสุกสกาว และทุ่งหญ้าเหล่านั้นเขาเคยเห็นแต่เพียงในภาพยนตร์ ทว่าบัดนี้เท้าเปล่าของเขากลับกำลังเหยียบอยู่บนหญ้านุ่มๆ อากาศแสนบริสุทธิ์ที่สูดลึกเข้าไปได้เต็มปอดทำให้เขารู้สึกสดชื่นเหมือนชีวิตถูกชุบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เขาเคลิบเคลิ้มกับโลกใหม่ที่ได้พบเจอไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้แล้วถามออกไปด้วยความสงสัย “เธอทำได้ยังไง”
อเล็นเล่มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนจะหันกลับมาที่เขา
“ที่นี่คือห้วงมิติแห่งความฝัน ตราบเท่าที่เธอมีจินตนาการ เธอจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา” อเล็นเล่บอก “ทุกคนต่างมีโลกในจิตใจของตนเอง โลกทั้งหมดนั้นต่างเชื่อมต่อกันอยู่ด้วยเส้นด้ายบางๆ ที่เรียกว่าความผูกพัน... และที่นี่ คือโลกของวิคเตอร์”
“โลกของวิคเตอร์?” ไอคารอสทำเสียงสูง “แล้วเธอเป็น...”
“ฉันคือใครไม่สำคัญหรอกจ้ะ ตอนนี้เธอใกล้จะได้เวลาตื่นแล้ว คงต้องบอกเรื่องนั้นทีหลังแล้วล่ะ”
ไอคารอสนิ่วหน้า “เดี๋ยว... อะไรนะ ฉันไม่เข้าใจ”
เธอไม่ตอบอะไร กลับเดินถอยออกมาจากเขา ร่างเด็กสาวค่อยๆ สลายตัวเป็นเศษธุลี เหมือนกับกำลังจะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า สู่ดินแดนอันห่างไกล สู่ที่ที่เขาคงไม่มีวันจะไปถึงได้
“ฝากบอกวิคเตอร์ด้วย... อย่าให้อดีตมาทำร้ายตนเอง และอย่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการพยายามลืมมันล่ะ”
พูดจบร่างเธอก็หายไปกับอากาศ ภาพที่เห็นตรงหน้าพร่ามัวก่อนจะวูบดับลงอย่างช้าๆ ฉับพลันนั้นไอคารอสก็ลืมตาขึ้นอีกครั้งโดยอัตโนมัติ เขาสะดุ้งตัวจากเตียง นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองไปรอบๆ ก่อนจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่อย่างน้อยมันก็ไม่ใช่นรก...
เขายังไม่ตาย
มองไปที่ปลายเตียงจึงพบว่านิ้วเท้ายังครบสิบทั้งที่เพิ่งถูกตัดไป สาเหตุมาจากยีนของเขาที่ผิดเพี้ยนเพราะเป็นมิวแทนท์ ทำให้เซลล์ร่างกายฟื้นฟูได้เองและอวัยวะงอกขึ้นมาใหม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าถูกตัดหัว ยังไงก็ไม่รอดแน่นอน
ไม่เคยลอง และไม่ขอลอง!
มองจากภาพที่เห็นรอบๆ เขาเดาว่าตนเองอาจอยู่ในห้องพักฟื้น แผ่นชิพเล็กๆ ถูกติดฝังอยู่ข้างหู กลิ่นยาที่ฉุนแตะจมูกช่วยยืนยันความคิดของตนเองให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อมองไปทางซ้ายมือ เด็กหนุ่มจึงเห็นวิคเตอร์กำลังนอนไร้สติอยู่ที่อีกเตียงหนึ่งข้างๆ อาการเหงื่อแตกพล่านเช่นนั้นไอคารอสเดาว่าเขาคงจะฝันร้ายอยู่เป็นแน่... จะว่าไปเมื่อพูดถึงคำว่า ‘ฝัน’ คำพูดของเธอคนนั้นยังคงดังก้องในหู เขาจำได้ เธอชื่อว่าอเล็นเล่...
‘อย่าให้อดีตมาทำร้ายตนเอง และอย่าแก้ปัญหาที่ปลายเหตุด้วยการพยายามลืมมันล่ะ’
เธอคนนั้นพูดถึงวิคเตอร์เสียด้วย แถมหน้าตาไม่มีเค้าความเหมือนใดๆ เลย อีกทั้งดูแล้วยังเป็นสาว ดังนั้นยังไงก็ไม่ใช่พี่น้องแน่ๆ โดยเฉพาะแม่นี่คงเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ให้เดายังไงก็ต้องเป็นคนรัก... ต้องเป็นแฟนกันแน่นอน เขารับประกันล้านเปอร์เซ็นต์
แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
กึก กึก กึก
จินตนาการในหัวถูกทำลายไปในทันใด... มันมาจากฝ้าเพดานด้านบน เหมือนมีตัวอะไรกำลังขยับอยู่ มันอาจเป็นหนู... ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ด้วยความระแวงที่เกาะกุมอยู่ภายในจิตใจ ไอคารอสรีบมองไปที่ต้นเสียงทันที
เสียงนั้นดังนั้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณเตือน... มันกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะที่รุกคืบเข้ามา เหงื่อกาฬไหลผุดขึ้นตามกาย เด็กหนุ่มกำมือแน่น
“อะไรอยู่บนนั้นน่ะ เฮ้ย!” ไอคารอสตะโกน ทว่าไร้ซึ่งเสียงตอบรับ ทุกอย่างกลับตกอยู่ในห้วงแห่งความเงียบงัน
กึก!
แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้งโดยพลันจนไอคารอสสะดุ้งโหยง แผงเหล็กระบายลมค่อยๆ ขยับเป็นจังหวะ ก่อนจะหลุดออกมาจากช่องเล็กๆ นั้น แล้วตกลงมาที่พื้น โลหะที่กระทบกับพื้นเบื้องล่างก่อให้เกิดเสียงดังแหลมจนสติของเขาหล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“นั่นใคร!?”
ไม่ทันจะได้หายใจต่อ ร่างเล็กก็ร่วงลงมาจากช่องฝ้าเพดานนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระแทกกับพื้นดังตุ้บ ไอคารอสที่ยังไม่ทันได้ทำใจกรีดร้องขึ้นสุดเสียงทันที
“ว้ากกก!!! เด็กผี!!!”
ร่างนั้นยังนอนแน่นิ่ง เขาไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นไปดู ได้แต่ยกผ้าห่มขึ้นมาขึ้นมาปิดหน้าแบบกล้าๆ กลัวๆ สายตายังพอเห็นภาพตรงหน้าอยู่บ้างเล็กน้อย ใบหน้านั้นเงยขึ้นอย่างเชื่องช้า ผมยาวประบ่าปรกหน้าเพราะตกลงมาในท่าคว่ำ มันทำให้ไอคารอสเริ่มขนลุก เหมือนหนังผีเก่าครึที่เขาเคยเปิดดูไม่มีผิด มันถูกฉายตั้งแต่ร้อยปีที่แล้ว ด้วยความโด่งดังทำให้ถูกนำมาฉายใหม่อย่างไม่รู้เบื่อ แต่เรื่องนั้น... เธอปีนขึ้นมาจากบ่อน้ำ
ไม่นะ ไม่ สาบานได้ว่าจะไม่ดูหนังเรื่องนั้นอีกแล้ว อย่าทำกันแบบนี้เลย!
