คำโป้ปดจากตัวตน

ผู้แต่ง : สีไทย

“อนิจจา เหล่าลูกหลานแห่งแผ่นดินทองได้ลืมสิ้นถึงสิ่งสำคัญ หลงเชื่อในคำโป้ปดแห่งความรักที่มีต่อตัวตนของขวานทอง ซึ่งผู้มีใจคอคับแคบตัดสินว่าสิ่งใดควรทำ สิ่งใดเลวทราม ข้าหาได้แจ้งใจว่าลูกหลานของเราได้ตระหนักถึงสิ่งใดหรือไม่ ตัวตนของเรานับวันยิ่งเลือนหายไปกับสายลมที่ฝุ่นผงพัดมากลบมัน ตัวตนของพวกเราคือชีวิต ไม่มีสิ่งใดบิดพลิ้วที่จะสงสัยเกี่ยวกับมัน หาได้มีสิ่งใดที่ต้องพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น”

                ณ ห้องแห่งหนึ่งในบ้านเรือนไทย มีตู้เก่า ๆ เก็บเครื่องเบญจรงค์ไว้ หญิงสาวใส่ชุดไทยโบราณวนเวียนอยู่บริเวณนั้น มองสิ่งต่าง ๆ ในห้อง ทั้งหน้ากากผีตาโขน หุ่นกระบอก ร่มบ่อสร้าง เศียรโขนที่ตั้งบนแท่นบูชา
                และแล้วนางก็ร่ำไห้ เอื้อนเอ่ยคำพูดที่อยากให้ลูกหลานไทยสักคนได้ยิน

                ครืด ๆ
                มีเสียงแผ่วเบาบางอย่างดังมาจากข้างนอก มันเกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว แต่ไม่มีใครตระหนักถึงมัน เธอคนนี้เองก็เช่นเดียวกัน
ดินสอกดสีดำถูกเคาะกับโต๊ะโดยเด็กหญิงผมสีดำอมน้ำตาลคนหนึ่ง ที่กำลังนั่งเท้าคางมองต้นฉบับการ์ตูนที่ตนเองกำลังวาดอยู่
                ช่วงนี้อรุณวิตกกับการ์ตูนช่องที่ตัวเองกำลังวาดอยู่
                เธอได้ยินข่าวจากกลุ่มผู้คนที่รักการวาดรูปในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ค ที่มีปัญหากับผู้คนอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากมีกระแสข่าววิพากษ์วิจารณ์ เรื่องการนำวัฒนธรรมไทยมาประยุกต์ใช้โดยไม่เหมาะสม ทั้งการนำชุดสไบมาประดับกับชุดชั้นใน การนำตัวละครในวรรณคดี นิทานพื้นบ้าน หรืองานประพันธ์ของนักเขียนชั้นครูในประเทศไทย มาวาดในลายเส้นการ์ตูนญี่ปุ่นหรือวาดใส่ชุดไทยประยกุต์ที่มีความวาบหวิว ไม่ก็นำวรรณคดีไทยมาแต่งฉบับใหม่เพื่อที่จะได้มีความน่าสนใจมากขึ้น  แบบที่การ์ตูนล้อเลียนของญี่ปุ่นนำบุคคลในประวัติศาสตร์ และตัวละครในงานประพันธ์ของประเทศญี่ปุ่นมาแต่งอย่างสนุกสนานไม่มีขีดจำกัด อย่างน้อยก็สำหรับตัวเธอที่เติบโตมากับสังคมไทยที่เคร่งวัฒนธรรมแบบนี้มากกว่าประเทศญี่ปุ่น (แม้ว่าเธอจะเคยได้ยินบางคนพูดว่า จริง ๆ แล้วประเทศญี่ปุ่นไม่ได้เปิดกว้างในเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานขนาดนั้นหรอก แต่ประชาชนบางคนหาช่องว่างกฎหมายในการทำ) ไม่เพียงเฉพาะประเทศอื่นเท่านั้น จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ ยังมีเสรีในเรื่องนี้มากเช่นกัน
                ด้วยเหตุนี้เอง อรุณจึงนั่งคิดออกแบบชุดไทย และโครงเรื่องการ์ตูนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยหลายตลบมาห้าชั่วโมงโดยไม่ได้ลุกไปไหน ตั้งแต่รับประทานอาหารกลางวันเสร็จ เพราะเธอรู้สึกว่าถ้าจะแต่งแบบไม่เกินงามสำหรับคนอื่น ก็คงมีโครงเรื่องที่ไม่ต่างจากการ์ตูนความรู้ที่เคยอ่านตอนอยู่ประถม (แน่นอนว่าตอนนี้เธอเลื่อนระดับชั้นแล้ว และเรียนอยู่ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีสาม)
                “เฮ้อ”
                น่าจะเป็นครั้งที่ห้าสิบแล้วกระมังที่ถอนหายใจ ลมเย็น ๆ จากนอกหน้าต่างพัดเข้ามาสัมผัสกับเหงื่อที่ชุ่มกายเพราะความร้อนยามคิมหันตฤดู ทำให้รู้สึกเย็นขึ้นจนอารมณ์ดีมากกว่าเดิมนิดหน่อย เธอหยิบช้อนบนจานแล้วตักเค้กทีรามิสุเข้าปากก่อนจะเคี้ยวมัน ขนมชิ้นนี้เธอซื้อจากร้านขายขนมหวานมาเมื่อวานก่อน ในขณะที่กำลังเพลิดเพลินอิ่มเอมกับรสสัมผัสเนื้อแป้งเนียนนุ่มผสมผสานกับครีมหวานละมุนลิ้น เด็กหญิงก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
                เหมือนจะเคยมีเรื่องดราม่าเกี่ยวกับคนใส่ชุดไทยกินอาหารฝรั่ง…
                อรุณคิดแล้วมองเพดานอย่างเบื่อหน่าย ความเศร้าใจค่อย ๆ กัดกินหัวใจของเธอทีละน้อย เด็กหญิงเคยพิมพ์บันทึกลงโซเชียลเน็ตเวิร์คเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย ความว่าดังนี้

