EN09 Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน

จากเอกภพที่'ไมเคิล ชไวน์สไตเกอร์'อยู่ เอกภพ'มากิอาร์' ที่การใช้เวทย์มนตร์เป็นเรื่องปกติ เอกภพที่เขาใฝ่ฝันว่าตัวเองจะได้ไปอยู่ ในที่สุดทั้งสองเอกภพนี้ก็ได้เชื่อมเข้าหากันอย่างเป็นทางการแล้ว!

ผู้แต่ง

Airin_and_Arpo

0%

ตอนที่ 1/5 : บทที่ 1: ไพ ไดแมนชั่น(? Dimension)

บทนำ

มนุษย์เกิดมาพร้อมกับสิ่งวิเศษที่ติดตัวมา

พระเจ้าประทานสิ่งล้ำค่ามาให้มนุษย์ที่ถูกเลือก...ถูกเลือกให้มาเกิด

แต่ทว่า...

มนุษย์ที่ไม่มีพรสวรรค์ละ!?

พวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่ถูกพระเจ้าละเลยใช่หรือไม่?

...ผู้ที่ไม่ถูกเลือก...

...ผู้ที่ถูกตราหน้าว่าไร้ค่า...

        ตั้งแต่เกิดมา ‘ไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์’ ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่หรือคนไม่เอาถ่านอย่างที่พวกคุณครูในชั้นเรียนชอบว่าพวกที่ได้คะแนนสอบไม่ดีในชั้นเรียน เขาคิดว่าตัวเองสามารถจัดการเรื่องต่างๆได้ดีพอสมควรเมื่อเทียบกับคนอื่นๆรอบตัวเขา แต่เมื่อเทียบกับน้องชาย ‘เมลิก เมธิชัย ชไวน์สไตเกอร์’ ที่อายุต่างกับเขาเพียงแค่สองปีนั้น… บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเศษสวะไปเลย

        เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่จำความได้และได้รับการจับตามองว่าเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มีพรสวรรค์ แต่เมื่อน้องเขาเริ่มนิ้วแข็งพอจะเริ่มกดลงไปบนคีย์เปียโนได้เท่านั้นแหละ ฉายานักเปียโนอัจริยะที่น่าจะเป็นของเขาถึงได้กลายเป็นของน้องชายไปโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว ที่สำคัญ การแข่งขันเปียโนรุ่นเยาว์ที่เพิ่งผ่านไปเขาได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ ส่วนน้องชายของเขาได้รับตำแหน่งชนะเลิศไปอย่างสวยงาม

เมื่อครั้งที่แม่ของเขาจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้าน ครูสาวที่แสนน่ารักของเขาก็เอ่ยปากชมว่าเขามีพรสวรรค์ในด้านวิชาการทุกแขนง แต่เมื่อเจ้าหล่อนเริ่มสอนน้องชายเขา เด็กชายตัวจ้อยก็กลายเป็นศิษย์เอกตลอดกาลของเธอไปในทันที และแน่นอน คะแนนสอบที่สูงปรี๊ดในโรงเรียนและใบประกาศณียบัตรที่บ่งบอกว่าน้องชายของเขาชนะเลิศรางวัลที่หนึ่งจากรายการแข่งด้านวิชาการทุกสาขาก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่บ่งบอกว่าเด็กน้อยคนนั้นมีสมองที่เป็นเลิศแค่ไหน

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นพวกเขาสองคนก็รักกันมาก เขาจำได้เมื่อว่าเมื่อตอนอายุสิบขวบและน้องชายของเขาอายุแปดขวบ เมลิกเอ่ยปากกับแม่ว่าเขาอยากเรียนไวโอลินมากกว่าเปียโน ทั้งๆที่ตอนนั้นเด็กชายเพิ่งชนะเลิศรางวัลใหญ่มาหมาดๆ

‘ผมอยากเล่นคู่กับพี่… ถ้าเล่นไวโอลิน ก็เล่นได้หลากหลายมากขึ้นใช่ไหมละ’

เมลิกพูดเช่นนั้น และบางที เขาอาจจะอยากเล่นไวโอลินจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นไมเคิลก็อดคิดไม่ได้ว่าเหตุผลที่น้องชายของเขาเลิกเล่นเปียโนไปเล่นไวโอลินแทนเพราะไม่อยากให้เขารู้สึกไม่ดี แต่นอกเหนือจากเรื่องนั้นน้องชายของเขาก็ทำตัวเหนือกว่าเขาในทุกเรื่องถ้าเป็นเรื่องที่พวกเขาทั้งคู่ทำเหมือนกันน่ะนะ

ถึงอย่างนั้น เรื่องความแตกต่างของพวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยเป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ของเขาเลย น้องชายของเขาติดเขาแจ อาจเป็นเพราะพวกเขาทั้งสองคนมีเพียงแม่ที่เป็นผู้ปกครองของทั้งคู่ หรือ...อาจเป็นเพราะคำว่า...

...สายเลือดเดียวกัน...

จะบอกว่าไม่รู้สึกแปลกแยกก็ไม่ได้ แต่เขาเลือกที่จะไม่ใส่ใจ

ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกอะไร แต่เขาเลือกที่จะมองในมุมที่ต่างออกไป เชื่อในสิ่งที่ต่างออกไป

...มองว่า...

คนที่ไม่เก่ง ไม่ใช่คนที่ด้อยค่า

คนที่สู้คนอื่นไม่ได้ ไม่ใช่คนที่อ่อนแอ

คนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว

...และ...

คนที่ไม่ถูกเลือก ไม่ใช่คนที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง

...หากแต่...