ไอคารอสหายใจแรงถี่เหมือนกำลังหอบ ดวงตาเบิกกว้าง ร่างเล็กนั้นประคองตัวลุกขึ้นจากพื้น ก่อนที่มือจะปัดผมรุงรังไปข้างหลัง เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กหญิงตรงหน้า
วินาทีนั้น ราวกับโลกทั้งโลกกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่ ภาพทั้งหมดที่เขาเห็นกลับมามีสีสันอีกครั้ง
“ฟู่ว...” ไอคารอสถอนหายใจด้วยความโล่งอก หัวใจค่อยๆ กลับไปเต้นอัตราเร็วปกติอีกครั้งหนึ่ง “ไม่ใช่เด็กผีเหรอเนี่ย”
“ปัดโธ่เอ้ย! ก็ไม่ใช่น่ะสิคะ” เด็กหญิงพูดขึ้น เธอยกแขนขึ้นปาดเลือดกำเดาออก “ลืมรหัสประตูข้างหน้าแท้ๆ แต่ก็อุตส่าห์แอบเข้ามาช่วย ยังจะมาว่ากันอีก”
บุคคลตรงหน้าปรากฎเป็นเด็กหญิงวัยราวสิบสองปีเดินเข้ามา ผมยาวประบ่าสีน้ำตาลอ่อนมีสีเดียวกันกับดวงตา ดูจากระยะสายตาแล้วน่าจะสูงประมาณร้อยห้าสิบเซนติเมตรกว่าๆ ไม่เตี้ยไม่สูง อย่างน้อยก็โตตามวัย... ไม่ได้เข้าขั้นแคระแบบวิคเตอร์
นึกไปนึกมา วิคเตอร์นั้นสูงแค่ร้อยหกสิบเซนติเมตร... ไอคารอสยังนึกสงสัยว่าเจ้าตัวไม่เคยดื่มนมหรืออย่างไรกันหนอ จึงได้เตี้ยตะแมะแคะขนาดนี้
เด็กหญิงคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ไอคารอสมองอย่างระแวงๆ แม้จะไม่ได้เป็นคนรังเกียจเด็กอะไรแบบนั้น แต่เพราะฝ่ายตรงข้ามเป็นมนุษย์ เขาจึงเกิดอคติขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เธอหยุดฝีเท้าลงที่ปลายเตียง ล้วงมือหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าคาดเอว แท่งช็อกโกแลตถูกห่อด้วยกระดาษฟอยล์สีเทา เด็กหญิงยื่นมันให้กับไอคารอส ก่อนจะยิ้มให้อย่างเป็นมิตร
เด็กหญิงฉีกยิ้มกว้าง ไม่รู้ว่ารอยยิ้มนั้นมาจากใจจริงหรือไม่ แต่ไอคารอสเดาเอาไว้ก่อนว่าไม่ได้มาดีแน่นอน
“ถูกทรมานมาแบบนี้ คงจะหิวแน่ๆเลยใช่ไหมคะ กินเจ้านี่หน่อยก็ดีค่ะ”
วางยาเอาไว้ล้านเปอร์เซ็นต์!
ไอคารอสยังนั่งนิ่งไม่รับของ ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าเขาคิดอะไร จึงแกะฟอยล์ที่ห่อเอาไว้ออก กัดช็อกโกแลตไปคำหนึ่งเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ แล้วยื่นให้อีกครั้ง
ไอคารอสสะบัดหน้าหนี แต่ท้องที่ร้องดังจ้อกนั้นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าร่างกายเขาปฎิเสธไม่ลง เจ้าตัวถึงกับยิ้มเฝื่อนๆ ออกมา
เด็กหญิงหุบรอยยิ้มไปโดยพลัน ก่อนจะหายใจฟึดฟัดอย่างเหลืออด
“ให้ตายสิ” เธอเผลอสบถออกมา “ทำไมถึงเป็นคนดื้อด้านแบบนี้นะ ผู้ใหญ่นี่มันเป็นแบบนี้ทั้งมนุษย์และมิวแทนท์เลย” เด็กหญิงกล่าวเสียงตำหนิพลางชักสีหน้าใส่ ก่อนจะหยุดเงียบไปพักหนึ่ง นับหนึ่งถึงสามในใจเพื่อให้ใจเย็นลงก่อน
ไอคารอสมองฝ่ายตรงข้ามตาปริบๆ เขายังไม่พูดอะไร ได้แต่นิ่งเงียบ
“ถ้าพวกคุณจะตายก็คงตายไปนานแล้ว ไม่มากลายเป็นผีเพราะยาพิษโง่ๆ ในช็อกโกแลตนี่หรอก อุตส่าห์แอบเอามาให้ยังจะระแวงกันอีก” เธอยืนยัน ในขณะที่ไอคารอสยังนั่งกอดอกนิ่งอยู่
“จริงเหรอ” ไอคารอสถามสีหน้าจริงจัง
ความเงียบคือคำตอบ เธอทำท่าจะกัดช็อกโกแลตกินอีกคำ ไอคารอสเห็นเช่นนั้นก็ไม่คิดอะไรอีก รีบคว้าแย่งของในมือเด็กหญิงไปทันที ก่อนจะกัดขนมหวานเข้าไปในปากอย่างหิวโหย
ปากกัดเคี้ยวช็อกโกแลตกินอย่างเอร็ดอร่อย รสหวานนุ่มออกขมเล็กน้อยที่ละลายไปทั่วลิ้นทำให้รู้สึกดีขึ้นมาอย่างประหลาด เขาหันมาทางเธอด้วยแววตาขอบคุณ แม้จะยังไม่หายระแวง แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นมนุษย์ที่ประหลาดที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอมาจริงๆ
อาจจะเพราะเป็นเด็กล่ะมั้ง?