                วันจันทร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕**
                เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินกว่าเราจะพูดให้มันเป็นรูปธรรม แต่เราในฐานะที่เป็นคนไทย เติบโตมากับแผ่นดินเมืองทอง และรักวัฒนธรรมไทยที่แสนงดงามนี้มากยิ่งกว่าอะไร อยากจะนำเสนอมุมมองของตนเองเพื่อขยายขอบเขตความคิดเห็นเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยให้มีความชัดเจนมากขึ้น เรายังเด็กนัก เลยอาจยังไม่เข้าใจถึงความสำคัญของวัฒนธรรมไทยมากเท่าที่ควร แน่นอนว่าเราไม่มีวุฒิภาวะมากพอที่จะกล่าวเป็นกลาง เพราะฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วย
                เราต้องขอกล่าวก่อนเข้าประเด็น เพื่อยกตัวอย่างสำหรับเรื่องที่จะพูด เมื่อสามปีก่อนเรามีโอกาสได้ไปประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากเราวาดภาพส่งประกวดได้รับรางวัลที่หนึ่ง สิ่งแรกที่ตัวเราในตอนเด็ก ๆ ตื่นตาตื่นใจกับสิ่งต่าง ๆ ในประเทศญี่ปุ่นคือ มีคนญี่ปุ่นหลายคนใส่ชุดยูคาตะ (ซึ่งมีความแตกต่างกับชุดกิโมโนที่เรารู้จักกันเสียส่วนใหญ่ แต่ทั้งสองประเภทนี้ล้วนเป็นชุดประจำชาติแดนอาทิตย์อุทัย) เป็นเรื่องธรรมดา แม้จะไม่เห็นบ่อยจนถึงขนาดเป็นชุดที่ใส่ในชีวิตประจำวัน ทว่าถ้าเทียบกับประเทศไทยแล้วถือว่าบ่อยกว่า ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ในงานเทศกาลหรือพิธีต่าง ๆ คนญี่ปุ่นจะใส่ชุดพวกนี้ไปงานพิธีชงชากัน เรารู้สึกแปลกใจและชอบมันมาก ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นก็เป็นพวกอนุรักษ์นิยม (หรือเราพิจารณาผิดไป?) แต่ทำไมเราถึงเห็นวัฒนธรรมญี่ปุ่นมากกว่าที่ประเทศแสดงให้เห็น?
                ต่อมา ด้วยความที่เราชอบการ์ตูนญี่ปุ่นมาก มีความฝันที่อยากจะมาชมอาคารบ้านเรือนที่มีโปสเตอร์รูปการ์ตูน ได้ซื้อหุ่นจำลองขนาดฝ่ามือที่แทบจะเกลื่อนตลาด เราสังเกตตั้งแต่ได้อ่านงานเขียนงานวาดของญี่ปุ่นมาก่อนหน้านี้แล้วว่า คนญี่ปุ่นนำชุดมาทำประยุกต์ใหม่แบบอิสระมาก ทั้งชุดกิโมโน ชุดยูคาตะ ฯลฯ วาดแหวกคอเสื้อให้เห็นชุดชั้นในและชั้นในท่อนล่างแบบโจ่งแจ้ง หรือนำมาออกแบบเป็นชุดนักรบแนวเท่ ๆ บุคคลในประวัติศาสตร์เช่นโชกุน ไดเมียว ขุนพล นักรบ นักปราชญ์ ฯลฯ ล้วนโลดแล่นในงานเขียนงานวาดยุคใหม่ที่ฉีกกฎจารีตวัฒนธรรมสมัยก่อน จากที่เราอ่านเนื้อหาและดูงานภาพแล้ว หากบุคคลในประวัติศาสตร์ไทยถูกมาวาดเขียนใหม่แบบนี้ คงจะมีข่าวขมขื่นเป็นปีแน่ ที่ทำลายวัฒนธรรมไทยอย่างร้ายแรง (เราขอละไว้ในส่วนเนื้อหาและงานภาพของทางฝั่งญี่ปุ่นว่ามีลักษณะเช่นไร)
                คุณไม่คิดว่ามันแปลกหรือ? ทั้ง ๆ ที่ประเทศญี่ปุ่นถ้าเทียบกับฝั่งยุโรปอเมริกาแล้ว พวกเขาก็เคร่งในวัฒนธรรมของตนเองพอ ๆ กับประเทศไทย แต่ทำไมวัฒนธรรมญี่ปุ่นถึงได้เห็นชัดเจนยิ่งกว่า? แม้ว่าเทคโนโลยีและการศึกษาของพวกเขาจะก้าวไกลไปกว่าเรา ทว่าคนญี่ปุ่นกลับสามารถอนุรักษ์ได้ หรือเรื่องพวกนี้จะไม่เกี่ยว? กลับกัน ประเทศไทยบูชาวัฒนธรรม อนุรักษ์สิ่งเหล่านี้ยิ่งกว่าอะไร แต่วัฒนธรรมไทยนับวันยิ่งเลือนหาย
                …อย่าไปทำแบบนั้นนะ มันเป็นการลบหลู่ เป็นการดูหมิ่น โอเค เราเข้าใจ ว่าบางเรื่องมันเกี่ยวกับศาสนาหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ เราไม่ควรก้าวก่ายในระดับที่เป็นการทำให้เสื่อมเสีย ทว่าเรื่องบางอย่างเราก็หวงแหนจนกลายเป็นว่าแตะต้องไม่ได้ เปรียบดังคนบางคนพูดว่า ‘บูชาขึ้นหิ้งแตะต้องไม่ได้จนฝุ่นเกาะ’ สุดท้ายเลยฝังรากลึกเด็กไทยที่โตจนเป็นผู้ใหญ่แล้ว พวกเขาไม่สนใจวรรณคดีไทย นาฏศิลป์ไทย ศิลปะจิตรกรรมหรืองานประติมากรรม ฯลฯ เพราะรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของชั้นสูงที่ผู้ใหญ่ไทยหลายคนห้ามนักห้ามหนาว่า อย่านำมาทำให้เสื่อมเสีย ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องว่าไปตามบริบท
ด้วยเหตุนี้เองคนไทยแทบทุกคนที่ไม่สนใจวัฒนธรรมไทย ก็มักจะคิดว่าวัฒนธรรมไทยเป็นเรื่องล้าสมัยหรือเป็นของโบราณที่แตะหน่อยก็ผุพัง
                 ที่เราเล่ามาทั้งหมดนี้ เป็นเพียงมุมมองที่แฝงความอคติของเรา แม้ว่าบางเรื่องที่เราพูดมาจะเห็นด้วย แต่ก็ใช่ว่าจะมีความคิดเห็นเช่นนั้นไปทุกเรื่อง เราคิดว่าไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ล้วนมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน บ้างก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว บ้างก็ผันแปรโดยเชื่องช้า