คนเหล่านั้นเลือกที่จะลิขิตชะตาของตัวเอง

...เขา...

ไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์

...นี่คือสิ่งที่เขาเลือกที่จะเชื่อ!...

บทที่ 1 ไพ ไดแมนชั่น(π Dimension)

...สหัสวรรษที่30...

...ปี A.E. (AKADIA ERA) ที่ 3020…

ณ ประเทศเยอรมนี แคว้น บาวาเรีย



ดาวเคราะห์ชื่อว่า...โลก...เป็นเพียงรากเหง้าประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติแห่ง...’ไพ ไดเมนชัน (π Dimension)’...พวกเขาเหล่านั้นสืบเชื้อสายมาจากเหล่าบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์โลก

จากมนุษย์เชื้อสายดาวเคราะห์โลก..สู่...มนุษย์เชื้อสาย ‘ไพ ดีเอ็นเอ (π DNA)’ ซึ่งเอาตามจริงแล้วมนุษย์สองเผ่าพันธุ์นี้แทบไม่มีความแตกต่างกันเลย

มนุยษ์เชื้อสายดาวเคราะห์โลก มีสองตา สองหู หนึ่งจมูก หนึ่งปาก สองแขน สองขา

มนุษย์เชื้อสายไพ ดีเอ็นเอ ก็มีเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาเหล่านี้มีมันสมองที่เฉียบคมกว่ามนุษย์ในประวัติศาสตร์พวกนั้น

มนุษย์เชื้อสายดาวเคราะห์โลกเชื่อในทฤษฏีที่ว่าเอกภพมีเพียงหนึ่งเดียว หากแต่มนุษย์เชื้อสายไพ ดีเอ็นเอเชื่อในทฤษฏีที่ว่ามีเอกภพมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งที่เกิดขึ้นใหม่และสูญสลายไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ปัจจุบันสถาบันวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องดาราศาตร์และอวกาศได้ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่านอกจากไพ ไดแมนชั่นแล้วยังมีเอกภพคู่ขนานที่อยู่ห่างจากเอกภพของเราไปไม่กี่เมตรเท่านั้น แต่เนื่องด้วยสสารที่แปลกประหลาดและกฎทางฟิสิกส์ที่ทำให้ในอดีตเอกภพทั้งสองไม่สามารถเชื่อมต่อกันได้  หากแต่ไม่นานมานี้เกิดความผิดปกติของสสาร ทำให้ค่าฟิสิกส์ที่เปลี่ยนไปของเอกภพทั้งสองทำให้เราสามารถเชื่อมต่อกับอีกเอกภพหนึ่งได้

โดยเอกภพคู่ขนานมีชื่อว่า...มากิอาร์(Magiska)

ถึงแม้จะมีการเปิดประตูเอกภพระหว่างกันอย่างเป็นทางการแล้ว หากแต่ก็เรียกไม่ได้ว่าเป็นการเปิดประตูอย่างเสรี เพราะบุคคลที่จะสามารถข้ามผ่านประตูไปได้ต้องมีพาสปอร์ตรวมถึงใบอนุญาต แม้จะดูเหมือนว่าการเปิดประตูเอกภพจะทำให้สองเอกภพนี้เชื่อมถึงกัน หากแต่ความสัมพันธ์ระหว่างสองเผ่าพันธ์เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นติดลบ ประชาชนของไพ ไดแมนชั่นยังคงระแวดระวังคนจากอีกฝากฝั่งเพราะความพิเศษที่เหนือมนุษย์

สิ่งที่มนุษย์เผ่าไพ ดีเอ็นเอไม่มี

การวิวัฒนาการที่สูงกว่า

สิ่งที่อยู่เหนือคำจำกัดความของวิทยาศาสตร์

ที่เรียกว่า...

'เวทมนตร์' หรือ เผ่าพันธ์แห่งเอกภพคู่ขนานมากิอาร์และทางฝั่งมากิอาร์ก็ยังเห็นเราเป็นเพียงพลเมืองชั้นสอง เผ่าพันธ์ไร้วิวัฒนาการ หรือที่เรียกว่า...พวก ‘อนเวท' หรือพวกไร้เวทมนตร์

หากแต่ก็ยังมีไพ ดีเอ็นเอบางกลุ่มที่ผิดแปลกจากคนอื่น เหล่ากลุ่มคนที่สามารถวิวัฒนาการตัวเองไปในจุดที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ แม้จะเป็นเพียง1.7%จากประชากรทั้งหมดในไพ ไดแมนชั่น แต่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี

ใช่!คงเรียกการริเริ่มที่สำคัญต่อมวลมนุษยชาติ!

การริเริ่มที่จะทำให้เผ่าพันธ์ไพ ดีเอ็นเอก้าวข้ามขีดจำกัด!