“ฉันไอคารอส ทิมเบอร์” เขาแนะนำตัวก่อนด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ทั้งที่ปากยังเปรอะไปด้วยช็อกโกแลต “เรียกสั้นๆว่ารอสก็ได้ อายุสิบเก้า อีกไม่กี่เดือนก็ใกล้จะยี่สิบ แล้วเธอล่ะ ยายเด็กผี”
“จะบ้าตาย... หนูไม่ได้ชื่อเด็กผี!” เธอเถียงทันควัน ทำเอาไอคารอสแทบอยากจะลบความคิดก่อนหน้านี้ไปให้หมด แต่เขาก็ยังอดทนตอบกลับไปแบบกวนๆ
“ก็ฉันยังไม่รู้ชื่อของเธอนี่นา แถมเธอก็โผล่มายังกับผีจริงๆ”
“หนูชื่อเอสลีย์” เธอตอบ ก่อนจะเน้นย้ำประโยคเดิม “สิบตรีเอสลีย์ เฟรย์ค่ะ อายุสิบสองปี อยากเรียกอะไรก็เรียกได้ตามสะดวก แต่ถ้ายายเด็กผีนี่ช่วยหยุดจะดีมากค่ะ”
“งั้นเรียกสิบตรีแทนแล้วกันนะ... แม่สิบตรีตัวน้อย”
“ไม่ใช่หัวหน้าหรือลูกน้อง จะเรียกแบบนั้นทำไมคะ” เธอยักไหล่ “หัวหน้าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าอยากเป็นลูกน้องก็บอกค่ะ เดี๋ยวหนูไปแจ้งคุณป้าให้”
“ไม่มีทาง!” ไอคารอสปฎิเสธทันควัน “ฉันไม่มาเป็นลูกน้องให้เด็กแบบเธอหรอก ยิ่งเป็นมนุ... เอ่อ...”
“หนูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองเผ่าพันธุ์ถึงได้เกลียดกันขนาดนั้น” เอสลีย์ตอบกลับหน้านิ่ง “แต่กรุณาอย่าตัดสินหนูเพียงแค่เพราะวัยและเผ่าพันธุ์ค่ะ”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย...” เด็กหนุ่มทำหน้ามุ่ย เขารีบกลับประเด็นไปเรื่องเดิมทันที “งั้นฉันเรียกเธอว่าเด็กผีนั่นแหละ!”
เอสลีย์เบ้ปาก กลอกตามองบน “ค่ะ เอาที่คุณพี่สบายใจเลยค่ะ แล้วคุณพี่ก็อย่าไปเรียกแบบนี้กับคนอื่นแล้วกัน มนุษย์ไม่ได้น่ารักกันทุกคนหรอกนะคะ”
“เธอก็ไม่ได้น่ารักเหมือนกันนั่นแหละ”
“งั้นคายช็อกโกแลตออกมาเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ไอคารอสแทบสำลักช็อกโกแลตออกมาทันทีทันใด เขารีบแก้ตัวทันที “ไม่ได้หมายถึงว่าเธอไม่น่ารัก หมายถึงว่าชุดไม่ค่อยน่ารัก...”
“ไม่เนียนนะคะ”เด็กหญิงยิ้มกรุ้มกริ่ม รอยยิ้มนั้นมีเลศนัยแฝงจนฝ่ายตรงข้ามสัมผัสได้ถึงรังสีอาฆาตที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง “ไม่น่ารักเอาซะเลย”
ไอคารอสหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะมองไปที่ฝ่ายตรงข้าม เธอสวมชุดยาวสีดำ ชายกระโปรงยาวถึงต้นขา กับถุงน่องสีเดียวกันและรองเท้าบูทดูทะมัดทะแมง
ที่หัวเข็มขัดและอกซ้ายนั้นติดตราตำรวจเอาไว้อยู่ หรือจะเรียกว่าตราทหารก็ไม่ผิด ไอคารอสพอจะรู้มาบ้างว่าหลังการปฏิวัติสงคราม มนุษย์ไม่ได้มีระบบทหารและตำรวจอีก แต่แยกการทำงานออกเป็นหน่วยๆ เท่าที่รู้ก็คือทหารในเมือง ทหารนอกเมืองหรือที่เรียกว่าทหารชายแดน และทหารในเมืองมิวแทนท์... นีโอเมโทรโปลิส
เอสลีย์อายุยังน้อยอยู่เลย ทำไมเธอถึงเป็นทหารนะ...?
คิดๆ ไป เขาก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนนั้นเขายังไม่เกิด แม้สงครามจะจบไปนานแล้ว แต่สุดท้ายแล้วก็กลับเกิดเหตุการณ์เหยียดเผ่าพันธุ์อย่างรุนแรง มนุษย์ที่มีเทคโนโลยีเหนือกว่าได้บุกเข้ากวาดล้างเผ่าพันธุ์มิวแทนท์จนเหลือจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับมนุษย์ แต่เพราะมิวแทนท์ที่เหลืออยู่พยายามต่อต้าน และภาคีพิทักษ์รัตติกาลได้เข้ามาเสนอให้เซ็นต์สนธิสัญญาแม็คคิด เรื่องจึงจบลงไปในที่สุด
...ต่างคนต่างอยู่ ทั้งสองเผ่าพันธุ์แยกเขตแดนออกจากกันอย่างเด็ดขาด ผู้ที่จะไปมาหาสู่กันได้ระหว่างมนุษย์กับมิวแทนท์ต้องเป็นทูต นักวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล หรือตัวแทนพ่อค้าจากทั้งสองฝ่ายเท่านั้น หากฝ่าฝืนจะถือว่ามีพฤติกรรมน่าสงสัย อาจก่อความวุ่นวายได้ ซึ่งอาจถูกลงโทษอย่างรุนแรงถึงขั้นตายได้
เขากินช็อกโกแลตไปพลางคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาหลายๆ อย่าง แต่แล้วเสียงของเอสลีย์ก็ทำลายความคิดทั้งหมดนั้นให้หายไปอีกครั้ง
“เหลือช็อกโกแลตให้เพื่อนด้วยนะคะ” เธอพูดยิ้มๆ
มาไม้ไหนอีกล่ะเนี่ย... ไอคารอสเหล่มองและคิดในใจ
เอาเถอะ มีน้ำใจ แถมมีสัมมาคารวะด้วย ก็น่ารักดี
เจ้าตัวอดไม่ได้ที่จะชมเธอในใจ แม้ว่าเอสลีย์จะเป็นมนุษย์ก็ตามที แม้ในใจจะรู้ดีว่ามันผิดก็ตามที เขาคิดได้ว่าควรจะรีบพูดอะไรออกมาสักอย่างเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นในใจ จึงตัดสินใจยื่นช็อกโกแลตนั้นให้กับเอสลีย์
รู้สึก... ลำบากใจแฮะ
เป็นที่รู้กันดีว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นเผ่าพันธุ์ที่ดูถูกตนเองมาตลอด จู่ๆ กลับมาญาติดีด้วยแบบนี้เป็นครั้งแรก เป็นใครก็คงทำตัวไม่ถูก
“เอ้อ... กินด้วยกันไหม?”