                 ครืด ๆ !
                 อรุณที่กำลังนึกถึงบันทึกเรื่องนั้นระหว่างทานเค้กอย่างใจลอย ก็มีอันต้องสะดุ้งด้วยความตกใจเมื่อเสียงอันแสนจะคุ้นเคยดังขึ้น ปรกติเธอได้ยินเป็นประจำในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยไม่ค่อยตกใจ แต่ครานี้มันกำลังส่งเสียงดังผิดปรกติ วันแรกที่ได้ยินก็สงสัยทว่าพอหาต้นเหตุแล้วก็ไม่พบ เลยคิดว่าคงมีสัตว์บางตัวมาตะกุยกรงเล็บกับต้นไม้ไม่ก็ผนังบ้านของเธอซึ่งทำจากไม้
                 แต่พอมาวันนี้อรุณกลับสังหรณ์ใจไม่ดี กลัวว่าสิ่งนั้นที่ทำให้เกิดเสียงจะไม่ใช่เรื่องในขอบเขตสามัญสำนึกของมนุษย์
                 ผี? อรุณเดาด้วยใจที่เต้นแรง ผิวกายเย็นเฉียบ ขาเริ่มชาก่อนที่อาการจะไล่ขึ้นมาถึงข้างบน จนเธอไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย เด็กหญิงทำใจกล้าและพยายามบังคับให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปใกล้หน้าต่าง ก่อนจะชะโงกหน้าออกไป มองซ้ายมองขวา กลอกตาขึ้นลง เหลียวหน้าแลหลัง ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่เห็นสิ่งที่น่าจะเป็นเจ้าของเสียงปริศนาเลยแม้แต่น้อย
                “คิดไปเองกระมัง” เด็กหญิงถอนหายใจ ตอนนี้หัวใจเธอเต้นแรงด้วยความหวาดกลัวจนมันกระทบกับผิวอกชั้นใน ให้ความรู้สึกพะอืดพะอม
                “หาข้าอยู่รึ?”
                จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างบน อรุณที่กำลังมองหาต้นเสียงปริศนาตรงข้างล่าง ไม่เห็นเจ้าของคำพูดเมื่อครู่
                “อ้อ ใช่จ้ะ ช่วงนี้… อะไรนะ?” อรุณเงยหน้าขึ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ก่อนจะกรีดร้องอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับเอามือปิดปาก ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใคร
                หญิงสาวห้อยหัวลงมาจากข้างบน เรือนผมสีดำสนิทสยายลงมาน่าขนลุก ผิวกายซีดขาวชวนหวาดกลัว นางคาดผ้าแถบทับด้วยสไบ ผืนผ้าที่ยาวนั้นพลิ้วไหวลงมา นุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลไหม้ เครื่องประดับเช่นสร้อยคอตุ้มหูห้อยตามลงมา หญิงสาวกำลังยิ้มบาง ๆ ทว่าดูไร้อารมณ์ ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์นั้นชวนสยดสยองโดยปราศจากเลือดและอวัยวะภายใน
                “ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูก… หากข้าแหวกไส้ให้เจ้าดู เห็นทีตัวข้าคงเผลอทำบาปโดยไม่รู้ตัว” พูดจบหญิงสาวก็ขำคิกคัก พอฟังดูอีกทีก็รู้สึกว่าเสียงของนางไพเราะหวานใสเหมือนเสียงหยาดน้ำค้างหยดจากใบไม้ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความน่ากลัวของเจ้าตัวลดลงแม้แต่น้อย
                อรุณสูดหายใจเข้าลึก ๆ หลับตาทำสมาธิให้จิตแน่วแน่ ทว่าเธอยังไม่ปล่อยวางความหวาดกลัว มันจึงยังจู่โจมไม่หยุด แต่ลางสังหรณ์บอกว่าผีตนนี้เป็นผีดี คงไม่มีอะไรต้องกลัวนอกจากภาพลักษณ์ของนาง
                “โอเค ๆ … แย่จริง ใจหายใจคว่ำ” อรุณยังคงมีสีหน้าซีดเผือด แต่ปากที่สั่นเมื่อครู่หยุดแล้ว “หนูชื่ออรุณค่ะ พี่เป็นใครเหรอคะ?”
                “กาสะลองจ้า” หญิงสาวปีนหน้าต่างเข้ามาไต่เพดานในห้อง คราวนี้แหละที่อรุณจะเป็นลมจริง ๆ โชคดีในความโชคร้ายที่กาสะลองลงมารับตัวเธอทัน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเด็กหญิงนัก หญิง                 สาวปล่อยตัวอีกฝ่ายให้ยืนเอง
                “ขะ ขอบคุณค่ะ… พี่กาสะลองคะ ทำไมถึงทำเสียงแปลก ๆ นั่นล่ะคะ?” ตอนนี้อรุณได้สติแล้ว หากไม่นับเรื่องที่อีกฝ่ายไต่เพดานห้องเธอ อรุณก็ไม่ค่อยกลัวกาสะลองแล้ว
                “หาได้มีสิ่งใดดอก ข้าเพียงอยากให้เจ้าคุ้นเคยกับข้า เลยลองแกล้งทำเสียงให้เจ้าสนใจ”
                “ไม่สมเหตุสมผลเลยค่ะ” อรุณมีสีหน้าฉงน
                “ช่างเถิด เอาเป็นว่าข้าทำไปเพียงเพราะเบื่อ ข้าก็อยู่ที่ดินผืนนี้มาหลายร้อยปีแล้ว ครอบครัวเจ้ามาสร้างเรือนทับที่ดินที่ข้าอาศัย บางครั้งข้าก็จะออกมาแกล้งคนอื่นเล่น” กาสะลองยิ้มเหมือนเด็กได้ของเล่นชิ้นใหม่ อรุณเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกขนลุกและขำอย่างบอกไม่ถูก
                “อ๋อ แต่คนอื่นเขาไม่เล่นด้วยหรอกนะคะ เกิดหัวใจวายตายเข้าพี่คงมีบาปติดตัวเพิ่ม”
                กาสะลองครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะเปลี่ยนวิธีใหม่”
                “อย่าพยายามเลยค่ะ” อรุณหยุดความคิดของหญิงสาว
                “ว่าไปช่วงนี้เจ้าดูกลุ้มใจเอาเรื่องนะ มีสิ่งใดรบกวนใจเจ้ารึ?” อรุณรู้สึกแปลกใจที่ผีตนนี้สังเกตถึงความกังวลของเธอ พอมาคิดอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเป็นผีเด็กหญิงเลยมองไม่เห็น อีกฝ่ายอาจจะเฝ้าสังเกตเธอมาตลอดก็ได้
               “ช่วงนี้… วัฒนธรรมไทย”
               “วัฒนธรรมไทย? ข้าคิดว่าคำพูดนั้นมันช่างพิสดารสำหรับข้านัก” กาสะลองเอียงคออย่างไม่เข้าใจ อรุณรู้สึกว่าท่าทางนั้นน่ารัก
               “พูดยากค่ะว่ามันคืออะไร แต่หนูนิยามเกี่ยวกับวัฒนธรรมว่า มันคือความเชื่อ ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน แล้วคนรุ่นหลังปฏิบัติสืบต่อกันมา มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา”
               “…เจ้าจะบอกว่ามันคือตัวตนของผู้คน ใช่ไหม?”