ปี A.E. ที่ 2800: นักวิทยาศาสตร์ในยุคสมัยนั้นค้นพบความผิดปกติของสสารและมวลสารประหลาดที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าและพลังงานมหาศาลในพื้นที่ทางชายป่าของประเทศโรมาเนีย

ปี A.E. ที่ 2808: เกิดเหตุการณ์ประหลาดข้างต้นตามจุดต่างๆในหลายประเทศ เช่น ประเทศในทวีปยุโรปตะวันตก จนถึงทางตอนใต้ ประเทศอียิปต์ และบางพื้นที่ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์และชวา รวมถึงหมู่เกาะอันดามันตอนใต้ ซึ่งทางนักวิทยาศาสตร์ตั้งข้อสันนิฐานว่าอาจจะเกิดเป็นโพรงรูหนอนข้ามมิติเวลาได้ แต่เพียงไม่นานข่าวนี้ก็ได้ซาลงไปเพราะคนยังไม่ปักใจเชื่อ

ปี A.E. ที่  2856: เกือบ50ปีให้หลัง ด้วยความผิดปกติของสสารที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดเป็นโพรงรูหนอนที่รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้ชายหนุ่มคนหนึ่งถูกดูดหายสาบสูญเข้าไปในโพรงรูหนอน แต่เพียงในอีกไม่กี่ชั่วโมงถัดมา เขาก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย เหตุการณ์นี้ประหลาดเช่นนี้ทำให้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งนานอยู่หลายเดือน

ในปีเดียวกัน เด็กน้อยวัย12ปีก็ได้หายสาบสูญไปในโพรงรูหนอนเช่นกัน ซึ่งเด็กคนเดิมก็ได้กลับมาเล่าว่าตัวเองได้ไปเมืองที่ผู้คนใช้เวทมนตร์ได้ แต่คนส่วนใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หากแต่นักวิทยศาสตร์เริ่มกลับมาให้ความสนใจทฤษฏีโพรงรูหนอนข้ามมิติกาลเวลาอีกครั้ง มีการค้นคว้าอย่างลับๆระหว่างสถาบันวิทยาศาสตร์ว่าด้วยเรื่องดาราศาสตร์และอวกาศและรัฐบาล

ปี A.E. ที่ 2955: อีกกว่า100ปีถัดมา มีการรับรองอย่างเป็นทางการแล้วว่าไพ ไดแมนชั่น มีเอกภพคู่ขนาน(Parallel Universe) อยู่ และได้ประดิษฐ์กระสวยเดินทางระหว่างโพรงรูหนอนเพื่อเดินทางไปสำรวจอีกเอกภพ จนไม่กี่ปีถัดมา ทางเอกภพคู่ขนานรับรู้ถึงการมีอยู่ของเอกภพไพ ไดแมนชั่นเช่นกัน จนทำให้เกิดการเปิดการประชุมระหว่างกันท่ามกลางความสัมพันธ์อันตึงเครียดเนื่องจากต่างไม่ยอมรับในวิวัฒนาการของแต่ละเอกภพ (ไพ ไดแมนชั่นเป็นด้านเทคโนโยลีล้ำสมัย แต่กลับกันด้านมากิอาร์ยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องเวทมนตร์และพิธีกรรมโบราณ)

ปี A.E. ที่  2966: มีการเปิดเผยชื่อเอกภพคู่ขนานการมีอยู่อย่างเป็นทางการสู่สาธารณชน โดยเอกภพคู่ขนานมีชื่อว่า มากิอาร์ ประชาชนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จนรัฐบาลไพ ไดแมนชั่นได้ลงชื่อสัญญาความร่วมมือด้านการเชื่อมสัมพันธไมตรีโดยมีโครงการแลกเปลี่ยนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยทางไพ ไดแมนชั่นได้ส่งนักวิทยาศาสตร์ไปศึกษาชีวิตความเป็นอยู่นั่นรวมถึงเรื่องเวทมนตร์ที่อยู่เหนือความคาดหมายของนักวิทยาศาสตร์ และทางมากิอาร์ก็ได้ส่งนายทหารนายหนึ่งมาใช้ชีวิตและศึกษาวิถีชีวิตที่ไพ ไดแมนชั่นเช่นกัน

ปี A.E. ที่  2975: บุคคลแลกเปลี่ยนกันระหว่างทั้งสองเอกภพรุ่นแรกถูกแรกตัวกลับและหลังจากนั้นก็ได้มีการส่งคนใหม่ไปแลกเปลี่ยนอีกเรื่อยๆ โดยมีโควตาอยู่ที่ปีหนึ่งไม่ถึง2คน

ปี A.E. ที่  2983: มีการเปิดเอกภพมากขึ้นจนกลายเป็นอุตสาหากรรมการท่องเที่ยวขนาดเล็ก รวมถึงมีการก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายใหม่ระหว่างไพ ไดแมนชั่น และมากิอาร์ ใช้เวลารวมทั้งสิ้น7ปีในการดำเนินงานและก่อสร้าง โดยรถไฟมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า ‘รถไฟโมโนเรลรูหนอน’

ปี A.E. ที่ 3005: เนื่องด้วยความใกล้ชิดของทั้งสองเอกภพทำให้ไพ ไดแมนชั่นทำให้คนไพ ดีเอ็นเอเริ่มมีการวิวัฒนาการถึงขั้นใช้เวทมนตร์ได้บ้างจนเกิดเป็นข่าวครึกโครม ทำให้ทางมากิอาร์เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงมีโครงการแลกเปลี่ยนในระดับการศึกษาจนปัจจุบัน

...


       

'ยินดีต้อนรับเข้าสู่นิวส์ อิน อเดย์ หัวข้อข่าวที่สำคัญในวันนี้คือ...ทางการรัฐบาลสหพันธรัฐไพ ไดแมนชั่นได้ลงมติร่วมกับทางกระทรวงศึกษาธิการและการพัฒนาศักยภาพของทางเอกภพคู่ขนานมากิอาร์ส่งนักศึกษาจำนวน5คนไปศึกษาต่อที่นั่น โดยนักเรียนเหล่านี้ได้รับทุนการศึกษาจากกระทรวงเต็มจำนวน ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี...'