“ก่อนจะมีน้ำใจ แบ่งให้คนที่มากับนายน่าจะดีกว่า”
เสียงของวิคเตอร์ดังขึ้น ทั้งสองคนหันไปที่ต้นเสียงพร้อมกัน
ร่างนั้นหันมาที่ทั้งคู่อย่างเชื่องช้า มือซ้ายมีแผ่นสีขาวบางเฉียบแปะทับรอยแผลกากบาทที่เกิดจากแวร์ริคใช้มีดกรีด ใบหน้าดูซีดเซียวอิดโรยเหมือนยังร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี
ไอคารอสเบ้ปาก เขากะจะกินคนเดียวให้หมด แต่ดูสภาพฝ่ายตรงข้ามแล้ว รวมถึงคำพูดที่เอสลีย์อุตส่าห์บอกก่อนหน้านี้ จะไม่ให้ก็คงใจดำเกินไป
“เออน่า ไม่ได้บอกว่าจะไม่แบ่งให้นายสักหน่อย”
พูดจบเขาก็ยื่นช็อกโกแลตให้กับวิคเตอร์แบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก วิคเตอร์รับไปกินด้วยทีท่าสำรวม แม้จะรู้สึกหิวอยู่ก็ตาม
“คุณชื่ออะไรคะ” เอสลีย์ถามขึ้น เธอมองไปที่วิคเตอร์ “ได้ข่าวมาว่าเป็นครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์ แถมยังเป็นคนจากร้อยปีก่อนอีก ยุคนั้นเป็นยังไงเหรอคะ มีมิวแทนท์มั้ย”
วิคเตอร์กำลังเคี้ยวช็อกโกแลตอยู่ จึงยังไม่พูดอะไร ไอคารอสเหล่มองเจ้าตัวก่อนจะตอบเสียงซุบซิบ “หมอนี่ชื่อ วิคเตอร์ คิงส์ ยอดกวนบาทาน่ารำคาญที่สุด”
“กวนบาทาอะไร ฉันได้ยินนะ”
ชิ หูดีเป็นบ้า! ไอคารอสคิดในใจ ใจจริงอยากเถียงกลับ แต่รู้ดีว่าคงไม่ใช่เวลามาทะเลาะกัน จึงตอบกลับไปอีกแบบ
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
วิคเตอร์ส่ายหน้า “เรื่องของนายแล้วกัน... อะไรก็ช่างเถอะ” เขาพูดจบก็หันไปทางเอสลีย์ ปล่อยให้เจ้าตัวนั่งกัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดอยู่คนเดียว “แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ”
“สิบโทเอสลีย์ เฟรย์ค่ะ” เธอตอบเสียงสดใส “พวกพี่ๆ สลบกันไปสองวันกว่า พันตรีแวร์ริคเกือบจะฆ่าพวกพี่ๆ แล้วค่ะ ดีว่ากลุ่มของหนูขอตัวเอาไว้ได้ทันก่อน”
“ขอตัว?” ทั้งคู่อุทานขึ้นพร้อมกัน
“ค่ะ พอดีเราจับมาได้สิบคน” เธอตอบ “มิวแทนท์แต่ละคนถูกยัดรวมไปอยู่หน่วยต่างๆ กันหมดแล้ว เหลือแค่พวกพี่ๆ กับอีกคนที่เป็นเศษเหลือ พันตรีแวร์ริคเลยอยากจะฆ่าทิ้ง แต่กลุ่มของหนูมาขอเอาไว้ทันพอดี”
ไอคารอสนิ่วหน้า ในขณะที่วิคเตอร์ถามขึ้นทันที “แล้วหน่วยของเธอเกี่ยวกับอะไร”
เอสลีย์ยิ้มอย่างภาคภูมิใจเหมือนรอคำถามนั้นมานานแล้ว เธอชูนิ้วไปที่ป้ายที่แขวนไว้หน้าประตูเหล็ก ตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนเอาไว้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
B.A.D. Squad
‘Brave and Dauntless’
“แบดสควอด... ?” วิคเตอร์พึมพำ “คำขวัญของหน่วยเขียนบอกไว้ว่า กล้าหาญและไร้ซึ่งความเกรงกลัว หน่วยนี้มันเกี่ยวกับอะไรกัน”
ไอคารอสหวังจะได้รับคำตอบที่ฟังดูยิ่งใหญ่อลังการสมกับสโลแกนที่เขียนเอาไว้ ทว่า...
“จิปาถะค่ะ มีตั้งแต่ทำความสะอาด ช่วยงานทำอาหารในโรงครัว ช่วยจัดสรรทรัพยากร แต่หน้าที่หลักคือการฝึกและส่งคนที่เก่งๆ ในหน่วยไปรบแนวหน้า” เอสลีย์ตอบอย่างกระตือรือร้น ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น “กลุ่มเราทำได้ทุกอย่างค่ะ ด้วยความเสียสละแบบนี้ เลยจะเรียกว่าเป็นภาคีแห่งผู้กล้าก็ได้!”
นี่มันไม่ค่อยต่างกับกลุ่มตัวแถมเลยแฮะ...
ไอคารอสคิดในใจ แต่แน่นอนว่าไม่ได้พูดออกไป เขาเกาหัวแกรก เริ่มเห็นแววรุ่งของหน่วยตั้งแต่ชื่อ ยิ่งนึกถึงหน้าที่หลักๆ ของหน่วยที่ต้องทำแล้ว เขาถึงกับบ่นออกมาอย่างลืมตัว
“นี่ฉันต้องอยู่หน่วยนี้จริงๆ เหรอเนี่ย”
เอสลีย์หน้าเสีย เธอทำปากบู่คล้ายจะร้องไห้ นัยน์ตาคู่นั้นเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้า วิคเตอร์ไม่พูดอะไร เขาเพียงแต่หันมองไอคารอสแบบจิกๆ แปลความหมายของสัญญาณที่ส่งมาได้ว่า รับผิดชอบเดี๋ยวนี้
ไอคารอสรีบเปลี่ยนคำพูดในทันที “เมื่อกี้ล้อเล่น!”
คำพูดของเขาทำให้เด็กหญิงถึงกับรีบเปลี่ยนท่าที น้ำเสียงกลับสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “จะเข้าหน่วยเราจริงๆใช่ไหมคะ?” เธอรีบทำเสียงออดอ้อน ตาเป็นประกาย แล้วหันสลับมาที่วิคเตอร์ “พี่วิคเตอร์คะ มาเข้าร่วมกลุ่มกับหนูนะ!”
ทำไมอยู่ดีๆ ถึงรู้สึกอยากถีบยายเด็กผีนี่จังเลยนะ...