               “ค่ะ ถ้าพี่จะเรียกมันว่าอย่างนั้น เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครให้ความหมายที่ชัดเจนกับมันได้” อรุณมีสีหน้าลำบากใจเมื่อตระหนักถึงเรื่องนี้
               “เด็กน้อย ชีวิตที่ข้าได้ก้าวย่างแต่ละก้าว มันมิอาจมีสิ่งใดที่ชัดแจ้งดอก” กาสะลองถอนหายใจพร้อมกับรอยยิ้มเหนื่อยหน่าย “เจ้าก็พูดเองว่าวัฒนธรรมที่ตัวเจ้าพูดถึงมันแปรผันเป็นสิ่งอื่นได้ แล้วใครเล่าที่จะให้ความหมายกับมันได้? ช่วงชีวิตของข้าผู้คนที่รายล้อมก็ให้จำกัดความบางสิ่งต่างกัน ตัวตนของพวกข้าก็มีของพวกมอญพม่าล้านช้างหล่อหลอมเข้ามา จนมันกลายเป็นสิ่งเดียวกับแผ่นดินแห่งนี้”
               กาสะลองกางแขนทำท่าบ่งบอกถึงหลายสิ่งหลายอย่างในประเทศไทย หรืออาจจะเป็นสิ่งอื่นที่มากมายสำหรับวัฒนธรรมไทย ก่อนที่นางจะยิ้มกว้างอย่างนึกสนุก
               “เจ้ามิรู้รึว่า ก่อนยุคสมัยข้าเมื่อหลายร้อยปี หรืออาจจะนานกว่านั้น เหล่าสตรียังเปลือยอกทำไร่ทำนากัน ทว่าพอมายังช่วงที่ข้ามีชีวิตอยู่การแต่งกายปกปิดส่วนสำคัญถือเป็นเรื่องที่ละเลยมิได้ และตั้งแต่นั้นมาทุกคนก็แต่งกายมิดชิดกันมากขึ้น บิดาข้าเคยดุว่า ตัวข้าเป็นสตรีที่แหกคอดจารีตไทย เนื่องด้วยประพฤติเยี่ยงม้าดีดกะโหลก แต่ข้าก็หาได้เคยไปข้องแวะชายใดให้เสื่อมเสียพรหมจรรย์ไม่”
               อรุณมีสีหน้าฉงน ยิ่งฟังที่อีกฝ่ายพูดก็ยิ่งไม่เข้าใจ แต่กาสะลองยังคงกล่าวต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
               “ข้าเป็นเพียงสตรีที่รักในศาสตร์สงครามพิชัยยุทธ ทว่าบิดามารดาข้ากลับกล่าวว่านั่นเป็นกิจของชายที่พึงกระทำต่อบ้านเมือง ข้าก็หาได้แจ้งใจว่าเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ในเมื่อสมเด็จพระสุริโยทัย ท้าวเทพกษัตรี ท้าวศรีสุนทร ท้าวสุรนารี และวีรสตรีอื่นยังเคยปกป้องบ้านเมืองด้วยวิธีนี้ รวมกับความชาญฉลาดของพวกท่านที่ได้แสดงออกมา ให้ก่อเกิดประโยชน์แด่ชาติสยาม จนมีแผ่นดินให้เรายืนอยู่ตราบจนบัดนี้”
              เด็กหญิงที่ฟังโดยไม่ปริปากพูดอะไร รู้สึกว่าเข้าใจในบางสิ่งบางบางอย่าง แต่เธอก็ไม่สามารถตีความมันให้เป็นรูปธรรมได้
              ดูเหมือนว่าพี่กาสะลองจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับตัวตนในสมัยพี่เขา ให้เราเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยมากขึ้น
                     อรุณคิดด้วยความรู้สึกขอบคุณ
               “ว่าไป ภาพนี้เจ้าวาดเองรึ?” กาสะลองสังเกตเห็นสมุดวาดรูปของอรุณบนโต๊ะที่กางอยู่ หน้าที่เปิดมีภาพชุดไทยวาดร่างด้วยดินสอ แต่เสื้อผ้าที่เธอออกแบบเป็นลักษณะประยุกต์ร่วมสมัย ดวงตาสีดำไร้แววของผีสาวมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย
              “ค่ะ มันเป็นชุดไทยประยุกต์” อรุณรู้สึกอาย ๆ ที่ผีโบราณมาเห็นชุดไทยที่เธอวาดในลักษณะแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่ากาสะลองจะชอบมัน
              “ช่างแปลกตานัก แต่มันก็งดงามจนยากจะละสายตา” กาสะลองยิ้มกว้างไปพลางไล้นิ้วมือตามเส้นที่ร้อยเรียงเป็นภาพวาดขึ้นมา “ข้าอยากลองใส่ชุดนี้”
              “ขอโทษนะคะ หนูไม่มีฝีมือในการตัดเย็บ”
              “อย่าห่วงไปเลย หากเจ้ายอมให้ข้าสิงข้าก็สามารถทำมันได้” กาสะลองยิ้มชั่วร้าย อรุณเห็นแบบนั้นแล้วก็สะดุ้งอย่างหวาดกลัว เธอส่ายหน้าด้วยความรวดเร็ว
              “ไม่ค่ะ! อย่าสิงหนูเชียวนะ!” เด็กหญิงขู่ฟ่อ ผีสาวยิ้มอย่างขบขันกับท่าทางนั้น
              “ย่อมได้ ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น”
              อรุณได้ยินแบบนั้นแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
              “หลายปีมานี้ข้าได้ยินกับสถานที่ที่เรียกว่า พิพิธภัณฑ์ เห็นว่าบางแห่งจัดแสดงเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยมากมายหลากหลายนัก ช่วงนี้ข้าก็เห็นเจ้าหมกตัวอยู่แต่ในคุ้มเรือน… เจ้าควรไปสูดอากาศข้างนอกบ้างนะ”
              “จะชวนหนูไปหาไอเดียเหรอคะ… อุ๊บ” อรุณหลุดคำศัพท์ต่างประเทศออกมา กาสะลองได้ยินคำแปลกใหม่นั่นแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัย
             “ไอเดีย?”
             “มัน… มันคือความคิดสร้างสรรค์น่ะค่ะ”
             “ตามที่เจ้าพูด เจ้ามิสามารถรังสรรค์สิ่งใดขึ้นมาใหม่ได้ดอก ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ที่นี่ เห็นสิ่งเดิม ๆ ที่ชวนให้ใจเจ้าเบื่อหน่าย”
             “เป็นความคิดที่ดีค่ะ หลายวันมานี้หนูหมกตัวอยู่แต่ในบ้านจริง ๆ”
             “เจ้าไม่มีเพื่อนคุยรึ?” กาสะลองสังเกตเห็นสิ่งที่เด็กหญิงต่างจากคนอื่น “ข้าเห็นเด็กวัยเดียวกับเจ้าไปมาหาสู่กันเป็นว่าเล่น แต่ตัวเจ้ากลับเดียวดาย”
             “หนูรักในงานอดิเรกของตัวเองมากค่ะ เลยหมกมุ่นอยู่กับมัน”
              เด็กหญิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมนี้สักเท่าไหร่
              อรุณลงไปข้างล่างพร้อมกับกระเป๋าสะพาย ขออนุญาตพ่อกับแม่เพื่อไปที่พิพิธภัณฑ์ใกล้บ้าน พ่อกำลังดูโทรทัศน์พร้อมกับทานขนมเปี๊ยะ เขาละสายตาจากหน้าจอแล้วบอกให้ระวังตัว จะไปทางไหนมองซ้ายแลขวาด้วย ส่วนแม่เดินออกมาจากห้องครัวพอดี พูดอย่างสบายใจว่าหมักปีกไก่เสร็จแล้ว เธอหอมแก้มอรุณแล้วให้เงินพกติดตัวเผื่อมีอะไรต้องใช้จ่าย กาสะลองที่ลอยไปลอยมาตามเด็กหญิงออกจากบ้านไป ก่อนที่เจ้าตัวจะปิดประตู