ร่างสูงสมส่วนทิ้งตัวลงพิงพนักโซฟาอย่างเหนื่อยล้า เรือนผมดำสนิทเฉกเช่นชาวมองโกลอยด์ทิ้งลงบนหมอนใบนุ่ม นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบเทาบ่งบอกอีกครึ่งสัญชาติในสายเลือดจ้องมองไฟยังโทรทัศน์ฝังผนังเครื่องใหญ่ แต่ดูจากสายตาเลื่อนลอยของเจ้าตัวแล้ว ช่องข่าวประจำตอนเช้าไม่ได้เข้าสมองสักเท่าไรนัก เหมือนมองว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว

ใช่!

การเห็นว่าเรื่องการมีอยู่ของเอกภพคู่ขนานและเรื่องเวทมนตร์วิเศษพรรค์นั้น

ไมเคิลไม่แปลกใจกับสิ่งที่ปรากฏในโทรทัศน์ที่ผู้สื่อข่าวกำลังบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับ‘พลังวิเศษ’ ‘พลังเวทมนตร์’ หรือแม้กระทั่ง ‘พลังแปลกประหลาด’ สุดแล้วแต่คนจะหาคำจำกัดความของตน

สาเหตุที่เขาไม่แปลกใจกับเรื่องที่เหมือนจะเหนือธรรมชาตินี้ เป็นเพราะแม่ของเขาปลูกฝังเรื่องที่ดูเหมือนจะบ้าๆแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แม่ของเขาน่ะ เพี้ยน! มีเพื่อนบางคนเคยพูดกับเขาแบบนี้และเด็กคนนั้นเกือบจะลงไปนอนกองแทบเท้าเขาถ้าไม่มีเมลิกมาห้ามเขาเสียก่อน แต่เมื่อมาคิดทบทวนดู ถ้ามองจากสายตาคนภายนอก มันก็อาจจะดูเป็นแบบนั้นจริงๆก็ได้

แม่ของเขาพูดเสมอว่าพวกเขาสองคนน่ะพิเศษ อาจจะเป็นสิ่งที่แม่ทุกคนพูดกับลูกของตัวเองก็ได้ แต่ไมเคิลเองก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าตอนเด็กๆ เขาและมาลิกเคยทำเรื่องที่‘คนธรรมดา’ที่อยู่รอบๆตัวเขาทำไม่ได้ อย่างเช่นการที่เมลิกทำให้แก้วน้ำที่อยู่บนชั้นลอยมาอยู่ในอุ้งมือเพราะเขาขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นไปหยิบ หรือการที่เขาสามารถทำให้ของที่อยู่ในมือของเด็กชายข้างบ้านที่แย่งของเล่นของน้องชายเขาไปหลุดออกจากมืออย่างน่ามหัศจรรย์

แม้จะเป็นแค่สิ่งเล็กๆน้อยๆแต่นั่นก็ทำให้ไมเคิลรู้ว่าทั้งเขาและเมลิกมีอะไร‘พิเศษ’หรือ‘ผิดปกติ’จากคนอื่น แม่ของพวกเขาทั้งสองคนอุทานด้วยความยินดีและเอ่ยชมพวกเขาทั้งสองในครั้งแรกๆที่เขาเริ่มแสดง‘ความสามารถอันแปลกประหลาด’นั้นออกมา แต่ก็กล่าวตักเตือนพร้อมกับขอให้พวกเขาสัญญาว่าจะไม่ใช้ความสามารถพิเศษนั้นอีกในเวลาต่อมา

‘จนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร’ หญิงสาวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนที่มักประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ‘แล้วพวกลูกจะได้ใช้ความสามารถนั่นอย่างเต็มที่แน่ๆจ้ะ’

ไมเคิลไม่ค่อยชอบใจกับความคิดนั้นเท่าไร เขาคิดว่ามันไม่เห็นจะเข้าท่าเลยที่ตัวเองมี‘ความสามารถพิเศษเล็กๆน้อยๆ’แต่ไม่อาจทำอวดคนอื่นได้ ตรงกันข้ามกับเมลิกที่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้เป็นแม่พูดอย่างสุดหัวใจ เด็กชายไม่อยากถูกล้อที่โรงเรียนว่าตัวเองเป็นตัวประหลาดหรืออะไรเทือกนั้น และเขาก็ไม่อยากให้พี่ชายของตัวเองโดนแบบนั้นด้วยเหมือนกัน

ดังนั้น แม้จะไม่ค่อยเต็มใจนัก ไมเคิลก็ต้องใช้ชีวิตอย่างคนปกติดังที่แม่และน้องชายของเขาพร่ำบอกให้เขาทำ แต่เด็กหนุ่มก็ต้องยอมรับว่าการทำแบบนั้นทำให้ชีวิตเขาสุขสบาย เรียบง่าย แม้บางครั้งเขาจะรู้สึกเสียดายความสามารถอันแสนพิเศษนั้นของเขาในบางครั้งก็ตาม แต่ก็อย่างว่าละความคิดที่ว่าตัวเองมีความประหลาดมากกว่าคนอื่นถือเป็นสิ่งที่ดีละมั้ง? แต่คิดไปคิดมาการทำตัวไม่ให้แปลกประหลาดกว่าคนอื่นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วละ

ชีวิตของครอบครัวชไวน์สไตเกอร์ดำเนินมาด้วยดีในฐานะคนปกติสามัญ แต่แล้วทุกอย่างก็มาพลิกผันเมื่อเมลิกอายุได้13ปี ซึ่งในตอนนั้นไมเคิลอายุได้15ปี น้องชายของเขาตัวเล็กเมื่อเทียบกับเด็กคนๆอื่นในรุ่นเดียวกัน ตรงข้ามกับไมเคิลที่สูงเอาๆและยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลงเสียด้วย ดังนั้น เมื่อมองในมุมของเขาแล้ว น้องชายของเขายังเป็นเพียงเด็กเล็กๆที่ฉลาดกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง

สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนนั้นก็คือจดหมายซองสีขาวที่มีตราสัญลักษณ์สีแดงเลือดหมูประทับอยู่ด้านหลังซอง ในจดหมายนั้นบอกเล่าเพียงว่าเมลิกได้รับเลือกให้เข้าไปเรียนในโรงเรียน‘มาร์กิออส อาร์มี’ โรงเรียนทหารที่มีชื่อเสียงที่สุด ซึ่งตัวไมเคิลเองแน่ใจว่าทั้งเขาและเมลิกเองไม่มีใครรู้ว่าไอ้โรงเรียนที่ว่านี่อยู่ไหนแน่ละ

ไมเคิลรู้สึกประหลาดใจกับข่าวในตอนแรก ยิ่งตอนที่ได้รับการอธิบายจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินทางตามหลังจดหมายมาว่าโรงเรียนแห่งนี้ตั้งอยู่ที่‘มากิอาร์’ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานของโลกที่เขาอยู่ แต่ถึงอย่างนั้น ในส่วนลึกของจิตใจเขากลับรู้สึกสงบราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น และบางที ทั้งแม่และน้องชายของเขาคงจะรู้สึกแบบเดียวกันกับเขา

ในวันที่ได้รับจดหมายฉบับนั้น ชายหนุ่มแปลกหน้าที่ตามหลังมาเข้าไปคุยกับแม่ของเขาสองคนตลอดทั้งเย็น จนในที่สุดแม่ก็เพียงสั่งให้เมลิกไปจัดกระเป๋าทั้งๆแบบนั้นโดยที่ไม่อธิบายอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นบอกแก่พวกเขาเลย

‘แล้วลูกก็จะรู้เองเมื่อไปถึงที่นั่น’ หญิงสาวพูดพร้อมกับก้มตัวลงไปคุกเข่าเพื่อให้อยู่ในระดับเดียวกับเมลิก หล่อนมองสีหน้าหวาดหวั่นและไม่เข้าใจของเมลิกด้วยน้ำตาคลอราวกับคนไม่มีทางเลือก แต่ถึงจะมีทางเลือก หล่อนก็เลือกที่จะกอดเด็กชายตัวจ้อยไว้ในอ้อมแขนก่อนจะจูบหน้าผากอีกฝ่ายแล้วพูดอวยพรให้เขาเท่านั้น

ไมเคิลจำสายตาของน้องชายที่มองมาที่เขาได้ดี มันเต็มไปด้วยความกลัวและไม่แน่ใจ เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเมลิกต้องไปเรียนในที่ที่ไกลแสนไกล แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้รับเลือกให้ไปด้วย อย่างน้อยถ้าเขาไปด้วย เขาจะได้แน่ใจว่าจะไม่มีใครรังแกน้องชายของเขา

‘ทำไมพี่ถึงไม่มาด้วยล่ะครับ’ เด็กชายเอ่ยถาม มองไมเคิลที มองแม่ที แล้วก็หันไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคนอย่างกล้าๆกลัวๆ

‘พี่ของเธอมาด้วยไม่ได้หรอก ทุนนี่สำหรับคนเดียวเท่านั้น’ อีกฝ่ายตอบเรียบๆ เกือบจะเย็นชาด้วยซ้ำแต่ไมเคิลไม่สนใจ

‘ไว้รอปีหน้า ถ้าเขาเปิดรับนักเรียนทุนเพิ่มอีกละก็ ฉันอาจจะได้ตามนายไปทีหลังก็ได้’ เขาพูด แม้ตัวเองจะไม่แน่ใจเอาซะเลย เพราะถ้าการเป็นนักเรียนทุนหมายถึงการที่เขาต้องเก่งเท่าๆกับน้องชายของเขาละก็ เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีวันได้ทุนนั้นหรอก

‘ผมอยากให้พี่มาด้วย’

‘ฉันก็อยากไปเรียนกับนาย’นี่เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้สนทนากับน้องชายของเขา

ไมเคิล เมธัส ชไวน์สไตเกอร์รู้เพียงแค่ว่าตัวเขาในวัย15ปีได้แต่ยืนมองน้องชายที่รักที่สุด เมลิก เมธิชัย ชไวน์สไตเกอร์ เดินออกจากไปพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งด้วยน้ำตานองแต่ไม่ร้องสักแอะ คนที่มาพาไปเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ หน้าตาดุดัน ใส่ชุดดูเป็นเครื่องแบบทางการราวกับทหาร แต่ที่ไมเคิลรู้สึกได้แน่ๆคือ น้องเขาจะจากไปในที่ที่ไกลจนเขาคิดว่ามันไม่ใช่แบบระยะทางการบินระหว่างประเทศเยอรมนีไปเกาะบริติชแน่นอน มันเป็นที่ที่ไกลจนอาจจะไกลเป็นล้านปีแสงก็เป็นได้

...ความรู้สึกเขาบอกเช่นนั้น…

‘ไม่เอาน่าแม่ อย่าร้องไห้สิครับ’ เด็กชายหันไปพูดกับมารดาที่ยืนอยู่ข้างตัวพร้อมกับรอยยิ้มละมุนที่ดูเศร้ากว่าปกติเล็กน้อย ‘หมอนั่นได้ทุนไปเรียนนะครับ ไม่ใช่เรื่องที่น่าเสียใจซักหน่อย’

‘แม่รู้จ้ะไมค์ แม่รู้’หญิงสาวพูดตอบ น้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย ‘แม่แค่เป็นห่วงน้องเท่านั้น… โธ่ ไมค์ เมลิกน่ะเพิ่งจะอายุ13เท่านั้นเองนะ เขายัง...’