“เอ้อ... ที่นี่มีหน่วยอะไรบ้างล่ะ” วิคเตอร์ถามเธอ แม้จะรู้ดีว่ายังไงก็คงไม่มีทางเลือก แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงอยากรู้อยู่ดี
“ก็ เยอะแยะค่ะ หน่วยโรงครัว หน่วยการทูต หน่วยตระเวนชายแดน หน่วยสื่อสาร หน่วยวิจัย หน่วยบริการ หน่วยคลังแสง หน่วยศาสตราวุธ จริงๆ แล้วมีเยอะกว่านี้อีก แต่หน่วยที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือหน่วยบัญชาการค่ะ” เธอตอบ ก่อนจะยืนกอดอก ยืดตัวสูงๆ แล้วพูดต่อเสียงเข้ม
“แต่... พวกพี่เป็นมิวแทนท์ เลือกหน่วยตามใจชอบไม่ได้หรอกนะคะ ถ้าไม่เอาหน่วยนี้ก็มีแต่ตายกับตาย พันตรีแวรร์ริคไม่มีนโยบายเลี้ยงดูมิวแทนท์อย่างอิสระเสรีค่ะ”
“นโยบาย? นี่พันตรีแวร์ริคมีอำนาจขนาดนั้นเลยเรอะ” ไอคารอสพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง คิ้วชนกันจนเห็นรอยย่นระหว่างหน้าผาก เขากำมือแน่น ใจยังโมโหและไม่หายแค้นกับที่แวร์ริคทำเอาไว้
โรคจิต... โหดเหี้ยมที่สุด ความสุขของแวร์ริคคือการได้เห็นเหยื่อกรีดร้องทุรนทุราย แค่คิดเขาก็ขนลุกซู่แล้ว
เอสลีย์ตอบเสียงเรียบ เธอพอจะได้ยินมาบ้างว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสอง แต่ยังไม่นักว่าจะเชื่อดีไหม เพราะไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง
“พันตรีแวร์ริคอยู่สังกัดหน่วยบัญชาการค่ะ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของหน่วย”
ทั้งสองพยักหน้า เอสลีย์เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนหรี่ลงคล้ายสุนัขจิ้งจอก ทำให้ดูมีเลศนัยและเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันใด
“สรุปก็คือ...” เธอสะบัดผมเซอๆ ไปข้างหลัง มือคว้ากดปุ่มสีแดงที่ริมกำแพง “ตัดสินใจแล้วใช่ไหมคะ งั้นเราไปกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยว--”
ไม่ทันที่ไอคารอสจะได้พูดอะไรต่อ จู่ๆพื้นก็สั่นสะเทือนราวแผ่นดินไหว ทำเอาวิคเตอร์กับไอคารอสแทบยืนไม่อยู่ พื้นเลื่อนลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวกับลิฟต์ที่ถูกตัดเชือก ร่างวิคเตอร์เซล้มกับพื้น จังหวะนั้นไอคารอสที่กำลังเอนหลังพิงกำแพงรีบคว้าแขนเขาเอาไว้ ทำให้ทั้งคู่ยังพอประคองตัวได้
เอสลีย์ดูจะชินชากับพื้นที่สั่นไหวเช่นนี้ เธอยืนพิงกำแพงนิ่งๆ เหมือนเป็นพื้นราบเรียบธรรมดา จนกระทั่งพื้นด้านล่างกระทบกับอะไรบางอย่าง ทำให้ทุกอย่างหยุดกึก แรงส่งที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำเอาทั้งสองหนุ่มล้มหน้าคว่ำเพราะไม่ทันระวัง เอสลีย์เห็นก็หัวเราะคิกเหมือนชอบใจ
“อูย...” ไอคารอสร้องเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน มือคลำก้นป้อยๆ ด้วยความเจ็บ มองเอสลีย์ด้วยสายตาจิกๆ เล็กน้อยเพราะเธอไม่ยอมหยุดหัวเราะเสียที “ขำอะไรยายเด็กผี!”
“ก็ไม่เคยเห็นใครล้มได้เซ่อขนาดนี้มาก่อนนี่คะ ฮ่าฮ่าฮ่า” เธอไม่สนคำว่า ‘เด็กผี’ ของฝ่ายตรงข้ามเลยสักนิด แต่กลับหัวเราะจนตัวงอ เสียงแหลมสดใสเหมือนกำลังเยาะเย้ยฝ่ายตรงข้ามเต็มที่
“อย่าให้เห็นเธอพลาดบ้างแล้วกัน ยายเด็กผีเอ๊ย!” ไอคารอสโวยวาย นี่ถ้าฝ่ายตรงข้ามอายุเท่ากันเขาคงถีบไปแล้ว
กฎของนิวตันข้อหนึ่งและข้อสามทำงานแบบเต็มๆเลยแฮะ
วิคเตอร์คิดในใจ เขาลุกขึ้นตาม หันมองทั้งสองคนแบบเงียบๆ เห็นทั้งสองคนกัดกันแล้วก็นึกถึงเมื่อก่อน สมัยยังเด็ก เขาเองก็มีเพื่อนคนหนึ่งที่ชอบชวนเขาทะเลาะแบบนี้อยู่เสมอเหมือนกัน เห็นบรรยากาศแบบนี้แล้วก็ชวนให้คิดถึงวันวาน
ชาลี แม็คคิด...
เขาแหงนหน้าขึ้นมองไปรอบๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจ เมื่อพบว่า ณ ที่แห่งนี้ไม่ใช่ห้องพยาบาลอีกต่อไปแล้ว แต่มันคือห้องโถงกว้างใหญ่ กำแพงสีเทาเริ่มขึ้นราดำเพราะไม่ได้ทาสีใหม่มานาน โคมไฟติดดับสลับถี่ทำให้ห้องดูมืดสลัว โต๊ะสนุกเกอร์ตั้งอยู่กลางห้องโดยไม่มีผู้เล่น โฮโลแกรมกำลังฉายหนังรักหวานซึ้งอยู่ที่มุมซ้ายสุดของห้อง
สมาชิกบางคนก็นั่งเอกเขนกบนโซฟาตรงข้ามเพื่อดูหนังอย่างสบายใจ อีกกลุ่มหนึ่งนั่งตั้งวงไพ่เล่นกันเสียงจ้อกแจ้ก ส่วนหญิงสาววัยกลางคนกำลังนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะ ในมือถือหนังสืออ่าน บนปกเขียนเอาไว้ว่า ‘’ ท่านั่งดูสง่าสุขุม วิคเตอร์เดาว่าเธออาจเป็นหัวหน้า
ดูๆ ไป ห้องนี้น่าจะเป็นห้องศูนย์รวมของหน่วย
และทุกคนก็ดูจะไม่ได้สนใจกับผู้มาเยือนสักเท่าไหร่ ไม่สิ พูดเช่นนั้นก็ไม่ถูกเสียทีเดียว น่าจะเป็นเพราะพวกเขากำลังขะมักเขม้นจดจ่ออยู่กับงานอดิเรกของตนเองมากกว่า
ป้าย ‘B.A.D. Squad’ แปะเอาไว้เด่นหราบนฝ้าเพดาน ตามด้วยสโลแกนที่น่าจะเป็นที่มาของชื่อหน่วย; ‘Brave and Dauntless’ มันเก่าและขาดยุ่ยเหมือนถูกแขวนอยู่บนนั้นมานานราวชาติเศษ เมื่อรวมกับสภาพบรรยากาศทึมๆของห้องแล้ว มันช่าง...