                พิพิธภัณฑ์
               พิพิธภัณฑ์นี้ไม่เก็บค่าเข้าชม ถึงกระนั้นที่นี่ก็บางตาผู้คนจนแทบไม่มี ถ้านับคนตามทางเดินที่ผ่านมาก็มีเพียงห้าคน อรุณหยิบสมุดไม่มีเส้นขนาดฝ่ามือกับดินสอกดคู่ใจขึ้นมา ลงมือร่างภาพและจดรายละเอียดถึงสิ่งต่าง ๆ ในตู้แสดง ทั้งชุดไทยตั้งแต่สมัยทวารดีจนถึงรัตนโกสินทร์ เธอเคยได้ยินเพื่อนคนหนึ่งพูดว่าชุดไทยสมัยรัชกาลที่ห้าของผู้หญิง แขนเสื้อที่พอง ๆ จับจีบแบบยุโรปเหมือนขาหมูแฮม พอได้ยินแบบนั้นแล้วก็ได้แต่กลั้นขำ
               “เจ้าเห็นความแตกต่างใช่ไหม?” จู่ ๆ กาสะลองที่ลอยตามวนเวียนก็กล่าวขึ้น อรุณสะดุ้งเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้นจากสมุด
               “ค่ะ เปลี่ยนไปเยอะอยู่นะคะถ้าเราสังเกตดี ๆ”
               “ข้าว่า หากมองในมุมของผู้คนช่วงสมัยของในหลวงองค์ที่ห้า น่าจะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับการประยุกต์ชุดเช่นนี้” กาสะลองแตะมือบนผิวตู้กระจก  ดวงตาสีดำไร้แววจ้องหุ่นใส่ชุดสีขาวระบายลูกไม้แขนหมูแฮมที่ประดับด้วยสร้อยมุก และนุ่งโจงกระเบนสีชมพูแก่
               “ว่าไปก็…”
               “กระทั่งยุคของเจ้าที่ทัศนคติขยายขอบเขตยิ่งกว่าในยุคของข้า ยังมิอาจสามารถละทิ้งสิ่งที่เคยทำ แล้วกับพวกเขาในยุคก่อนหน้านี้เล่า? จะเป็นไปได้หรือที่ทุกคนจะยอมรับชุดไทยที่ผสมผสานกับของพวกฝรั่ง?”
               “…ที่พี่พูดมาก็มีเหตุผล”
               “ข้าเคยถูกติฉินนินทาว่า เป็นพวกแหกคอจารีตประเพณี… ข้าเคยบอกเจ้าแล้ว และเพราะด้วยเหตุนี้ข้าจึงมีทัศนคติที่กว้างใหญ่กว่าผู้คนอื่นในยุคนั้น แน่นอนว่าสิ่งที่ข้าเห็นดีเห็นงามก็ใช่ว่าจะถูกต้องไปเสียหมด ถึงกระนั้นพวกข้าก็ลองผิดลองถูก สิ่งต่าง ๆ ที่พวกเราคิด ลองทำ และเชื่อล้วนหล่อหลอมกลายเป็นสิ่งเดียวกัน… หากข้าเรียกว่ามันคือวัฒนธรรมไทยก็อาจจะใช่”
               อรุณไร้คำพูด ดำดิ่งสู่ห้วงความคิดที่ยากจะอธิบาย
               “หนู… หนูอยากสร้างเรื่องราวที่ไม่เหมือนในหนังสือเรียนหรือการ์ตูนความรู้ อยากให้ตัวละครในวรรณคดี นิทานพื้นบ้านอะไรแบบนี้ได้โลดแล่นอย่างอิสระยิ่งกว่าเดิม หนูกังวลกับเรื่องนี้มาก เพราะนอกจากจะกลัวตัวเองโดนคนอื่นประณามแล้ว ตัวเองอาจจะเผลอนำเสนอความคิดสร้างสรรค์และข้อมูลเกี่ยวกับวัฒนธรรมไทยแบบผิด ๆ จนคนที่ได้ดูชมได้อ่านซึ่งขาดการไตร่ตรอง อาจจะเข้าใจและทำในสิ่งที่ผิดไปตาม ๆ กัน… หนู… ไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงดี”
               เด็กหญิงถอนหายใจ ดวงตาสีดำเจือความเศร้าหมอง ร่างเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มสีดำดูบอบบาง เสมือนแก้วที่หากกระทำอย่างรุนแรงต่อมันแล้วจะแตกสลาย เธอหน้าซีดเมื่อจินตนาการถึงผลที่จะได้รับจากการทำอะไรแหกคอกของเธอในสายตาผู้อื่น
               กาสะลองมองร่างนั้นอยู่นาน ดวงตาฉายแววโศกเศร้าขมขื่น นางยิ้มบาง ๆ อย่างอ่อนโยน ยกมือที่ไร้สัมผัสเนื้อลูบศีรษะเด็กตัวน้อย แม้ว่ามันจะวูบผ่านร่างมีเนื้อของเจ้าตัว
               “หากเจ้าทำ ข้าก็จะเป็นคน… ผีตนหนึ่งที่ชื่นชมเจ้า” คำพูดนั้นปราศจากอารมณ์ขบขัน เป็นถ้อยวาทะที่เต็มไปด้วยความจริงใจและเมตตา
               อรุณเงยหน้าขึ้น สบกับนัยน์ตาไร้แววคู่นั้น “ชื่นชมหนู?”
               “เจ้ามิเคยสังเกตเลยรึ? มีผู้คนหลายคนฝ่าฝืนกฎของสังคม เพื่อกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น เช่นเรื่องนี้ที่ข้าเคยได้ยินจากเด็กนักเรียนคนหนึ่ง มันพูดว่าหากโลกเราไม่มีกาลิเลโอ การพัฒนาให้โลกก้าวไปไกลก็คงทำได้ยาก เพราะหลายคนในสมัยก่อนเชื่อกันว่าโลกแบน หากเราพายเรือไปจนถึงสุดขอบโลกอาจตกลงไปในห้วงอวกาศ… จะไม่มีการบุกเบิกเส้นทางทะเลเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่าเก่า จะไม่มีการพัฒนาสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ กาลิเลโอกล้าที่จะลบหลู่ความเชื่อนั้น”
               มือของกาสะลองเลื่อนมาวางไว้ที่บ่าของอรุณ
               “แม้ว่าอาจจะโดนสั่งประหารชีวิตหรือทารุณร่างกายโดยเบื้องบน แต่กาลิเลโอก็เลือกที่จะพิสูจน์ว่าโลกเราหาได้แบนไม่ และมิใช่ศูนย์กลางของจักรวาลทั้งมวล… เจ้าลองนึกภาพสิ ชายคนหนึ่งที่ต้องทนการโดนคำติฉินนินทาว่าร้าย โดนประณาม โชคร้ายกว่านั้นก็อาจถูกโบย… หากเป็นเจ้า เจ้าจะทนได้หรือไม่?”
               “…ไม่ค่ะ” อรุณไม่กล้าพูดว่าตัวเองทนได้ เพราะมันกระดากปาก “พี่จะบอกว่า ถ้าหนูได้ทำสิ่งที่ตัวเองหวัง มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นใช่ไหมคะ?”
               “ใช่ หรือมันอาจจะมากกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก” นางยิ้มอย่างอ่อนโยน เห็นแบบนั้นแล้วอรุณก็เผลอยิ้มตาม
               “พอพี่พูดแบบนั้นแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ”
               “ข้าดีใจที่ได้ช่วยเจ้า”
               กาสะลองปล่อยมือ ก่อนที่นางและเด็กหญิงจะก้าวไปตามทางเดินต่อ