ไมเคิลเลิกคิ้วกับคำพูดที่หายไปเสียดื้อๆของอีกฝ่าย แม่เขาคงกำลังคิดอยู่สินะว่าน้องเขาทำอะไรไม่เป็นบ้าง แล้วตัวเขาเองก็นึกไม่ออกเสียด้วยสิว่าเด็กชายที่เพิ่งก้าวเท้าออกจากบ้านทำอะไรเองไม่เป็นบ้าง

อ้อ ใช่ น้องชายเขายังขับรถไม่เป็นนี่นะ เพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเริ่มฝึกได้ แต่ถ้าไปที่นู่นอาจจะขี่ไม้กวาดเหมือนพวกพ่อมดในหนังสือนิยายปรำปราก็เป็นได้ เด็กหนุ่มคิดติดตลกก่อนจะตัดสินใจชวนแม่เข้าบ้านแล้วเอ่ยปากว่าเขาหิวแล้วเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของอีกฝ่าย

อย่างน้อยก็เพื่อให้แม่รู้ว่า… แม่ยังมีเขาอยู่




เรื่องราววันนั้นก็ผ่านไปได้3ปีแล้ว… 3ปีที่น้องชายเขาเดินทางไปเรียนต่อในเอกภพคู่ขนาน สถานที่ที่คนในเอกภพทางนี้อยากจะข้ามไปเห็นกับตาว่าเป็นอย่างไร

รวมถึงตัวเขาเอง แต่ก็อย่างว่าแหละ คนที่ไร้ความสามารถในการวิวัฒนาการมันก็เหมือนไร้อนาคต หรือแม้แต่ไมเคิล ที่เคยคิดว่าตัวเองอาจจะมีพลังแปลกประหลาดแต่ว่าตัวเขาอาจจะเป็นแค่ของเก็บก็เป็นได้เพราะไม่เช่นนั้นเขาอาจจะได้ไปอยู่ที่เอกภพคู่ขนานนั่นกับน้องชายตั้งแต่สามปีก่อนไปแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ เขาสู้น้องเขาไม่ได้หรอก

ถ้าไม่มีเมลิกเขาอาจจะเป็นหนึ่ง!

แต่ถ้ามีไมเคิลและเมลิก เขาก็จะตกไปเป็นที่สองไปทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย

ปุ๊งๆ

เสียงอาหารแพ็คสูญญกาศเกิดปฏิกริยากับความร้อนในเครื่องไมโครเวฟกำลังพองตัวขึ้น กลิ่นอาหารเริ่มส่งกลิ่นหอมอบอวล เรียกสติของไมเคิลกลับมา ร่างสูงหยัดตัวขึ้นเดินไปทางห้องครัวที่ติดอยู่กับน้องนั่งเล่น

นัยน์ตาสีฟ้าประกายเทายามต้องแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องลอดเข้ามาจากหน้าต่าง ลมหนาวเสียดกระดูกลอดผ่านช่องว่างเล็กของหน้าต่าง ฤดูหนาวในเยอรมนีเป็นอะไรที่ไมเคิลเข็ดขยาดเหลือเกิน แม้จะมีเครื่องทำความร้อนในบ้านตลอดเวลาก็ตามแต่

ติ๊ง

เสียงเตือนของเครื่องไมโครเวฟดังขึ้น มือขาวหยิบอาหารแพ็คสูญญกาศออกมา ฉีกซองออก อาหารพร้อมรับประทานก็มาวางตรงหน้า

อาหารแพ็คสูญญกาศคือสิ่งที่ช่วยให้วัยรุ่นทั้งหลาย...กินกันตาย มองดูเผินๆ หน้าตามันเหมือนซองอลูมิเนียมเล็กๆขนาดแค่2X2นิ้ว แต่หากพอโดนความร้อนแล้วมันจะค่อยๆขยายตัวขึ้นเป็นอาหารพร้อมรับประทาน ข้างๆซองจะมีเขียนชื่อเมนูติดเอาไว้ ราคาก็ถูกแพงตามความหรูหรา ถ้าเป็นหมูไก่ก็ราคาไม่กี่ปอนด์ แต่ถ้าเป็นอาหารทะเล ของหายากก็หลายปอนด์อยู่

ฐานะบ้านเขาไม่ได้รวยจนใช้สุรุ่ยสุร่ายแต่ก็ไม่ได้จนเสียจนกัดก้อนเกลือกิน บ้านที่อยู่เป็นทาวเฮ้าส์สามชั้นเล็กๆใจกลางเมือง

เขาอาศัยอยู่กับมารดาแค่สองคนหลังจากน้องชายไปเรียนต่อที่เอกภพคู่ขนานเมื่อ3ปีก่อน ส่วนพ่อน่ะเหรอ...อย่าให้พูดเลยเพราะตั้งแต่เกิดมาเขายังไม่เคยเจอเลย...ถ้าไม่ใช่แม่บอกว่าพ่อเขาจากไปตั้งแต่เมลิกยังไม่เกิด เขาคงคิดว่าพ่อเขาคงเป็นกระบอกไม้ไผ่หรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ไม่ใช่ปมด้อยอะไรที่ไม่มีพ่อเพราะเขายังมีแม่เพี้ยนๆอยู่ทั้งคน เธอรักและดูแลพวกเขาอย่างดี