“พอดีหน่วยเราไม่ค่อยได้งบมาปรับปรุงสถานที่สักเท่าไหร่ มันก็เลยดูโทรมๆแบบนี้แหละค่ะ ฮะฮะฮะ” เอสลีย์พูดพลางหัวเราะร่วนเหมือนกับนี่เป็นเรื่องตลก... ใช่ มันตลกร้าย
และเอสลีย์เองก็ไม่ได้อยากจะคิดตรงจุดนั้นมากเท่าใดนัก เพราะนึกทีไรก็ปวดใจจนต้องขำเพื่อกลบเกลื่อนแทน ในขณะที่ทั้งสองได้แต่พยักหน้า เพราะไม่รู้จะหัวเราะตามดีหรือไม่
ระหว่างที่สองหนุ่มเดินตามหลัง สายตาก็กวาดมองสิ่งรอบข้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกมนุษย์สวมชุดเครื่องแบบคล้ายเอสลีย์ จะแตกต่างก็ยศที่ติดประดับบ่า รวมไปถึงผู้ชายจะมีชายเสื้อยาวเพียงเอว ในขณะที่ผู้หญิงนั้น ชายเสื้อจะยาวถึงต้นขาหรือสั้นกว่านั้นเล็กน้อย
“เดี๋ยวจะพาไปหาคุณป้า ช่วยทำตัวเรียบร้อยหน่อยนะคะ”
ไอคารอสได้ยินคำว่าคุณป้าเป็นครั้งที่สองของวันแล้ว เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมต้องเป็นคุณป้า--”
พูดไม่ทันจบเอสลีย์ก็ใช้ศอกกระทุ้งที่ท้องฝ่ายตรงข้ามเบาๆ ขึ้นก่อน
“ชู่ว... เดี๋ยวเธอได้ยิน!”
เอสลีย์เดินดิ่งตรงไปที่หน้าโต๊ะของหญิงสาววัยกลางคน เด็กหญิงยกมือขึ้น วันทยหัตถ์ให้กับบุคคลตรงหน้าด้วยความเคารพ ก่อนที่เธอคนนั้นจะปิดหนังสือแล้ววางมันลงบนโต๊ะพลางกล่าวสั่งเสียงเข้ม “มือลง”
“ค่ะ!” เอสลีย์รับคำ ก่อนจะทิ้งมือลงแนบลำตัวด้วยท่าทางเข้มแข็งทะมัดทะแมง
แววตาของหญิงสาวดูเรียวคมดุจเหยี่ยว เส้นผมสีดำขลับถูกมัดรวบเอาไว้ข้างหลัง ชุดผู้บัญชาการดูสง่างามสมกับตัวเธอ หุ่นเพรียวระหง สะโอดสะองแต่ไม่บอบบาง กล้ามเนื้อดูสมส่วนเข้ากับรูปร่างของผู้หญิง แสดงให้เห็นว่าเธอต้องฝึกและออกกำลังกายเป็นประจำ
เมื่อมองเทียบกันแล้ว เอสลีย์สูงเพียงระดับอกเธอเท่านั้น... ส่วนวิคเตอร์สูงระดับไหล่ ยังดีที่อย่างน้อยไอคารอสก็สูงพอๆกับเธอ ถึงหุ่นจะดูไม่แข็งแรงเท่าก็ตามที...
“สิบตรีเอสลีย์ เฟรย์ รายงานมาซิ ว่ามิวแทนท์สองคนนี้เป็นอย่างไร”
“ค่ะ พันโทกรีเซลด้า แซนเดอร์” เธอรับคำ “ทั้งสองคนรักษาตัวจนดีขึ้นแล้ว”
เด็กหญิงผายมือไปทางไอคารอส “คนแรกชื่อว่า ไอคารอส ทิมเบอร์ เขาเป็นมิวแทนท์ที่หน่วยตำรวจจับมาได้ มียีนกลายพันธุ์ทำให้ร่างกายฟื้นฟูได้เอง อวัยวะสามารถงอกใหม่ได้”
กรีเซลด้าจ้องตาไอคารอสนิ่งๆ “งอกใหม่? รู้ได้ยังไง”
ไอคารอสรู้ดีว่าเธอกำลังถามเขา จึงตอบออกไปเสียงเรียบ แม้ในใจจะยังนึกขุ่นเคืองไม่หาย “ตอนถูกจับ ฉันถูกระเบิดทำให้ขาขาดทั้งสองข้าง แต่ก็งอกขึ้นมาใหม่ได้ จนกระทั่งตอนหลังแวร์ริคทรมานฉันด้วยการตัดนิ้วเท้าออกทีละข้าง เลยช็อกจนหมดสติไป” เขาเว้นวรรคเพื่อหายใจ และปรับใจให้สงบจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น “พอตื่นขึ้นมาอีกที นิ้วก็งอกครบหมดทุกนิ้ว... ฉันบอกหมดแล้ว คราวนี้มีอะไรอยากถามอีกไหม”
เอสลีย์แกว่งแขนตบขาเขาเบาๆ ก่อนจะเตือนเสียงกระซิบ “จุ๊ๆ... เคารพผู้พันหน่อยสิคะ”
กรีเซลด้าแค่ยิ้มๆ... ยิ้มแฝงเลศนัย ก่อนที่เธอจะหันไปทางเอสลีย์ “แล้วอีกคนล่ะ?”
เอสลีย์ตอบเสียงเข้ม “วิคเตอร์ คิงส์ค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นมิวแทนท์หรือเปล่า ยีนปกติ แต่ที่น่าสนใจ คือเป็นครึ่งคนครึ่งหุ่นยนต์ค่ะ”
หญิงสาวเท้าคางโต๊ะ เธอกุมมือแน่น ก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ “อ้อใช่... คนนี้เองสินะที่มีหัวใจเป็นเหล็ก แล้วก็ถูกขุดเจอในสุสานโดยคนที่ยืนข้างๆ นั่น”
“ถูกต้องค่ะผู้พัน”
เธอยิ้มอีกครั้ง เอสลีย์รู้สึกค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป ปกติผู้พันกรีเซลด้าไม่ใช่คนชอบยิ้ม เธอมีทีท่านิ่งขรึมตลอดเวลาราวกับภูเขาน้ำแข็ง สองคนที่จับมานี้มีอะไรพิเศษกว่าที่คาดเอาไว้หรือเปล่านะ หรือว่าคนที่มาจากร้อยปีก่อนจะมีอะไรสำคัญ...