               พอกลับมาถึงบ้าน อรุณก็ยิ้มหน้าบานที่ได้ร่างภาพเยอะแยะ และจดข้อมูลสิ่งต่าง ๆ มามากมาย ตอนนี้เป็นเวลาเย็นพอดี แม่เธอทำอาหารเสร็จแล้ว กลิ่นไก่ทอดและแกงจืดหอมโชยมาแตะจมูก ท้องของเด็กหญิงร้องโครกคราก เธอไม่รอช้ารีบกระโจนเข้าใส่ ทว่าแม่ของเธอกลับหยุดโดยการบอกให้ไปล้างมือก่อน

                ทางฝ่ายกาสะลองก็แยกย้ายกันไป นางลอยมาอยู่แถว ๆ ต้นราชพฤกษ์ที่ออกดอกสีทองบานสะพรั่งแม้ในยามเย็น กลีบบาง ๆ ร่วงโรยมาราวกับชีวิตของผู้คนที่โรยราหายไปตามกาลเวลาพร้อมกับวัฒนธรรมที่แปรผัน และถูกกลืนกินไปกับผู้คนที่หมุนเวียน
                 กาสะลองสะดุดตากับร่างหนึ่งที่กำลังนั่งบรรเลงซองเกาะ (พิณพม่า) บนโต๊ะนั่งตัวยาวทำจากไม้ไผ่ เป็นชายหนุ่มผมสีดำขลับรูปร่างกำยำ สวมชุดเกราะนุ่งโสร่งและโพกผ้าที่ศีรษะ กาสะลองเดินเข้าไปใกล้ ๆ ในขณะที่เสียงดนตรีหวานใสประหนึ่งคริสตัลกระทบกันยังคงลอยแว่วมาให้ได้ยิน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัวมีใครอื่นเข้ามาจึงหยุดเล่น เขาเงยหน้ามองนาง
                 “เจ้าหายไปไหนมาทั้งวัน?” สำเนียงพม่าติดในคำพูดของเขาเล็กน้อย
                “ไปเปิดหูเปิดตามา” กาสะลองกล่าวเนิบ ๆ “จิตของเจ้านับวันยิ่งแข็งแกร่ง ถึงขนาดจับสิ่งของและใช้มันอย่างคล่องแคล่วได้”
                “ข้าตายเป็นผีมาหลายร้อยปี ความทรงจำสูญหาย ในเมื่อตัวข้ายังคงผูกกับภพนี้ ข้าก็พอมีเวลาทำในสิ่งที่ตัวข้ามิเคยทำ
                “เช่นนั้นแล้วเจ้าก็หาได้จำชื่อของตัวเจ้าไม่จนบัดนี้?”
                “ใช่ แต่นั่นมันจะสำคัญรึ? ในเมื่อเจ้าก็เรียกข้าว่า แดง” ชายหนุ่มแสดงสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
                “ข้าไม่มีชื่อที่ดีกว่านี้” กาสะลองอมยิ้ม
                       ผีชายหนุ่มที่มีชื่อชั่วคราวว่าแดง แหงนหน้ามองท้องฟ้าที่แสงตะวันส่องริบหรี่
                “สงครามคราใดหนอที่ข้าสังเวยชีพ? ช่างแปลกนักที่ตัวเจ้าหาได้เกลียดข้าไม่ แม้นว่าข้าและทหารร่วมรบจะเคยรุกรานแผ่นดินเจ้า”
                “หาใช่กิจของเราที่ต้องมาพะวงกับเรื่องนี้” ผีสาวกล่าวเสียงเรียบ ทว่าอีกฝ่ายกลับรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของนาง “ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าไม่เหมือนพวกทหารพม่ามอญคนอื่น เจ้าไม่มีจิตที่อยากทำลายแผ่นดินข้า แม้กระทั่งการแย่งชิงทรัพย์สินและทรัพยากรก็หามีไม่ เจ้าทำเช่นนั้นก็ล้วนเป็นไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเจ้า เหตุนี้แล้วจะให้ข้าเกลียดคนบริสุทธิ์เช่นเจ้ารึ?”
                “วัฒนธรรมของพม่าค่อย ๆ กลืนกินโยเดีย ข้าหลับหูหลับตาทำในสิ่งที่ต้องทำ มือข้ามีแต่กลิ่นเหม็นคาวเลือดและเนื้อคนตายที่ข้าพรากชีวิต… เจ้ายังจะเชื่ออีกรึว่าข้าเป็นผู้บริสุทธิ์?”
                “แน่นอน”
                “พวกโยเดียช่างโง่เขลานัก”
                “พวกฝรั่งก็มักจะพูดเช่นนั้น” กาสะลองไม่ถือสา “แต่ข้ารู้อยู่แก่ใจ ว่าสยามหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ทุกคนล้วนเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา”
                “แม้กระทั่งตัวข้า” แดงยิ้มเยาะตนเอง
                “ข้าเคยได้ยินมาว่า แต่กาลก่อนทรัพยากรของพม่ายังไม่สมบูรณ์เท่าสยาม เลยต้องเข้ามารุกรานเพื่อแย่งชิง คราแรกข้าก็โกรธแค้นพวกเจ้าอยู่ลึก ๆ ดอก ทว่าพอมาคิดกลับกัน หากสยามเป็นเช่นพม่า ก็คงเลือกที่จะรุกรานแผ่นดินอื่น”
                แดงเงียบไปพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น
                “พวกข้าไม่มีทางเลือก แต่บางครา เหตุผลของฝ่าบาทบางองค์ก็ใช่ว่าเป็นเรื่องจำเป็น”
                “แต่หากให้เทียบระหว่างพม่ากับอ้ายพวกฝรั่ง ข้าเกลียดพวกคนผิวขาวมากกว่า”
                “เหตุใดเล่า?” แดงจ้องหน้านาง
                “สยามกับพม่าถึงจะสู้รบกันเป็นว่าเล่น แต่พวกเราก็เปรียบเสมือนญาติพี่น้องบ้านเรือนเคียง ที่มีเรื่องกระทบกระทั่งกันบ่อยครา แต่กับพวกฝรั่งมันเป็นคนนอก บ้านเมืองอยู่ห่างไกลจากเรา ตั้งแต่พวกมันมาเหยียบขวานทองเล่มนี้ วิถีชีวิตของพวกเราก็เปลี่ยนแปลงมากเสียยิ่งกว่าที่ผ่านมา ตัวตนของเราแทบกลืนหาย ข้าเองไม่แน่ใจนัก แต่ดูเหมือนเจ้าคงยังมิรู้ว่าบ้านเมืองเจ้าใช้ภาษาของอ้ายฝรั่งแทนภาษาพม่าในแต่กาลก่อน”
                แดงตกใจ ดวงตาเขาเบิกโพลง จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของกาสะลอง
                “เป็นเรื่องจริงรึ?”
                “ข้าไม่มีเหตุอันใดให้ต้องโป้ปดเจ้า” กาสะลองเห็นใจอีกฝ่าย “แต่โชคดี หากเปรียบกับบ้านเมืองอื่น แผ่นดินเจ้ายังคงรักษาตัวตนไว้ได้มากกว่า ในขณะที่ฟิลิปปินส์… คำนี้คงแปลกหูเราเอาเรื่อง เจ้าคงไม่รู้จัก เหล่าคนออสโตรนีเชียนถูกพวกฝรั่งที่เรียกกันว่า สเปน กลืนกินตัวตนแทบสิ้น จารีต ประเพณี วัฒนธรรมของฟิลิปปินส์เกือบไม่หลงเหลือ”
                “กรรมใดหนอที่ทำให้พวกเราต้องมีชีวิตเช่นนี้” แดงพึมพำอย่างเศร้าสร้อย
                กาสะลองยิ้มบาง ๆ ดวงตาสีดำไร้อารมณ์
                “…สัจธรรมของมนุษย์กระมัง”
               