แม่ของเขาเป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมันทำให้เธอดูไม่เหมือนคนยุโรปแต่ก็บอกไม่ได้ว่าเป็นชาวเอเชีย มันเป็นความผสมที่ดูมั่วซั่วแต่ลงตัว แม่สูงเพียง165เซนติเมตร เรือนผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มยาวถึงกลางหลังแต่เจ้าตัวชอบม้วนไว้เป็นมวย นัยน์ตาสีเทาแต่เข้มคล้ายของเมลิก (เขาเคยถามว่าแล้วทำไมของเขาเป็นสีฟ้าอมเทา ซึ่งได้คำตอบว่ามันมาจากยายของเขาที่เป็นชาวเยอรมัน แต่ตาสีเทาของแม่และเมลิกได้มาจากคุณยายทวดอีกที ส่วนคุณตาเขาเป็นทหารผ่านศึกชาวไทยที่มาแสวงโชคในดินแดนเยอรมนี จนพบรักกับยายเขา แม่บอกว่าเขาได้สีผมดำเข้มอย่างคนเอเชียมาจากตาเขานี่ละ ซึ่งมันดูจะซับซ้อนไปหน่อยแต่ก็เอาเถอะ) และต้องขอบคุณสายเลือดเอเชียที่ทำให้แม่ เขาและน้องชายไม่มีผิวตกกระแบบชาวคอเคซอยด์ ผิวของแม่เป็นสีขาวออกซีดเพราะไม่ค่อยได้ออกไปไหน

แม่เขาเป็นนักแต่งนิยายโรแมนซ์ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ที่พอมีชื่อทำให้พวกเขามีเงินใช้พอทุกเดือนอย่างไม่ลำบากมากนัก แม่มีเวลานอนที่ไม่แน่นอนนัก บางวันก็นอนเช้า บางวันก็นอนเย็น บางวันก็ไม่นอน

เหมือนอย่างเช้าวันนี้ เขาคิดว่าแม่เขายังคงใส่แว่นถ่างตาจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรผุดขึ้นมา

ไมเคิลจ้วงอาหารคำสุดท้ายเข้าปากก่อนโยนทิ้งลงถังขยะ ร่างสูงเดินแวบเข้าไปดูมารดาที่ห้อง ภาพที่เห็นก็ไม่ผิดจากที่เดาเพราะเธอกำลังนั่งจ้องหน้าจอเดสก์ทอปตาไม่ขยับ

"แม่ครับ" เด็กหนุ่มเอ่ยเรียก อีกฝ่ายยังจ้องจอตรงหน้าเขม็ง "แม่ หิวไหมครับ ให้ผมเอาอะไรมาให้ทานรึเปล่า"

คนถูกเรียกหันหน้ากลับมาตามเสียงเรียกอย่างเชื่องช้าก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆให้เขา

"กาแฟซักแก้วก็ดีจ้ะ"

ไมเคิลพยักหน้ารับก่อนจะผละเข้าไปในครัวกดสวิทช์กาต้มน้ำร้อนแล้วเริ่มเปิดตู้หาซองกาแฟสำเร็จรูปที่ย้ายที่อยู่ตลอดเวลาในครัว

แม่ของเขาไม่ค่อยเก็บของเข้าที่เข้าทางเท่าไร เขาหมายถึง ตัวบ้านเขาก็สะอาดดีอยู่หรอกนะถ้ามองเผินๆ แต่ถ้าเริ่มลงมือหาของอะไรซักอย่างแล้วเริ่มเปิดพวกตู้ดูแล้วละก็... บอกได้เลยว่าของทุกอย่างมันถูกโยนเข้าไปลวกๆอย่างขอไปที

ดูอย่างกระดาษเอกสารกับซองจดหมายที่อยู่ข้างซองกาแฟพวกนี้สิ ดูเหมือนแม่เขาจะอ่านค้างอยู่ตอนที่จะเดินมาชงกาแฟแน่ๆ

เด็กหนุ่มหยิบกาแฟขึ้นมาซองหนึ่งพร้อมกับหยิบกระดาษเอกสารเหล่านั้นออกมาจากตู้อย่างไม่ใส่ใจนัก เขาเอากองจดหมายและเอกสารนั่นวางไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นก่อนเรียก

"แม่ครับ ผมเอาเอกสารกับจดหมายออกมาจากตู้แล้วนะครับ แล้วอย่าไปลืมเอาไว้ในนั้นอีกละ เดี๋ยวหนูจะมาแทะไปหมด" ตู้รกแบบนั้นจะมีหนูสักตัว แมลงสาบสักฝูงเขาก็ไม่แปลกใจเท่าไร

"ขอบใจมากลูก" เสียงแม่ลอดออกมาจากห้อง

"งั้นผมออกไปก่อนนะครับ" ไมเคิลบอก หลังจากชงกาแฟเสร็จแล้วยกไปวางไว้ให้มารดา

"แล้วเจอกันตอนเย็นจ้ะ"

แม่เขาบอกแบบนั้น ซึ่งทำให้เจ้าตัวคิดว่าต้องซื้ออาหารเย็นเข้ามาด้วยจะดีกว่าเพราะแม่อาจจะนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ไปถึงเย็นก็เป็นได้