ไม่รู้สิ เธอไม่ค่อยเข้าใจความคิดผู้ใหญ่นักหรอก และก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วยว่าทำไมมนุษย์กับมิวแทนท์จะต้องเกลียดกันเพราะแค่ยีนกลายพันธุ์ ทำไมต้องเกิดสงคราม ทำไมต้องแยกชนชั้น ทำไมมิวแทนท์กับมนุษย์เป็นเพื่อนกันไม่ได้ ทั้งที่หน้าตาก็เหมือนกันมากจนแทบแยกไม่ออกด้วยซ้ำ
ผู้ใหญ่ก็งี่เง่ากันทุกคนนั่นแหละ
และเพราะความงี่เง่าของพวกผู้ใหญ่ เธอถึงต้องพลอยตกกระไดพลอยโจนตามไปด้วย
เป็นเพียงแค่ฟันเฟืองเล็กๆ... แค่มดตัวจ้อย ไร้ค่าดังเศษธุลี จะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ท่ามกลางความเงียบของมุมเล็กๆ บริเวณนี้... ณ โต๊ะทำงานของหัวหน้าหน่วย พันโทกรีเซลด้า แซนเดอร์ ได้ลุกขึ้นยืนตัวตรงแล้วเดินผ่านทั้งสามคนมาที่กลางห้อง มือเลื่อนเปิดโฮโลแกรมกลางอากาศสั่งให้ปิดไฟทั้งหมดในห้อง เหลือแต่เพียงไฟตรงกลางห้องเท่านั้น
ทันทีที่ทุกคนได้เห็นการปรากฎกายของเธอ ห้องก็เงียบโดยพลัน ภาพโฮโลแกรมฉายหนังถูกปิดลงทันที ทุกคนหันมองผู้เป็นหัวหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนวันทยหัตถ์ให้อย่างขะมักเขม้น แล้วพากันเดินไปเข้าแถวตอนลึกอย่างเป็นระเบียบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทุกคนจึงยกมือขึ้นวันทยหัตถ์อีกครั้ง
“แบดสวอด... แบดสควอด!” พวกเขาร้องขึ้นพร้อมกัน เสียงดังสะท้อนกึกก้องอยู่ภายในห้องโถงกว้าง
กรีเซลด้ารักษาทีท่ามาดขรึม “มือลง”
ทุกคนวางมือลงแนบลำตัวอย่างพร้อมเพรียง กรีเซลด้ากระแอมไอเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดรายงานสถานการณ์ออกมาด้วยเสียงเข้มทรงพลัง
“พี่น้องชาวแบดสควอดทุกคน วันนี้ฉันพันโทกรีเซลด้า แซนเดอร์ มีสาสน์สำคัญจะมาแจ้งให้ทราบ”
ห้องตกอยู่ในความเงียบ เงียบเสียจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจ และจังหวะของหัวใจที่เต้นอยู่ในอก
“ตอนนี้เรากำลังจะมีสมาชิกใหม่สองคนเข้ามา เป็นมิวแทนท์หนึ่ง และอีกคนกำลังตรวจสอบสถานะ”
เสียงอื้ออึงจ้อกแจ้กไปทั่วห้อง ดูก็รู้ คงไม่มีใครอยากยอมรับเพื่อนร่วมทีมต่างเผ่าพันธุ์นี้สักเท่าไหร่ และแน่นอน ถ้ามาถามวิคเตอร์กับไอคารอส ทั้งสองก็ไม่ได้อยากมาเข้าร่วมหน่วยอะไรบ้าๆ แบบนี้เช่นกัน ไอคารอสอยากกลับบ้าน ส่วนวิคเตอร์ก็เริ่มรู้สึกคิดถึงหลุมฝังศพนั่นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะทำอย่างไรได้ พวกเขาไม่ได้มีทางเลือกมากขนาดนั้น ที่ต้องยอมเข้ามาในกลุ่มนี้ก็เพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น
“เงียบ!”
กรีเซลด้าคำรามเสียงดุ ห้องกลับมาเงียบอีกครั้งตามคำสั่งของเธอ
“และตามธรรมเนียม พวกเราจะต้องมีการประลองรับน้องใหม่เพื่อกระชับมิตร การประลองนี้จะไล่เรียงไปตามลำดับอาวุโส ผู้ที่จะประลองกับน้องใหม่ของทีมเริ่มจากยศร้อยเอก” เธอเว้นจังหวะการพูดไปเล็กน้อย “ไล่เรียงขึ้นไปจนถึง... ฉัน”
งานงอกแล้ว
ไอคารอสคิดในใจ ห้องยังคงตกอยู่ในความเงียบ เอสลีย์มองหน้าทั้งสองคนด้วยทีท่าเฉยๆ ในขณะที่ไอคารอสเริ่มเหงื่อตก ส่วนวิคเตอร์ยังคงยืนนิ่งอยู่
“น้องใหม่จะต้องสู้ไล่เรียงขึ้นมาตามลำดับจนถึงฉันให้ได้โดยห้ามใช้พละกำลังจากยีน โดยทางเราจะมียาฉีดกดภูมิเอาไว้ให้ก่อนการประลอง ถ้าพวกเขาทำได้ พวกเราจะต้องยอมรับสองคนนี้เป็นส่วนหนึ่งของแบดสควอด!”
“แบดสควอด... แบดสควอด!” ทุกคนในหน่วยตะโกนร้องขึ้นพร้อมกันเสียงดังลั่น มือชูขึ้นอย่างฮึกเหิม
“ดีมาก พี่น้องทั้งหลาย” เธอชม ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “และเป็นที่รู้กันดี ถ้าแพ้การประลอง จะถูกขับไล่ออกจากกลุ่มทันทีโดยไม่มีข้อแม้”
มานึกตามที่เอสลีย์บอก ถ้ามิวแทนท์ไม่มีสังกัดกลุ่ม และไม่ได้หนีออกมาจากเมืองมนุษย์... ก็มีแต่ตายกับตาย!
ไม่เอาน่า!
เสียงกู่ร้องของสมาชิกในหน่วยทุกคนดังขึ้นอีกครั้งอย่างฮึกเหิมทั้งชายและหญิง กรีเซลด้าผายมือมาที่ไอคารอสและวิคเตอร์ ปากเผยอยิ้มเล็กน้อยเหมือนกำลังซ่อนอะไรบางอย่างในใจ ก่อนจะเรียกชื่อของคนคนหนึ่งออกมา
“คู่ประลองแรก ร้อยเอกมาร์แชล กรีน”
ทุกคนร้องเฮลั่นเหมือนเริ่มจะเชียร์ตั้งแต่การประลองยังไม่เริ่ม เจ้าตัวเดินออกมาจากแถว เผยให้เห็นร่างที่สูงใหญ่บึกบึน ไหล่ผายกว้าง ร่างกายเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ แค่ดูขนาดกล้ามเนื้อที่แขนของคู่ต่อสู้กับของไอคารอส เท่านี้ก็กินขาดแล้ว อีกทั้งขนาดตัวยังต่างกับไอคารอสโดยสิ้นเชิง และจะแย่ยิ่งกว่าถ้าให้เทียบกับวิคเตอร์ที่ทั้งตัวเล็กและผอมอย่างกับไม้เสียบผี
งานนี้มีแต่แพ้กับแพ้ชัดๆ!