                บางประเทศไม่มีเพลงชาติของตนเอง ไม่มีแม้กระทั่งตัวตน
                อรุณเคยได้ยินมาเช่นนั้น ตอนนี้เธอกำลังวาดรูปอย่างสบายอารมณ์ ก่อนหน้านี้กลัดกลุ้มกับปัญหามาตลอด แต่พอได้ที่ปรึกษาอย่างกาสะลองแล้วก็เบาใจ
                ปิดเทอมหน้าร้อนนี้อากาศอบอ้าวจนไม่อยากใส่เสื้อผ้า แต่อรุณก็ยังคงใส่แม้ว่าจะอยู่ในบ้าน เธอไม่ค่อยชอบใส่กางเกงขาสั้นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปนักเพราะรู้สึกหวิว ๆ แม้ว่าพวกเขาจะใส่เสื้อยืดที่ไม่โป๊ก็ตาม
                พอนึกถึงเรื่องนี้ก็เคยได้ยินกระแสข่าวอยู่ ที่ว่าวัยรุ่นผู้หญิงมักจะแต่งตัวโป๊ ผลเสียที่ตามมานอกจากจะเป็นการทำลายจารีตไม่ก็ประเพณีวัฒนธรรมแล้ว ยังอาจก่อให้เกิดคดีอาชญากรรมตามมา แต่งตัวยั่วยวน เที่ยวเดินกลางค่ำกลางคืน หรือในที่เปลี่ยวก็อาจโดนกระทำชำเรา แม้ว่าคนที่แต่งตัวรัดกุมจะเสี่ยงน้อยกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้น
                บางครั้งเบื่อ ๆ อรุณก็จะทำในสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำบ่อย เช่นการฟังเพลงชาติของประเทศอื่น เธอประทับใจเพลงชาติเมียนมาร์เป็นพิเศษ เด็กหญิงชอบความหมายของชื่อเพลงชาตินี้มาก เนื่องด้วยมีความหมายว่า ‘ตราบโลกแหลกสลาย’ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็รักเพลงชาติไทย และทุกสิ่งที่เป็นตัวตนของชาติไทยมากที่สุด
                ทุกบทเพลงของแต่ละชาติล้วนร้อยเรียงประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยหยาดโลหิต น้ำตา และความทุกข์ทรมานจากการรักษาผืนแผนดินของตน ทั้งวัฒนธรรม ประเพณี จารีต วิถีชีวิตที่ทุกคนในชาติล้วนมีมา มันยังคงถ่ายทอดในบทเพลง ความชอกช้ำและความรักตอกย้ำลูกหลานเสมอ
ไม่ว่าประวัติศาสตร์ชาติใดจะถูกประณามมาสักกี่ครั้ง เคยสูญสิ้นนับกี่ครา แต่วัฒนธรรมจะเป็นตัวตนที่เด่นชัดในความทรงจำของผู้คน… ฝังรากลึกลงไปในหัวใจ
                ระหว่างนั้นเอง เสียงซองเกาะที่ถูกบรรเลงอย่างไพเราะก็ดังสอดประสานกับเพลงชาติเมียนมาร์เป็นท่วงทำนองเดียวกัน
                ต่อให้สิ่งใดเปลี่ยนไป แต่มันก็คือตัวตนของเราที่ไม่มีใครเข้ามาแทนที่ได้…
               