ร่างสูงก้าวเท้าออกไป เหลือเพียงความอุ่นจากเครื่องทำความร้อนภายในบ้าน

กองเอกสารและจดหมายที่ทำท่าจะร่วงแหล่ไม่ร่วงแหล่เพราะคนวางไม่ได้ใส่ใจนัก และสุดท้ายมันก็หล่นลงมาจริงๆ แม้จะกระจัดกระจายมั่วไปหมด ซองกระดาษสีขาวเนียนกลับเด่นขึ้นมาเพราะสัญลักษณ์สีแดงเลือดหมูนั่น




Magiska มากิอาร์ เอกภพคู่ขนาน

ผู้แต่ง : Airin_and_Arpo


Comment จากกรรมการ

#1 Enter Books Editor Team

สวัสดีค่ะ

จังหวะดี อ่านง่าย ฉากต่อสู้น่าสนใจและปิดได้มีพลังดี

ว่าไปแล้ว แต่ละโซนของมากิอาร์นี่ใหญ่แค่ไหน เท่าประเทศในไพหรือเปล่า การแบ่งโซนเหมือนผ่านการจัดระบบมาแล้ว (อาจจะด้วยพลัง?) เพราะแยกแยะชัดเจน ที่ปลูกพืชก็ปลูกพืช น้ำก็ส่วนน้ำ เป็นการแยกที่เห็นการจงใจจัดระเบียบ หรือว่านี่คือส่วนเมือง ยังมีส่วนที่เป็นธรรมชาติกว่านี้แยกออกไป (ทางนี้ก็คิดไปเรื่อยๆ)

หวังว่าจะได้อ่านตอนที่ 6 นุ :)

ลวิตร์

Comment จากกรรมการ

#2 กองบรรณาธิการสนพ. Enter Books

สวัสดีคร้าบ~

ตอนแรกที่อ่านบทนำ แลดูเป็นมิตรภาพระหว่างพี่น้อง บทต่อๆ มาเริ่มกลายไปเป็นมิตรภาพระหว่างเพื่อน เฮียรอซีนคุณน้องชายอยู่นะครับ 555 อ่อ เรื่องสนุกอ่านเข้าใจง่ายสไตล์ รร.(มหาลัย) เวทมนตร์ แคแร็กเตอร์ตัวละครและพลังหลากหลาย สนุกดีครับผม

นี่เฮียเอง

ความคิดเห็นล่าสุด

Page 2 of 2 1 2
  • ความคิดเห็นที่ 5

    ตุ๊กตาตัวตลก.Joker
    • Name : ตุ๊กตาตัวตลก.Joker < My.iD > [IP] 223.24.2.31
    • 7 มีนาคม 2559 / 22:40
    อ่านกี่รอบก็ยังสนุกเหมือนเดิมชอบประเด็นที่ว่าพี่เก่งแต่น้องเก่งกว่าพี่คือมันใช่เลยอะ
    พออ่านตอนนี้จบในหัวมีแต่คำว่าบราค่อนลอยขึ้นมาเลย>.<
    สู้ๆค่ะ^^
  • ความคิดเห็นที่ 4

    rw_no_jg19
    • Name : rw_no_jg19 < My.iD > [IP] 64.233.173.160
    • 7 มีนาคม 2559 / 19:20
    เรายังได้กลิ่นความบราค่อนโชยมาแต่ไกล อ่านกี่ครั้งก็สนุก ไมเคิลกะเมลิคนี่ทำให้เราติดงอมแงม พี่ก็น่ารัก(?)น้องก็หล่อ อยากจะเก็บเอาไว้ทั้งสองคน #เชียร์หนักมา
  • ความคิดเห็นที่ 3

    Yhafufuya
    • Name : Yhafufuya [IP] 58.8.156.56
    • 4 มีนาคม 2559 / 17:03
    อ๊าาา จะอ่านกี่รอบก็ชอบเช่นเดิม ถถถ ช่างให้ความรู้สึกอินกับเนื้อเรื่องจริงๆ รู้สึกรักตัวละคร2พี่น้องมากค่ะ ขนาดออกมานิดเดียว ดูบราค่อนดี แค่กๆ//รอดูวิวัฒนาการของไมเคิลต่อไป...นั้นคนรึโปเกม่อน?
  • ความคิดเห็นที่ 2

    Airin_and_Arpo
    • Name : Airin_and_Arpo < My.iD > [IP] 126.123.213.66
    • 3 มีนาคม 2559 / 08:46
    scarletpride: ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านน้าาา//กอด// เรื่องน้องเก่งกว่าพี่... เราก็เข้าใจความรู้สึกนะ (มีน้องเหมือนกัน) แต่ดีที่เราขยันกว่ามัน 55555 (อ้าว) ยังไงก็ฝากตามอ่านตอนต่อๆไปด้วยนะ >w<

  • ความคิดเห็นที่ 1

    scarletpride
    • Name : scarletpride < My.iD > [IP] 183.89.147.170
    • 2 มีนาคม 2559 / 16:42
    อ่านจบแล้ววววว เป็นอีกเรื่องที่ชอบประเด็น น้องเก่งกว่าพี่นี่...//ลูบหน้าเพราะเจอมากับตัว ตอนนี้อยากสัมผัสสังคมของมากิอาร์ มุมมองของคนที่นั่นที่มีต่อคนในโลกนี้มากเลย ไม่รู้ว่าโลกโน้นจะต่างกับโลกนี้แค่มีเวทมนตร์ หรือแตกต่างถึงขั้นระบบสังคม
Page 2 of 2 1 2

เข้าสู่ระบบด้วย Dek-D ID

เข้าสู่ระบบด้วย Social Network

คลิกที่นี่
แสดงความคิดเห็น
ชื่อ Email รูปตัวแทน

โปรดใส่รหัสตามรูป