“คู่ประลองฝั่งมิวแทนต์เลือกตัวแทนมาได้คนหนึ่ง เมื่อคุยกันเรียบร้อย เราจะเปิดโหมดต่อสู้ในห้องนี้ทันที”
เสียงกรีเซลด้าเป็นดังคำสั่งเพชฌฆาต ทำเอาไอคารอสกัดฟันกรอด มือเย็นเฉียบนั้นสั่นโดยที่ควบคุมไม่ได้ เอสลีย์ต้องตบหลังเขาเบาๆ ก่อนจะมองสลับไปที่วิคเตอร์ เธอเห็นความว่างเปล่าในนัยน์ตาสีเขียวมรกตอยู่นั้น เขายืนนิ่ง คาดว่าในหัวคงพยายามนึกแผนอย่างใจเย็นอยู่
“ไอคารอส นายออกไปสิ” วิคเตอร์พูดเหมือนปัดภาระไปให้คู่สนทนา
ไอคารอสส่ายหน้ารัวๆ “นายนั่นแหละออกไป”
“นายแข็งแรงกว่าฉัน”
“แต่นายมีไหวพริบกว่า!”
เอสลีย์ถึงกับเหงื่อตก ขนาดยังไม่ออกสนามประลองก็เริ่มจะเถียงกันเสียแล้ว ในใจเริ่มกังวลแทนว่าจะไปได้รอดหรือไม่ เธอรู้จักร้อยเอกมาร์แชลเป็นอย่างดี แม้เขาจะใจดี แต่ยามต่อสู้นั้นดุดันเป็นที่หนึ่ง หากเขาประชิดตัวใครได้ คนนั้นเหมือนถูกรุกฆาตไร้ทางหนี
คนหนึ่งก็ขี้กลัว อีกคนก็สภาพดูไม่น่าจะชกใครไหว
...เห็นแล้วก็อนาถใจแทนจริงๆ
**********
สาส์นจากผู้เขียน
ในที่สุดเนื้อเรื่องก็ดำเนินมาถึงตอนที่ 5 เป็นตอนสุดท้ายที่สามารถลงได้ในหน้าเว็บนี้ค่ะ
ทุกอย่างกำลังเริ่มต้นขึ้น มนุษย์แท้จริงแล้วมีความลับอะไรซุกซ่อนอยู่มากมายกันแน่ ทำไมมิวแทนท์ถึงแพ้สงคราม อะไรคือชนวนที่ทำให้ทั้งสองเผ่าพันธุ์ต้องเกลียดชังกันจนต้องแยกกันอยู่ อีกทั้งเรื่องของไมนด์สตรีม ปริศนาเหล่านี้ จะค่อยๆ เฉลยออกมาในภายหลังค่ะ
ตัวละครหลักก็ได้เผยออกมาเกือบหมดแล้ว แต่ละคนล้วนแต่มีอุดมการณ์ที่แตกต่างกันออกไป บ้างต้องการเปลี่ยนแปลง บ้างต้องการเป็นคนธรรมดา วิคเตอร์ ไอคารอส เอสลีย์ แวร์ริค เฟธ ซิล กรีเซลด้า และตัวละครอื่นๆ อีกมากมาย ทุกคนล้วนแต่มีความคิดเป็นของตนเอง สุดท้ายใครจะอยู่ใครจะไป อะไรรอพวกเขาอยู่ เรื่องราวจะเฉลยต่อไปค่ะ
หลายคนอาจเคยกดไลค์แฟนเพจ จึงได้รู้ว่านิยายเรื่องนี้เป็นภาคต่อ แท้จริงแล้วมันก็ไม่ถูกเสียทีเดียวค่ะ น่าจะพูดว่า มันเป็นนิยายที่อิงตัวละครเก่ามาด้วยนิดหน่อย ไม่อ่านภาคก่อนก็ได้อรรถรสสนุกเต็มที่เหมือนกัน เพราะคนเขียนวางพล็อตมาแทบไม่อิงกับภาคก่อนเลย สามารถติดตามอ่านได้โดยไม่ต้องตะขิดตะขวงใจว่าจะเกิดความสับสนเลยล่ะค่ะ ^^
สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กับโครงการประกวด “โชว์ของประลองเขียน Enter Books Writer Episodes 5” ที่เปิดโอกาสให้นัก(หัด)เขียนตัวเล็กๆ คนนี้ ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ แบ่งปันและปลดปล่อยโลกจินตนาการของตนเองออกมา ยินดีที่ได้รู้จักกับผู้เข้าแข่งขันอีก 19 คนที่มีมิตรไมตรีจิต น่ารัก คุยกัน เฮฮากัน เป็นกันเอง ช่วงใกล้เดดไลน์ที่ต้องส่งตอนต่อๆ ไปก็เข้าไปช่วยกันทวงคนอัพช้า (บางทีก็โดนทวงเอง) เราได้เพื่อนใหม่มากมาย ความทรงจำ และประสบการณ์อันล้ำค่าที่จะไม่มีวันลืมค่ะ รวมถึงผู้อ่านทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ขอขอบพระคุณมากค่ะ
และคุณ
คุณทุกคนที่กำลังอ่านถึงบรรทัดนี้ คือหนึ่งในผู้ที่มอบโอกาสอันมีค่านี้ให้กับเราค่ะ
ขอขอบคุณจากใจจริง
Besty
Time Rebellion ปฎิวัติข้ามเวลา ล่าเปลี่ยนโลก
ผู้แต่ง : Besty Vivo
| ตอนที่ | ชื่อตอน | วันที่ลง |
| 1 | Chapter 1: Awakening ตื่นขึ้น | 02 ก.พ. 59 |
| 2 | Chapter 2: Instinct สัญชาตญาณ | 08 มี.ค. 59 |
| 3 | Chapter 3: The Secret of Metropolis ความลับแห่งมหานครเมโทรโปลิส | 15 มี.ค. 59 |
| 4 | Chapter 4: Illusion ภาพลวงตา | 21 มี.ค. 59 |
| 5 | Chapter 5: B.A.D. Squad ภาคีแห่งผู้กล้า | 30 มี.ค. 59 |



สวัสดีค่ะ
อืม ถ้าไม่ใช่ประกวดแบบนี้จะไม่ว่ากัน แต่พอเป็นประกวดเลยรู้สึกว่า ตอนที่เป็นตอนสุดท้ายที่แปะได้สำหรับรอบนี้แล้ว แต่เรื่องกลับยังไม่ผลักไปถึงจุดหัก หรือจุดทิ้งปมสำคัญ ทั้งสองตอนที่ผ่านมาเป็นตอนเดินเรื่อง ยังไม่หย่อนคลูอะไรเพิ่มเลย จริงๆ น่าจะหย่อนสักนิดนะ มัดคนอ่านให้แน่นๆ คือมันจะเป็นจุดเก็บคะแนนที่ดีน่ะ
แต่อื่นๆ นอกจากนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ คุณเป็นคนมีฝีมืออยู่แล้ว หวังว่าจะได้อ่านตอนต่อไปนุ :)
ลวิตร์