2 ความคิดเห็น

  • บุคคลนั้น

    (Jeerapon201@gmail.com)

    01-09-2017 15:41:51

    เรื่องผีนี่หว่า เป็นนิยายที่ให้ขบคิดถึงวัฒนธรรมไทยได้ค่อนข้างดี
    ส่วนนี่จะเป็นความคิดของผู้อ่าน: อย่าไปเปรียบเทียบสิ่งที่เป็นไทยกับชาติเลย เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ตรงเขตร้อน สมัยอดีตใส่แค่ผ้าปกปิดตรงอวัยวะเพศก็คงไม่ผิดแปลก เรื่องผ้าแพรแพงๆส่วนใหญ่คนรวยจะสวมใส่ส่วนคนจนจะแค่ใช้เพื่อแต่งงาน คนไทยสมัยนี้ยังเชื่อเรื่องเจ้าคนนายคนอยู่ ถ้าในอดีตเจ้าคนนายคนไม่หลงลืมวัฒนธรรมตอนนี้ก็คง...ที่เหลือก็มีแค่ขนบธรรมเนียมของคนไทยที่เหลือเพียงศาสนาพุทธที่สืบทอดต่อกันมา และถ้ามองไปในอดีตอีกที ที่ไทยยังเป็นไทได้อยู่เวลานี้ก็เพราะคนไทยปรับตัวกับยุคสมัยนั้น(เก่ง) ไม่งั้นคงไม่ได้เห็นพื้นดินที่เป็นไทยจนถึงทุกวันนี้

    #1

  • Modtanoy96

    (love_kaito@outlook.com)

    26-09-2017 17:55:50

    สะท้อนวัฒนธรรมได้ดีนะคะ แต่ว่ายังแอบมีคำฟุ่มเฟือยหลงมานิดหน่อย

    #2

แสดงความคิดเห็น